“สาวใช้?”
หลิวเข่อซิงทวนคำแล้วก็เห็นว่าตำแหน่งนี้นางน่าจะทำได้ดี จากที่นาง ‘พยายาม’ เรียรรู้จากพี่เลี้ยงที่หลิวชิงเซียงส่งมาอบรมสั่งสอนแล้ว นางมั่นใจว่าตนเองเหมาะที่จะรับใช้ผู้อื่นเพื่อแลกกับการกินเศษพลังชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เหมือนที่เคยอยู่ในหุบเขา
“ได้ๆ ข้าเป็นสาวใช้ให้เจ้าเอง” นางรีบเสนอตัวแล้วหันไปถามหลิวชิงเซียง “ข้าไปเป็นสาวใช้ของเขาได้ไหม”
“สาวใช้อะไรกัน ยังเรียกเจ้านายว่าเจ้านั้นเจ้านี้ ไร้มารยาทเสียจริง”
“ได้ๆ ข้าจะพยายาม” นางไม่ถือสาที่ซุนเจ้าเฟิงตำหนินาง “ข้าต้องเรียกเจ้าว่าอะไร”
“ใต้เท้า นายท่าน หรือที่ปรึกษาหาน ห้ามเรียกเจ้าๆ อย่างที่ผ่านมาอีก” ซุนเจ้าเฟิงทำตาดุใส่ ทำไมนางโง่งมขนาดนี้ เขาฝึกทหารเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่ยากเท่ากับคุยกับนางเลย
“ได้ เช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน”
หานหรงเหยายิ้มและพยักหน้าให้ “ตามใจเจ้าเถิด”
“จะพานางไปก็จ่ายค่าไถ่ตัวนางเสียก่อน” หลิวชิงเซียงยังคงยิ้มอ่อนหวานแต่แววตามีความรื่นเริง แน่นอนว่านางหาวิธีกำจัดเจ้าตัวโง่งม ออกไปพ้นหูพ้นตา และอีกทาง นางยังสามารถหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนเข่อซิงที่จวนแม่ทัพซุนได้ คนผู้นี้มีพลังชีวิตกล้าแกร่ง หากได้กลืนกินย่อมทำให้นางมีพลังมากยิ่งขึ้น
“ผู้ดูแลหลิวแจ้งมาได้เลย”
“หนึ่งร้อยตำลึง”
“หนึ่งร้อยตำลึง!” ซุนเจ้าเฟิงเบิกตากว้างแล้วหันไปกวาดตามองสตรีที่ห่อตัวด้วยเสื้อคลุมของสหาย นางก็นับว่างดงามอยู่ไม่น้อย แต่นิสัยเช่นนี้ ..เหมือนรับเลี้ยงเด็กน้อยเสียมากกว่า
“หนึ่งร้อยตำลึงทอง”
“นี่เจ้า!” ซุนเจ้าเฟิงไม่เคยขึ้นเสียงใส่สตรีมาก่อน ครั้งนี้เขาโมโหจนหน้าดำคล้ำไปหมดแล้ว
“ตกลงตามนี้” หานหรงเหยาผงกศีรษะรับ “ข้ารับตัวนางไปได้เลยหรือไม่”
“เห็นแก่แม่ทัพซุนมาเยือนถึงหอชมบุหลันของเรา ข้าจะให้เข่อซิงติดตามท่านไปทันที ส่วนเรื่องเงินนั้นจะให้คนของข้าไปรับที่จวน”
“ตงลงตามนั้น” ซุนเจ้าเฟิงขบฟันแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
หลิวชิงเซียงมั่นใจว่าแม่ทัพซุนเดินออกไปแล้ว จึงเอ่ยกับหานหรงเหยาและเข่อซิง
“ท่านคงรู้แล้วว่านางเป็น...”
