"พี่สะใภ้ขอรับ สำหรับสบู่ของข้า ข้าคิดออกแล้วขอรับว่าจะทำยังไง"
เซียนย้งเกิดความคิดขึ้นตอนที่เขาฟังพี่สะใภ้กับทุกคนวางแผนการค้าถ่านกัน "ไหนเจ้าลองว่ามาซิ อาย้ง" "ตอนนี้สบู่ของข้ามีรูปร่างเหมือนสบู่ทั่วไปที่ขายอยู่ ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าออกแบบแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ นอกจากนั้นข้าอยากมีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่จะให้คนทั่วไปรู้ว่า นี่เป็นสบู่ของพวกเราด้วยขอรับ" "สัญลักษณ์?" "ขอรับพี่สะใภ้ ข้าอยากตั้งชื่อทางการค้าให้คนรู้ว่า สินค้าพวกนี้มาจากครอบครัวของพวกเรา" "ดีๆ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า" อาเสิ้นตาโต เขาก็อยากให้ถ่านของเขามีชื่อร้านเหมือนกัน "แล้วเจ้าคิดชื่อไว้แล้วหรือยัง หรือจะให้พวกข้าช่วยคิดให้" หญิงสาวมองดูเด็กหนุ่มทั้งสองที่กระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น ก็ช่วยส่งเสริม "ข้าอยากให้ร้านของข้า ชื่อ เหนียนเหยา ขอรับ" หญิงสาวตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเซียนย้งจะเสนอชื่อนางขึ้นมา "เจ้าพอจะบอกเหตุผลข้าได้หรือไม่อาย้ง" หานตงถามขึ้น เขาพอจะรู้ใจของน้องคนนี้ดี แต่ก็อยากจะรู้ว่า จะเหมือนที่เขาคิดไว้หรือไม่ "เพราะพี่สะใภ้ เป็นเสมือนแสงสว่างที่สาดเข้ามาในชีวิตของครอบครัวข้า ขับไล่ความมืดมิด ช่วยให้ข้าเห็นเส้นทางข้างหน้าที่จะเดินต่อไป ที่ข้าอยากจะพูดกับท่านมาตลอดก็คือ ขอบคุณท่านที่อยู่เคียงข้างพี่ชายของข้า ขอบคุณท่านที่คอยช่วยเหลือพวกข้าที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับท่าน ขอบคุณที่ท่านเป็นหลักพักพิงในยามที่พวกข้ากำลังจะล้มลง ขอบคุณท่านที่เป็นมืออันอบอุ่นที่ยื่นมาพยุงในวันที่พวกข้าไร้ทางไป ขอบคุณ ขอบคุณขอรับ" น้ำตาของเซียนย้งคลอเบ้า น้ำเสียงสั่นเครือ คำๆนี้เขาอยากเอ่ยมันออกมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้พูดออกมาซะที เหล่าบรรดาชายหนุ่มทุกคนในที่นั้นต่างนิ่งอึ้ง ดวงตาแดงก่ำ ต่างเห็นด้วยในคำพูดของเซียนย้ง หานตงที่นั่งตาแดง เอื้อมมือมากุมมือของนางบีบเบาๆ สายตาที่มองมา ถ่ายทอดทุกความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความหวงแหน หญิงสาวยกผ้าขึ้นซับน้ำตา "พวกท่านทำอะไรกัน อยากเห็นข้าร้องไห้อย่างนั้นหรือ เอาละ มาคุยเรื่องงานกันต่อ เอาเป็นว่า อีกเดี๋ยวข้าจะออกแบบแม่พิมพ์สบู่ให้กับเจ้าก็แล้วกัน แต่เจ้าต้องไปหาช่างปั้นดินเผาไว้ให้เรียบร้อย เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเจ้า อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับซื้อกะทิจากชาวบ้าน ข้าจะสอนให้เจ้าทำน้ำมันมะพร้าว ที่นำมาเป็นส่วนผสมของน้ำมันหอมกุหลาบ แต่เจ้าต้องรับซื้อกะทิพร้อมกะลามะพร้าวด้วย" "ทำไมละขอรับพี่สะใภ้ ท่านจะเอากะลามะพร้าวมาทำอะไรขอรับ" "กะลามะพร้าว สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำถ่านได้ดีนะสิ ชาวบ้านเอาทิ้งไว้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร สู้ให้นำมาขายให้พวกเราจะดีกว่า ส่วนกากมะพร้าวเจ้าให้ชาวบ้านนำไปตากแดดให้แห้งสัก 3-4วัน แล้วค่อยนำมาขายข้า" "ขอรับพี่สะใภ้" "ส่วนอีกเรื่อง ข้าได้คุยกับท่านพี่แล้วว่า เราจะต้องมีคนช่วยงานเพิ่ม ดังนั้นพวกข้าจะไปซื้อทาสเข้ามาสักหลายคน แต่ว่า ที่พักของพวกเขา นายช่างใหญ่ยังทำไม่เสร็จ ข้าจึงจะรบกวนพี่เหวินฉี ขอซ่อมแซมบ้านท่านให้พวกเขาไปพักชั่วคราวจะได้หรือไม่เจ้าคะ" "เรื่องนั้นข้าไม่ติดปัญหาอะไร พวกเจ้าจัดการได้เลย" "พี่สะใภ้ ถ้าอย่างนั้นข้ากับอาเสิ้น ขอตัวไปหาช่างอู่ก่อนนะขอรับ พวกข้าอยากจะไปปรึกษาเรื่องที่จะทำภาชนะที่นำมาใส่สินค้าขอรับ" "ได้สิ ยังไงเจ้านำจดหมายนี่ไปส่งให้พี่ชุนเหมยให้ข้าด้วยก็แล้วกัน" หลายวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มทุกคนในบ้าน ล้วนแต่มีงานรัดตัว อาเสิ้นกับเซียนย้ง ต่างได้รูปแบบของภาชนะที่จะนำมาใส่สินค้าของตนเองแล้ว ตอนนี้เพียงแต่รอคอยให้ช่างอู่และเพื่อนๆนำของมาส่งตามเวลาที่กำหนดไว้ ส่วนแบบพิมพ์สบู่เซียนย้งก็หาช่างปั้นดินเผาได้แล้ว นางจึงฝากแบบให้สร้างเตาน้ำมันหอมระเหยให้นางด้วยซะเลย งานต่างๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเปิดศาลบรรพชนแล้ว นางสั่งให้โรงงาน และช่างที่มาสร้างบ้านหยุดหนึ่งวัน เนื่องจากวันที่เปิดศาลบรรพชนทุกคนในหมู่บ้านต้องไปรวมตัวกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลใด อีกทั้งวันนั้นทุกคนจะต้องแต่งกายให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่บรรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว หญิงสาวหยิบชุดที่จัดเตรียมไว้สำหรับสามี บุตรชายและตัวเองออกมาจัดเตรียมไว้ กลิ่นหอมสดชื่นเกิดจากการที่นางนำเสื้อผ้าไปแช่ในน้ำที่ผสมน้ำหอมเอาไว้ โดยนางใช้เป็นกลิ่นมินต์ผสมกับกลิ่นดอกไม้อ่อน