ชาติก่อน เสิ่นซางหนิงถูกน้องสาวต่างมารดาให้สลับสามี จนทำให้นางได้แต่งงานกับชายเสเพลไม่เอาไหน ส่วนน้องสาวกลายเป็นชายาซื่อจื่อ แต่สุดท้ายซื่อจื่อก็สิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนชายเสเพลคนนั้นกลับกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เกิดใหม่อีกครั้ง คราวนี้น้องสาววางแผนจะแต่งงานกับชายเสเพล แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสิ่นซางหนิงได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ถึงทำให้ชายเสเพลนั้นได้ประสบความสำเร็จ เสิ่นซางหนิงมองดูน้องสาวได้แต่งเข้าตระกูลที่ย่ำแย่อย่างเฉยเมย และตนเองได้แต่งงานกับท่านซื่อจื่อที่สูงส่ง ครั้งนี้ นางตัดสินใจว่าจะให้กำเนิดทายาทซื่อจื่อก่อนที่สามีมีอายุสั้นจะเสียชีวิต ทว่าในใจของซื่อจื่อมีแต่เรื่องชาติบ้านเมือง ไม่คิดเรื่องอื่นแต่อย่างใด เสิ่นซางหนิงได้แต่พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้เขาและยั่วยวนเขา หลังๆ พอท่านซื่อจื่อได้ลิ้มรสก็ติดใจ ขอร้องทั้งตรงๆ และแบบอ้อมๆ ว่า "หากคุณภรรยามีลูกแล้ว ก็ยังต้องการข้าอยู่ใช่หรือไม่" ต่อมาสามีจากชาติก่อนก็เกิดใหม่อย่างกะทันหัน และตามจิบเสิ่นซางหนิงไม่เลิกรา เสิ่นซางหนิงปฏิเสธอย่างเย็นชา "น้องรองให้เกียรติตนเองด้วย ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า" [รักหวานแหวว รักแรกทั้งคู่] + [เอาคืนคนชั่ว] + [ฟินมาก]
View Moreจากนั้นก็คลานออกมาจากบ่อน้ำ เข้าไปในสลัมที่มืดมิดชื้นแฉะ"พี่อวิ๋นจ้าว ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว! " เด็กน้อยธรรมดาหลายคนวิ่งเข้ามาหานาง ถนนไม่เรียบ เกือบจะล้มลงเด็กๆ เห็นมือทั้งสองของนางว่างเปล่า ก็จ้องมองอย่างโหยหาหลายวันที่อวิ๋นจ้าวอยู่ในคุก มีเด็กหลายคนก็หิวจนผอมแล้วแววตาของนางมืดมิดลงเล็กน้อย นึกถึงคำสัญญาเมื่อครู่ของหญิงสาวแปลกหน้า ในใจของนางก็มีความคิดใหม่เกิดขึ้น"หลายวันที่เจ้าไม่อยู่ อาหารกินหมดแล้ว" ชายหนุ่มร่างผอมนั่งอยู่ตรงมุม "ข้ารับงานหนึ่ง นายจ้างเสนอเงินให้หนึ่งร้อยตำลึง เพื่อซื้อชีวิตคนหนึ่งคน"อวิ๋นจ้าวไม่พอใจ "เราไม่ฆ่าคน""ข้ารู้ ข้าไปฆ่าเอง" ชายหนุ่มร่างผอมสีหน้ามืดมน มองไปที่อวิ๋นจ้าวแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว ข้าเป็นคนที่อยู่ในความมืด ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพอย่างถูกต้องได้ และเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ไม่ได้"สีหน้าของอวิ๋นจ้าวบูดบึ้งทันที บรรยากาศแปลกๆ ชายหนุ่มคนนั้นอธิบายขึ้นว่า "ข้าถามแล้ว คนที่จะฆ่าคือขุนนางชั้นสูง ไม่ใช่คนดี"เมื่ออวิ๋นจ้าวได้ยิน สีหน้าของนางก็เคร่งขรึม "ขุนนางชั้นสูง หนึ่งร้อยตำลึง? ข้าคิดว่าคนที่เสนอราคาต่างห
