เพล้ง! เพล้ง! เสียงสิ่งของแตกหักดังออกมาจากในห้อง ทำให้ผู้เฒ่าเว่ยจื้อจงรีบเดินเข้ามาในห้อง
"ยายเฒ่า เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงต้องขว้างปา ข้าวของเช่นนี้" "ใช่ ข้ามันบ้าไปแล้ว ท่านพี่ ท่านดู บุตรชายสุดที่รักของท่านทำเข้า" ชายชรามองหน้าบุตรชายคนโต กับคนเล็กที่อยู่ในห้อง ก่อนถอนหายใจ "อาเวิ่น อาหมิง เจ้าเอาเรื่องอะไรมากวนใจแม่ของเจ้าอีก เหอะ" "ท่านอย่ามาตวาดบุตรชายของข้านะ ท่านไปตวาดบุตรชายของท่านโน่น ตั้งแต่มีเงินก็ปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นหัวพ่อแม่ ที่กับครอบครัวคนอื่น กับสอดไม้สอดมือช่วยเหลือวุ่นวายไปหมด" ชายชราถอนใจ ที่แท้ก็เป็นเรื่องครอบครัวตระกูลจงนี่เอง "ยายเฒ่าเอ๊ย ตาเฒ่าฟงประสบเคราะห์ร้าย ภรรยาและบุตรของเขาก็ทำงานอยู่กับอาตง อาตงคงเห็นแก่คนพวกนั้นจึงได้ช่วยเหลือก็ได้ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย" "ข้าคิดมากอะไร ตั้งแต่เรื่องค่าเช่าที่ดินแล้ว ที่พวกมันตั้งใจหลอกลวงข้า หากข้ารู้ว่า พวกมันเตรียมย้ายบ้าน ข้าจะไม่เรียกเงินแค่นั้นหรอก พูดแล้ว ก็เจ็บใจจริงๆ" นางเว่ยหมัวหลานแทบกระอักเลือดออกมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่กลับมาจากห้องแจ้งข่าว นางกับคนในบ้านก็อับอายจนไม่อยากออกไปไหน จนผ่านไปถึงสิ้นเดือน นางจึงให้บุตรชายคนโต กับลูกสะใภ้อดทนต่อความอับอาย เดินไปเก็บเงินค่าเช่าที่ ที่บ้านของหานตง แต่พอไปถึง กับพบแต่ความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งข้าวของกลับหายไปหมด บุตรชายนางจำทนอับอาย เอ่ยถามผู้คนในละแวกแถวนั้น ถึงได้รู้ว่า ครอบครัวของหานตงเป็นเจ้าของบ้านติดริมธารหลังใหญ่หลังนั้น และเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ได้ไม่กี่วันก่อนที่บุตรชายนางจะมา ตอนที่บุตรชายของนางมาแจ้งข่าว นางโกรธจนเป็นลมล้มพับ หลังจากฟื้นขึ้นมา ก็นำบุตรชายกับลูกสะใภ้ออกไปที่หน้าบ้านหานตง ทั้งทุบประตูทั้งตะโกนด่าว่า จนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่มีคนออกมา จนนางต้องล่าถอยกลับมาบ้านในที่สุด มาตอนนี้บุตรชายทั้งสองนำเรื่องที่หานตงกับภรรยาให้การช่วยเหลือครอบครัวตระกูลจงมาเล่าให้ฟัง นางเลยยิ่งโมโหขึ้นมาอีก นางเว่ยหมัวหลานเห็นบุตรชายคนเล็กส่ายหน้า ขยิบหูขยิบตาส่งมาให้ ก็นึกขึ้นได้ว่า ตัวเองกับบุตรชายวางแผนกันไว้ จึงแสร้งทำเป็นถอนหายใจ "เฮ้อ มาคิดดูอีกที เป็นข้าเองที่แต่ก่อนทำไม่ดีกับอาตง และครอบครัว หากข้าดีต่อเขา เหมือนบ้านของเจ้าเด็กเซียนย้ง เขาคงจะไม่ทำกับเราเช่นนี้" ตาเฒ่าจื้อจงเห็นภรรยา แสดงท่าทีแบบนี้ออกมาก็นึกขำในใจ ภรรยาเขาเป็นเช่นไร ตัวเขารู้ดีที่สุด ท่าทีแบบนี้อาจจะหลอกหานตงได้ แต่หลอกคนที่อยู่กับนางมาตลอดยี่สิบกว่าปีเช่นเขาไม่ได้หรอก ดูท่า หากมีโอกาสพบหานตงกับภรรยา เขาคงต้องเอ่ยปากเตือนเสียหน่อย "พี่สะใภ้ หลายวันมานี้ ข้ากับพวกน้องชายทั้งสองคน ขึ้นไปเก็บมันฝรั่งบนเขามาเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ข้าล้างทำความสะอาดและวางไว้ในห้องครัวแล้วขอรับ แต่ข้าไม่เข้าใจว่า ท่านจะขุดขึ้นมาทำไมเยอะแยะ ไหนท่านบอกว่า ของพวกนี้เก็บไว้นานไม่ได้ไงขอรับ" "เมื่อหลายวันก่อน ตอนที่พี่ชายเจ้า เข้าไปติดประกาศรับคนที่ห้องแจ้งข่าว พวกผู้นำตระกูลต่างๆ พากันมาขอร้องเขา ให้ช่วยรับคนงานเพิ่ม เพราะตอนนี้มีหลายครอบครัวที่ประสบความลำบากถึงกับไม่มีอะไรจะกินเลยทีเดียว เจ้าก็รู้ว่างานของพวกเราต้องใช้คนที่มีความชำนาญจะรับคนสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร ข้าเลยคิดว่าจะแนะนำแหล่งอาหารให้พวกเขา" "ถ้าท่านบอกถึงบริเวณที่ต้นพวกนั้นอยู่ ข้าเกรงว่าแม้แต่หัวเล็กๆก็คงจะไม่เหลือแล้วขอรับ" "ข้าก็คิดแบบนั้น อีกอย่างมันฝรั่งพวกนี้มีข้อจำกัดในการใช้ทำอาหาร ข้าเกรงว่าหากชาวบ้านไม่ระวังจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์" "เช่นนั้นท่านจะทำยังไงต่อไปขอรับ" "ประเดี๋ยวเจ้าเอามันฝรั่งที่แห้งแล้ว ใส่ตะกร้าสานแล้วนำไปเก็บไว้ที่ห้องครัวบ้านเจ้าสักห้าตะกร้า ทุกๆสามวันให้อาซ่างนำมันฝรั่งพวกนั้นมาตรวจเช็กว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แล้วจดบันทึกไว้ให้ข้า" "แล้วข้าละขอรับ" "ส่วนเจ้า เดี๋ยวไปเชิญท่านผู้ใหญ่บ้าน กับท่านผู้นำตระกูล มากินข้าวที่บ้านข้าเย็นนี้ ข้าจะลองทำอาหารจากมันฝรั่งกับหน่อไม้ให้พวกเขาลองชิม