ทำให้เสื้อผ้าไม่มีกลิ่นฉุนจนเกินไปนัก "เหยาเอ๋อเจ้าทำอะไรอยู่" หานตงเดินเข้ามากอดเอวภรรยาไว้จากทางด้านหลัง "ข้านำเสื้อที่จะให้ท่านใส่วันพรุ่งนี้ออกมาเตรียมไว้ให้เจ้าค่ะ" "เสื้อพวกนี้หอมยิ่งนัก นี่คือเสื้อที่เจ้าบอกว่านำไปแช่น้ำหอมเอาไว้เช่นนั้นหรือ" "ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านพี่ ท่านชอบหรือไม่เจ้าคะ" "พี่ชอบกลิ่นกายเจ้ามากกว่า ดมกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ" หานตงกระซิบลงที่ข้างหูของนาง ก่อนจะไล้สันจมูกลากลงที่ลำคอระหง ดอมดมความหอมของเรือนร่างคนงามในอ้อมแขน ชายหนุ่มหมุนร่างงามกลับมา ยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ร่วงลงมาระใบหน้างาม สายตารักใคร่อ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อน ทำให้หญิงสาวสั่นสะท้าน เสหลบสายตาเร่าร้อนที่มองมา "เหยาเอ๋อ ทำไมหน้าเจ้าจึงแดงถึงเพียงนี้ เจ้าร้อนหรือไง หืมมมม " โอ้ยยยยยยยย! สามี อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะเจ้าค่ะ อย่ามายืนจ้องข้าแบบนี้ ข้าหัวใจจะวายตายอยู่แล้ว เห็นสายตาแวววาวเป็นประกาย จึงรู้ว่าสามีกำลังกลั่นแกล้งนางอยู่ ด้ายยยยยย สามี เดี๋ยวนางจะจัดให้เอง หญิงสาวเอื้อมมือไปโอบเอวสามี ก่อนจะซบหน้าเข้ากับอกแกร่ง ปลายจมูกไล้จากหน้าอกขึ้นไปหาลำคอ ใช้ปลายเล็บกรีดผ่านแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างยั่วยวน หานตงตัวสั่นสะท้าน ในดวงตาเพิ่มแววปรารถนาขึ้นอีกหลายส่วน หญิงสาวหยุดริมฝีปากไว้ที่ปลายคางของอีกฝ่าย ก่อนจะกระซิบตอบ "แล้วท่านพี่หนาวหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงตัวสั่นเช่นนี้" ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เจ้าจิ้งจอกจอมยั่วยวน ถึงกับกล้าลูบคมนายพรานอย่างเขา หากวันนี้เขาไม่จับนางกินจนร้องขอชีวิต เขาจะยอมลาออกจากตำแหน่งนายพรานอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเลย เว่ยเหนียนเหยาปรายตาค้อนสามี เขาก็รู้ว่าวันนี้ต้องตื่นแต่เช้า แถมยังต้องวุ่นวายอยู่ด้านนอกทั้งวัน เมื่อคืนกลับรบกวนการนอนของนางอยู่เป็นนานแสนนาน "โธ่เหยาเอ๋อ เจ้าก็อย่าโกรธพี่เลยนะ เอาเถอะวันนี้พี่รับปาก เจ้าจะให้พี่ทำอะไร พี่จะตามใจเจ้าทุกอย่างเลย" "ถ้างั้นท่านก็รีบจัดการตัวเองกับลูกๆให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าจะไปหาอะไรไว้ให้พวกท่านกินก่อนจะออกไปเจ้าค่ะ" หญิงสาวหุงข้าวและทำอาหารสองสามอย่างรวมถึงนึ่งซาลาเปาไว้หลายสิบลูก แม้จะอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่พอได้ดื่มชาเกสรดอกบัวผสมกับน้ำผึ้ง ก็ทำให้นางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ว่าโลกนี้จะมีเมล็ดกาแฟหรือไม่นะ ครั้งหน้าถ้านางเจอพวกพ่อค้าเร่นางจะลองถามดู เฮ่อ ร่างกายนางต้องการคาเฟอีนเหลือเกินตอนนี้ "เหยาเอ๋อ เจ้าจะให้พี่กับลูกแต่งตัวไปแบบนี้จริงๆเหรอ พี่ว่ามันจะดูเด่นเกินไปหรือเปล่า" หญิงสาวตาลุกวาว มองดูสามีกับบุตรชายที่อยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำ สลับกับการตัดริมผ้าด้วยผ้าสีเงินเข้มปักรูปเมฆมงคล เอวสอบรัดด้วยผ้าสีเงินปักลายเดียวกับตัวเสื้อ มองดูองอาจคล้ายคุณชายที่เกิดมาในตระกูลสูงซะมากกว่า บุตรชายสองคนของนางสวมชุดแบบเดียวกับบิดา ใบหน้าถ่ายทอดความคล้ายคลึงมาจากบิดาอยู่หลายส่วน แต่ดวงตานี่สิ ดวงตาของบุตรทั้งสองของนาง ไม่เหมือนทั้งนางและสามี แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงซะบุตรชายของนางก็น่ารักที่สุดอยู่แล้ว "ไม่เด่นหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็จัดเสื้อผ้าแบบนี้ให้กับทุกคนเหมือนกัน ข้าวเช้าข้าตั้งไว้แล้ว ท่านพี่พาลูกๆไปกินข้าวกันก่อน ข้าขอขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวสักครู่ " ทุกคนนัดมารวมตัวกันที่นี่ แล้วค่อยออกไปที่ศาลบรรพชนพร้อมกัน ดังนั้นเมื่อนางลงมาจากข้างบน ทุกคนก็มาพร้อมกันหมดแล้ว วันนี้ชายหนุ่มทั้งหมดแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน แตกต่างกันที่สีผ้าและลวดลายปักเท่านั้น ส่วนผู้หญิงนางก็เลือกชุดคล้ายๆกัน สีและลวดลายล้วนมาจากความชื่นชอบของพวกนางเอง ท่านลุงฟง ท่านป้าลั่วฮวา และท่านแม่ลี่ ล้วนใส่ผ้าเนื้อดี รูปแบบเหมาะสมกับผู้สูงวัย เพื่อไม่ให้สามีรู้สึกผิดต่อบิดามารดา นางจึงซื้อเสื้อผ้าชุดนี้เพิ่มอีกอย่างละสองชุด ให้สามีนำไปมอบให้กับบิดามารดาของตนเองด้วย "ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ ที่ข้าลงมาช้า" "ไม่ช้าหรอกเจ้าค่ะพี่สะใภ้ พวกเราแต่งตัวเสร็จ ก็ไม่มีอะไรทำ ยิ่งอาย้งยิ่งแล้วใหญ่ บอกว่าจะมานั่งคุยกับพวกอาเสิ้น เรื่องของการค้าที่คุยกันค้างไว้" "อาเหยา เจ้าก็กินอะไรรองท้องเสียก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไปหิวในงาน" "ข้ากินซาลาเปารองท้องตั้งแต่อยู่ในครัวแล้วเจ้าค่ะ ส่วนซาลาเปาที่เหลือข้าห่อเอาไว้ตั้งใจจะนำไปในงานด้วย เผื่อพวกเด็กๆจะหิวกัน" เมื่อตรวจดูทุกอย่างในบ้านเรียบร้อย ทุกคนก็ออกเดินทางไปศาลบรรพชนทันที เว่ยเหนียนเหยมองหัวไชเท้าน้อยทั้งสามหัว วิ่งเล่นกันอย่างร่าเริง อากาศวันนี้ดียิ่งนัก ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป ยิ่งมีเพื่อนพูดคุย ระยะทางถึงแม้จะไกลไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากมาย เมื่อกลุ่มของนางไปถึงก็เห็นชาวบ้านมากันพอสมควรแล้ว เนื่องจากปีนี้หานตงมอบเงินให้เยอะพอสมควร ทางผู้นำตระกูลทั้งหลายจึงสามารถจัดงานได้ใหญ่โตเช่นนี้ หานตงพาคนทั้งหมดไปคารวะคณะท่านผู้นำตระกูลและผู้ใหญ่บ้านที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประธาน เหล่าผู้นำตระกูลและผู้ใหญ่บ้านต่างยิ้มแย้มต้อนรับ พลางให้คนที่ดูแลงานนำกลุ่มของหานตงไปนั่งในที่ทางที่จัดเตรียมไว้ ปรกติแล้วโต๊ะช่วงด้านหน้าจะมีแต่ครอบครัวสายตรงเท่านั้นที่จะนั่งอยู่ แต่เนื่องจากคราวนี้หานตงเป็นผู้ออกเงินจัดงานทั้งหมด ครอบครัวของเขา และบิดามารดา จึงได้ถูกจัดให้นั่งอยู่ในช่วงด้านหน้าด้วย หญิงสาวถอนหายใจ ดีเหลือเกินว่าหานตงแยกครอบครัวออกมาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปนั่งที่โต๊ะของครอบครัวหลัก อีกทั้งงานนี้ก็ไม่ได้ให้นั่งตามตระกูลแต่อย่างใด มองไปคล้ายการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์อยู่บ้าง นางลอบมองไปที่โต๊ะของแม่สามี วันนี้ทั้งพ่อและแม่สามีต่างสวมชุดใหม่ที่สามีของนางนำไปให้ ทำให้ดูดีไม่น้อย นางเว่ยหมัวหลานยิ้มแย้มพูดคุยกับเหล่าบรรดาญาติของสามีที่เข้ามาทักทาย "พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะพาเหยาเอ๋อไปคารวะท่านพ่อท่านแม่ก่อน" หานตงกล่าวขอตัว โชคดีที่ภรรยาเขาขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยจัดโต๊ะให้ครอบครัวนั่งรวมกันทั้งหมด คนทั้งหมด โดยเฉพาะครอบครัวของท่านลุงฟงที่ไม่มีญาติอยู่ที่นี่เลย จึงไม่ต้องเก้อเขินเท่าไหร่นัก หานตงพาภรรยาและบุตรชายเดินตรงไปที่โต๊ะที่มารดานั่งอยู่ นางเว่ยหมัวหลานหันว่าเห็นเข้า ก็กวักมือเรียกอย่างรักใคร่ "นั่นอาตงอาแล้ว อาชิง อาเหนียน มาหาย่ามาลูก วันนี้เจ้าช่างแต่งตัวได้น่ารักเสียเหลือเกิน" หานตงพาภรรยาและบุตรชายคารวะคนที่นั่งในโต๊ะ นางเพิ่งสังเกตเห็นว่า มารดาเลี้ยงของนางก็นั่งอยู่ในโต๊ะนี้ด้วย ฝ่ายเด็กน้อยเห็นท่านย่าเรียกหาตน ก็ชะงักลอบมองตากัน หานชิงเห็นน้องชายหน้าเสีย ก็ก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าไปหาหญิงชราก่อน "ท่านย่า ขอรับ" คาดไม่ถึงตอนนี้ท่านย่าไม่เพียงแต่จะไม่ดุด่า กลับยกมือลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน "เด็กดีๆ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ หน้าตาเจ้าเหมือนกัน จนคนแก่อย่างข้าแยกไม่ออกเสียแล้ว" "ข้าหานชิงขอรับท่านย่า" "ท่านย่า เหตุใดข้าถึงไม่มีชุดใหม่ใส่บ้าง ข้าจะเอาชุดของพวกมัน ท่านให้พวกมันถอดออกมาให้ข้า" เสียงของเด็กน้อยอีกคนในโต๊ะทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ต่างพากันหน้าเสีย ยกเว้นสะใภ้ใหญ่ของนางเว่ยหมัวหลาน ที่หน้าตาบึ้งตึงตั้งแต่ครอบครัวของหานตงเดินเข้ามาแล้ว "หานเอ่อ เจ้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไงกัน เสียมารยาท อาตงเจ้าก็อย่าถือสาหลานเลยนะ เด็กๆก็แบบนี้แหละ เห็นอะไรสวยๆงามๆก็อยากจะได้" เด็กน้อยน้ำตาคลอ เขาไม่เคยถูกท่านย่าดุมาก่อน ปรกติแล้วเขาอยากได้อะไร เป็นท่านย่าที่ตามใจเขาที่สุด สะใภ้ใหญ่เห็นลูกชายตัวเองโดนว่าต่อหน้าคนอื่นก็ยิ่งไม่พอใจ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยเกรงใจครอบครัวของหานตงอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะชายหนุ่มไม่เคยโต้ตอบอะไรนางนั่นเอง "ท่านแม่สามี ท่านพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก น้องสามี ออกจะมีเงินมีทอง แค่ชุดเด็กชุดเดียว ทำไมถึงไม่คิดถึงหลานชายของตัวเองบ้าง อีกอย่างพี่ชาย พี่สะใภ้เปรียบไปก็คล้ายพ่อแม่ แทนที่จะกตัญญู ซื้อชุดใหม่มามอบให้สักชุดสองชุด นี่อะไรกลับแล้งน้ำใจยิ่งนัก" หานตงปรายสายตามามองพี่สะใภ้ ก่อนจะโต้ตอบด้วยเสียงเย็นชา "บิดามารดาของข้ายังอยู่ แต่พี่สะใภ้กลับให้ข้ามองท่านกับพี่ใหญ่เป็นบิดามารดา แบบนี้ไม่เท่ากับท่านกำลังแช่งชักบิดามารดาของข้าอยู่หรอกหรือขอรับ" นางเว่ยหมัวหลานถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนโต ที่ตอนนี้นั่งนิ่งไปแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะโดนหานตงตอบโต้ "ลูกเขย พวกเราล้วนแต่เป็นคนกันเอง หยอกล้อกันไปบ้าง เจ้าก็อย่าได้ถือสา ใช่ไหมเจ้าคะท่านพี่หมัวหลาน" นางมู่ชิงเหมี่ยนรีบพูดแก้ไขสถานการณ์ " ชุยเหลียน เหตุใดเจ้ายังไม่คารวะ พี่เขยกับพี่สาวของเจ้าอีก" เด็กสาวนางหนึ่ง