ตอนที่เสิ่นซางหนิงกลับไปมาถึงเรือนชิงอวี๋น ก็เห็นสาวใช้ข้างกายของนางอวี๋ส่งยามาให้"ฮูหยินบอกว่า ยาที่เตรียมไว้สำหรับฮูหยินน้อย ส่งเสริมความประหยัดก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่สามารถกินยาที่หมดอายุ"สิ่งที่สาวใช้พูด คือคำพูดของนางอวี๋เสิ่นซางหนิงฟังแล้วก็รู้สึกขัดเขิน รับยามา และรีบให้จื่อหลิงไปเปลี่ยน "ยาที่หมดอายุ"ทันทีที่สาวใช้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งออกไป จื่อหลิงก็เข้ามากระซิบยืนยันเบาๆ "ยาชุนรื่อไม่เอาแล้วใช่ไหมเจ้าคะ? ""อืม" เสิ่นซางหนิงไม่สร้างปัญหาอีกจื่อหลิงเอายาไปวางด้วยความเสียใจพูดไปแล้วก็บังเอิญมาก ขวดของยาดับร้อนถอนพิษขวดใหม่นี้ กลับเหมือนกับยาชุนรื่อเมื่อก่อนทุกประการเสิ่นซางหนิงตั้งใจกำชับขึ้นเป็นพิเศษว่า "อย่าปนกันเด็ดขาด"จื่อหลิงมือสั่น สัญญาขึ้นอย่างหนักแน่น "ไม่ปะปนกันแน่นอน ข้าน้อยเชื่อถือได้เจ้าค่ะ"*ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว และคืนนี้เผยหลูเยียนก็ไม่มาจริง ๆเสิ่นซางหนิงก็ไม่รีบร้อน คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้เจอกับอวิ๋นจ้าวแล้ว จึงสั่งให้คนเตรียมทำความสะอาดห้องเล็กๆ เงียบสงบด้านหลังไกลๆ ไว้จื่อหลิงจะไม่อิจฉาก็ไม่ได้ "ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะเกี่ยวข้องกับคนประเภทนั้นใ
เมื่อเสิ่นซางหนิงกลับมาถึงจวน ก็ได้ยินอวี้เฟยมารายงานว่า ฮูหยินน้อยรองไปจุดธูปกราบไหว้ท่านแม่ของนางที่ห้องโถงบรรพบุรุษแล้วเสิ่นเมี่ยวอี๋มีเจตนาดีขนาดนี้จริงๆ ?นางหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังห้องโถงบรรพบุรุษท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงแดดจ้าเสิ่นเมี่ยวอี๋ไล่สาวใช้ออกไป เดินเข้าไปข้างในคนเดียว สายตาของนางกวาดมองไปป้ายวิญญาณ จากนั้นก็มองไปที่แถวที่สามลำดับที่หกเวยเซิงเหยียนนี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเมี่ยวอี๋รู้จักชื่อของนางเวยเซิงตระกูลเวยเซิงไม่เพียงไม่เพียงได้เข้ามาอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษของจวนกั๋วกง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชื่อของนาง น่าขำสิ้นดี!เสิ่นเมี่ยวอี๋ยิ้มเยาะ จากนั้นก็หยิบธูปสามดอกออกมาจากใต้แท่นบูชา มือขวาถือธูปแล้วจุดกับเทียนบนเชิงเทียน เมื่อเห็นว่าไฟแรงเกินไป นางก็เป่าดับทันทีนางเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจเข้ามาอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษแล้วยังไง?"คุณชายรอง ฮูหยินน้อยรองอยู่ด้านในเจ้าค่ะ" ด้านนอกเสียงของคนรับใช้ดังขึ้นเมื่อเสิ่นเมี่ยวอี๋ได้ยิน ก็ยืดตัวตรงขึ้น เมื่อด้านหลังมีเสียงฝีเท้าของผู้ชายดังขึ้น นางก็แสร้งทำเป็นพูดกับป้ายวิญญาณ——"ท่านแม่เจ้าคะ ลูกไม่เคยจุดธูปกราบไ
เรื่องที่ควรเข้าใจ นางก็เข้าใจหมดแล้วจื่อหลิงเปิดหน้าต่างรถม้า หยาดฝนก็ตกลงมา และแทรกซึมเข้ามาในรถตามช่องว่าง"เอ๊ะ นั่นซู่หยุนไม่ใช่หรือเจ้าคะ?" จื่อหลิงพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยิน เสิ่นซางหนิงก็มองไปตามสายตาของจื่อหลิงทันทีท่ามกลางสายฝน ด้านหลังที่คุ้นเคยที่ถูกเถ้าแก่ร้านหนึ่งส่งออกมา ก็คือซู่หยุนซู่หยุนมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง ถือร่มวิ่งไปท่ามกลางสายฝน"สองวันนี้ดูเหมือนนางจะยุ่งมาก" จื่อหลิงพูดขึ้น "ร้านนั้น ดูเหมือนจะเป็นร้านสินสอดของฮูหยินน้อยรอง"เสิ่นซางหนิงมองร้านเครื่องชาดนั้นอย่างมีความคิดบางอย่าง "อืม ตอนนี้อาจจะไม่แน่แล้ว"ด้วยนิสัยอยากมีเงินอย่างรวดเร็วของเสิ่นเมี่ยวอี๋ คาดว่าเวลานี้ก็คงคิดทุกวิถีทางเพื่อจะซื้อร้านอาหารร้านนั้นทางตะวันออกของเมืองตอนแรกก็ต้นทุนไม่พอ ขายร้านมันก็แน่นอนอยู่แล้วจื่อหลิงไม่เข้าใจ "ไม่ใช่ซู่หยุนมาเก็บค่าเช่าหรือเจ้าคะ?แต่มาขายร้าน?ฮูหยินน้อยรองขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?"แน่นอนว่าขาดเงิน ทั้งยังใจแคบด้วยใช้เงินและสินสอดของตระกูลเวยเซิง ยกชามขึ้นกินข้าว วางชามลงก็ด่าแม่โลภมากมักลาภหาย เสิ่นซางหนิงไม่พูดอะไรอีก
เขากลับบอกว่าเขาเชื่อความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ไหลผ่านหัวใจของนางทันที และรอยยิ้มก็เบ่งบานออกมาจากใบหน้าของเสิ่นซางหนิงนางหยิบถังหูหลูสดใสแวววาวขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา "ซานจาไม่แพ้ใช่ไหม? "เมื่อเห็นแก้มทั้งสองข้างของนางมีลักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น หัวใจของเผยหลูเยียนก็เต้นแรง แต่ใบหน้าของเขากลับรับถังหูหลูมาอย่างสงบถังหูหลูแต่ละลูกก็สดใสแวววาวดึงดูดใจ งดงามมีเสน่ห์มากยังไม่ออกน้ำตาลที่เกาะออก ก็ได้ยินเสียงแกร๊กๆ จากข้างๆ ดังขึ้น "มันหวานมาก"เผยหลูเยียนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเสิ่นซางหนิงกัดลงไปบนก้อนน้ำตาลแล้ว น้ำเชื่อมสีแดงเคลือบบนริมฝีปากสีชมพูของนาง เหมือนกับดอกท้อที่เพิ่งจะผลิบานกลิ่นหอมหวานผสมกับกลิ่นธูปหอมในรถม้า เผยหลูเยียนเหมือนจะได้กลิ่นหอมของน้ำตาลหวานมากจริง ๆความหวานนั้น ราวกับว่าเมื่อจมดิ่งลงไปแล้วก็จะติดใจมันแววตาของเขาเป็นประกาย ละสายตาไปทางอื่น และสั่งออกไปนอกรถม้า "ไปหกกรม"พูดจบ เขาถึงจะพูดกับเสิ่นซางหนิงว่า "วันนี้ข้ายังมีภารกิจทางการ อีกเดี๋ยวให้เฉินซูส่งเจ้ากลับไป"เสิ่นซางหนิงพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจ "ท่านก็ยุ่งกับงานของท่านเถอะ""แต่" นางหยุดลงชั่วขณะ และม
น้ำเสียงสงบราวกับเป็นเรื่องปกติจากนั้น เสิ่นซางหนิงก็เห็นเขาลืมตาขึ้น มองมาที่นางด้วยสายตาเร่าร้อนดวงตาที่ไม่แยแสของเผยหลูเยียนดูเหมือนกำลังมีความแหลมคมซ่อนอยู่ และกลับเก็บซ่อนมันไว้ในดวงตา "เจ้าก็ควรจะบอกชื่ออายุของเขากับข้า ข้าได้ช่วยประกันตัวออกมาได้ง่ายหน่อย""อวิ๋นจ้าว เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับข้า" เสิ่นซางหนิงพูดขึ้นเมื่อได้ยินเผยหลูเยียนก็หรี่ตาลง ดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อย"ซื่อจื่อ กรมราชทัณฑ์ถึงแล้วขอรับ" เฉินซูตะโกนขึ้นจากด้านนอกเผยหลูเยียนตอบขึ้นคำหนึ่ง เมื่อเห็นเสิ่นซางหนิงกำลังจะลุกขึ้น เขาจึงพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า "เจ้ารอข้าอยู่ในรถม้า ข้าไปไม่นาน"เสิ่นซางหนิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้ง หยิบตั๋วเงินในกระเป๋าเงินออกมา "ท่านเอานี่ไป""ไม่จำเป็น" เขาเดินเข้าไปในกรมราชทัณฑ์ทันทีเสิ่นซางหนิงก้มหน้ามองเงินสามหมื่นตำลึงในมือ ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกประมาณหนึ่งในสี่ของหนึ่งชั่วยาม เผยหลูเยียนก็ออกมาจากศาลาว่าการของกรมราชทัณฑ์เมื่อออกมา ก็มีเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ในชุดสีเขียวออกมาส่งด้วยรอยยิ้ม"เป็นยังไงบ้าง? " เสิ่นซางหนิงโผล่หน้าออ
