"พี่หานตง พี่หานตง ท่านผู้นำบอกให้ท่านกับพี่สะใภ้รีบไปที่ห้องแจ้งข่าวขอรับ ตอนนี้ท่านแม่ของท่านไปฟ้องร้องท่านข้อหา อกตัญญูต่อบิดามารดาขอรับ"
หานตงหน้าซีดเผือด ไม่เคยมีบิดามารดาคนไหน ฟ้องร้องบุตรด้วยข้อหานี้มาก่อน เนื่องจากหากสืบสวนแล้วพบว่าบุตรผิดจริง บุตรคนนั้นจะต้องได้รับโทษตามกฎของหมู่บ้านและของทางการอีกด้วย ตามกฎของหมู่บ้าน บุตรที่ได้รับโทษจะถูกโทษโบยห้าสิบไม้ หลังจากนั้นก็จะถูกนำชื่อออกจากตระกูลทั้งครอบครัว และขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ส่วนผู้ใหญ่บ้านก็จะนำตัวไปส่งที่ศาลอาญากลางเมือง พร้อมข้อมูลความผิด คนผู้นั้นจะถูกตัดสินจองจำหนึ่งปี โทษโบยอีกห้าสิบไม้ ส่วนทรัพย์สินที่เป็นที่ดิน หรือกิจการที่เป็นชื่อตระกูล จะถูกโอนย้ายเข้าเป็นกองกลางของบ้านนั้นๆ จะมีเพียงเงินทอง ของมีค่า หรือสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า เป็นสิทธิ์ของตระกูล ที่คู่สามีหรือภรรยา สามารถนำติดตัวออกไปจากหมู่บ้านได้เท่านั้น หานตงแขนขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงกับพื้นตาแดงก่ำ จนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขารู้ว่ามารดาไม่ค่อยจะรักเขานัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่า มารดาจะกล้าทำถึงเพียงนี้ เว่ยเหนียนเหยาก่นด่าแม่สามีภายในใจ ผู้หญิงคนนั้นยังเป็นแม่ เป็นย่าคนอยู่หรือเปล่า เพียงแค่อยากได้ทรัพย์สินของบุตรชาย ถึงขนาดกล้าทำถึงเพียงนี้ "ขอบคุณเจ้ามาก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกข้าจะตามไป" เด็กชายรับคำก่อนจะวิ่งกลับออกไปทางเดิม เว่ยเหนียนเหยา ตรงเข้าไปกอดร่างสูงที่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไร้เสียงสะอื้น โชคดีเหลือเกินที่วันนี้บุตรชายทั้งสองตามไปช่วยเซียนย้งเก็บดอกบัวที่บึง มิเช่นนั้นแล้วคงจะตกใจกับท่าทางของบิดามิใช่น้อย "เหตุใดท่านแม่ถึงต้องทำขนาดนี้ ท่านไม่นึกถึงพี่ นึกถึงหลานชายบ้างเลยหรือ" นางอยากจะบอกกับสามีซะเหลือเกินว่า หากนางนึกถึงท่าน นึกถึงบุตรชายของท่าน คงไม่ปล่อยให้ท่านกับบุตรชายลำบากจนเกือบจะอดตายหรอก ตอนแรกนางต้องการแค่ให้สามี รู้เห็นความเห็นแก่ตัวของคนในบ้านนั้น จะได้ระวังตัวไว้บ้าง ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนพวกนั้นอีก แต่ไม่คิดว่ามารดาของอีกฝ่ายจะลงมือโหดเหี้ยมแบบนี้ ตามโทษที่นางรู้มา โทษของบุตรที่ อกตัญญู รุนแรงมาก แค่โทษโบยห้าสิบไม้ของหมู่บ้านต่อให้เป็นผู้ชายตัวใหญ่ก็เกือบปางตายแล้ว แถมยังต้องไปรับโทษโบยที่ศาลอาญาอีก นี่มันวางแผนฆ่าชิงทรัพย์ชัดๆ นางสงสารสามี แต่จำต้องให้เขาเผชิญความจริงแม้มันจะโหดร้ายต่อความรู้สึกของเขาก็ตาม "ท่านพี่ ท่านยังมีข้า มีลูกของเรานะเจ้าคะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่ว่าทุกข์หรือสุขข้ากับลูกจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ" หานตงสูดหายใจเข้าช้าๆ ยกมือปาดน้ำตา พร้อมทั้งประคองภรรยาตัวน้อยลุกขึ้นอย่างตัดสินใจ "เจ้าไปหยิบบันทึกแผ่นนั้นไปด้วย ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ทำให้ทุกอย่างชัดเจนเถอะ" "แม่อาตง เจ้าจะฟ้องร้องบุตรชายของเจ้าจริงๆ หรือ" ท่านผู้นำตระกูล กำลังพยายามเกลี้ยกล่อมและห้ามปรามนางเว่ยหมัวหลาน ให้เลิกฟ้องร้องเอาผิดลูกชาย "นั่นนะสิ แม่อาตง ในบรรดาคนหนุ่มในหมู่บ้าน ข้าว่าอาตงก็กตัญญูไม่น้อยกว่าผู้ใดนะ" ผู้ใหญ่บ้านช่วยพูดขึ้นมาอีกประโยค ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่แล้วต่างพูดสนับสนุนคำพูดของผู้ใหญ่บ้าน นางเว่ยหมัวหลาน ยกมือขึ้นแสร้งปาดดวงตา พลางพูดด้วยน้ำเสียงอันปวดร้าว "พวกท่านไม่รู้อะไรเจ้าค่ะ เมื่อก่อนนี้เพราะภรรยาของอาตง ไม่มีความเคารพพวกข้าผู้เป็นผู้อาวุโส ซ้ำยังหาเรื่องให้อาตงทะเลาะกับพี่น้องแทบทุกวัน ข้าเห็นแล้วปวดใจ จึงต้องตัดใจให้อาตงแยกบ้านออกไป แต่ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ ข้าก็คอยไถ่ถามห่วงใยเขาอยู่ไม่ขาด จนเดือนสองเดือนมานี่ ข้าเห็นว่าภรรยาของอาตง นางรู้ความขึ้น คอยดูแลเอาใจใส่บุตรชายและหลานข้าเป็นอย่างดี ข้าจึงได้เรียกพวกเขาให้กลับเข้ามาอยู่ที่บ้านใหญ่ ห้องหับก็จัดหาไว้ให้เรียบร้อย ไม่คิดเลยว่า บุตรชายของข้ากลับเห็นผิดเป็นชอบ หลงภรรยาจนลืมแม้กระทั่งบุญคุณของพ่อแม่ ตอนนี้สามีของข้าก็เสียใจ จนล้มป่วย ไม่อาจมาด้วยในวันนี้ได้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เสียใจ แต่ข้าต้องตัดใจ ฟ้องร้อง เพื่อไม่ให้บุตรของครอบครัวอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างเจ้าค่ะ" นางเว่ยหมัวหลาน กลับดำเป็นขาว กลับถูกเป็นผิดได้อย่างคล่องปาก