“เขา เอ๊ย! นายท่านรู้แล้ว เขาเห็นข้าตอนกลายร่างด้วย” เข่อซิงชิงพูดขึ้น
“เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องอธิบายมากว่านางต้องกินพลังชีวิตของมนุษย์”
“ข้าสละให้นางได้”
“เหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้”
“แม่นางคงรู้ว่าร่างกายข้าไม่แข็งแรง ในเมื่ออยู่ได้อีกไม่นาน ก็ให้ชีวิตที่เหลือกับนางจะเป็นไรไป”
“ท่านนี่แปลกจริงๆ” นางโคลงศีรษะไปมา “ช่างเถิด แม้ท่านรับนางไปแล้วก็จริง แต่ข้าก็ต้องคอยดูนางอยู่ ปีศาจจิ้งจอกแดงสกุลหลิวของเราไม่เคยทอดทิ้งพี่น้อง นั้นคือสิ่งที่ท่านแม่สั่งสอนเสมอมา”
“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ”
หลิวชิงเซียงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้าให้เข่อซิง “เจ้าติดตามนายท่านของเจ้าไปได้ อย่าสร้างเรื่องเดือดร้อนมาถึงที่นี่เด็ดขาด”
หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วพยักหน้ารับยืนยัน
“ได้ ข้าจะพยายาม ข้าจะเป็นสาวใช้ที่ดีของนายท่าน”
เป็นอีกครั้งที่หลิวเข่อซิงกลับมาที่เรือนของหานหรงเหยา แต่ครั้งนี้ นางอยู่ที่นี้ในฐานะสาวใช้ของที่ปรึกษาหาน หญิงสาวนั่งประสานมือบนเก้าอี้กลมแต่ขยับตัวยุกยิก ดวงตาเป็นประกายวาววับจ้องมองอีกฝ่ายพร้อมริมฝีปากคลี่ยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นสาวใช้ของข้า” หานหรงเหยาพยายามอธิบายรอบที่สาม เวลานี้ในเรือนหลังนี้มีเขาและนางอยู่กันตามลำพัง ปกติเขาไม่ชอบให้ใครมีผู้อื่นมาวุ่นวายอยู่ใกล้ แม้แต่คนรับใช้ก็ตาม
“ไม่ได้ เจ้า เอ่อ ท่านซื้อตัวข้ามาจากหอชมบุหลันแล้ว ข้าก็ต้องเป็นสาวใช้ของท่าน”
“ที่นี่ไม่ขาดแคลนทั้งคนและสิ่งของ เจ้าก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด”
“ไม่ขาดแคลน” นางเอียงคอครุ่นคิดแล้วกลอกตามองรอบตัว “แต่ท่านไม่มีใครเลยนะ”
“เรื่องนั้น...” คิดจะอธิบายงรอบที่สี่ก็ถอนใจแล้ว “ช่างเถอะ หากเจ้าอยากเป็นสาวใช้ก็ตามใจเจ้า”
“อื้ม!” หลิวเข่อซิงฉีกยิ้มกว้าง “ท่านไม่ควรดื้อดึงตั้งแต่แรกแล้ว แค่เชื่อฟังข้า ข้าบอกว่าข้าเป็นสาวใช้ของท่าน ท่านก็ไม่ต้องมาพูดอะไรวกไปวนมาเช่นนี้แล้ว”
คราวนี้หานหรงเหยาอับจนถ้อยคำ เอาเถิด เขาตัดสินใจรับนางมาแล้ว คงเปลี่ยนแปลงอันใดมิได้อีก ได้แต่ยอมรับอย่างจำนน แต่เหตุใดเขากลับรู้สึกพึงพอใจกับน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของนาง ทั้งที่ที่ผ่านมาเขาชอบความเงียบสงบ
“ท่านไม่ต้องห่วงนะ ตอนที่ข้าอยู่หุบเขาจื่อเซ่อ ข้าทำเป็นหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะซักเสื้อผ้า ล้างถ้วยชาม ทำความสะอาดเรือน ชงชา ฝนหมึก ข้าล้วนทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ปีศาจทุกตนในหุบเขาต่างยกย่องข้ามอบหมายงานเหล่านี้ให้ข้าทำแต่เพียงผู้เดียว”
“เจ้าชงชาเป็น?”