น่าจะพึ่งพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นาน ยืนขึ้นอย่างเอียงอาย ท่าทางเคอะเขินอย่างมีจริต ก้มตัวลงคารวะหานตงอย่างอ่อนหวาน " พี่เขย พี่สาว" มู่ชุยเหลียนลอบมองบุรุษตรงหน้าอย่างพึงใจ ตอนที่ท่านแม่บอกว่าจะให้นางแต่งเป็นเมียรองของพี่เขยคนนี้ ตอนแรกนางก็ไม่ยินยอม เพราะภาพในความทรงจำของนางบุรุษผู้นี้มักจะรูปร่างซูบผอม เนื้อตัวสกปรกเพราะต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าป่าล่าสัตว์ เสื้อผ้าก็เก่า จนมีรอยปะชุนไปทั้งตัว ตอนนี้เมื่อนางมาเห็นเต็มตา หัวใจของนางก็ตกเป็นของบุรุษตรงหน้าไปเสียแล้ว ท่านแม่บอกว่า เรื่องของนาง ท่านย่าจะเป็นฝ่ายพูดกับพี่สาวต่างมารดาเอง พี่สาวคนนี้กลัวท่านย่าของนางดุจหนูกลัวแมว ต้องไม่กล้าขัดใจนางแน่ๆ ขอเพียงนางได้แต่งเข้าไป นางยังสาวยังสวย มารดาของนางยังเคยเขี่ยมารดาของพี่สาวทิ้งไปได้ ทำไมนางจะทำบ้างไม่ได้ "อุ้ย!" มู่ชุยเหลียนแกล้งสะดุดชายกระโปรง จนร่างเซเข้าไปหาร่างของหานตง ชายหนุ่มตกใจจึงยื่นมือออกรับร่างนางไว้ ชุนเหมยได้กลิ่นหอมสดชื่นลอยมาจากตัวเสื้อของอีกฝ่าย พี่เขยของนางช่างเป็นผู้ชายในฝันของนางจริงๆ "ขอโทษเจ้าค่ะพี่เขย" นางทำเป็นหน้าแดง หลบตาชายหนุ่มอย่างเอียงอาย หากแต่หานตงกลับรู้สึกเสียวสันหลังยังไงบอกไม่ถูก มือของภรรยาที่ยื่นออกมาปัดที่หน้าอกของเขาอย่างแรง พร้อมกับสายตาคาดโทษที่ส่งมา ทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งไปทันที "ท่านพี่ระวังตัวหน่อยสิเจ้าคะ ดูสิปล่อยให้เสื้อผ้าสกปรกได้ยังไง" อีน้องงงงงงงงงง อย่ามาอ่อยพ่อช้านนนน เรื่องของศาลบรรพชน พร้อมกับรายละเอียดเป็นเรื่องสมมุตินะคะ ไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมจีนใดๆ"ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ได้โปรดตื่นเถิด อย่าทิ้งข้ากับท่านพ่อไปนะขอรับ ฮือ ฮือ""ท่านพ่อ ทำไมท่านแม่ถึงนอนแน่นิ่งแบบนี้ ท่านพ่อช่วยปลุกท่านแม่หน่อยขอรับ"เสียงใครกัน หนวกหูชะมัด ฉันขอนอนนานๆหน่อยได้ไหม เว่ยเหนียนเหยา คิดในใจอย่างรำคาญ เมื่อวานนี้กว่าเธอจะปิดบัญชีของภัตตาคารหรูระดับห้าดาวเสร็จ เธอต้องเคร่งเครียดจนลืมกินลืมนอนไปหลายคืน " เจ้าใหญ่ เจ้ารอง หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ เจ้าดูแม่เจ้าไว้ก่อน เดียวพ่อจะไปตามท่านหมอจางมาดูแม่เจ้า"เสียงอีกเสียงดังขึ้น ฟังดูก็รู้ว่า น่าจะเป็นชายหนุ่มอายุไม่เยอะเท่าไหร่ ว่าแต่ว่าพวกเขาพูดถึงใครกัน แล้วคนพวกนี้เข้ามาอยู่ในบ้านเธอได้ยังไง แย่แล้ว!!! หรือว่าจะเป็นโจร เว่ยเหนียนเหยาคิดอย่างตกใจ พยายามที่จะลืมตาขึ้น แต่กลับรู้สึกปวดหัว และเจ็บข้างหลังท้ายทอยเป็นอย่างมาก หญิงสาวค่อยๆยกมือ ลูบไปยังบริเวณที่เจ็บ พร้อมกับลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แสงสว่างสาดเข้ากับดวงตา ทำให้ตาของเธอพร่าไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆคุ้นชิน หญิงสาวกวาดสายตามองดูโดยรอบนี่เธออยู่ที่ไหน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ หรือเธอถูกโจรจับมาเรียกค่าไถ่ สารพัดคำถามที่ไร้คำตอบดังขึ้นมาในหัว แต่ก่อนที
" ท่านพ่อเร็วเข้าเถอะขอรับ ท่านแม่อาการหนักแน่ๆ""ใช่ขอรับท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านแม่จำข้ากับพี่ใหญ่ไม่ได้ด้วยขอรับ"เสียงโวยวายของเด็กทั้งสองดังขึ้น พ่อของเด็กน่าจะพาหมอกลับมาแล้ว หญิงสาวแสร้งนอนนิ่ง เพื่อรอดูเหตุการณ์ "ท่านหมอ ท่านช่วยตรวจดูภรรยาข้าหน่อยเถอะขอรับ"น้ำเสียงทุ้มกล่าวอย่างนอบน้อม หมอชราถอนหายใจในความอยุติธรรมที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้รับ เขาบังเอิญรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น สองครอบครัวร่วมมือกันเล่นละคร เพื่อผลักดันชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ตนไม่ต้องการให้กระเด็นออกมา " หานตงเอ๋ย ข้าสงสารเจ้ายิ่งนัก เวรกรรมอะไรของเจ้าหนักหนา"ชายชราส่ายหน้า พลางนั่งลงตรงข้างร่างหญิงสาว หลังจากลงมือสำรวจบาดแผล และตรวจดูชีพจร เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงมอบยารักษาบาดแผลไว้ให้ หมอชราปฏิเสธที่จะรับเงินค่ารักษา ขอรับเพียงแต่เงินค่ายาเท่านั้นหลังจากที่หมอชราจากไป ชายหนุ่มจึงปลอบโยนลูกทั้งสอง ก่อนจะนำกะละมังและผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตัวของภรรยา เว่ยเหนียนเหยารู้สึกซาบซึ้งใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มปฏิบัติต่อเธอ ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้นมองสบเข้ากับดวงตาคู่คม เธอมองเห็นความกังวลปนเปกับความโล่งอก"เจ้ารู้สึกเ