ลูกสะใภ้และลูกชายทั้งสอง ต่างรุมกันปลอบโยน ประหนึ่งว่านางโดนทารุณจิตใจอย่างรุนแรง ชาวบ้านที่ไม่ทราบตื้นลึกหนาบางก็ต่างก่นด่าหานตงและภรรยา พร้อมทั้งสนับสนุนให้ฟ้องร้อง เพื่อไม่ให้บุตรคนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนชาวบ้านที่เห็นหานตงมาตั้งแต่เล็ก และรู้เรื่องความลำเอียงของนางเว่ยหมัวหลาน ก็ต่างไม่เชื่อในคำกล่าวของนาง อีกทั้งยังเหยียดหยามความหน้าหนาของนางเสียด้วยซ้ำ "เอาเถอะ นั่นอาตงกับภรรยา มานั่นแล้ว เดี๋ยวเจ้าลองพูดคุยเจรจากันอีกครั้งเถิด" ท่านผู้นำพูดออกมา พลางทำหน้ากังวลแทนหานตง เขารู้จักนิสัยสะใภ้ของตระกูลนี้ดีกว่าใคร นางเว่ยหมัวหลานเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและทะเยอทะยาน เนื่องจากครอบครัวของนางสืบเชื้อสายมาจากบุตรชายคนที่สามที่ไม่ค่อยจะเอาไหน ดังนั้นครอบครัวนี้จึงมีความเป็นอยู่แตกต่างจากครอบครัวสายอื่นๆ อยู่มาก ที่นางสามารถปลูกบ้านจนเท่าเทียมคนอื่นได้ ก็เพราะเงินทองที่หานตงเสี่ยงชีวิตเข้าป่าไปแต่ละครั้ง ตอนที่นางขอ ทำบันทึกแยกครอบครัวของหานตง ตัวเขายังแย้งอยู่หลายคำ เพราะเห็นว่าข้อความที่จดลงบันทึกรุนแรงก่อนไป แต่นางกลับบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวนาง ขอไม่ให้เขายุ่งเกี่ยว หลายวันก่อน นางหอบสามีของนาง มาขอถอนบันทึกการแยกครอบครัวของหานตง เขาก็รู้แล้วว่า ต่อไปน่าจะเกิดปัญหาขึ้น ยังให้คนไปบอกหานตงให้รับรู้ไว้ แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า มารดาคนหนึ่งจะกล้าทำร้ายบุตรชายได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้การแยกครอบครัวถือว่ายกเลิกไปแล้ว บุตรชายถึงแม้จะมีครอบครัวแล้ว แต่ยังไม่แยกบ้าน ตามกฎของตระกูล ต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดา มิเช่นนั้นจะถือว่า อกตัญญู ถึงแม้ว่าตัวเขาจะรู้ว่าอะไร เป็นอะไร แต่ก็ยังต้องยึดถือกฎที่บรรพชนตั้งไว้อยู่ดี "ท่านแม่เหตุใดท่านต้องทำถึงเพียงนี้ขอรับ" หานตงกล่าวกับมารดาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด "นั่นก็เป็นเพราะเจ้าดื้อรั้น ไม่ฟังคำพูดของข้าผู้เป็นมารดา เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาเจ้าเจ็บปวดใจจนล้มป่วยไปแล้ว" "เอาเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่สามี ถ้าอย่างนั้นพวกข้าจะยอมกลับเข้าไปอยู่ที่บ้านใหญ่ เพียงแต่กิจการการค้าที่ข้าสร้างขึ้น นั้นเป็นของข้า ไม่ใช่ของสามี ดังนั้นข้าจะไม่นำเข้าไปเป็นกิจการของตระกูลนะเจ้าคะ” "ไม่ได้ เจ้ากับอาตงแต่งงานกันแล้ว จะมาแยกอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพียงกิจการค้า แม้แต่เงินทองที่หามาได้ก็ต้องนำมาส่งเข้ากองกลางของบ้านด้วย" นางเว่ยหมัวหลานพูดออกมาอย่างเป็นต่อ ไม่ว่าครอบครัวของหานตงจะเลือกทางไหน สรุปแล้วกิจการก็ต้องตกมาเป็นของครอบครัวนางอยู่ดี ชาวบ้านหลายคน หลังจากได้ฟังคำพูดโต้ตอบระหว่างสองครอบครัวก็เริ่มเข้าใจเหตุการณ์มากขึ้น นี่มันฟ้องร้องเรื่องลูกอกตัญญูซะที่ไหน แต่เป็นมารดาคนหนึ่งที่หน้าไม่อายอยากได้กิจการของครอบครัวบุตรชายต่างหาก นางเว่ยหมัวหลานไม่สนเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนั้น ขอเพียงนางได้กิจการและทรัพย์สินพวกนั้นมา ชาวบ้านพวกนี้ก็ไม่มีค่าให้นางต้องใส่ใจอีกต่อไป "แล้วถ้าข้าไม่ตกลงละเจ้าคะ" "น้องสะใภ้เจ้าคิดดูดีๆ เถอะนะ ขอเพียงเจ้ายอมทำตามคำพูดท่านแม่ เรื่องทุกอย่างก็จบลง เจ้าคงไม่เห็นทรัพย์สินพวกนั้น มีค่ามากกว่าชีวิตสามีของเจ้าใช่หรือไม่" เว่ยหานเวิ่น กล่าวออกมาเหมือนหวังดี "แล้วถ้าข้าขอถามกลับบ้าง ว่าท่านแม่เห็นแก่ทรัพย์สินพวกนี้ มากกว่าชีวิตของบุตรชายหรือเจ้าคะ จึงได้ทำเช่นนี้" นางเว่ยหมัวหลานถลึงตามองบุตรชายที่ทำให้นางเสียเรื่อง "ข้าเพียงแต่ต้องการปกป้องบุตรชาย และหลานชายทั้งสองของข้า ใครๆ ก็รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเป็นเช่นไร ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะกลับใจ แต่ใครจะรับรองได้ว่า เจ้าจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมอีก" "แต่ถึงยังไงพวกข้าก็แยกครอบครัวออกมาอยู่อย่างอิสระกันนานแล้ว" "ถ้าอย่างนั้นข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าอยู่ที่บ้านเดิมได้ แต่กิจการและเงินทองที่หามาได้ ต้องส่งเข้ากองกลางของบ้านให้ข้าเป็นคนดูแล" เว่ยเหนียนเหยา แอบยิ้มในใจ ดี ดี พูดออกมาให้หมด ผู้คนจะได้รู้ว่า พวกท่านเป็นคนยังไง "แต่พวกเรามีบันทึกแยกครอบครัวออกมาแล้วนะขอรับท่านแม่ เป็นท่านเองที่ตอนนั้นเป็นคนจัดการเรื่องนี้" นางเว่ยหมัวหลานนิ่งอึ้งไป