“ใช่ ยากตรงไหน แค่ต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบชา เท่านี้ก็ได้น้ำชาแล้ว”
‘นั้นเรียกชงชาก็ได้รึ’
เป็นอีกครั้งที่หลิวเข่อซิงทำให้หานหรงเหยาอึ้งไป นางพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดและยืดตัวตรงอย่างภูมิใจ คงเพราะเหตุนี้ นางจึงอยากเป็นสาวใช้ของเขานัก แต่เขาก็อายุไม่น้อย จู่ๆ มีสาวใช้ข้างกายก็รู้แปลกพิกล นางไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ เกรงว่าเขาคงต้องตามใจนางแล้ว
“ตกลงเจ้าเป็นสาวใช้ของข้า...”
“ถูกต้อง” นางรีบชิงพูดขึ้น
เขานิ่งไปครู่หนึ่งลอบถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือกแล้วเอ่ยต่อ “ช่างเถอะ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าควบคุมการกลายร่างเป็นจิ้งจอกแดงได้หรือไม่ ข้าเกรงว่าผู้อื่นรู้เห็นเข้าจะตกใจ”
“แน่นอน ข้าไม่โง่ให้มนุษย์จับได้หรอกนะ” นางเบ้ปากใส่เขา “หากข้ามีพลังเต็มเปี่ยมย่อมสามารถควบคุมการกลายร่างของตนได้ และหากข้าได้กินพลังชีวิตจนมีพลังแก่กล้าอย่างบรรดาศิษย์พี่หรือท่านแม่ละก็...ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นผู้ใดก็ย่อมได้”
“แล้วที่ข้าเห็นหูจิ้งจอกโผล่ก็เพราะไม่ได้กินพลังชีวิตหรือพลังวิญญาณอะไรนั้นหรือ” เขาถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“เจ้าเป็นที่ปรึกษาได้อย่างไรกัน นี่ท่านฉลาดไม่พอหรือจ้าอธิบายให้ท่านไม่เข้าใจกันแน่” นางส่ายหน้าด้วยและมองเขาว่าช่างโง่เขลานัก “พลังชีวิตก็คือลมหายใจ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเจ้า แต่พลังวิญญาณคือดวงจิตของเจ้า หากเจ้าสูญเสียพลังชีวิตก็คือร่างกายที่ไร้ลมหายใจ และหากเจ้าไร้ลมหายใจเจ้าก็กลายเป็นเพียงดวงวิญญาณ ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณเกิดจากเจ้าของดวงจิตนั้นประกอบคุณงามความดี สร้างสมบารมีให้ตนเอง จึงได้ครอบครองดวงจิตพิสุทธิ์ ยามไปถึงปรโลกก็จะถูกเลือกให้ไปอยู่แดนสวรรค์ไม่ต้องไปลงนรกอย่างไรเล่า”
“ข้าจำได้ว่า ผู้ดูแลหลิวบอกว่า ข้ามีวิญญาณพิสุทธิ์ นั้นหมายความว่าข้าเป็นคนดีหรือ?” “ถูกต้อง” นางพยักหน้ายืนยัน “เหล่าภูตผีปีศาจชอบวิญญาณพิสุทธิ์ หากได้กลืนกินจะเพิ่มพลังให้แก่ตนเอง” “เช่นนั้น เป็นคนดีย่อมไม่ปลอดภัยสินะ” เขายิ้มขำ คนอย่างเขานะหรือ?ที่เรียกว่า “คนดี” หากเรียกว่า “เจ้าเล่ห์เพทุบาย” น่าจะได้อยู่ “ไม่ๆ” นางส่ายหน้าไปมา “เพราะเป็นคนดี สวรรค์จึงคุ้มครอง ไม่ให้มารปีศาจตนใดจะแตะต้องได้ง่ายๆ” “แล้วเจ้าเล่า ไม่ใช่ปีศาจหรือไร” “ข้า... “ นางยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เพราะร่างเดิมข้าคือจิ้งจอกแดง ท่านแม่ข้าเป็นจอมปีศาจชุบเลี้ยงข้าด้วยปราณปีศาจ ข้าจึงเป็นปีศาจ แต่ข้ายังไม่กล้าแกร่ง ไอปีศาจเบาบาง เจ้าเลยไม่รู้ว่าข้าเป็นปีศาจอย่างไรเล่า” “เช่นนั้น ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าสร้างขึ้น” “ถูกต้อง ข้าถึงเรียกนางว่าท่านแม่อย่างไร” นาวพยักหน้ารับ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่า จริงๆ พวกเราต้องเรียกท่านแม่ว่าอาจารย์ แต่ท่านแม่ไม่ชอบ ท่านแม่แสดงให้เห็นว่ารักทุกตนเท่าเทียมกันจึงให้เรีย