สองสามีภรรยาเดินขึ้นเขาอย่างเร่งรีบ เมื่อเดินไปถึงแค่ตีนเขา กลับพบกอไผ่ขึ้นอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็พบกับความเขียวชอุ่ม นับว่าเป็นภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเว่ยเหนียนเหยารีบเดินเข้าไปสำรวจตรงกอไผ่ทันที หลังจากที่แหวกดูดวงตาก็เปล่งประกาย"ท่านพี่ ท่านมาช่วยข้าขุดหน่อไม้หน่อยเถิด เราจะได้นำกลับไปเป็นอาหารที่บ้าน""หน่อไม้พวกนี้มีรสฝาดไม่เหมาะจะนำไปเป็นอาหารหรอก"ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความไม่รู้ของผู้เป็นภรรยา หญิงสาวหาได้ถือสา ด้วยเข้าใจว่าผู้คนในอดีตย่อมไม่รู้ว่าควรนำหน่อไม้มาปรุงอาหารเช่นไรนางเพียงขุดขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้สามีดู พลางเน้นย้ำว่า ให้ขุดขึ้นมาให้เยอะหน่อยเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสามีไม่ปฏิเสธ หญิงสาวจึงค่อยๆ เดินสำรวจไปทางอื่นนางหยุดมองที่ต้นไม้กอใหญ่กอหนึ่ง หลังจากที่พิจารณาอยู่ชั่วครู่ ก็ตัดสินใจขุดลงไปในดินใต้ต้นไม้นั้นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในดินทำให้หญิงสาวยิ้มแก้วปริ อย่างน้อยๆ สิ่งนี้ก็ช่วยให้นางและครอบครัวรอดพ้นจากความหิวโหยไปได้พักใหญ่สองมือเรียวค่อยๆ นำสิ่งที่อยู่ในดินขึ้นมา มันฝรั่งหัวใหญ่ถูกดึงขึ้นมาใส่ลงไปในตะกร้าจนเต็มก่อนที่หญิงสาวจะเดินกลับไปหาสามี
ด้วยประสบการณ์ความยากจนที่เคยผ่านมา เรื่องการจุดไฟทำอาหารไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับนางหญิงสาวนำหม้อเก่าใบหนึ่งขึ้นมาใส่น้ำก่อนจะหั่นปลาเป็นชิ้นๆ ลงไปต้มในหม้อ หลังจากควบคุมไฟไม่ให้แรงจนเกินไป จากนั้นนางจึงนำมันฝรั่งออกมาปอกเปลือกและหั่นทิ้งไว้ มองดูปลาที่ต้มไว้มีฟองลอยอยู่ไม่น้อยจึงค่อยๆ ตักฟองคาวออก รอจนกระทั่งไม่มีฟองขึ้นมาอีก จากนั้นจึงใส่เกลือลงไปเล็กน้อยนางตักน้ำแกงขึ้นมาชิม รสชาติความหวานของเนื้อปลาบวกกับความเค็มของเกลือ แม้จะยังไม่ใช่อาหารเลิศรสแต่ก็น่าจะประทังความหิวไปได้เมื่อยกหม้อปลาลง นางรีบนำกระทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย นำมันฝรั่งลงไปผัดจนสุก จากนั้นปรุงรสชาติด้วยเกลืออีกหน่อยปลาสองตัวกับมันฝรั่งพวกนี้น่าจะช่วยให้มื้อนี้ของครอบครัวผ่านไปด้วยดี นางรีบนำอาหารออกไปวางบนโต๊ะกินข้าว ภายในบ้านไม่มีใครอยู่ กลับปรากฏเสียงดังอยู่ด้านนอกเว่ยเหนียนเหยาเดินออกไปตามเสียง พบว่าสามีกำลังทำความสะอาดอุปกรณ์ที่นำไปขึ้นเขา ส่วนบุตรชายทั้งสองก็นั่งเล่นกันอยู่ข้าง ๆ"ท่านพี่ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง มากินอาหารกันเถอะ"เด็กทั้งสองเมื่อได้ยินเสียงมารดาเรียก ก็รีบวิ่งกรูเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว หญิงสาว
หญิงสาวจัดการย้ายข้าวของเข้าไปไว้ในครัวจนเรียบร้อย หลังจากเห็นสามีกลับมาพร้อมปลาตามที่ต้องการ อีกทั้งปลาสองตัวที่จะนำมาทำอาหารเย็น ก็จัดการทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นสามีพาบุตรชายทั้งสองออกไปนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน นางจึงวางใจเดินกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง ก่อนจะนำผ้าทั้ง2พับขึ้นมาดูอย่างครุ่นคิด นางเริ่มนำผ้าเช็ดหน้า ถุงเครื่องหอม และ ถุงเงินขึ้นมาพิจารณาจากนั้นจึงเลาะถุงเงิน ตามด้วยถุงเครื่องหอมออกเพื่อศึกษาวิธีการตัดเย็บ อาจจะเป็นด้วยโชคชะตากำหนดไว้ให้ จึงทำให้ช่วงหนึ่งในเวลาที่ยากลำบากนางเคยทำงานอยู่ในร้านเสื้อผ้าชั้นสูงแห่งหนึ่ง ร้านร้านนี้เป็นร้านไม่ใหญ่มาก แต่ราคาเสื้อผ้าแต่ละตัวแพงลิบลิ่วทีเดียว เนื่องจากเสื้อผ้าที่ตัดแต่ละตัว รวมไปถึงการปักลวดลายต่างๆ จะต้องใช้มือปักเท่านั้นงานที่ออกมาแต่ละตัวจะได้รับการตรวจทานจากสายตาอันเฉียบคมของเจ้าของร้าน หากทำไม่ดีไม่ละเอียดจะถูกต่อว่าและให้นำกลับไปแก้ไขมาใหม่ให้เรียบร้อย เว่ยเหนียนเหยาเป็นคนหัวดี แถมยังละเอียดใส่ใจ เจ้าของร้านจึงเอ็นดูนางเป็นอย่างมากพร่ำสอนสิ่งต่างๆ ให้อย่างไม่คิดหวงวิชา ตอนนี้นางรู้สึกขอบคุณเจ้าของร้านเป็นอย่างยิ
เวลาดึกสงัดรอบข้างไร้เสียงรบกวน หากแต่ร่างสูงใหญ่กลับไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ หานตงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เช้าเขาจำได้ว่า ตัวเขาออกจากบ้านไปด้วยความหวังอันริบหรี่ หากแต่บ้านบิดามารดาเป็นเชือกเส้นสุดท้าย ที่เขาหวังจะเกาะเกี่ยวยามเมื่อกำลังจะจมน้ำแต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้รู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นเป็นเชือก แท้จริงเป็นเพียงแค่ฟางเส้นบางๆ ที่ไม่สามารถยึดเกี่ยวอะไรได้เขาจำได้ดี วันแต่งงานของน้องชาย ที่บ้านจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทั้งข้าวปลาอาหารมีวางไว้เต็มโต๊ะไปหมด เพื่อนบ้านต่างพากันมาแสดงความยินดีแตกต่างจากงานแต่งงานของเขากับภรรยา ท่านแม่อ้างว่าเพราะพวกเขาทำผิดประเพณี หากจัดงานใหญ่โตยิ่งจะเป็นขี้ปากชาวบ้านไปทั่ว จึงจัดงานเล็กๆ ขึ้นมาเท่านั้นมาครั้งนี้เขาบากหน้าไปขอยืมข้าว หวังเพียงแค่ให้บุตรชายทั้งสองได้ประทังความหิวโหย คำตอบที่มารดาเขาให้คือ ครอบครัวเขาเป็นคนนอก อาหารมีเพียงพอสำหรับคนในครอบครัวเท่านั้นเขาเงยหน้าสบตากับบิดา อีกฝ่ายก็เอาแต่หลบสายตา แม้เขาจะรู้ดีว่า เรื่องทุกเรื่องในบ้านบิดาล้วนให้มารดาเป็นคนดูแลหากแต่เขายังหวังว่าบิดาจะมีความผูกพันกับเขาสักนิด ช่วยเอ่ยปากกับมาร