เพราะไม่คิดว่าหานตงจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมา ส่วนหานตงเอง เขาสิ้นหวังกับความรักความผูกพันของมารดาเสียแล้ว เขามองดูภรรยาที่ต่อสู้เพื่อปกป้องครอบครัวอย่างกล้าหาญ หากคำว่ากตัญญูจะต้องแลกมากับการทำร้ายครอบครัวของเขา ตอนนี้เขาคงได้แต่ยอมรับคำว่า อกตัญญูเสียแล้ว ในวันนี้เขาจะขอเคียงคู่กับภรรยาเพื่อต่อสู้ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวของเขาอีก "แต่ตอนนี้บันทึกนั่นข้ายกเลิกไปหมดแล้ว บันทึกแผ่นนั้นเป็นแค่บันทึกภายในตระกูล หาใช่ข้อกฎหมายเสียหน่อย ตอนนั้นข้ากำลังโกรธ จึงได้พลั้งเผลอทำเช่นนั้นไป" "โอ้ความโกรธของท่านแม่ช่างแปลกดีแท้ ข้าจำได้ว่า เมื่อเดือนก่อนสามีของข้าใช้เงินรักษาอาการป่วยของข้าจนหมด ที่บ้านของข้าไร้แม้กระทั่งอาหารจะประทังชีวิต สามีของข้าแบกหน้าไปหาพวกท่านที่บ้าน หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือหยิบยื่นน้ำใจกลับมาบ้าง แต่กลับได้รับการปฏิเสธซ้ำยังบอกว่า สามีของข้าแยกครอบครัวออกมาแล้ว ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับพวกท่าน เหตุใดเวลานี้ความโกรธที่มียาวนานมาหลายปี ถึงมอดไหม้ไปแค่เวลาเพียงเดือนเดียว เล่าเจ้าคะ" ไหน ไหนก็จะแตกหักกันแล้ว นางจะลากไส้เหม็นเน่าของครอบครัวฝั่งแม่สามีออกมาตีให้เหม็นคุ้งไปทั่วเลย "นั่น! นั่น! เป็นเพราะพวกเราไม่มีอาหารแล้วต่างหาก เจ้าลองดูสิพวกเรากี่ปากกี่ท้อง ข้าเป็นผู้ใหญ่ในบ้านจะรักลูกลำเอียงได้อย่างไร" "แต่ข้ารู้มาว่า หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น น้องสาวคนดีของข้า พร้อมทั้งสามีของนาง ก็หอบ ข้าวสาร เนื้อ ไข่ กลับไปเยี่ยมมารดาของนางที่บ้านเดิม อย่างเอิกเลิกทีเดียว" นี่เป็นประเพณีที่สืบทอดมานานว่า หากสะใภ้คนใดที่บ้านสามีและสามีให้ความรักเอ็นดู เมื่อถึงตอนที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม จะได้รับข้าวของอย่างดี นำไปให้ฝ่ายบ้านเดิม เพื่อให้มีหน้ามีตา และเป็นที่ยอมรับ "พี่สาว เหตุใดท่านต้องหาเรื่องข้า นั่นเป็นของที่ข้าและสามีจัดเตรียมไว้ด้วยตัวเองต่างหาก" "หึ น้องสาว ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ยิ่งทำผิดไปใหญ่ เจ้าแต่งเข้าตระกูลเว่ยแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าคนในตระกูล กำลัง อดอยาก ยังกล้าเบียดบังสิ่งของกลับไปให้บ้านเดิม ถือว่า อกตัญญู อย่างร้ายแรง" ชาวบ้านที่มามุงดู ต่างก็เห็นว่าภรรยาของหานตงผู้นี้ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก พูดซ้ายทีขวาที จนคนที่บ้านแม่สามีรับมือไม่ถูก "หยุด! หยุด เรื่องอื่นๆ ล้วนผ่านไปแล้ว ไม่ต้องนำมาพูดให้มากความ วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพียงอยากรู้ว่าพวกเจ้าจะยอมกลับเข้าบ้านใหญ่หรือไม่" "หากข้าไม่ยอมละขอรับ" "เช่นนั้นเจ้าต้องได้รับโทษนะเจ้ารอง" "ใช่ขอรับ พี่รองท่านตรองดูใหม่เถิด" เสียงพี่น้องตระกูลเว่ย แย่งกันพูดเกลี้ยกล่อมหานตง ประดุจพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว นางเว่ยหมัวหลาน ยกยิ้มเล็กน้อย สายตาเจ้าเล่ห์มองคนสองคนด้านหน้า ประดุจงูที่จ้องมองเหยื่อ "เรียนถามท่านผู้นำ ตามกฎแล้ว บันทึกแจ้งการแยกครอบครัว จะยกเลิกได้ต้องเป็นบันทึกที่ทำขึ้นในตระกูลเท่านั้น หากแต่ถ้ามีการนำไปจดบันทึกที่ศาลากลางเมืองแล้ว จะทำการยกเลิกไม่ได้ ใช่ไหมขอรับ" "ตามกฎหมายย่อมเป็นเช่นนั้น" "ถ้าอย่างนั้นข้ารบกวนท่านผู้ใหญ่บ้าน และ ท่านผู้นำ ช่วยตรวจสอบบันทึกแผ่นนี้ด้วยขอรับ" หานตงนำบันทึกแผ่นที่อยู่กับตัวเอง ออกมาให้ บุคคลทั้งสองช่วยตรวจสอบ หลังจากท่านผู้นำตรวจสอบบันทึกแล้ว ในใจก็รู้สึกโล่งอก อย่างน้อยสวรรค์ก็ยังคุ้มครองคนดี "เอาละแม่อาตง เอกสารการแยกบ้านที่เจ้าร้องขอในตอนนั้น ทางอาตงได้นำไปยื่นให้ศาลากลางเมืองบันทึกไว้แล้ว ถือว่าตอนนี้ทั้งสองครอบครัวแยกจากกันโดยเด็ดขาดตามกฎหมาย" "หมาย! หมายความว่ายังไงท่านผู้นำ แล้วบันทึกแผ่นนี้ไปอยู่กับอาตงได้ยังไง" "แม่อาตง บันทึกทำขึ้นมาสามแผ่น แผ่นหนึ่งเก็บอยู่ที่หอบันทึกตระกูล อีกสองแผ่นให้คู่กรณีทั้งสอง ดังนั้น บันทึกแผ่นนี้อยู่ที่อาตงก็ถูกต้องแล้ว" นางเว่ยหมัวหลานหน้าตาดำคล้ำ กัดฟันกรอด อย่างโมโห "เจ้าคนอกตัญญูเจ้ากล้าเอาบันทึกแยกบ้านไปถึงศาลากลางเมืองเชียวหรือ ช่างเนรคุณยิ่งนัก" "ท่านแม่สามี ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก ในบันทึกนี้ ท่านแจ้งไว้ว่า ต่อจากนี้เป็นต้นไป ทั้งสองครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยากจนหรือมั่งมี อีกฝ่ายจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ ท่านจำได้หรือไม่เจ้าคะ" คราวนี้ผู้คนต่างตะโกนก่นด่าครอบครัวนางเว่ยหมัวหลานอย่างรุนแรง