เฉินซูรู้สึกว่านางตลกเล็กน้อย ทุกคำนำหน้าของนางก็ต่างเป็น "ฮูหยินน้อยบอกว่า"ใบหน้าที่เดิมทีกังวลเล็กน้อยของเขาจู่ๆ ก็มีรอยยิ้ม "เจ้าเองไม่มีอะไรพูดหรือ? ""มีสิ " จื่อหลิงรอยยิ้มหายไป หยิบถังหูหลูออกมาจากห่อผ้าไม้หนึ่ง แล้วยื่นให้เขา "ให้เจ้าไม้หนึ่ง "……กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งรถม้าท่าทีของเผยหลูเยียนในวันนี้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ เสิ่นซางหนิงจ้องเขาแวบหนึ่ง ข้อมือก็ถูกเขาปล่อยออกมานางดึงมือกลับมา และนวดข้อมือด้วยความไม่พอใจ ฟังเขาพึมพำขึ้น——"สามีภรรยาคือคนคนเดียวกัน ถ้าเจ้าเจอกับเรื่องอะไร ก็สามารถบอกกับข้าได้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังไว้ "แววตาของเขาจริงจัง น้ำเสียงก็เช่นกันเมื่อครู่เสิ่นซางหนิงยังรู้สึกโกรธ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ในแววตาของนางปรากฏความกังวลขึ้นนางต้องการไปที่คุกกรมราชทัณฑ์เพื่อประกันตัวคน ถ้าได้รับการช่วยเหลือจากเผยหลูเยียน ก็จะต้องราบรื่นมากขึ้นเพียงแต่…นางพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบและในเวลานี้ เผยหลูเยียนก็กำลังสังเกตสีหน้าของนางเช่นกัน เมื่อเห็นนางมีสีหน้าลังเล เขาก็คิดว่านางเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ ก็
เฉินซูตอบรับขึ้นว่า "ซื่อจื่อ ร่มขอรับ! "ออกจากเชิงชายที่กำบังแล้ว หยาดฝนก็ตกลงมาบนร่างของเผยหลูเยียน โชคดีที่เขาเดินเร็วเสิ่นซางหนิงเห็นเขาเดินฝ่าฝนมา และสองก้าวก็มาถึงนางทำอะไร? นางไม่เข้าใจนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเปียกฝนต่อหน้านางแล้ว ทั้งที่เป็นคนที่รักความสะอาดมาก และใช่ว่าจะไม่มีร่ม แต่เขากลับไม่ยอมรอให้บ่าวรับใช้ถือร่มให้เปียกฝนหลายครั้งเข้า มิน่าร่างกายถึงอ่อนแอลงง่ายเสิ่นซางหนิงรู้สึกว่านางทุ่มเทแรงใจหนักมาก นางชูร่มให้สูงขึ้นทันที และอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า :"ทำไมไม่เอาร่มมา? "ขณะที่นางถือร่ม ผู้ชายก็ก้มตัวลงเล็กน้อย เข้ามาในร่มเผยหลูเยียนเอาร่มมาจากมือของนาง การเคลื่อนไหวของเขาเป็นธรรมชาติราวกับเขาต้องการรับร่มมาอย่างนั้น แม้นางจะไม่ถือร่มให้เขาก็ตาม"เจ้า...แย่งร่มของข้าหรือ? " เสิ่นซางหนิงเงยหน้าขึ้น มองเขาเขาพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า : "คำพูดที่ฮูหยินพูดเมื่อวานยังจำได้อยู่หรือเปล่า? "เสิ่นซางหนิงยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น "ประโยคไหน? "เผยหลูเยียนครุ่นคิดและพูดขึ้นว่า "เจ้าพูดว่าจะสร้างความรัก"ขณะที่เขาพูด เขาก็สังเกตเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งห