สองสามวันที่ผ่าน เว่ยเหนียนเหยาได้ขอให้สามีพานางไปเลือกซื้อของที่ร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน เนื่องจากนางเห็นว่า ข้าวสารและเครื่องปรุงต่างๆ นั้นร่อยหรอจนแทบจะหมดลงไปแล้วหลังจากที่ช่วยกันขนข้าวของกลับมาเก็บไว้ที่บ้าน นางจึงขอให้สามีช่วยดูแลบุตรชายในช่วงนี้ โดยอ้างกับสามีไปว่า ในช่วงนี้ร่างกายของนางยังไม่แข็งแรง อีกทั้งบุตรชายทั้งสองยังเล็ก หากช่วงนี้สามีต้องออกไปขึ้นเขา เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหานตงเองเห็นว่า ในเมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินไปอีกพักใหญ่ เรื่องที่ภรรยาขอร้องก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ยังไงที่ผ่านมาเขาก็ดูแลบุตรชายทั้งสองมาเพียงคนเดียวอยู่แล้วเว่ยเหนียนเหยาเร่งมือปักผ้าตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นางรู้ว่าตอนนี้ทางบ้านเหลือเงินอยู่ไม่มากแล้ว ที่ทางที่จะเอาไว้เพาะปลูกก็ไม่มี เนื่องจากทางบ้านสามีซื้อที่ให้เฉพาะเพียงพอปลูกบ้านหลังนี้เท่านั้นหญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะมองดูผลงานที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเฮ้อ ในที่สุดก็เสร็จเสียที ร่างบางขยับคอขยับไหล่ไล่ความเมื่อยขบที่เกาะกินตามร่างกาย หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของงานอีกรอบ นางก็พาร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจากการโหมงานมาตลอดวันไปนอนบน
หลังจากทั้งครอบครัวอิ่มหนำกันแล้ว เว่ยเหนียนเหยาให้หานตงพาไปร้านขายข้าวสารและของแห้ง เมื่อมาถึงร้านขายของหานตงเห็นว่านี่เป็นเวลายามเว่ยแล้ว เขากลับบุตรชายจะไปบอกคนขับเกวียนให้รอพวกเขาสักครู่ เนื่องจากเกรงว่าคนขับเกวียนจะกลับไปเสียก่อนหากแต่หญิงสาวกลับส่งเงินให้สามี1ตำลึง พร้อมกับบอกให้สามีไปเลือกซื้อหมูเนื้อแดงครึ่งชั่ง เนื้อติดมันครึ่งชั่ง ไขมันหมูหนึ่งชั่ง และกระดูกหมูสองชั่ง จากนั้นให้หารถม้ารับจ้างมาสักคัน โดยเน้นว่าให้หาคันที่ใหญ่สักหน่อยไปรับของที่ฝากที่ร้านผ้าไว้ แล้วค่อยกลับมารับนางหญิงสาวเดินเข้ามาในร้านข้าวสาร ร้านร้านนี้จัดวางข้าวของอย่างเป็นระเบียบ ของทุกชิ้นไม่มีฝุ่นเกาะ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการทำงานเป็นอย่างมาก"ฮูหยินท่านนี้ ไม่ทราบว่า ต้องการซื้ออะไรบ้างขอรับ"ชายรูปร่างสันทัดเดินเข้ามาต้อนรับนางทันทีด้วยท่าทางอ่อนน้อม"เถ้าแก่ ข้าขอ ข้าวสารคุณภาพกลางสองชั่ง แป้งสาลีครึ่งชั่ง น้ำตาลทรายแดงครึ่งชั่ง เกลือสองจิน สารส้มครึ่งจิน เหล้าขม ซีอิ๊ว อย่างละไห อ๋อ ข้าขอเครื่องเทศต่างต่างอย่างละชุด และถ่านถุงเล็กหนึ่งถุงด้วยเจ้าค่ะ"เถ้าแก่ร้านอ้าปากค้าง เขาคิดไม่ถึงจริงจริง
"พี่สะใภ้ขอรับ สำหรับสบู่ของข้า ข้าคิดออกแล้วขอรับว่าจะทำยังไง"เซียนย้งเกิดความคิดขึ้นตอนที่เขาฟังพี่สะใภ้กับทุกคนวางแผนการค้าถ่านกัน"ไหนเจ้าลองว่ามาซิ อาย้ง""ตอนนี้สบู่ของข้ามีรูปร่างเหมือนสบู่ทั่วไปที่ขายอยู่ ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าออกแบบแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ นอกจากนั้นข้าอยากมีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่จะให้คนทั่วไปรู้ว่า นี่เป็นสบู่ของพวกเราด้วยขอรับ""สัญลักษณ์?""ขอรับพี่สะใภ้ ข้าอยากตั้งชื่อทางการค้าให้คนรู้ว่า สินค้าพวกนี้มาจากครอบครัวของพวกเรา""ดีๆ ข้าเห็นด้วยกับเจ้า"อาเสิ้นตาโต เขาก็อยากให้ถ่านของเขามีชื่อร้านเหมือนกัน"แล้วเจ้าคิดชื่อไว้แล้วหรือยัง หรือจะให้พวกข้าช่วยคิดให้"หญิงสาวมองดูเด็กหนุ่มทั้งสองที่กระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น ก็ช่วยส่งเสริม"ข้าอยากให้ร้านของข้า ชื่อ เหนียนเหยา ขอรับ"หญิงสาวตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเซียนย้งจะเสนอชื่อนางขึ้นมา"เจ้าพอจะบอกเหตุผลข้าได้หรือไม่อาย้ง"หานตงถามขึ้น เขาพอจะรู้ใจของน้องคนนี้ดี แต่ก็อยากจะรู้ว่า จะเหมือนที่เขาคิดไว้หรือไม่"เพราะพี่สะใภ้ เป็นเสมือนแสงสว่างที่สาดเข้ามาในชีวิตของครอบครัวข้า ขับไล่ความมืดมิด ช่วยให้ข้าเห