ตัดขาดบุตรชายถึงขนาดนี้ พอเห็นเขาได้ดี กลับจะมาบังคับให้กลับเข้าบ้าน ช่างหน้าหนาเสียจริง"หลังจากที่กลับมาจากบ้านท่านในวันนั้น สามีของข้าเห็นว่าครอบครัวกำลังจะอดตาย เกรงว่าผู้คนจะก่นด่า ท่านแม่สามีว่า เป็นหญิงชั่วช้า ใจดำอำมหิต จึงกระเสือกกระสนนำกระดาษแผ่นนี้ไปที่ศาลากลาง เพื่อตัดขาดครอบครัวออกจากบ้านใหญ่ ไม่ให้ผู้คนก่นด่าท่านได้"เชอะ! เรื่องกลับขาวเป็นดำ เอาความดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น นางก็ทำเป็นนางเว่ยหลัวหลานถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนกลาง มือไม้สั่นระริก เมื่อถูกหลอกด่าเว่ยหานหมิงเห็นว่าตอนนี้ครอบครัวของตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แผนการที่เขากับมารดาวางไว้ถือว่าไร้ที่ติ คาดไม่ถึงว่าเป็นเพราะเขาประมาทพี่รองจนเกินไป ทำให้อีกฝ่ายพลิกกลับมาชนะได้หานหมิงพิจารณาทุกอย่าง อย่างรอบคอบอีกครั้ง ไม่เพียงแต่พี่ชายของเขาที่เปลี่ยนไป แต่คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ พี่สะใภ้หรือ คนรักเก่าของเขานั่นเองหานหมิงนึกทบทวนถึงสายตาของนางที่มองมายังเขา ความรัก ความห่วงหา อาลัยอาวรณ์ ที่เคยมี บัดนี้กับถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา และเหินห่างหากเขารู้ว่า นางมากความสามารถเช่นนี้ เขาคงจะเกลี้ยกล่อมมารดาให้ได้แต่งงานกับนาง แทนที่จะปล่อยให้พี่รองแย่งวาสนาเขาไปเช่นนี้ในเมื่อตอนนี้ การใช้ไม้แข็งไปก็รังแต่จะแตกหั
เช้าวันนี้เว่ยเหนียนเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อรู้สึกว่าคนที่นอนอีกด้านขยับกาย"เหตุใดถึงรีบตื่นละเจ้าคะท่านพี่ ฟ้ายังไม่ทันแจ้งเลย เมื่อวานท่านก็ทำงานมาทั้งวัน วันนี้ตื่นสายเสียหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ""ตอนแรกพี่ว่าจะลงไปอาบน้ำที่ลำธารเสียหน่อย แต่ตอนนี้ไหนๆเจ้าก็ตื่นแล้ว พี่ว่า พี่พาเจ้าลงไปอาบน้ำด้วยดีกว่า เมื่อคืนเจ้าก็ผิดสัญญากับพี่แล้ว ตอนนี้ถือว่าให้รางวัลปลอบใจพี่นิดๆหน่อยก็แล้วกัน""เรื่องเมื่อคืนหาใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย เอาเถอะไปก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าไปอาบเป้ปเดียวนะเจ้าคะ เช้าๆแบบนี้ข้าว่า อากาศเย็นอยู่ไม่น้อย"หานตงจัดเตรียมสบู่ ก่อนจะจุดตะเกียงเดินนำภรรยาลงไปจากบ้านทางเดินไปลำธารถูกปรับให้เรียบ มีไม้ปักแขวนตะเกียงอยู่เป็นระยะ หานตงนำตะเกียงแขวนไว้ตรงไม้ที่ปักอยู่ริมน้ำบริเวณนี้หญิงสาวให้ช่างปรับไว้เป็นที่อาบน้ำบริเวณริมธาร สำหรับเด็กๆที่มักจะชอบมาว่ายน้ำเล่นหานตงถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่กางเกงข้างในติดกาย ก่อนจะช่วยภรรยา ถอดชุดด้านนอกออกบ้างชายหนุ่มตระกองกอดร่างงามให้เดินลงไปในน้ำลึกประมาณระดับอก"น้ำเย็นเหมือนกับที่เจ้าบอกจริงๆ มาเถอะพี่จะช่วยขัดถูตัวให้ เลือดลมจะได้เดินดี คล
รถม้าวิ่งผ่านกำแพงเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ร่างของนางลี่สือหลินที่เดินกระวนกระวายอยู่ พุ่งเข้ามาหาหานตงทันที"เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อาตง"เสียงโวยวาย ทำให้หญิงสาวในรถม้า เปิดผ้าออกมาทันที"เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะท่านแม่ลี่ เหตุใดท่านถึงดูร้อนใจถึงเพียงนี้"สีหน้าท่าทางของนางลี่สือหลินไม่ดีเลย ทำให้นางรู้สึกตกใจไปด้วย"ที่บ้านอาหงเกิดเรื่อง วันนี้ลุงฟงเห็นว่าหลังคาบ้านที่พักอยู่เกิดรอยรั่ว เลยปีนขึ้นไปซ่อม ไม่รู้ว่าพลาดพลั้งยังไง ตกลงมา อาหงวิ่งมาตามอาเส้าที่นี่ เห็นว่าหมอจางรักษาไม่ได้ ต้องส่งเข้าไปรักษาที่ตัวเมือง ทางผู้ใหญ่ให้เกวียนของหมู่บ้านไปส่งสักพักแล้ว""แล้วเขาเอาไปรักษาที่ไหน ท่านแม่ลี่รู้รึไม่เจ้าคะ""ได้ยินมาว่า เป็นร้านยามู่ถาน""ท่านพี่ ท่านขับรถไหวหรือไหม ข้าอยากไปดูพวกเขาสักหน่อย""ข้าไหว งั้นเดี๋ยวข้ากับอาย้งจะรีบขนของลงจากรถม้าก่อน""ถ้าอย่างนั้นข้าขอขึ้นไปเตรียมของสักครู่"เว่ยเหนียนเหยาเดินขึ้นมาหยิบเงินติดไปมากหน่อย ตามที่ได้ยินอาการลุงฟงน่าจะหนักไม่น้อย จากรายได้ของคนทั้งสามที่ทำกับนางมา ถ้าจะใช้จ่ายอย่างประหยัด ก็น่าจะมีเงินเก็บอยู่บ้างแต่ร้านยาในตัวเมืองเห็นว่าค่ารักษาแพง