อ้อ เจ้าขึ้นไปเก็บหน่อไม้มาด้วยนะ ว่าแต่ เจ้าไปคนเดียวได้ใช่ไหม เพราะข้าว่าจะพาอาเสิ่นนั่งไปเป็นเพื่อนท่านพี่ด้วย" "ได้ขอรับพี่สะใภ้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าไปบอกน้องชายทั้งสองก่อน และจะเลยไปบอกท่านแม่กับอาเซียงให้รีบกลับมาช่วยท่านทำกับข้าวด้วยวันนี้ อ้อ ท่านพี่หานตงบอกว่า ถ้าท่านเสร็จธุระแล้วให้ออกไปที่รถได้เลยขอรับ ตอนนี้พวกเขารออยู่ที่รถแล้ว" "งั้นเจ้าช่วยไปตามอาเสิ้นมาทีก็แล้วกัน ข้าจะออกไปรอที่รถเลย" วันนี้เป็นวันที่นางมีนัดหมายกับชุนเหมยว่าจะเข้าไปถามข่าวเรื่องต้นโสม นางจึงถือโอกาสให้นางลั่วฮวาไปเยี่ยมดูอาการลุงฟงไปด้วยเลย ท่านหมอบอกว่า ลุงฟงยังคงไม่รู้สึกตัว ต่อให้มาทุกวันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมานางลั่วฮวากับอาหงจึงขอกลับไปทำงานเหมือนเดิม ส่วนอาเสิ้นที่นางให้ไปด้วยในวันนี้ เพราะหนุ่มน้อยเคยขอให้สามีนางช่วยสอนการขับรถม้าให้ นางเองก็คิดว่าดีเหมือนกัน เกิดช่วงไหนที่สามีของนางหรืออาย้งติดธุระ ก็ยังมีอาเสิ้นอยู่อีกคน รถม้าพาคนทั้งสี่ชีวิตมุ่งหน้าสู่ร้านยามู่ถานอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งหมดเข้าไปในร้าน ครั้งนี้หมอชรากับเป็นผู้พาพวกเขาเดินเข้าไปที่ห้องคนไข้เอง เมื่อมือของหมอชราผลักประตูเข้าไป ร่างของคนที่เคยนอนนิ่งไม่ไหวติง บัดนี้กับกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอน ดื่มยาอยู่บนเตียง "ท่านพี่ ท่านฟื้นแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณท่านหมอเจ้าค่ะ" "ท่านพ่อ ท่านพ่อในที่สุดท่านก็ฟื้นซะที" เสียงนางลั่วฮวา และอาเสิ้น ต่างอุทานออกมาด้วยความดีใจ "เขาเพิ่งฟื้นเมื่อเช้านี้เอง ข้ายังคิดอยู่เลยว่า หากวันนี้พวกเจ้าไม่มา จะให้คนไปแจ้งให้หมอจางที่หมู่บ้านทราบ" "แล้วตอนนี้อาการท่านลุงฟงเป็นยังไงบ้างเจ้าคะ" "ถือว่าพ้นจากขีดอันตรายแล้ว แต่ยังเหลือการฝังเข็มอีกสองครั้งสุดท้าย เพื่อขับเอาเลือดเสียที่ค้างอยู่ข้างในออกให้หมด ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหาต้นโสมมาได้หรือยัง หากยังหาไม่ได้ ข้าจะได้เลื่อนการฝังเข็มออกไปก่อน" "เรียนท่านหมอ ที่ข้าเข้าเมืองมาในวันนี้ก็เพราะนัดสหายที่ติดต่อเรื่องหัวโสมเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปพบเขาซะก่อน หากได้เรื่องยังไง ข้ารีบแจ้งให้ท่านทราบทันทีเจ้าค่ะ" เว่ยเหนียนเหยาเห็นว่า ลุงฟงเพิ่งจะฟื้นขึ้น เลยให้อาเสิ่น อยู่พูดคุยกับบิดาไปก่อน แต่อาเสิ่นยืนกรานขอมากับนางด้วย นางเห็นว่าอีกฝ่ายยืนยันแน่วแน่เลยตกลง หลังจากที่รถม้าออกจากร้านยามู่ถาน ก็ตรงไปที่ร้านผ้าเชิงอี้ชิง ระหว่างทางหานตงถามอาเสิ่นว่า บิดาเพิ่งฟื้นขึ้นมาทำไมถึงไม่อยู่พูดคุยกับบิดาก่อน อาเสิ้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงบอกว่า "เพราะข้าอยากเรียนรู้การทำการค้าจากท่าน ข้าอยากช่วยพี่บุญธรรมสร้างฐานะให้มั่นคงกว่านี้ขอรับ" หานตงเห็นว่า คำพูดของอาเสิ้นมีอะไรซ่อนอยู่ แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่า เด็กคนนี้เป็นคนรู้คุณคน เอาไว้เขาค่อยนำเรื่องนี้ไปปรึกษาภรรยาอีกครั้งจะดีกว่า ร้านม้าวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าร้านผ้าเชิงอี้ชิง เด็กหน้าร้านแจ้งว่า นายหญิงรออยู่ที่ด้านในแล้ว "คารวะพี่ชุนเหมยเจ้าค่ะ" "คารวะพี่ชุนเหมยขอรับ" "อาเสิ้นเจ้ารีบมาคารวะพี่ชุนเหมย นางเป็นคนที่เป็นธุระจัดการเรื่องต้นโสมให้พ่อเจ้า" อาเสิ้นคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมทั้งโขกหัวคำนับ "ขอบพระคุณนายหญิงขอรับ บุญคุณนี้ข้าจะขอจดจำไปชั่วชีวิตขอรับ" "เอาเถอะๆ เจ้าลุกขึ้นก่อน อาเหยา หนุ่มน้อยคนนี้เป็นใครกัน" "อาเสิ้นเป็นน้องชายบุญธรรมข้า และเป็นบุตรชายของคนที่ข้าขอให้ท่านช่วยหาต้นโสมให้เจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าเขามีหัวเรื่องการค้าเลยให้มาช่วยท่านพี่" "เป็นแบบนี้นี้เอง งั้นอาตงเจ้าก็พาน้องชายไปดูผ้าตรงโน้นเถิด ข้าจะสนทนากับอาเหยาสักครู่" สองหนุ่มต่างวัยได้ยินดังนั้นก็แยกตัวออกมา ปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองนั่งสนทนากันตามลำพัง "พี่ชุนเหมย เรื่องต้นโสมเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" เว่ยเหนียนเหยา ไม่เยิ่นเย้อ เอ่ยถามตรงประเด็นที่ตัวเองอยากรู้ทันที "เจ้านี่ใจร้อนเสียจริง