เสิ่นซางหนิงหันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าชายกระโปรงของจื่อหลิงเปียกแล้วจื่อหลิงไม่เพียงไม่สนใจ แต่กลับมีสีหน้าตื่นเต้น——"บ่าวผู้ชายคนนั้นชื่อว่าอาคัง ตอนนั้นถูกพ่อค้าชาที่มาเมืองหลวงซื้อไป คือพ่อค้าชาหลงซี"เมื่อได้ยิน แววตาสดใสของเสิ่นซางหนิงก็มืดมนทันทีคนไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ถ้าต้องการสืบ ก็น่าจะค่อนข้างลำบากเห็นได้ชัดว่าจื่อซูก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน นางพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า "ฮูหยินน้อย เราไม่คนที่สามารถใช้ได้"หลงซีต้องข้ามน้ำข้ามภูเขา แน่นอนว่าไม่สามารถส่งสาวใช้ไปที่นั่นได้แต่ตอนนี้เสิ่นซางหนิงยังไม่มีบ่าวผู้ชายที่สามารถใช้งานได้ แต่สัญญาซื้อขายตัวของบ่าวผู้ชายในจวนป๋อก็ต้องอยู่ในมือของนางหลิ่วทั้งหมดบ่าวผู้ชายของตระกูลกง...หากนางให้บ่าวรับใช้ของจวนกงไปสืบ จะต้องปกปิดเผยหลูเยียนไม่ได้แน่นอนแล้วมันจะต่างอะไรกับการถามเผยหลูเยียนตรงๆแม้จะเป็นแบบนั้น เสิ่นซางหนิงก็ยังไม่ยอมแพ้ นางยังคงอยากจะรู้เรื่องราวของแม่นางกวงคนนี้"มีร้านค้าร้านหนึ่งในชื่อของข้าเหมือนจะเช่าให้กับพ่อค้าหลงซีใช่ไหม? " จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็ถามขึ้น——"จื่อซู เอาตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงไปเจรจากับพ่อค
ในช่วงเวลาสะลึมสะลือ ชายกระโปรงก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆเสิ่นซางหนิงคิดว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตานางเป็นถึงนายหญิงใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนในจวนหนิงกั๋วกง(ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ) ผู้ใดกล้าปีนขึ้นไปบนเตียงของนางในกลางดึกเล่าจนกระทั่งได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด เสิ่นซางหนิงก็ตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน นางลืมตาขึ้นและตรงหน้ามืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยทว่าบนตัวกลับมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่คุณพระช่วยเสิ่นซางหนิงรู้สึกตกใจมาก และยื่นมือออกเพื่อผลักเขาออกทันที "ช่างบังอาจ ไอ้..."คำพูดถูกบรรยากาศที่ช่างเร้าอารมณ์นั้นขัดจังหวะกระแสนิยมของสังคมปัจจุบันกลับแย่กว่าแต่ก่อนเลย ผู้คนที่มีนิสัยไม่ดีได้มากขึ้นเรื่อยๆเสิ่นซางหนิงเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่านี่ก็อายุสี่สิบปีแล้ว ยังต้องเจอกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ผลกระทบนั้นมันรุงแรงมาก จนนางไม่สามารถได้ยินเสียงตัวเองได้เปลี่ยนไปเป็นเสียงตอนสมัยสาวๆ ด้วยซ้ำ"ไอ้สารเลว!"นางผลักเขาไม่ออก แต่ก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงต้องโหดร้ายขึ้นมาและกัดไหล่ของชายคนนั้นอย่างแรง เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเลย"เฮ้อ" ชายคนนั้นสู
Comments