เพล้ง! เพล้ง! เสียงสิ่งของแตกหักดังออกมาจากในห้อง ทำให้ผู้เฒ่าเว่ยจื้อจงรีบเดินเข้ามาในห้อง"ยายเฒ่า เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงต้องขว้างปา ข้าวของเช่นนี้""ใช่ ข้ามันบ้าไปแล้ว ท่านพี่ ท่านดู บุตรชายสุดที่รักของท่านทำเข้า"ชายชรามองหน้าบุตรชายคนโต กับคนเล็กที่อยู่ในห้อง ก่อนถอนหายใจ"อาเวิ่น อาหมิง เจ้าเอาเรื่องอะไรมากวนใจแม่ของเจ้าอีก เหอะ""ท่านอย่ามาตวาดบุตรชายของข้านะ ท่านไปตวาดบุตรชายของท่านโน่น ตั้งแต่มีเงินก็ปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นหัวพ่อแม่ ที่กับครอบครัวคนอื่น กับสอดไม้สอดมือช่วยเหลือวุ่นวายไปหมด"ชายชราถอนใจ ที่แท้ก็เป็นเรื่องครอบครัวตระกูลจงนี่เอง"ยายเฒ่าเอ๊ย ตาเฒ่าฟงประสบเคราะห์ร้าย ภรรยาและบุตรของเขาก็ทำงานอยู่กับอาตง อาตงคงเห็นแก่คนพวกนั้นจึงได้ช่วยเหลือก็ได้ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย""ข้าคิดมากอะไร ตั้งแต่เรื่องค่าเช่าที่ดินแล้ว ที่พวกมันตั้งใจหลอกลวงข้า หากข้ารู้ว่า พวกมันเตรียมย้ายบ้าน ข้าจะไม่เรียกเงินแค่นั้นหรอก พูดแล้ว ก็เจ็บใจจริงๆ"นางเว่ยหมัวหลานแทบกระอักเลือดออกมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่กลับมาจากห้องแจ้งข่าว นางกับคนในบ้านก็อับอายจนไม่อยากออกไปไหนจ
"ท่านหมอเจ้าคะ ข้านำต้นโสมมาส่งเจ้าค่ะ"เว่ยเหนียนเหยายื่นกล่องโสม วางลงบนโต๊ะที่ท่านหมอนั่งอยู่"เจ้าไปเสียนาน ข้าคิดว่า เจ้าจะหามาไม่ได้เสียแล้ว"หมอชรานำกล่องโสมมาเปิดดู พอฝากล่องเปิดขึ้น ชายชราถึงกับมือไม้สั่นรีบประคับประคองกล่องโสมวางลงบนโต๊ะ"โสมต้นนี้สมบูรณ์มากนัก ข้าคิดว่ามันน่ามีอายุหลายสิบปีเลยทีเดียว ราคาของโสมต้นนี้น่าจะอยู่ที่เจ็ดร้อยถึงแปดร้อยตำลึงทอง ข้าคิดว่าเจ้าจะหาซื้อโสมต้นเล็กๆ มาเสียอีก""เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้น แต่สหายของข้าบอกว่ามีคนให้โสมต้นนี้กับเขามา แต่เขาไม่ได้ใช้ เลยให้ข้ามาอีกทีเจ้าค่ะ"" สหายดี! สหายดี! เจ้ามีสหายที่ดีเช่นนี้ ถือว่ามีบุญยิ่งนัก อะ เอาคืนไป ข้าใช้แค่รากโสมพวกนี้ก็พอแล้ว"หมอชราใช้กรรไกรตัดส่วนของรากที่ตนต้องการออกไว้ จากนั้นก็นำโสมใส่ลงไปในกล่อง และส่งให้เว่ยเหนียนเหยาคืน"มันจะพอหรือเจ้าคะ มิสู้ท่านเอาไว้ให้มากหน่อยดีกว่า"เว่ยเหนียนเหยาที่เห็นว่า ท่านหมอตัดแค่รากโสมไว้ก็เกรงว่าตัวยาจะไม่พอ คะยั้นคะยอให้ท่านหมอตัดเพิ่มไว้อีก"พอแล้ว พอแล้ว โสมนี้เจ้าก็เก็บไว้ให้ดี แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครละ เดี๋ยวจะเป็นภัยกับตัวเอง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มรักษาใน
"ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ได้โปรดตื่นเถิด อย่าทิ้งข้ากับท่านพ่อไปนะขอรับ ฮือ ฮือ""ท่านพ่อ ทำไมท่านแม่ถึงนอนแน่นิ่งแบบนี้ ท่านพ่อช่วยปลุกท่านแม่หน่อยขอรับ"เสียงใครกัน หนวกหูชะมัด ฉันขอนอนนานๆหน่อยได้ไหม เว่ยเหนียนเหยา คิดในใจอย่างรำคาญ เมื่อวานนี้กว่าเธอจะปิดบัญชีของภัตตาคารหรูระดับห้าดาวเสร็จ เธอต้องเคร่งเครียดจนลืมกินลืมนอนไปหลายคืน " เจ้าใหญ่ เจ้ารอง หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ เจ้าดูแม่เจ้าไว้ก่อน เดียวพ่อจะไปตามท่านหมอจางมาดูแม่เจ้า"เสียงอีกเสียงดังขึ้น ฟังดูก็รู้ว่า น่าจะเป็นชายหนุ่มอายุไม่เยอะเท่าไหร่ ว่าแต่ว่าพวกเขาพูดถึงใครกัน แล้วคนพวกนี้เข้ามาอยู่ในบ้านเธอได้ยังไง แย่แล้ว!!! หรือว่าจะเป็นโจร เว่ยเหนียนเหยาคิดอย่างตกใจ พยายามที่จะลืมตาขึ้น แต่กลับรู้สึกปวดหัว และเจ็บข้างหลังท้ายทอยเป็นอย่างมาก หญิงสาวค่อยๆยกมือ ลูบไปยังบริเวณที่เจ็บ พร้อมกับลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แสงสว่างสาดเข้ากับดวงตา ทำให้ตาของเธอพร่าไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆคุ้นชิน หญิงสาวกวาดสายตามองดูโดยรอบนี่เธออยู่ที่ไหน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือเธอถูกโจรจับมาเรียกค่าไถ่ สารพัดคำถามที่ไร้คำตอบดังขึ้นมาในหัว แต่ก่อนที
" ท่านพ่อเร็วเข้าเถอะขอรับ ท่านแม่อาการหนักแน่ๆ""ใช่ขอรับท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านแม่จำข้ากับพี่ใหญ่ไม่ได้ด้วยขอรับ"เสียงโวยวายของเด็กทั้งสองดังขึ้น พ่อของเด็กน่าจะพาหมอกลับมาแล้ว หญิงสาวแสร้งนอนนิ่ง เพื่อรอดูเหตุการณ์ "ท่านหมอ ท่านช่วยตรวจดูภรรยาข้าหน่อยเถอะขอรับ"น้ำเสียงทุ้มกล่าวอย่างนอบน้อม หมอชราถอนหายใจในความอยุติธรรมที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้รับ เขาบังเอิญรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น สองครอบครัวร่วมมือกันเล่นละคร เพื่อผลักดันชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ตนไม่ต้องการให้กระเด็นออกมา " หานตงเอ๋ย ข้าสงสารเจ้ายิ่งนัก เวรกรรมอะไรของเจ้าหนักหนา"ชายชราส่ายหน้า พลางนั่งลงตรงข้างร่างหญิงสาว หลังจากลงมือสำรวจบาดแผล และตรวจดูชีพจร เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงมอบยารักษาบาดแผลไว้ให้ หมอชราปฏิเสธที่จะรับเงินค่ารักษา ขอรับเพียงแต่เงินค่ายาเท่านั้นหลังจากที่หมอชราจากไป ชายหนุ่มจึงปลอบโยนลูกทั้งสอง ก่อนจะนำกะละมังและผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตัวของภรรยา เว่ยเหนียนเหยารู้สึกซาบซึ้งใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มปฏิบัติต่อเธอ ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้นมองสบเข้ากับดวงตาคู่คม เธอมองเห็นความกังวลปนเปกับความโล่งอก"เจ้ารู้สึกเ