ใครก็ได้ เข้าไปหยิบกล่องโสมที่ในห้องข้าออกมาให้หน่อย" "ได้ ได้มาแล้วรึเจ้าคะ" "เป็นโชคของเจ้ามากกว่า ตอนที่จดหมายของข้าไปถึง พี่สาวข้าเพิ่งจะหายป่วยจากอาการไข้ ตอนที่นางเป็นไข้ บ้านของว่าที่สามีส่งของบำรุงมาให้มากมาย ในนั้นมีโสมอยู่สองต้น นางก็เลยให้คนส่งมาให้เจ้าต้นหนึ่ง" "นายหญิงเจ้าคะ นี่ ของที่ท่านให้นำมาเจ้าค่ะ" ชุนเหมยรับของจากบ่าว ก่อนจะเปิดกล่องให้อีกฝ่ายดู "เจ้าดูสิ ต้นโสมต้นนี้อวบอ้วนสมบูรณ์ ข้าว่าราคาคงไม่ต่ำกว่า500 ตำลึงทองแน่" เว่ยเหนียนเหยากลืนน้ำลายดังเฮือก แพงถึงเพียงนี้เชียว แม้ตอนนี้นางจะพอมีเงินทองอยู่บ้าง แต่เงิน500ตำลึงทองสำหรับนาง ก็ถือว่าค่อนข้างมากอยู่ แต่เมื่อนึกถึงร่างกายผอมบางของลุงฟง ที่กำลังรอการรักษาอยู่บนเตียง เฮ่อช่างเถอะ เงินทองของนอกกาย ยังไงนางก็ยังมีลู่ทางหากิน " ฮะ ฮะ ฮะ อาเหยาเจ้าไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าต้องจ่ายเงิน ข้าก็บอกแล้วไง พี่หญิงใหญ่ให้ส่งมาให้เจ้า" "ข้าจะทำอย่างนั้นได้ยังไงเจ้าคะ ของราคาแพงถึงเพียงนี้" "ทำไมจะทำไม่ได้ละ นางเองก็ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน แล้วจะให้คิดเงินจากเจ้าได้ยังไง นางสั่งมาในจดหมายว่า หากว่าเจ้าอยากจะตอบแทนนาง ก็ให้ซื้อสบู่ส่งไปให้นางเยอะๆหน่อย สบู่ที่เจ้าส่งไปให้ครั้งก่อน นางเห็นว่าเป็นของแปลกใหม่ที่ในเมืองหลวงไม่มี เลยนำไปให้ท่านแม่ลองใช้ด้วย คาดไม่ถึงว่า หลายวันต่อมาท่านแม่กลับถามถึงแหล่งที่ซื้อมา เห็นบอกว่าท่านพ่อชอบมาก ยังสั่งพี่หญิงใหญ่เลยว่าให้ซื้อกลับมาเยอะๆหน่อย" "ซื้อสบู่? แต่สบู่นั่นข้าไม่ได้ซื้อมานะเจ้าคะ" "เป็นข้าที่ผิดเอง ไม่อธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าต้องการรีบหาโสม เลยเขียนจดหมาย รีบส่งไป นางเลยเข้าใจผิด" เว่ยเหนียนเหยาตาเป็นประกาย โสมต้นหนึ่งแลกกับสบู่ไม่กี่ก้อน การค้านี้ถือว่านางได้กำไรหลายเท่าตัวทีเดียว เดี๋ยวกลับไปนางต้องรีบทำสบู่เพิ่มอีกสักหน่อย "อาเหยา เจ้าคงไม่ลืมส่วนของข้าใช่หรือไม่ สบู่ของเจ้าข้าก็ชอบมากนะ เจ้าดูสิตั้งแต่ใช้สบู่ของเจ้า ผิวพรรณข้าก็ขาวนวลผุดผ่องขึ้นตั้งเยอะ" "ข้าย่อมไม่ลืมส่วนของท่านแน่นอนเจ้าค่ะ" "แล้วเจ้าไม่คิดจะผลิตสบู่ขายเหรอ ข้าว่าสบู่ของเจ้าดีกว่าที่มีขายอยู่ทั่วไปซะอีก" "ข้าขอเรียนพี่ชุนเหมยตามตรง ข้ามีความคิดจะเปิดร้านเครื่องหอมให้กับน้องชายกับน้องสะใภ้ดูแลเจ้าค่ะ พี่ชุนเหมยคงไม่โกรธข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ" "เด็กโง่ ข้าจะโกรธเจ้าเรื่องอะไร ขอเพียงแค่เจ้าไม่เปิดร้านผ้าแข่งกับข้าก็พอ พูดถึงร้านผ้า พี่หญิงใหญ่ฝากมาเตือนเจ้าด้วย ว่าใกล้จะถึงเวลาส่งมอบลายผ้าใหม่แล้ว" "เรื่องนี้ข้าก็ไม่ลืมเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน จะได้รีบกลับไปทำสบู่ให้พวกท่านด้วย" ชุนเหมยรู้ดีว่า เว่ยเหนียนเหยามีหลายสิ่งหลายอย่างต้องจัดการ จึงไม่รั้งไว้อีก นางได้แต่คิดว่าหญิงสาวนางนี้อายุน้อยนัก แต่กลับมีความรู้มากมายเหลือเกิน เป็นวาสนาของนางที่ในตอนนั้นเว่ยเหนียนเหยาเดินเข้ามาในร้านแห่งนี้ มา มา พ่อรับสมัคร คนช่วยแม่ทำสบู่"ท่านหมอเจ้าคะ ข้านำต้นโสมมาส่งเจ้าค่ะ"เว่ยเหนียนเหยายื่นกล่องโสม วางลงบนโต๊ะที่ท่านหมอนั่งอยู่"เจ้าไปเสียนาน ข้าคิดว่า เจ้าจะหามาไม่ได้เสียแล้ว"หมอชรานำกล่องโสมมาเปิดดู พอฝากล่องเปิดขึ้น ชายชราถึงกับมือไม้สั่นรีบประคับประคองกล่องโสมวางลงบนโต๊ะ"โสมต้นนี้สมบูรณ์มากนัก ข้าคิดว่ามันน่ามีอายุหลายสิบปีเลยทีเดียว ราคาของโสมต้นนี้น่าจะอยู่ที่เจ็ดร้อยถึงแปดร้อยตำลึงทอง ข้าคิดว่าเจ้าจะหาซื้อโสมต้นเล็กๆ มาเสียอีก""เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้น แต่สหายของข้าบอกว่ามีคนให้โสมต้นนี้กับเขามา แต่เขาไม่ได้ใช้ เลยให้ข้ามาอีกทีเจ้าค่ะ"" สหายดี! สหายดี! เจ้ามีสหายที่ดีเช่นนี้ ถือว่ามีบุญยิ่งนัก อะ เอาคืนไป ข้าใช้แค่รากโสมพวกนี้ก็พอแล้ว"หมอชราใช้กรรไกรตัดส่วนของรากที่ตนต้องการออกไว้ จากนั้นก็นำโสมใส่ลงไปในกล่อง และส่งให้เว่ยเหนียนเหยาคืน"มันจะพอหรือเจ้าคะ มิสู้ท่านเอาไว้ให้มากหน่อยดีกว่า"เว่ยเหนียนเหยาที่เห็นว่า ท่านหมอตัดแค่รากโสมไว้ก็เกรงว่าตัวยาจะไม่พอ คะยั้นคะยอให้ท่านหมอตัดเพิ่มไว้อีก"พอแล้ว พอแล้ว โสมนี้เจ้าก็เก็บไว้ให้ดี แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครละ เดี๋ยวจะเป็นภัยกับตัวเอง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มรักษาใน
"ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ได้โปรดตื่นเถิด อย่าทิ้งข้ากับท่านพ่อไปนะขอรับ ฮือ ฮือ""ท่านพ่อ ทำไมท่านแม่ถึงนอนแน่นิ่งแบบนี้ ท่านพ่อช่วยปลุกท่านแม่หน่อยขอรับ"เสียงใครกัน หนวกหูชะมัด ฉันขอนอนนานๆหน่อยได้ไหม เว่ยเหนียนเหยา คิดในใจอย่างรำคาญ เมื่อวานนี้กว่าเธอจะปิดบัญชีของภัตตาคารหรูระดับห้าดาวเสร็จ เธอต้องเคร่งเครียดจนลืมกินลืมนอนไปหลายคืน " เจ้าใหญ่ เจ้ารอง หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ เจ้าดูแม่เจ้าไว้ก่อน เดียวพ่อจะไปตามท่านหมอจางมาดูแม่เจ้า"เสียงอีกเสียงดังขึ้น ฟังดูก็รู้ว่า น่าจะเป็นชายหนุ่มอายุไม่เยอะเท่าไหร่ ว่าแต่ว่าพวกเขาพูดถึงใครกัน แล้วคนพวกนี้เข้ามาอยู่ในบ้านเธอได้ยังไง แย่แล้ว!!! หรือว่าจะเป็นโจร เว่ยเหนียนเหยาคิดอย่างตกใจ พยายามที่จะลืมตาขึ้น แต่กลับรู้สึกปวดหัว และเจ็บข้างหลังท้ายทอยเป็นอย่างมาก หญิงสาวค่อยๆยกมือ ลูบไปยังบริเวณที่เจ็บ พร้อมกับลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แสงสว่างสาดเข้ากับดวงตา ทำให้ตาของเธอพร่าไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆคุ้นชิน หญิงสาวกวาดสายตามองดูโดยรอบนี่เธออยู่ที่ไหน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือเธอถูกโจรจับมาเรียกค่าไถ่ สารพัดคำถามที่ไร้คำตอบดังขึ้นมาในหัว แต่ก่อนที
" ท่านพ่อเร็วเข้าเถอะขอรับ ท่านแม่อาการหนักแน่ๆ""ใช่ขอรับท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านแม่จำข้ากับพี่ใหญ่ไม่ได้ด้วยขอรับ"เสียงโวยวายของเด็กทั้งสองดังขึ้น พ่อของเด็กน่าจะพาหมอกลับมาแล้ว หญิงสาวแสร้งนอนนิ่ง เพื่อรอดูเหตุการณ์ "ท่านหมอ ท่านช่วยตรวจดูภรรยาข้าหน่อยเถอะขอรับ"น้ำเสียงทุ้มกล่าวอย่างนอบน้อม หมอชราถอนหายใจในความอยุติธรรมที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้รับ เขาบังเอิญรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น สองครอบครัวร่วมมือกันเล่นละคร เพื่อผลักดันชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ตนไม่ต้องการให้กระเด็นออกมา " หานตงเอ๋ย ข้าสงสารเจ้ายิ่งนัก เวรกรรมอะไรของเจ้าหนักหนา"ชายชราส่ายหน้า พลางนั่งลงตรงข้างร่างหญิงสาว หลังจากลงมือสำรวจบาดแผล และตรวจดูชีพจร เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงมอบยารักษาบาดแผลไว้ให้ หมอชราปฏิเสธที่จะรับเงินค่ารักษา ขอรับเพียงแต่เงินค่ายาเท่านั้นหลังจากที่หมอชราจากไป ชายหนุ่มจึงปลอบโยนลูกทั้งสอง ก่อนจะนำกะละมังและผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตัวของภรรยา เว่ยเหนียนเหยารู้สึกซาบซึ้งใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มปฏิบัติต่อเธอ ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้นมองสบเข้ากับดวงตาคู่คม เธอมองเห็นความกังวลปนเปกับความโล่งอก"เจ้ารู้สึกเ
สองสามีภรรยาเดินขึ้นเขาอย่างเร่งรีบ เมื่อเดินไปถึงแค่ตีนเขา กลับพบกอไผ่ขึ้นอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบกับความเขียวชอุ่ม นับว่าเป็นภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเว่ยเหนียนเหยารีบเดินเข้าไปสำรวจตรงกอไผ่ทันที หลังจากที่แหวกดูดวงตาก็เปล่งประกาย"ท่านพี่ ท่านมาช่วยข้าขุดหน่อไม้หน่อยเถิด เราจะได้นำกลับไปเป็นอาหารที่บ้าน""หน่อไม้พวกนี้มีรสฝาดไม่เหมาะจะนำไปเป็นอาหารหรอก"ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความไม่รู้ของผู้เป็นภรรยา หญิงสาวหาได้ถือสา ด้วยเข้าใจว่าผู้คนในอดีตย่อมไม่รู้ว่าควรนำหน่อไม้มาปรุงอาหารเช่นไรนางเพียงขุดขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้สามีดู พลางเน้นย้ำว่า ให้ขุดขึ้นมาให้เยอะหน่อยเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสามีไม่ปฏิเสธ หญิงสาวจึงค่อยๆ เดินสำรวจไปทางอื่นนางหยุดมองที่ต้นไม้กอใหญ่กอหนึ่ง หลังจากที่พิจารณาอยู่ชั่วครู่ ก็ตัดสินใจขุดลงไปในดินใต้ต้นไม้นั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในดินทำให้หญิงสาวยิ้มแก้วปริ อย่างน้อยๆ สิ่งนี้ก็ช่วยให้นางและครอบครัวรอดพ้นจากความหิวโหยไปได้พักใหญ่สองมือเรียวค่อยๆ นำสิ่งที่อยู่ในดินขึ้นมา มันฝรั่งหัวใหญ่ถูกดึงขึ้นมาใส่ลงไปในตะกร้าจนเต็มก่อนที่หญิงสาวจะเดินกลับไปหาสามี