เว่ยเหนียนเหยายืนอยู่บนระเบียง คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นางนับถือนางลี่สือหลินมาก แม้จะรักบุตรชายเพียงใดแต่ก็ไม่ยอมเห็นผิดเป็นถูก กัดฟันส่งบุตรชายเข้ารับโทษที่ก่อตอนแรกนางยังคิดว่า นางลี่สือหลินจะล้มป่วยเพราะตรอมใจอยู่หลายวัน หากเพียงแค่สองวัน นางลี่สือหลินกลับลุกขึ้นไปทำงาน นางกับซินเซียงพยายามห้ามปรามขอให้พักผ่อนอีกสักหน่อยรอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากคู่นั้น ก่อนจะกล่าวว่า" อาเหยา คนเป็นแม่จะอ่อนแอไม่ได้ ตอนนี้บุตรชายของข้ากำลังหกล้ม ข้าหวังว่า สักวันเขาจะคิดได้ และลุกขึ้นยืนใหม่ เมื่อนั้นมือคู่นี้ของข้ายังต้องช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น"เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็น้ำตาคลอ ชาติที่แล้ว นางไม่มีพ่อแม่ ไม่เคยรับรู้ถึงความรักของพ่อแม่มาก่อน หญิงสาวคิดไปถึงต้นโสมเจ้าปัญหาต้นนั้น ที่บัดนี้ถูกนำไปเก็บไว้ในห้องของนางเป็นที่เรียบร้อยต้นโสมเพียงหนึ่งต้น แต่กลับลากดึงเอาความโลภโมโทสันภายในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ออกมาตีแผ่ นางหวังเพียงแต่ว่า ลี่ห่าวฟง จะไม่ทำให้มารดาของเขาผิดหวัง"พี่สะใภ้ พี่หานตงให้ข้ามาบอกท่านว่า วันนี้เป็นวันที่นัดกับช่างเฟิ่งไว้ขอรับ""เจ้าช่วยไปเรียกอาเสิ้นมาพบข้าหน
"ภรรยาเจ้าเร็วหน่อยเถอะ เราต้องรีบไปให้ทันรถเที่ยวเช้านะ""ท่านพี่จะรีบไปไหน ป่านนี้คนพวกนั้นยังไม่มีใครรู้หรอกน่า"นางลี่สือหลินยืนกำมือแน่นที่หน้าประตู จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกจากคนที่อยู่ข้างใน ห่าวฟงเห็นมารดา พร้อมน้องเขย น้องสาวยืนอยู่ก็ตกใจ พยายามตั้งสติ"ท่านแม่ ท่าน มาได้ยังไงขอรับ"นางลี่สือหลินมองดูบุตรชายที่ก้าวเท้าถอยหลังเข้าไปในบ้าน ในมือถือห่อผ้าห่อหนึ่ง"เจ้าใหญ่ พวกเจ้ารีบร้อนจะไปไหนกันแต่เช้า"นางลี่สือหลินไม่ตอบ แต่ย้อนถามบุตรชายแทน"พอ ดี แม่ภรรยาไม่ค่อยสบาย ข้าเลยจะพานางไปเยี่ยมดูอาการขอรับ"สะใภ้ตระกูลลี่เมื่อเห็นสามีส่งสายตามาให้ ก็รีบเอ่ยเสริมคำ"ใช่เจ้าค่ะท่านแม่สามี ท่านแม่ข้าไม่สบาย ข้าจึงจะรีบไปเยี่ยม อีกอย่างข้าอยากจะนำข่าวดีไปบอกท่านด้วยตัวเอง""พวกเจ้าก็เลยทำตัวเป็นบุตรเขยบุตรสาวที่ดี เอาต้นโสมไปเยี่ยมซินะ"นางลี่สือหลิน ตวาดออกไปอย่างหมดความอดทน มองมือบุตรชายที่กุมห่อผ้าแน่นเข้าไปอีก"ท่านแม่ ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจขอรับ""ข้าก็พูดเรื่องที่เจ้าสองสามีภรรยาเข้าไปขโมยโสมที่บ้านของอาเหยาไงละ"ห่าวฟงหน้าซีด เขารู้ตั้งแต่เห็นหน้ามารดาที่หน้าประตูแล้ว ว่าม
"มา มาลูกสะใภ้เจ้านั่งก่อน"นางลี่สือหลิน รีบบอกให้บุตรชายประคองลูกสะใภ้นั่งลงบนเก้าอี้"น้องสาว น้องเขยตอนนี้คงสบายดีสินะ ท่าทางจะร่ำรวยกันใหญ่"ลี่ห่าวฟงบุตรชายของนางลี่สือหลิน กล่าวออกมาอย่างประชดประชัน เขามองไปมองรอบๆบ้านหลังนี้ด้วยความอิจฉา ครั้งก่อนเขาเคยขอให้มารดา ช่วยพูดกับน้องสาวและน้องเขยว่าให้ตนและภรรยาเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย แต่คนพวกนี้ล้วนแล้งน้ำใจต่อเขากับภรรยา ดีว่ามารดาแอบส่งเงินทองไปให้เขาใช้อยู่เรื่อยๆ ชีวิตเขากับภรรยาจึงไม่ได้ลำบากอะไร"พวกข้าก็แค่มีกินมีใช้นะขอรับ ท่านพี่ภรรยา"เซียนย้งจริงๆ ไม่ค่อยจะชอบพี่ภรรยาคนนี้มากนะ เพราะเขาเป็นคนหยิบโหย่งไม่ค่อยชอบทำงานเท่าไหร่ แถมยังชอบใช้กำลังกับภรรยาของเขาและท่านแม่ยายอยู่บ่อยครั้ง"เอาละ เอาละ มากินข้าวกันเถอะ วันนี้พวกเจ้าต้องกินเยอะๆนะ อ้าวข้าลืม พวกเจ้ากินกันไปก่อน ข้าไปเอาน้ำแกงไก่ที่บ้านอาเหยาก่อน"นางลี่สือหลินออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมน้ำแกงไก่ถ้วยใหญ่"อาเซียงเมื่อกี้ตอนแม่ไปตักน้ำแกงไก่ เห็นกล่องใส่โสมยังวางอยู่ในครัว เห็นอาย้งบอกว่า โสมหัวนั้นราคาหลายร้อยตำลึงทอง ทำไมเอามาวางไว้อย่างนั้นละ"ซินเซียงแอบมองไปยังพี่ชาย
ชุนเหมยเมื่อเห็นน้องสาวต่างสายเลือด กระวีกระวาดวิ่งออกไปหาสามีก็ส่ายหัวยิ้มๆ นางเดินออกจากห้องโถง มุ่งตรงกลับเข้าห้องนอนทันที"เวิ้นสุ่ย"เสียงราบเรียบของหญิงสาวคล้ายพูดคุยกับอากาศที่อยู่ภายในห้อง เงาดำสายหนึ่งเคลื่อนออกมาจากมุมห้องอย่างเงียบๆ"นายหญิง""เจ้าไปสืบเรื่องนั้นมาให้ข้า จำไว้ข้าต้องการเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด"ไร้เสียงตอบรับใดๆ มีเพียงเงาดำสายนั้น ที่เลือนหายไปคล้ายไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ชุนเหมย เดินออกจากห้องไปช้าๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"ท่านพี่ตอนที่อยู่ที่หอการค้ากลางทำไมท่านไม่ช่วยข้าออกความคิดเห็นบ้างเลยเจ้าค่ะ"หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างแง่งอน ที่สามีไม่ช่วยนางออกความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับร้านค้าที่นางจะซื้อ"ก็พี่ไม่มีความรู้เรื่องนี้ พี่ว่าร้านไหนเจ้าเห็นว่าดีพี่ก็ว่าดี พี่ล้วนเชื่อฟังเจ้าเหยาเอ๋อ"เซียงย้งกลั้นหัวเราะหน้าแดง เมื่อเห็นพี่ชายกลายสภาพเป็นแมวหนุ่มช่างออดอ้อนต่อหน้าพี่สะใภ้ ก่อนจะรีบปรับสีหน้า เมื่อเห็นสายตาพิฆาตที่พี่ชายส่งตรงมาให้"พี่สะใภ้ในเมื่อท่านยังไม่ถูกใจ ก็ค่อยๆ หาไปก็ได้ขอรับ ข้าและ พี่หานตงล้วนเชื่อฟังท่าน""อะ นั่น นั่น น่าจะใช่ร้านเหล็กที่พี่ช