สองสามีภรรยาเดินขึ้นเขาอย่างเร่งรีบ เมื่อเดินไปถึงแค่ตีนเขา กลับพบกอไผ่ขึ้นอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบกับความเขียวชอุ่ม นับว่าเป็นภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเว่ยเหนียนเหยารีบเดินเข้าไปสำรวจตรงกอไผ่ทันที หลังจากที่แหวกดูดวงตาก็เปล่งประกาย"ท่านพี่ ท่านมาช่วยข้าขุดหน่อไม้หน่อยเถิด เราจะได้นำกลับไปเป็นอาหารที่บ้าน""หน่อไม้พวกนี้มีรสฝาดไม่เหมาะจะนำไปเป็นอาหารหรอก"ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความไม่รู้ของผู้เป็นภรรยา หญิงสาวหาได้ถือสา ด้วยเข้าใจว่าผู้คนในอดีตย่อมไม่รู้ว่าควรนำหน่อไม้มาปรุงอาหารเช่นไรนางเพียงขุดขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้สามีดู พลางเน้นย้ำว่า ให้ขุดขึ้นมาให้เยอะหน่อยเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสามีไม่ปฏิเสธ หญิงสาวจึงค่อยๆ เดินสำรวจไปทางอื่นนางหยุดมองที่ต้นไม้กอใหญ่กอหนึ่ง หลังจากที่พิจารณาอยู่ชั่วครู่ ก็ตัดสินใจขุดลงไปในดินใต้ต้นไม้นั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในดินทำให้หญิงสาวยิ้มแก้วปริ อย่างน้อยๆ สิ่งนี้ก็ช่วยให้นางและครอบครัวรอดพ้นจากความหิวโหยไปได้พักใหญ่สองมือเรียวค่อยๆ นำสิ่งที่อยู่ในดินขึ้นมา มันฝรั่งหัวใหญ่ถูกดึงขึ้นมาใส่ลงไปในตะกร้าจนเต็มก่อนที่หญิงสาวจะเดินกลับไปหาสามี
"ท่านหมอเจ้าคะ ข้านำต้นโสมมาส่งเจ้าค่ะ"เว่ยเหนียนเหยายื่นกล่องโสม วางลงบนโต๊ะที่ท่านหมอนั่งอยู่"เจ้าไปเสียนาน ข้าคิดว่า เจ้าจะหามาไม่ได้เสียแล้ว"หมอชรานำกล่องโสมมาเปิดดู พอฝากล่องเปิดขึ้น ชายชราถึงกับมือไม้สั่นรีบประคับประคองกล่องโสมวางลงบนโต๊ะ"โสมต้นนี้สมบูรณ์มากนัก ข้าคิดว่ามันน่ามีอายุหลายสิบปีเลยทีเดียว ราคาของโสมต้นนี้น่าจะอยู่ที่เจ็ดร้อยถึงแปดร้อยตำลึงทอง ข้าคิดว่าเจ้าจะหาซื้อโสมต้นเล็กๆ มาเสียอีก""เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้น แต่สหายของข้าบอกว่ามีคนให้โสมต้นนี้กับเขามา แต่เขาไม่ได้ใช้ เลยให้ข้ามาอีกทีเจ้าค่ะ"" สหายดี! สหายดี! เจ้ามีสหายที่ดีเช่นนี้ ถือว่ามีบุญยิ่งนัก อะ เอาคืนไป ข้าใช้แค่รากโสมพวกนี้ก็พอแล้ว"หมอชราใช้กรรไกรตัดส่วนของรากที่ตนต้องการออกไว้ จากนั้นก็นำโสมใส่ลงไปในกล่อง และส่งให้เว่ยเหนียนเหยาคืน"มันจะพอหรือเจ้าคะ มิสู้ท่านเอาไว้ให้มากหน่อยดีกว่า"เว่ยเหนียนเหยาที่เห็นว่า ท่านหมอตัดแค่รากโสมไว้ก็เกรงว่าตัวยาจะไม่พอ คะยั้นคะยอให้ท่านหมอตัดเพิ่มไว้อีก"พอแล้ว พอแล้ว โสมนี้เจ้าก็เก็บไว้ให้ดี แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครละ เดี๋ยวจะเป็นภัยกับตัวเอง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มรักษาใน
เพล้ง! เพล้ง! เสียงสิ่งของแตกหักดังออกมาจากในห้อง ทำให้ผู้เฒ่าเว่ยจื้อจงรีบเดินเข้ามาในห้อง"ยายเฒ่า เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงต้องขว้างปา ข้าวของเช่นนี้""ใช่ ข้ามันบ้าไปแล้ว ท่านพี่ ท่านดู บุตรชายสุดที่รักของท่านทำเข้า"ชายชรามองหน้าบุตรชายคนโต กับคนเล็กที่อยู่ในห้อง ก่อนถอนหายใจ"อาเวิ่น อาหมิง เจ้าเอาเรื่องอะไรมากวนใจแม่ของเจ้าอีก เหอะ""ท่านอย่ามาตวาดบุตรชายของข้านะ ท่านไปตวาดบุตรชายของท่านโน่น ตั้งแต่มีเงินก็ปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นหัวพ่อแม่ ที่กับครอบครัวคนอื่น กับสอดไม้สอดมือช่วยเหลือวุ่นวายไปหมด"ชายชราถอนใจ ที่แท้ก็เป็นเรื่องครอบครัวตระกูลจงนี่เอง"ยายเฒ่าเอ๊ย ตาเฒ่าฟงประสบเคราะห์ร้าย ภรรยาและบุตรของเขาก็ทำงานอยู่กับอาตง อาตงคงเห็นแก่คนพวกนั้นจึงได้ช่วยเหลือก็ได้ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย""ข้าคิดมากอะไร ตั้งแต่เรื่องค่าเช่าที่ดินแล้ว ที่พวกมันตั้งใจหลอกลวงข้า หากข้ารู้ว่า พวกมันเตรียมย้ายบ้าน ข้าจะไม่เรียกเงินแค่นั้นหรอก พูดแล้ว ก็เจ็บใจจริงๆ"นางเว่ยหมัวหลานแทบกระอักเลือดออกมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่กลับมาจากห้องแจ้งข่าว นางกับคนในบ้านก็อับอายจนไม่อยากออกไปไหนจ