ด้วยประสบการณ์ความยากจนที่เคยผ่านมา เรื่องการจุดไฟทำอาหารไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับนางหญิงสาวนำหม้อเก่าใบหนึ่งขึ้นมาใส่น้ำก่อนจะหั่นปลาเป็นชิ้นๆ ลงไปต้มในหม้อ หลังจากควบคุมไฟไม่ให้แรงจนเกินไป จากนั้นนางจึงนำมันฝรั่งออกมาปอกเปลือกและหั่นทิ้งไว้ มองดูปลาที่ต้มไว้มีฟองลอยอยู่ไม่น้อยจึงค่อยๆ ตักฟองคาวออก รอจนกระทั่งไม่มีฟองขึ้นมาอีก จากนั้นจึงใส่เกลือลงไปเล็กน้อยนางตักน้ำแกงขึ้นมาชิม รสชาติความหวานของเนื้อปลาบวกกับความเค็มของเกลือ แม้จะยังไม่ใช่อาหารเลิศรสแต่ก็น่าจะประทังความหิวไปได้เมื่อยกหม้อปลาลง นางรีบนำกระทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย นำมันฝรั่งลงไปผัดจนสุก จากนั้นปรุงรสชาติด้วยเกลืออีกหน่อยปลาสองตัวกับมันฝรั่งพวกนี้น่าจะช่วยให้มื้อนี้ของครอบครัวผ่านไปด้วยดี นางรีบนำอาหารออกไปวางบนโต๊ะกินข้าว ภายในบ้านไม่มีใครอยู่ กลับปรากฏเสียงดังอยู่ด้านนอกเว่ยเหนียนเหยาเดินออกไปตามเสียง พบว่าสามีกำลังทำความสะอาดอุปกรณ์ที่นำไปขึ้นเขา ส่วนบุตรชายทั้งสองก็นั่งเล่นกันอยู่ข้าง ๆ"ท่านพี่ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง มากินอาหารกันเถอะ"เด็กทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงมารดาเรียก ก็รีบวิ่งกรูเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว หญิงสาว
หญิงสาวจัดการย้ายข้าวของเข้าไปไว้ในครัวจนเรียบร้อย หลังจากเห็นสามีกลับมาพร้อมปลาตามที่ต้องการ อีกทั้งปลาสองตัวที่จะนำมาทำอาหารเย็น ก็จัดการทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นสามีพาบุตรชายทั้งสองออกไปนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน นางจึงวางใจเดินกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง ก่อนจะนำผ้าทั้ง2พับขึ้นมาดูอย่างครุ่นคิด นางเริ่มนำผ้าเช็ดหน้า ถุงเครื่องหอม และ ถุงเงินขึ้นมาพิจารณาจากนั้นจึงเลาะถุงเงิน ตามด้วยถุงเครื่องหอมออกเพื่อศึกษาวิธีการตัดเย็บ อาจจะเป็นด้วยโชคชะตากำหนดไว้ให้ จึงทำให้ช่วงหนึ่งในเวลาที่ยากลำบากนางเคยทำงานอยู่ในร้านเสื้อผ้าชั้นสูงแห่งหนึ่ง ร้านร้านนี้เป็นร้านไม่ใหญ่มาก แต่ราคาเสื้อผ้าแต่ละตัวแพงลิบลิ่วทีเดียว เนื่องจากเสื้อผ้าที่ตัดแต่ละตัว รวมไปถึงการปักลวดลายต่างๆ จะต้องใช้มือปักเท่านั้นงานที่ออกมาแต่ละตัวจะได้รับการตรวจทานจากสายตาอันเฉียบคมของเจ้าของร้าน หากทำไม่ดีไม่ละเอียดจะถูกต่อว่าและให้นำกลับไปแก้ไขมาใหม่ให้เรียบร้อย เว่ยเหนียนเหยาเป็นคนหัวดี แถมยังละเอียดใส่ใจ เจ้าของร้านจึงเอ็นดูนางเป็นอย่างมากพร่ำสอนสิ่งต่างๆ ให้อย่างไม่คิดหวงวิชา ตอนนี้นางรู้สึกขอบคุณเจ้าของร้านเป็นอย่างยิ
เวลาดึกสงัดรอบข้างไร้เสียงรบกวน หากแต่ร่างสูงใหญ่กลับไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ หานตงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เช้าเขาจำได้ว่า ตัวเขาออกจากบ้านไปด้วยความหวังอันริบหรี่ หากแต่บ้านบิดามารดาเป็นเชือกเส้นสุดท้าย ที่เขาหวังจะเกาะเกี่ยวยามเมื่อกำลังจะจมน้ำแต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้รู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นเป็นเชือก แท้จริงเป็นเพียงแค่ฟางเส้นบางๆ ที่ไม่สามารถยึดเกี่ยวอะไรได้เขาจำได้ดี วันแต่งงานของน้องชาย ที่บ้านจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทั้งข้าวปลาอาหารมีวางไว้เต็มโต๊ะไปหมด เพื่อนบ้านต่างพากันมาแสดงความยินดีแตกต่างจากงานแต่งงานของเขากับภรรยา ท่านแม่อ้างว่าเพราะพวกเขาทำผิดประเพณี หากจัดงานใหญ่โตยิ่งจะเป็นขี้ปากชาวบ้านไปทั่ว จึงจัดงานเล็กๆ ขึ้นมาเท่านั้นมาครั้งนี้เขาบากหน้าไปขอยืมข้าว หวังเพียงแค่ให้บุตรชายทั้งสองได้ประทังความหิวโหย คำตอบที่มารดาเขาให้คือ ครอบครัวเขาเป็นคนนอก อาหารมีเพียงพอสำหรับคนในครอบครัวเท่านั้นเขาเงยหน้าสบตากับบิดา อีกฝ่ายก็เอาแต่หลบสายตา แม้เขาจะรู้ดีว่า เรื่องทุกเรื่องในบ้านบิดาล้วนให้มารดาเป็นคนดูแลหากแต่เขายังหวังว่าบิดาจะมีความผูกพันกับเขาสักนิด ช่วยเอ่ยปากกับมาร