อยู่ชายแดนมานาน ต่างรู้กันว่าที่ปรึกษาหานเป็นผู้รักสันโดษ น้อยครั้งที่จะพบเขาเดินซื้อของในตลาดเช่นวันนี้ และยิ่งต้องแปลกใจเมื่อข้างกายมีสตรีงดงามเดินเคียง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นไปทุกสิ่งทำให้ใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งอยู่เป็นนิตย์ปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น หากไม่นับเรื่องสุขภาพแล้ว หานหรงเหยานับเป็นบัณฑิตรูปงาม รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาแฝงความอ่อนโยนที่ชวนให้สตรีเฝ้าถวิลหา แต่เพราะใช้ชีวิตนับถอยหลังรอวันตายทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ใครเล่าจะอยากเป็นม่ายแต่เยาว์วัย แต่ยามนี้ข้างกายบุรุษใกล้ตายผู้นั้นมีสตรีเกาะแขนกึ่งลากกึ่งจูงดูข้าวของสองข้างทาง เดิมทีคิดแค่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้หลิวเข่อซิง แต่นางเหมือนเด็กที่เห็นสิ่งใดก็ใคร่รู้ไปเสียหมด นอกจากนางมาจากหุบเขาจื่อ เซ่อแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกแดงตัวน้อยที่แทบไม่เคยรู้จักมนุษย์ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่าตลาดเบื้องหน้านาง “เข่อซิง เดินดีๆ ประเดี๋ยวหกล้ม” “ข้าไม่ล้มๆ” นางหันมายิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “เจ้า เอ๊ย ท่าน เอ่อ นายท่าน เดินเร็วๆสิ” “ข้าวของไม่หนีเจ้าไปไหน ไม่ต้องรีบ
“แต่บริเวณรอบนอกมีหมู่บ้านคน” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆ ก็รู้ หานหรงเหยาไม่อยากให้ปีศาจสาวลำบากใจจึงชิงอธิบายก่อน “แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมากินข้าวเที่ยงในเมืองได้” “อาวุธตัวอย่างถูกส่งมาแล้ว ข้าให้ส่งไปที่จวนเลยจะกลับไปดู” ซุนเจ้าเฟิงคลั่งไคล้อาวุธทุกชนิด เขาเสียเงินทองไปมากมายเกินกว่าจะนับได้หวาดไหว เพื่อซื้ออาวุธชั้นเลิศมาไว้ในครอบครอง “เช่นนั้นข้าจะกลับไปดูพร้อมเจ้า” ซุนเจ้าเฟิงโบกมือห้าม “วันนี้เจ้าหยุดนี่ พาเข่อซิงเที่ยวเล่นเถิด” “ข้าไม่ได้เที่ยวเล่นนะ” เข่อซิงรีบพูดแก้ไขไม่ให้ซุนเจ้าเฟิงเข้าใจผิด ผู้อื่นเกรงกลัวชายผู้นี้ แต่นางไม่ เพราะเขาไม่เป็น ‘เจ้านาย’ของนางเสียหน่อย ‘ขนาดนี้แล้วไม่เรียกเที่ยวเล่นจะให้เรียกว่าอะไร’ เป็นอีกครั้งที่ซุนเจ้าเฟิงต้องกลั้นหัวเราะ เขารู้ว่าสหายหน้าบางเรื่องสตรี ตั้งแต่มีเรื่องหลัวซู่เหมยกลายเป็นพี่สะใภ้ เขาก็ไม่เคยเห็นหานหรงเหยายิ้มกับใครอีก โดยเฉพาะกับสตรี แต่พอมีหลิวเข่อซิงเข้ามาในชีวิต หานหรงเหยาก็ทำราวกับเก็บสัตว์เลี้ยงเล็กๆ มาดูแล ช่างเถอะ นางจะเป็นอ
ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก เพียงแค่...น่าเบื่อหน่ายเท่านั้น “เขาคิดอะไรอยู่” หลิวชิงเซียงพึมพำกับตนเองแล้วยึดกายขึ้นยืนบนกิ่งไม้ หานหรงเหยามิใช่นักพรตและมิใช่นักปราบมาร เขาเป็นเพียงบัณฑิตอมโรคที่รอวันตายเพราะหัวใจอ่อนแอ ทว่ากลับเอ็นดูปีศาจอย่างเข่อซิง ยอมให้กินพลังชีวิตของตนเอง แต่แววตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความสุข คนแบบไหนกันที่ยอมบั่นทอนอายุตนเองให้ปีศาจตนหนึ่ง ‘รัก?’ ไม่มีทาง ปีศาจกับมนุษย์นี้นะจะรักกัน ไม่มีมนุษย์ตนใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และนางอยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนเปี่ยมเมตตานั้น ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ดวงตาคมหรี่ตามองที่หนึ่งคนและหนึ่งปีศาจจิ้งจอกแดงที่อยู่ร่วมกันในเรือนหลังนั้น มุมปากยกยิ้มหยามเหยียดแล้วพลิ้วกายในความมืดมุ่งหมายกลับไปที่หอชมบุหลัน ทว่าเมื่อผ่านมาถึงลานกว้าง ดวงตางามมองเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่กำลังร่ายรำเพลงทวน ปลายทวนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์ การเคลื่อนไหวสอดประสานกับลำทวน ทุกท่วงท่าทรงพลัง หลิวชิงเซียงสูดลมหายใจได้กลิ่นอายบุรุษเพศผสนกับกลิ่นความทะเยอทะยานและกระหายเลือด นางเผลอเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
ซุนเจ้าเฟิงมองหญิงสาวก้าวเดินจากไป เขายกมือขึ้นกอดอก นางมาจากทางใดกัน เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามองเขาอยู่นางเพียงใด นางไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์ แต่ท่าทีสงบนิ่งนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน ไอสังหารในตัวเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นางกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัว และยังคงมีสติต่อปากต่อคำกับเขาได้อีก ปกติเขาไม่ชอบสตรีพูดมากน่ารำคาญ แต่น้ำเสียงนางราบรื่นดุจสายน้ำและพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาให้องครักษ์เงาสืบเรื่องของนาง แต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่ความเป็นปกตินั้นมากเกินไป เหมือนซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หวังว่าสาวใช้ที่อยู่ข้างกายสหายเขาจะไม่ใช่คนที่นางส่งหลอกลวงหานหรงเหยา เขามีสหายรักเพียงคนเดียว เกรงว่าจะถูกความไร้เดียงสานั้นทำให้ปวดใจอีกครา หญิงงามในชุดกระโปรงสีแดงสดใส วิ่งไปมาในจวนแม่ทัพจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในจวน แม้กระทั่งในค่ายทหาร นางก็ติดตามหานหรงเหยาไปด้วย โดยที่แม่ทัพใหญ่เห็นดีเห็นงามให้เหตุผลเรื่องสุขภาพของที่ปรึกษาหานต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่กุมขมับไม่คิดว่าสหายจริงจังถึงเพียงนี้
“แต่หุบเขาจื่อเซ่ออันตรายมาก มนุษย์เข้าไปไม่ได้” “ข้ารู้ ข้าไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่ต้องใช้เส้นทางลัดเลาะรอบนอก แต่เราจำเป็นต้องรู้ภูมิประเทศ อีกอย่าง ข้าได้อ่านบันทึกของเมืองนี้ เคยเกิดดินถล่มปิดเส้นทาง ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ทั้งเสบียงอาหารยารักษาโรค กว่าจะใช้เส้นทางได้ก็นานนับเดือน” “ข้าจำได้ ข้าเคยเห็น” “นั้นมั้นตั้งยี่สิบปีมาแล้ว” “ก็ข้าอายุหนึ่งร้อยสิบหกปีแล้ว ก็ต้องเคยเห็นสิ” นางแยกเขี้ยวใส่ “ข้าอายุมากกว่านายท่านนะ อย่าลืมสิ” คราวนี้เขาหลุดหัวเราะมาอีกครั้ง “เป็นข้าที่ผิดเอง” นางผงกศีรษะรับคำขอโทษ แล้วจิบน้ำชา รสชาติดีชุ่มคอเหลือเกิน “ความจริงเส้นทางในหุบเขาไม่ใช่ความลับอะไร ท่านแม่บอกว่าห้ามคนนอกรู้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เส้นทางเหล่านี้ได้” หานหรงเหยาพยักหน้ารับเข้าใจคำพูดของนาง ที่นั้นเสมือนบ้านของนางหากให้ผู้อื่นรู้เส้นทางเข้าออกบ้านย่อมไม่ปลอดภัย “จริงสิ” หลิวเข่อซิงร้องขึ้นอย่างนึกได้ “ท่านก็เป็นคนในครอบครัวข้าสิ ข้าจะได้บอกเส้นทางให้ท่านรู