เว่ยเหนียนเหยากำลังกล่าวขอตัวจากเหวินฉีและภรรยา แต่อาเสิ้นก็เดินเข้ามาในบ้านซะก่อน"พี่บุญธรรม ท่านพอจะมีเวลาสักครู่หรือไม่ขอรับ ถ่านเตาแรกตากแดดดีแล้ว ข้าอยากพาท่านไปดู""ได้สิ งั้นอาเซียงเจ้าไปโรงงานเถอะ เดี๋ยวพวกข้าจะไปกับอาเสิ้น"อาเสิ้นลากถ่านที่เขาเก็บใส่ตะกร้าแล้ว ออกมาให้ทุกคนดู หญิงสาวหยิบถ่านขึ้นมาตรวจดู เห็นว่าทุกก้อนแห้งสนิทแล้วจริงๆจึงให้อาเสิ้นลองก่อไฟขึ้นมาดู ถ่านนี้เป็นถ่านที่ทำจากเศษไม้ต่างๆที่เก็บมารวมกัน จึงทำให้มีควันไฟค่อนข้างมาก ซ้ำยังมีกลิ่นแรง แถมแรงไฟที่ได้ก็ไม่สม่ำเสมอนางบอกให้อาเสิ้นจดข้อเสียเหล่านี้ไว้ เพราะเตาต่อไปจะลองใช้ไม้ไผ่อย่างเดียว อาเสิ้นตื่นเต้นมากอยากจะรีบไปเก็บไม้ไผ่กลับมาทดลองแต่นางบอกว่า รอให้พวกนางกลับมาจากในเมืองก่อนจะดีกว่า จะได้มีคนขึ้นเขาไปเป็นเพื่อนเมื่อเห็นว่าไม่มีธุระอะไรที่ต้องทำในบ้านแล้ว เว่ยเหนียนเหยาจึงรีบเดินทางเข้าในเมือง วันนี้นางมีงานต้องทำมากมายเลยทีเดียวเมื่อมาถึงตัวเมือง นางให้สามีและเซียนย้ง นำปลาไหลที่ได้ไปขายก่อนหานตงจึงมุ่งหน้าไปที่ภัตตาคารที่เคยนำปลาไหลมาขายในครั้งก่อน เสี่ยวเอ้อจำพวกเขาได้ก็ร้องทักอย่างดีใจ"พวก
"อาเซียง เจ้าเดินรอข้าด้วยสิ""อาย้งเจ้าก็เดินให้เร็วหน่อยสิ พี่สะใภ้กำลังรอไก่จากข้าอยู่นะ""เดี๋ยวนี้ เจ้าหายใจเข้าหายใจออกเป็นพี่สะใภ้ ข้าชักจะน้อยใจแล้วสิ""หึ แน่นอนว่า พี่สะใภ้ของข้า ต้องสำคัญกว่าเจ้า""เจ้าพูดเช่นนี้ คอยดูเถอะ คืนนี้ข้าจะลงโทษเจ้าเช่นไร""เจ้า! ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเดินเร็ว นี่มันหน้าบ้านท่านป้าเจ้านี่ รีบเดินเร็วๆ เข้าเถอะ เจ้าไม่กลัวหรือยังไง"ซินเซียงหันซ้ายแลขวา เนื่องจากบ้านหลังนี้เป็นบ้านของท่านป้าของเซียนย้ง แต่นางเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ส่วนบุตรชายกับลูกสะใภ้ก็ทำงานที่เมืองหลวง จึงปล่อยบ้านทิ้งร้างไว้เคร้ง......ปึก ปึก ปึกซินเซียงหันไปเกาะแขนเซียนย้ง หน้าขาวซีด"อา...ย้ง เจ้า..ได้ยินเสียง อะไรไหม""คงจะเป็นเสียงหนูละมั้ง ข้าว่าเรารีบไปกันดีกว่าเนอะ"เซียนย้งที่หิ้วไก่อยู่ ใช้มืออีกข้างดึงให้ซินเซียงรีบเดินตาม"อาย้ง ....อาเซียง""อา...ย้ง ได้ยินเสียงคน คนเรียก พวกเราไหม"ตอนนี้ เซียนย้งเองก็เริ่มหน้าซีดไปเหมือนกัน จับมือซินเซียงเตรียมวิ่งออกไป"อาย้ง อาเซียง นี่ข้าเอง พี่ซีเม่ย ภรรยาท่านพี่เหวินฉีไง""พี่สะใภ้ เป็นท่าน แล้วท่านพี่เหวินฉีละขอรับ"เซียนย
" พี่สะใภ้ท่านมาแล้ว ข้าจะออกไปตามก็ไม่กล้าวางมือ""อาย้ง นำโถที่ข้าเตรียมไว้ทางโน่นมา นำผ้ามาปูบนปากโถ แล้วเอาผ้าชิ้นเล็กที่ข้าตัดไว้แล้ว รัดผ้าที่วางตรงปากโถให้แน่น ข้าจะกรองน้ำมันหอมอีกรอบ"เซียนย้งทำงานคล่องแคล่ว เดี๋ยวเดียวโถพร้อมผ้ากรองก็อยู่ตรงหน้านาง นางจัดการตามขั้นตอนสุดท้ายอย่างรวดเร็วในที่สุดน้ำมันทั้งหมดก็ถูกเทใส่โถ และดอกกุหลาบก็ถูกวางใส่ผ้ากรองทิ้งไว้"พี่สะใภ้ ต้องวางไว้นานเท่าใดขอรับ""วางไว้จนกว่า น้ำมันในดอกไม้จะออกมาหมด""ดอกไม้กับน้ำมันยังเหลืออยู่ ท่านจะให้ข้าทำต่อเลยไหมขอรับ""น่าจะทำต่อได้อีกหนึ่งถังเจ้าจัดการเลย ข้าจะคอยดู"เซียนย้งจัดการตามวิธีที่จำได้ มีผิดไปบ้างแต่เว่ยเหนียนเหยาก็คอยบอกอยู่ข้างๆ จนตุ๋นน้ำมันหอมเรียบร้อย"เอาละทีนี้มาตัดสบู่กัน เจ้าไปหยิบถาดที่ใส่สบู่มา"เซียนย้งหยิบถาดที่ใส่สบู่มาหนึ่งถาด วันนี้พี่สะใภ้ทำสบู่สามถาด เขาทำเองอีกหนึ่งถาด รวมแล้วเป็นสี่ถาด เดี๋ยวถาดนี้ให้พี่สะใภ้ตัดให้เขาดู ส่วนถาดอื่นๆเขาจะขอลองตัดเองเว่ยเหนียนเหยารับถาดไม้มา จากนั้นก็ใช้มีดเล็กบางเลาะไปข้างๆถาดไม้แล้วคว่ำถาดลงเคาะเบาๆ สบู่ก็หลุดออกมา นางจับก้อนสบู่ก้อนใหญ่ไ
หญิงสาวเล่าเรื่องที่เว่ยหานหมิงเข้าหานาง ทุกคำพูด ทุกการกระทำ นางล้วนเล่าออกมาทั้งหมด นางไม่ใช่นางเอก ที่จะยอมปิดบังเรื่องต่างๆ เพื่อความสบายใจของพระเอก จนบางครั้งก็เกิดเรื่องราวใหญ่โตสำหรับนางการพูดคุยกันทุกเรื่องจะช่วยให้ชีวิตคู่ของพวกนางมั่นคงขึ้นอีกก้าว"เจ้าบอกว่าน้องเล็กเรียกเจ้าว่า อาเหยา หรือ""เจ้าค่ะ""แถมยังทำท่าอาลัยอาวรณ์เจ้าอีก""เจ้าค่ะ""ถ้าอย่างนั้นต่อไป เจ้าก็ไม่ต้องตามพี่ไปที่บ้านนั้นอีก และต่อไปพี่จะไม่เรียกเจ้าว่า อาเหยา แล้ว"อ้าว นี่นางทำให้สามีทำไหน้ำส้มหกนองหรือไร หญิงสาวเอนกายซบอกแกร่งสามีอย่างออดอ้อน"ถ้าเช่นนั้น ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรดีเจ้าคะ""เหยาเอ๋อ พี่จะเรียกเจ้าว่า เหยาเอ๋อ ต่อไปเจ้าจะเป็นเหยาเอ๋อของพี่เพียงคนเดียว เจ้ายังจำสัญญาได้หรือไม่ ครั้งนี้เจ้าต้องมีลูกสาวอวบอ้วนให้พี่สักหลายๆ คนนะ เหยาเอ๋อ"ชายหนุ่มจับคางภรรยาขึ้นรับจุมพิตอ่อนโยนที่เขามอบให้ เขารู้ว่า นางไม่ใช่อาเหยาในอดีตที่มีใจรักต่อเว่ยหานหมิงผู้เป็นน้องชายครั้งนี้เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะทำตามคำสั่งบิดา ไม่จำเป็นจะไม่ไปที่บ้านหลังนั้นอีกกลิ่นกายหอมกรุ่นในอ้อมแขน ดึงสติเขาออกจากความคิ