สองสามวันที่ผ่าน เว่ยเหนียนเหยาได้ขอให้สามีพานางไปเลือกซื้อของที่ร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน เนื่องจากนางเห็นว่า ข้าวสารและเครื่องปรุงต่างๆ นั้นร่อยหรอจนแทบจะหมดลงไปแล้วหลังจากที่ช่วยกันขนข้าวของกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน นางจึงขอให้สามีช่วยดูแลบุตรชายในช่วงนี้ โดยอ้างกับสามีไปว่า ในช่วงนี้ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรง อีกทั้งบุตรชายทั้งสองยังเล็ก หากช่วงนี้สามีต้องออกไปขึ้นเขา เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหานตงเองเห็นว่า ในเมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินไปอีกพักใหญ่ เรื่องที่ภรรยาขอร้องก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ยังไงที่ผ่านมาเขาก็ดูแลบุตรชายทั้งสองมาเพียงคนเดียวอยู่แล้วเว่ยเหนียนเหยาเร่งมือปักผ้าตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นางรู้ว่าตอนนี้ทางบ้านเหลือเงินอยู่ไม่มากแล้ว ที่ทางที่จะเอาไว้เพาะปลูกก็ไม่มี เนื่องจากทางบ้านสามีซื้อที่ให้เฉพาะเพียงพอปลูกบ้านหลังนี้เท่านั้นหญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะมองดูผลงานที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเฮ้อ ในที่สุดก็เสร็จเสียที ร่างบางขยับคอขยับไหล่ไล่ความเมื่อยขบที่เกาะกินตามร่างกาย หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของงานอีกรอบ นางก็พาร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจากการโหมงานมาตลอดวันไปนอนบน
"ท่านหมอเจ้าคะ ข้านำต้นโสมมาส่งเจ้าค่ะ"เว่ยเหนียนเหยายื่นกล่องโสม วางลงบนโต๊ะที่ท่านหมอนั่งอยู่"เจ้าไปเสียนาน ข้าคิดว่า เจ้าจะหามาไม่ได้เสียแล้ว"หมอชรานำกล่องโสมมาเปิดดู พอฝากล่องเปิดขึ้น ชายชราถึงกับมือไม้สั่นรีบประคับประคองกล่องโสมวางลงบนโต๊ะ"โสมต้นนี้สมบูรณ์มากนัก ข้าคิดว่ามันน่ามีอายุหลายสิบปีเลยทีเดียว ราคาของโสมต้นนี้น่าจะอยู่ที่เจ็ดร้อยถึงแปดร้อยตำลึงทอง ข้าคิดว่าเจ้าจะหาซื้อโสมต้นเล็กๆ มาเสียอีก""เดิมทีข้าก็คิดเช่นนั้น แต่สหายของข้าบอกว่ามีคนให้โสมต้นนี้กับเขามา แต่เขาไม่ได้ใช้ เลยให้ข้ามาอีกทีเจ้าค่ะ"" สหายดี! สหายดี! เจ้ามีสหายที่ดีเช่นนี้ ถือว่ามีบุญยิ่งนัก อะ เอาคืนไป ข้าใช้แค่รากโสมพวกนี้ก็พอแล้ว"หมอชราใช้กรรไกรตัดส่วนของรากที่ตนต้องการออกไว้ จากนั้นก็นำโสมใส่ลงไปในกล่อง และส่งให้เว่ยเหนียนเหยาคืน"มันจะพอหรือเจ้าคะ มิสู้ท่านเอาไว้ให้มากหน่อยดีกว่า"เว่ยเหนียนเหยาที่เห็นว่า ท่านหมอตัดแค่รากโสมไว้ก็เกรงว่าตัวยาจะไม่พอ คะยั้นคะยอให้ท่านหมอตัดเพิ่มไว้อีก"พอแล้ว พอแล้ว โสมนี้เจ้าก็เก็บไว้ให้ดี แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครละ เดี๋ยวจะเป็นภัยกับตัวเอง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มรักษาใน
เพล้ง! เพล้ง! เสียงสิ่งของแตกหักดังออกมาจากในห้อง ทำให้ผู้เฒ่าเว่ยจื้อจงรีบเดินเข้ามาในห้อง"ยายเฒ่า เจ้าจะบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงต้องขว้างปา ข้าวของเช่นนี้""ใช่ ข้ามันบ้าไปแล้ว ท่านพี่ ท่านดู บุตรชายสุดที่รักของท่านทำเข้า"ชายชรามองหน้าบุตรชายคนโต กับคนเล็กที่อยู่ในห้อง ก่อนถอนหายใจ"อาเวิ่น อาหมิง เจ้าเอาเรื่องอะไรมากวนใจแม่ของเจ้าอีก เหอะ""ท่านอย่ามาตวาดบุตรชายของข้านะ ท่านไปตวาดบุตรชายของท่านโน่น ตั้งแต่มีเงินก็ปีกกล้าขาแข็ง ไม่เห็นหัวพ่อแม่ ที่กับครอบครัวคนอื่น กับสอดไม้สอดมือช่วยเหลือวุ่นวายไปหมด"ชายชราถอนใจ ที่แท้ก็เป็นเรื่องครอบครัวตระกูลจงนี่เอง"ยายเฒ่าเอ๊ย ตาเฒ่าฟงประสบเคราะห์ร้าย ภรรยาและบุตรของเขาก็ทำงานอยู่กับอาตง อาตงคงเห็นแก่คนพวกนั้นจึงได้ช่วยเหลือก็ได้ เจ้าก็อย่าคิดมากเลย""ข้าคิดมากอะไร ตั้งแต่เรื่องค่าเช่าที่ดินแล้ว ที่พวกมันตั้งใจหลอกลวงข้า หากข้ารู้ว่า พวกมันเตรียมย้ายบ้าน ข้าจะไม่เรียกเงินแค่นั้นหรอก พูดแล้ว ก็เจ็บใจจริงๆ"นางเว่ยหมัวหลานแทบกระอักเลือดออกมา เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่กลับมาจากห้องแจ้งข่าว นางกับคนในบ้านก็อับอายจนไม่อยากออกไปไหนจ