รถม้าวิ่งผ่านกำแพงเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ร่างของนางลี่สือหลินที่เดินกระวนกระวายอยู่ พุ่งเข้ามาหาหานตงทันที"เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อาตง"เสียงโวยวาย ทำให้หญิงสาวในรถม้า เปิดผ้าออกมาทันที"เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะท่านแม่ลี่ เหตุใดท่านถึงดูร้อนใจถึงเพียงนี้"สีหน้าท่าทางของนางลี่สือหลินไม่ดีเลย ทำให้นางรู้สึกตกใจไปด้วย"ที่บ้านอาหงเกิดเรื่อง วันนี้ลุงฟงเห็นว่าหลังคาบ้านที่พักอยู่เกิดรอยรั่ว เลยปีนขึ้นไปซ่อม ไม่รู้ว่าพลาดพลั้งยังไง ตกลงมา อาหงวิ่งมาตามอาเส้าที่นี่ เห็นว่าหมอจางรักษาไม่ได้ ต้องส่งเข้าไปรักษาที่ตัวเมือง ทางผู้ใหญ่ให้เกวียนของหมู่บ้านไปส่งสักพักแล้ว""แล้วเขาเอาไปรักษาที่ไหน ท่านแม่ลี่รู้รึไม่เจ้าคะ""ได้ยินมาว่า เป็นร้านยามู่ถาน""ท่านพี่ ท่านขับรถไหวหรือไหม ข้าอยากไปดูพวกเขาสักหน่อย""ข้าไหว งั้นเดี๋ยวข้ากับอาย้งจะรีบขนของลงจากรถม้าก่อน""ถ้าอย่างนั้นข้าขอขึ้นไปเตรียมของสักครู่"เว่ยเหนียนเหยาเดินขึ้นมาหยิบเงินติดไปมากหน่อย ตามที่ได้ยินอาการลุงฟงน่าจะหนักไม่น้อย จากรายได้ของคนทั้งสามที่ทำกับนางมา ถ้าจะใช้จ่ายอย่างประหยัด ก็น่าจะมีเงินเก็บอยู่บ้างแต่ร้านยาในตัวเมืองเห็นว่าค่ารักษาแพง
เช้าวันนี้เว่ยเหนียนเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อรู้สึกว่าคนที่นอนอีกด้านขยับกาย"เหตุใดถึงรีบตื่นละเจ้าคะท่านพี่ ฟ้ายังไม่ทันแจ้งเลย เมื่อวานท่านก็ทำงานมาทั้งวัน วันนี้ตื่นสายเสียหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ""ตอนแรกพี่ว่าจะลงไปอาบน้ำที่ลำธารเสียหน่อย แต่ตอนนี้ไหนๆเจ้าก็ตื่นแล้ว พี่ว่า พี่พาเจ้าลงไปอาบน้ำด้วยดีกว่า เมื่อคืนเจ้าก็ผิดสัญญากับพี่แล้ว ตอนนี้ถือว่าให้รางวัลปลอบใจพี่นิดๆหน่อยก็แล้วกัน""เรื่องเมื่อคืนหาใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย เอาเถอะไปก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าไปอาบเป้ปเดียวนะเจ้าคะ เช้าๆแบบนี้ข้าว่า อากาศเย็นอยู่ไม่น้อย"หานตงจัดเตรียมสบู่ ก่อนจะจุดตะเกียงเดินนำภรรยาลงไปจากบ้านทางเดินไปลำธารถูกปรับให้เรียบ มีไม้ปักแขวนตะเกียงอยู่เป็นระยะ หานตงนำตะเกียงแขวนไว้ตรงไม้ที่ปักอยู่ริมน้ำบริเวณนี้หญิงสาวให้ช่างปรับไว้เป็นที่อาบน้ำบริเวณริมธาร สำหรับเด็กๆที่มักจะชอบมาว่ายน้ำเล่นหานตงถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่กางเกงข้างในติดกาย ก่อนจะช่วยภรรยา ถอดชุดด้านนอกออกบ้างชายหนุ่มตระกองกอดร่างงามให้เดินลงไปในน้ำลึกประมาณระดับอก"น้ำเย็นเหมือนกับที่เจ้าบอกจริงๆ มาเถอะพี่จะช่วยขัดถูตัวให้ เลือดลมจะได้เดินดี คล
"หลังจากที่กลับมาจากบ้านท่านในวันนั้น สามีของข้าเห็นว่าครอบครัวกำลังจะอดตาย เกรงว่าผู้คนจะก่นด่า ท่านแม่สามีว่า เป็นหญิงชั่วช้า ใจดำอำมหิต จึงกระเสือกกระสนนำกระดาษแผ่นนี้ไปที่ศาลากลาง เพื่อตัดขาดครอบครัวออกจากบ้านใหญ่ ไม่ให้ผู้คนก่นด่าท่านได้"เชอะ! เรื่องกลับขาวเป็นดำ เอาความดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น นางก็ทำเป็นนางเว่ยหลัวหลานถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนกลาง มือไม้สั่นระริก เมื่อถูกหลอกด่าเว่ยหานหมิงเห็นว่าตอนนี้ครอบครัวของตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แผนการที่เขากับมารดาวางไว้ถือว่าไร้ที่ติ คาดไม่ถึงว่าเป็นเพราะเขาประมาทพี่รองจนเกินไป ทำให้อีกฝ่ายพลิกกลับมาชนะได้หานหมิงพิจารณาทุกอย่าง อย่างรอบคอบอีกครั้ง ไม่เพียงแต่พี่ชายของเขาที่เปลี่ยนไป แต่คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ พี่สะใภ้หรือ คนรักเก่าของเขานั่นเองหานหมิงนึกทบทวนถึงสายตาของนางที่มองมายังเขา ความรัก ความห่วงหา อาลัยอาวรณ์ ที่เคยมี บัดนี้กับถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา และเหินห่างหากเขารู้ว่า นางมากความสามารถเช่นนี้ เขาคงจะเกลี้ยกล่อมมารดาให้ได้แต่งงานกับนาง แทนที่จะปล่อยให้พี่รองแย่งวาสนาเขาไปเช่นนี้ในเมื่อตอนนี้ การใช้ไม้แข็งไปก็รังแต่จะแตกหั
"พี่หานตง พี่หานตง ท่านผู้นำบอกให้ท่านกับพี่สะใภ้รีบไปที่ห้องแจ้งข่าวขอรับ ตอนนี้ท่านแม่ของท่านไปฟ้องร้องท่านข้อหา อกตัญญูต่อบิดามารดาขอรับ"หานตงหน้าซีดเผือด ไม่เคยมีบิดามารดาคนไหน ฟ้องร้องบุตรด้วยข้อหานี้มาก่อน เนื่องจากหากสืบสวนแล้วพบว่าบุตรผิดจริงบุตรคนนั้นจะต้องได้รับโทษตามกฎของหมู่บ้านและของทางการอีกด้วยตามกฎของหมู่บ้าน บุตรที่ได้รับโทษจะถูกโทษโบยห้าสิบไม้ หลังจากนั้นก็จะถูกนำชื่อออกจากตระกูลทั้งครอบครัว และขับไล่ออกจากหมู่บ้านส่วนผู้ใหญ่บ้านก็จะนำตัวไปส่งที่ศาลอาญากลางเมือง พร้อมข้อมูลความผิด คนผู้นั้นจะถูกตัดสินจองจำหนึ่งปี โทษโบยอีกห้าสิบไม้ ส่วนทรัพย์สินที่เป็นที่ดิน หรือกิจการที่เป็นชื่อตระกูล จะถูกโอนย้ายเข้าเป็นกองกลางของบ้านนั้นๆจะมีเพียงเงินทอง ของมีค่า หรือสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า เป็นสิทธิ์ของตระกูล ที่คู่สามีหรือภรรยา สามารถนำติดตัวออกไปจากหมู่บ้านได้เท่านั้นหานตงแขนขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงกับพื้นตาแดงก่ำ จนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขารู้ว่ามารดาไม่ค่อยจะรักเขานัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่า มารดาจะกล้าทำถึงเพียงนี้เว่ยเหนียนเหยาก่นด่าแม่สามีภายในใจ ผู้หญิงคนนั้นยังเป