“นายท่าน! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าเห็นจิ้ง...จอก...” จูอี้ซินวิ่งตามจิ้กจอกแดง เห็นชัดเต็มสองตาว่ามันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง นางจึงรีบเปิดประตูเข้ามาทันทีโดยไม่ได้รายงานก่อน ทว่าสิ่งที่เห็นคือร่างเปลือยเปล่าของหานหรงเหยาและหลิวเข่อซิงอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกัน และที่สำคัญ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอยู่ “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของจูอี้ซินทำให้หลิวเข่อซิงได้สติ หานหรงเหยายอมถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย หญิงสาวดิ้นขลุกขลักเพื่อออกจากอ่างน้ำแต่เขาโอบกอดนางมาแนบชิดและยกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะนางให้ซบลงซอกคอของเขา พลางส่งเสียงกระซิบ “อย่าเพิ่งขยับ เจ้าไม่ได้สวมเสื้อผ้า” เข่อซิงได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ จะว่าไปนางเปลือยกายต่อหน้าของเขาหลายครั้ง เมื่อนางกลายร่างจากจิ้งจอกแดงมาเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มีผู้อื่นอยู่ด้วย นางจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาสั่ง “เกิดเรื่องใดขึ้น” ซุนเจ้าเฟิงที่ฝึกเพลงกระบี่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงหวีดร้องจึงรีบทะยานเข้ามาดู เห็นจูอี้ซินยกมือขึ้นปิดหน้า เขามองเลยไปด้านหล
“เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าตายไวๆ หรอกหรือ?” “ก็...ถ้าท่านอยู่ ข้าก็ได้อาศัยท่านได้อย่างไรเล่า ท่านเป็นมนุษย์ต้องรับใช้ปีศาจอย่างข้า” เขามองปลายนิ้วน้อยๆ นางต้องการสัมผัสหัวใจของเขาสินะ... ช่างเป็นปีศาจที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน หัวใจของเขาเต้นแรงก็เพราะนางมิใช่ยานั้น แต่สิ่งที่แข็งขันนี้ต่างหากที่กำลังเป็นปัญหา เสียงสูดลมหายใจลึกของเขา ทำให้หญิงสาวเอียงคออย่างงุนงง นางพูดอะไรผิดไปหรือไร “ข้าลืมตาได้หรือยัง” “ยัง” “อา...” นางครางทำหน้ายู่แต่ยังปิดเปลือกตาอย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากสีแดงชาดทำให้เขาจ้องมองอยู่นานและต้องตัดใจ“ยาของเจ้าดียิ่ง ข้าต้องเดินลมปราณ เจ้าห้ามมารบกวนระหว่างที่ข้าโคจรลมปราณ เข้าใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจ” นางพยักหน้ารับ “แต่นานแค่เพียงใดเล่า” ชายหนุ่มก้มมองแท่งหยกของตนแล้วสูดลมหายใจลึก “สักหนึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” “นานเพียงนั้นเชียว” “เจ้าเป็นสาวใช้จะไม่เชื่อฟังข้ารึ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “ได้...ข้าเชื่อฟังท่าน” “ดี ห้ามเข