รถม้าวิ่งผ่านกำแพงเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ร่างของนางลี่สือหลินที่เดินกระวนกระวายอยู่ พุ่งเข้ามาหาหานตงทันที"เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อาตง"เสียงโวยวาย ทำให้หญิงสาวในรถม้า เปิดผ้าออกมาทันที"เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะท่านแม่ลี่ เหตุใดท่านถึงดูร้อนใจถึงเพียงนี้"สีหน้าท่าทางของนางลี่สือหลินไม่ดีเลย ทำให้นางรู้สึกตกใจไปด้วย"ที่บ้านอาหงเกิดเรื่อง วันนี้ลุงฟงเห็นว่าหลังคาบ้านที่พักอยู่เกิดรอยรั่ว เลยปีนขึ้นไปซ่อม ไม่รู้ว่าพลาดพลั้งยังไง ตกลงมา อาหงวิ่งมาตามอาเส้าที่นี่ เห็นว่าหมอจางรักษาไม่ได้ ต้องส่งเข้าไปรักษาที่ตัวเมือง ทางผู้ใหญ่ให้เกวียนของหมู่บ้านไปส่งสักพักแล้ว""แล้วเขาเอาไปรักษาที่ไหน ท่านแม่ลี่รู้รึไม่เจ้าคะ""ได้ยินมาว่า เป็นร้านยามู่ถาน""ท่านพี่ ท่านขับรถไหวหรือไหม ข้าอยากไปดูพวกเขาสักหน่อย""ข้าไหว งั้นเดี๋ยวข้ากับอาย้งจะรีบขนของลงจากรถม้าก่อน""ถ้าอย่างนั้นข้าขอขึ้นไปเตรียมของสักครู่"เว่ยเหนียนเหยาเดินขึ้นมาหยิบเงินติดไปมากหน่อย ตามที่ได้ยินอาการลุงฟงน่าจะหนักไม่น้อย จากรายได้ของคนทั้งสามที่ทำกับนางมา ถ้าจะใช้จ่ายอย่างประหยัด ก็น่าจะมีเงินเก็บอยู่บ้างแต่ร้านยาในตัวเมืองเห็นว่าค่ารักษาแพง
เช้าวันนี้เว่ยเหนียนเหยารู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อรู้สึกว่าคนที่นอนอีกด้านขยับกาย"เหตุใดถึงรีบตื่นละเจ้าคะท่านพี่ ฟ้ายังไม่ทันแจ้งเลย เมื่อวานท่านก็ทำงานมาทั้งวัน วันนี้ตื่นสายเสียหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ""ตอนแรกพี่ว่าจะลงไปอาบน้ำที่ลำธารเสียหน่อย แต่ตอนนี้ไหนๆเจ้าก็ตื่นแล้ว พี่ว่า พี่พาเจ้าลงไปอาบน้ำด้วยดีกว่า เมื่อคืนเจ้าก็ผิดสัญญากับพี่แล้ว ตอนนี้ถือว่าให้รางวัลปลอบใจพี่นิดๆหน่อยก็แล้วกัน""เรื่องเมื่อคืนหาใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย เอาเถอะไปก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าไปอาบเป้ปเดียวนะเจ้าคะ เช้าๆแบบนี้ข้าว่า อากาศเย็นอยู่ไม่น้อย"หานตงจัดเตรียมสบู่ ก่อนจะจุดตะเกียงเดินนำภรรยาลงไปจากบ้านทางเดินไปลำธารถูกปรับให้เรียบ มีไม้ปักแขวนตะเกียงอยู่เป็นระยะ หานตงนำตะเกียงแขวนไว้ตรงไม้ที่ปักอยู่ริมน้ำบริเวณนี้หญิงสาวให้ช่างปรับไว้เป็นที่อาบน้ำบริเวณริมธาร สำหรับเด็กๆที่มักจะชอบมาว่ายน้ำเล่นหานตงถอดเสื้อผ้าออกเหลือแต่กางเกงข้างในติดกาย ก่อนจะช่วยภรรยา ถอดชุดด้านนอกออกบ้างชายหนุ่มตระกองกอดร่างงามให้เดินลงไปในน้ำลึกประมาณระดับอก"น้ำเย็นเหมือนกับที่เจ้าบอกจริงๆ มาเถอะพี่จะช่วยขัดถูตัวให้ เลือดลมจะได้เดินดี คล
"หลังจากที่กลับมาจากบ้านท่านในวันนั้น สามีของข้าเห็นว่าครอบครัวกำลังจะอดตาย เกรงว่าผู้คนจะก่นด่า ท่านแม่สามีว่า เป็นหญิงชั่วช้า ใจดำอำมหิต จึงกระเสือกกระสนนำกระดาษแผ่นนี้ไปที่ศาลากลาง เพื่อตัดขาดครอบครัวออกจากบ้านใหญ่ ไม่ให้ผู้คนก่นด่าท่านได้"เชอะ! เรื่องกลับขาวเป็นดำ เอาความดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น นางก็ทำเป็นนางเว่ยหลัวหลานถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนกลาง มือไม้สั่นระริก เมื่อถูกหลอกด่าเว่ยหานหมิงเห็นว่าตอนนี้ครอบครัวของตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แผนการที่เขากับมารดาวางไว้ถือว่าไร้ที่ติ คาดไม่ถึงว่าเป็นเพราะเขาประมาทพี่รองจนเกินไป ทำให้อีกฝ่ายพลิกกลับมาชนะได้หานหมิงพิจารณาทุกอย่าง อย่างรอบคอบอีกครั้ง ไม่เพียงแต่พี่ชายของเขาที่เปลี่ยนไป แต่คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ พี่สะใภ้หรือ คนรักเก่าของเขานั่นเองหานหมิงนึกทบทวนถึงสายตาของนางที่มองมายังเขา ความรัก ความห่วงหา อาลัยอาวรณ์ ที่เคยมี บัดนี้กับถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา และเหินห่างหากเขารู้ว่า นางมากความสามารถเช่นนี้ เขาคงจะเกลี้ยกล่อมมารดาให้ได้แต่งงานกับนาง แทนที่จะปล่อยให้พี่รองแย่งวาสนาเขาไปเช่นนี้ในเมื่อตอนนี้ การใช้ไม้แข็งไปก็รังแต่จะแตกหั
"พี่หานตง พี่หานตง ท่านผู้นำบอกให้ท่านกับพี่สะใภ้รีบไปที่ห้องแจ้งข่าวขอรับ ตอนนี้ท่านแม่ของท่านไปฟ้องร้องท่านข้อหา อกตัญญูต่อบิดามารดาขอรับ"หานตงหน้าซีดเผือด ไม่เคยมีบิดามารดาคนไหน ฟ้องร้องบุตรด้วยข้อหานี้มาก่อน เนื่องจากหากสืบสวนแล้วพบว่าบุตรผิดจริงบุตรคนนั้นจะต้องได้รับโทษตามกฎของหมู่บ้านและของทางการอีกด้วยตามกฎของหมู่บ้าน บุตรที่ได้รับโทษจะถูกโทษโบยห้าสิบไม้ หลังจากนั้นก็จะถูกนำชื่อออกจากตระกูลทั้งครอบครัว และขับไล่ออกจากหมู่บ้านส่วนผู้ใหญ่บ้านก็จะนำตัวไปส่งที่ศาลอาญากลางเมือง พร้อมข้อมูลความผิด คนผู้นั้นจะถูกตัดสินจองจำหนึ่งปี โทษโบยอีกห้าสิบไม้ ส่วนทรัพย์สินที่เป็นที่ดิน หรือกิจการที่เป็นชื่อตระกูล จะถูกโอนย้ายเข้าเป็นกองกลางของบ้านนั้นๆจะมีเพียงเงินทอง ของมีค่า หรือสิ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า เป็นสิทธิ์ของตระกูล ที่คู่สามีหรือภรรยา สามารถนำติดตัวออกไปจากหมู่บ้านได้เท่านั้นหานตงแขนขาอ่อนแรง ทรุดนั่งลงกับพื้นตาแดงก่ำ จนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขารู้ว่ามารดาไม่ค่อยจะรักเขานัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่า มารดาจะกล้าทำถึงเพียงนี้เว่ยเหนียนเหยาก่นด่าแม่สามีภายในใจ ผู้หญิงคนนั้นยังเป