"ท่านแม่ ท่านไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือขอรับ ข่าวที่น้องเล็กสืบมา ก็บอกอยู่แล้ว ตอนนี้ครอบครัวของเจ้ารอง ทำการค้าได้เป็นกอบเป็นกำ""นั่นสิเจ้าคะ ท่านแม่ อีกไม่นานท่านพี่ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าสมัครเรียนของหานเอ่อแล้ว อย่างน้อยท่านก็ควรให้อาตงมอบเงินให้ท่านสัก หนึ่งร้อยหรือสองร้อยตำลึงทองนะเจ้าคะ"นางเว่ยหมัวหลานปรายตามองบุตรชายคนโตและลูกสะใภ้ ตีโพยตีพาย ที่เห็นนางไม่ขยับเขยื้อนทำอะไรบ้างเลย"พวกเจ้าสงบใจลงบ้างเถอะ ข้าก็บอกพวกเจ้าไปแล้ว ว่าข้ากำลังรอเวลา""ท่านแม่เจ้าขา ท่านรอเวลาอะไรเจ้าคะ ท่านดูสิ ตอนนี้อาตงปีกกล้าขาแข็งขนาดไหน นี่ก็เลยวันที่ท่านกำหนดให้มอบเงินส่วนกลางแล้ว ข้าไม่เห็นเขาจะส่งเงินกลับมาสักอีแปะ""จริงด้วยขอรับ อีกอย่างเรื่องที่เขาซื้อที่ทำโรงงาน ข้าก็ไปสืบมาแล้ว ว่าเป็นเรื่องจริง เห็นว่าพรุ่งนี้ก็จะย้ายคนงานเข้าไปทำงานที่นั่นแล้ว หากปล่อยให้เขาใช้เงินเป็นเบี้ยแบบนี้ต่อไป คงไม่ดีแน่ขอรับท่านแม่""นั่นสิขอรับท่านแม่ ตอนนี้เพื่อนที่อยู่ในเมือง ก็เชิญข้าร่วมทุนทำการค้า ในเมื่อพี่รองทำการค้าได้เป็นกอบเป็นกำเช่นนี้ ก็น่าจะช่วยเหลือเจือจุนให้พวกเราได้ลืมตาอ้าปากบ้าง"คราวนี้เป็นเสี
ผ่านมาหลายวัน ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางไปไม่น้อย เว่ยเหนียนเหยาขีดฆ่าแผนงานต่างๆ ที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้วช่วงนี้เด็กๆ ก็ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นเหมือนแต่ก่อน เพราะอาเส้าบุตรชายคนโตของท่านลุงฟง ตกลงที่จะเข้ามาสอนหนังสือเด็กๆ ให้เด็กทั้งสามเริ่มเรียนช้ากว่าเด็กทั่วไป ดังนั้นจึงต้องเพิ่มเวลาสอนขึ้นเป็นพิเศษ ตัวนางไม่เข้าใจเรื่องการศึกษาของคนยุคนี้เท่าไหร่ แต่โชคดีที่เจ้าของร่างเก่ามีความสามารถอ่านเขียนได้พอสมควร ไม่อย่างนั้นนางคงต้องไปนั่งเรียนพร้อมลูกๆ เป็นแน่หลังจากที่ปรึกษาและตกลงเรื่องค่าจ้างกันเป็นที่เรียบร้อย อาเส้าก็ส่งรายละเอียดของหนังสือและอุปกรณ์ที่ต้องซื้อหามาให้โชคดีที่ช่วงนั้นบ่าวรับใช้ของชุนเหมยนำรถม้าเข้ามาส่งพอดี บ่าวคนดังกล่าวส่งจดหมายให้กับนางอีกหนึ่งฉบับ ในจดหมายนั้นบอกให้เร่งสร้างหุ่นไม้ เพราะตอนนี้พี่สาวของนาง "สร้างกระแสนิยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"แถมยังเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนนี้ร้านที่เมืองหลวงวุ่นวายมาก แต่ละวันมีคนเดินเข้ามาสอบถามเรื่องหุ่นไม้จำนวนไม่น้อยบางจวนคุณหนูที่ไม่ขาดเงินพวกนั้น ถึงกับจะขอซื้อหุ่นที่ตั้งอยู่ที่หน้าร้านในราคาตัวละห้าสิบตำลึงทองเลยทีเดียว
"ท่านแม่ลี่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"นางลี่สือหลินหันมายิ้ม พลางหยิบงานที่นางปักเสร็จขึ้นมาให้ดู"เจ้าลองดูก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง"เว่ยเหนียนเหยาพิจารณาดูผ้าที่นางลี่หลินสือส่งมาให้ เห็นว่าฝีเข็มคล้ายของนางอยู่เก้าถึงสิบส่วนก็วางใจ ตอนนี้ทั้งซินเซียงและนางลี่สือหลินต่างขึ้นมาเป็นช่างปักเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนลวดลายของผ้าปักทั้งหมด นางได้ให้สามีนำไปขึ้นทะเบียนที่หอการค้ากลางเป็นที่เรียบร้อยนางลี่สือหลินและซินเซียงขอร้องให้นางและสามี ร่างสัญญาการจ้างงานให้กับพวกนางด้วย เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย โดยให้กำหนดเพิ่มเข้าไปด้วยว่า จะต้องทำงานกับนางเป็นระยะเวลาสิบปี ห้ามสอนวิธีการปักนี้ให้กับใครตลอดสัญญา หากผิดสัญญาต้องเสียเงินค่าปรับเป็นจำนวนหนึ่งพันตำลึงทอง และรับโทษโบยที่มือห้าสิบไม้นางกับสามีปฏิเสธเพราะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย สำหรับคนทั้งคู่ที่เป็นเหมือนมารดาและน้องสาว นางดูออกว่าทั้งสองคนเป็นคนยังไงแต่นางลี่สือหลินยืนกรานว่ายังไงก็ต้องทำ นอกจากจะเป็นความสบายใจของพวกนางแล้ว ยังถือว่าสัญญาพวกนั้นคือความคุ้มครองที่พวกนางจะได้รับอีกด้วยนางชี้แจงต่อไปว่า หากต่อไปมีคนไม่ประสงค