"ท่านแม่ ท่านไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือขอรับ ข่าวที่น้องเล็กสืบมา ก็บอกอยู่แล้ว ตอนนี้ครอบครัวของเจ้ารอง ทำการค้าได้เป็นกอบเป็นกำ""นั่นสิเจ้าคะ ท่านแม่ อีกไม่นานท่านพี่ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าสมัครเรียนของหานเอ่อแล้ว อย่างน้อยท่านก็ควรให้อาตงมอบเงินให้ท่านสัก หนึ่งร้อยหรือสองร้อยตำลึงทองนะเจ้าคะ"นางเว่ยหมัวหลานปรายตามองบุตรชายคนโตและลูกสะใภ้ ตีโพยตีพาย ที่เห็นนางไม่ขยับเขยื้อนทำอะไรบ้างเลย"พวกเจ้าสงบใจลงบ้างเถอะ ข้าก็บอกพวกเจ้าไปแล้ว ว่าข้ากำลังรอเวลา""ท่านแม่เจ้าขา ท่านรอเวลาอะไรเจ้าคะ ท่านดูสิ ตอนนี้อาตงปีกกล้าขาแข็งขนาดไหน นี่ก็เลยวันที่ท่านกำหนดให้มอบเงินส่วนกลางแล้ว ข้าไม่เห็นเขาจะส่งเงินกลับมาสักอีแปะ""จริงด้วยขอรับ อีกอย่างเรื่องที่เขาซื้อที่ทำโรงงาน ข้าก็ไปสืบมาแล้ว ว่าเป็นเรื่องจริง เห็นว่าพรุ่งนี้ก็จะย้ายคนงานเข้าไปทำงานที่นั่นแล้ว หากปล่อยให้เขาใช้เงินเป็นเบี้ยแบบนี้ต่อไป คงไม่ดีแน่ขอรับท่านแม่""นั่นสิขอรับท่านแม่ ตอนนี้เพื่อนที่อยู่ในเมือง ก็เชิญข้าร่วมทุนทำการค้า ในเมื่อพี่รองทำการค้าได้เป็นกอบเป็นกำเช่นนี้ ก็น่าจะช่วยเหลือเจือจุนให้พวกเราได้ลืมตาอ้าปากบ้าง"คราวนี้เป็นเสี
ผ่านมาหลายวัน ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางไปไม่น้อย เว่ยเหนียนเหยาขีดฆ่าแผนงานต่างๆ ที่เสร็จเรียบร้อยไปแล้วช่วงนี้เด็กๆ ก็ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นเหมือนแต่ก่อน เพราะอาเส้าบุตรชายคนโตของท่านลุงฟง ตกลงที่จะเข้ามาสอนหนังสือเด็กๆ ให้เด็กทั้งสามเริ่มเรียนช้ากว่าเด็กทั่วไป ดังนั้นจึงต้องเพิ่มเวลาสอนขึ้นเป็นพิเศษ ตัวนางไม่เข้าใจเรื่องการศึกษาของคนยุคนี้เท่าไหร่ แต่โชคดีที่เจ้าของร่างเก่ามีความสามารถอ่านเขียนได้พอสมควร ไม่อย่างนั้นนางคงต้องไปนั่งเรียนพร้อมลูกๆ เป็นแน่หลังจากที่ปรึกษาและตกลงเรื่องค่าจ้างกันเป็นที่เรียบร้อย อาเส้าก็ส่งรายละเอียดของหนังสือและอุปกรณ์ที่ต้องซื้อหามาให้โชคดีที่ช่วงนั้นบ่าวรับใช้ของชุนเหมยนำรถม้าเข้ามาส่งพอดี บ่าวคนดังกล่าวส่งจดหมายให้กับนางอีกหนึ่งฉบับ ในจดหมายนั้นบอกให้เร่งสร้างหุ่นไม้ เพราะตอนนี้พี่สาวของนาง "สร้างกระแสนิยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"แถมยังเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนนี้ร้านที่เมืองหลวงวุ่นวายมาก แต่ละวันมีคนเดินเข้ามาสอบถามเรื่องหุ่นไม้จำนวนไม่น้อยบางจวนคุณหนูที่ไม่ขาดเงินพวกนั้น ถึงกับจะขอซื้อหุ่นที่ตั้งอยู่ที่หน้าร้านในราคาตัวละห้าสิบตำลึงทองเลยทีเดียว
"ท่านแม่ลี่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ"นางลี่สือหลินหันมายิ้ม พลางหยิบงานที่นางปักเสร็จขึ้นมาให้ดู"เจ้าลองดูก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง"เว่ยเหนียนเหยาพิจารณาดูผ้าที่นางลี่หลินสือส่งมาให้ เห็นว่าฝีเข็มคล้ายของนางอยู่เก้าถึงสิบส่วนก็วางใจ ตอนนี้ทั้งซินเซียงและนางลี่สือหลินต่างขึ้นมาเป็นช่างปักเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนลวดลายของผ้าปักทั้งหมด นางได้ให้สามีนำไปขึ้นทะเบียนที่หอการค้ากลางเป็นที่เรียบร้อยนางลี่สือหลินและซินเซียงขอร้องให้นางและสามี ร่างสัญญาการจ้างงานให้กับพวกนางด้วย เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย โดยให้กำหนดเพิ่มเข้าไปด้วยว่า จะต้องทำงานกับนางเป็นระยะเวลาสิบปี ห้ามสอนวิธีการปักนี้ให้กับใครตลอดสัญญา หากผิดสัญญาต้องเสียเงินค่าปรับเป็นจำนวนหนึ่งพันตำลึงทอง และรับโทษโบยที่มือห้าสิบไม้นางกับสามีปฏิเสธเพราะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย สำหรับคนทั้งคู่ที่เป็นเหมือนมารดาและน้องสาว นางดูออกว่าทั้งสองคนเป็นคนยังไงแต่นางลี่สือหลินยืนกรานว่ายังไงก็ต้องทำ นอกจากจะเป็นความสบายใจของพวกนางแล้ว ยังถือว่าสัญญาพวกนั้นคือความคุ้มครองที่พวกนางจะได้รับอีกด้วยนางชี้แจงต่อไปว่า หากต่อไปมีคนไม่ประสงค