เสิ่นซางหนิงรู้ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนค่ำคืนที่มิดสนิท แต่ในจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ทางเดินถูกแขวนด้วยผ้าไหมสีแดงและโคมไฟสีแดงงานเลี้ยงที่ลานหน้าบ้านเพิ่งจบลงไปไม่นาน เสิ่นซางหนิงวิ่งรีบร้อนมาก และจู่ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นที่มุมถนน นางจึงไม่ทันได้หยุดฝีเท้าจึงชนเข้าไปเลยหน้าอกของอีกฝ่ายแข็งมาก เสิ่นซางหนิงปิดหน้าผากและถอยหลังออกไป ขณะที่นางกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ก็ได้ยินน้ำเสียงที่ดูประหลาดใจของอีกฝ่าย——"พี่สะใภ้เหรอ"เสิ่นซางหนิงฟังเสียงนี้มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ยามนี้กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงถูกสามีในชีวิตที่แล้วเรียกตนเองว่าพี่สะใภ้ นอกจากไม่ชินแล้วยังรู้สึกอึดอัดด้วยเสิ่นซางหนิงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของเผยเชิ่อเขาหน้าไม่เหมือนเผยหลูเยียน เขาไม่ได้เย็นชาและสูงส่งเท่าเผยหลูเยียน แต่ดูสง่างามกว่า"พี่สะใภ้ไปไหนหรือ ท่านพี่ชายอยู่ไหน"เผยเชิ่อมองไปยังพี่สะใภ้ซึ่งอายุน้อยกว่าเขา และสงสัยว่าเหตุใดนางถึงวิ่งไปข้างนอกในคืนวันแต่งงานเนื่องจากตระกูลเผยและตระกูลเสิ่นต่างเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวง ที่เผยเช
เผยหลูเยียนยืนขึ้น วางขวดสุราลง แล้วเดินไปที่โต๊ะ ก่อนนั่งลงอย่างเคร่งขรึม "ข้ามีงานต้องจัดการ คืนนี้จะพักอยู่ที่ห้องหนังสือ"ก็ได้เขาบอกว่าเขาอยากอยู่กับงานเสิ่นซางหนิงอยากถามว่ามันมีงานอะไรเยอะแยะเช่นนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่อยากร่วมรักกับนางก็เท่านั้นแม้ว่าจะถูกปฏิเสธ แต่เสิ่นซางหนิงก็ไม่อยากยอมแพ้ "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะอยู่เพื่อนท่านที่ห้องหนังสือ"หญิงสาวผู้กล้าหาญกลัวที่จะถูกผู้ชายตามตื้อ ผู้ชายก็เช่นกันฮึ่ม นางไม่เชื่อหรอกว่าการมีลูกจยากขนาดนั้นหลังจากพูดอย่างนั้น นางก็นอนลงบนที่นอนพลางหลับตาและทำท่าเหมือนกับจะนอนที่นี่แต่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของเผยหลูเยียนแต่อยาสงใดเป็นเวลานาน เขาไม่ได้ขับไล่นางออกไป ซึ่งทำให้นางประหลาดใจนางแอบลืมตาขึ้นอย่างสงสัย และบังเอิญว่าเผยหลูเยียนก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะด้วยท้องสองคนสบตากันหลังจากถูกจับได้ เสิ่นซางหนิงก็คว้าผ้าห่มจากด้านข้างและปกปิดตัวเองด้วยความเขินอาย "มันหนาวนิดหน่อย"ดวงตาของเผยหลูเยียนสงบนิ่งและเฉียบคม แต่ดูเหมือนว่าเขาสามารถมองความคิดของนางออก ซึ่งทำให้เสิ่นซางหนิงตัวร้อนขึ้นมานางดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ เพื่อให้ตัวนางอยู่ในค
เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มของเสิ่นเมี่ยวอี๋ก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และดวงตาของนางก็เปล่งประกาย รอดูให้เสิ่นซางหนิงขายหน้าได้เลย"เมี่ยวอี๋ เจ้าคิดถึงเรื่องอะไรที่น่ายินดีหรือ"เสิ่นซางหนิงพูดด้วยรอยยิ้มจาง แต่เดิมนางไม่ต้องการพูดตรงๆ แต่ทนเห็นสายตา "ได้ใจ" ของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และรอยยิ้มที่กำลังดูเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้นมันโง่จริงๆเสิ่นซางหนิงอาจจะเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ก็แค่คิดว่าได้เกิดใหม่ก็สามารถเหยียบย่ำตัวเองไว้ใต้เท้าสินะโอ้ มันน่าขำจริงๆเสิ่นเมี่ยวอี๋กลับมามีสติอีกครั้ง และเม้มริมฝีปาแน่น "ท่านพี่หญิงไปถวายน้ำชาเถอะ อย่าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องรอนาน"เสิ่นซางหนิงเห็นดวงตาอันได้ใจของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และยกมุมริมฝีปากก่อนจะยิ้มขึ้นไม่รู้จริงๆ ว่าคนงี่เง่าคนนี้ได้โง่เช่นนี้ได้ยังไง ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่ได้ฉลาดขึ้นสักหน่อยภายในห้องโถงหลักหนิงกั๋วกงและนางอวี๋นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และหนิงกั๋วกงกำลังคุยเล่นกับนางอวี๋อย่างมีความสุขนางอวี๋ได้ดูแลตัวเองอย่างดี แม้ว่าจะอายุสี่สิบแล้ว แต่ก็ดูเหมือนมีอายุแค่สามสิบเท่านั้น คิ้วงดงามดูมีพลัง และจ้องมองทางประตูอย่างจริงจั
เสิ่นซางหนิงขี้เกียจที่จะฝืนยิ้ม "ทำไมน้องถึงมั่นใจขนาดนั้น"เสิ่นเมี่ยวอี๋สำลักด้วยสีหน้าไม่อาจหยั่งรู้ได้ "ข้ามีวิธีรู้ ข้ายังรู้ด้วยซ้ำว่าสามีของข้าจะเป็นคนใหญ่คนโตในอนาคต"เป็นคนใหญ่คนโตงั้นเหรอเผยเชิ่อเปลี่ยนจากผู้ชายเสเพลกลายเป็นแม่ทัพที่สร้างผลงานทางทหารมากมาย ต่อมาก็สืบทอดยศหนิงกั๋วกง ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆเสิ่นซางหนิงยอมรับว่าเผยเชิ่อเก่งศิลปะการต่อสู้และมีไหวพริบในการนำกองทหารไปออกรบ แต่ถ้าไม่มีนางที่ทุ่มเงินใช่เส้นสาย เขาไม่มีทางที่จะเป็นแม่ทัพใหญ่ในเวลาสิบปีต้องรู้ว่านับตั้งแต่ปู่ของเผยหลูเยียนเสียชีวิต จวนหนิงกั๋วกงก็ตกต่ำลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องพึ่งพาเผยหลูเยียนสอบขุนนางติดอันดับหนึ่งถึงได้รักษาฐานะในแวดวงเมืองหลวงเผยหลูเยียนเป็นความหวังของทั้งจวน พอเผยหลูเยียนเสียชีวิต สามีภรรยาหนิงกั๋วกงก็สุขภาพแย่ลง ในตระกูลก็เกิดเรื่องไม่หยุด บ่อเงินของจวนก็ใช้เงินหมดในเวลาไม่ถึงสองปีการตกอับอย่างเร็วนั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆในอีกด้านหนึ่ง เผยเชิ่อต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ แต่จวนหนิงกั๋วกงอยู่ในฝ่ายผู้รู้หนังสือและแทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับพวกทหาร หากอยากให้เผยเชิ่อก้าวไ
เพราะเมื่อชาติก่อนเป็นภรรยาของเผยเชิ่อ จะมีแม่สาใหญ่และแม่สามีเล็กต้องคอยดูแล อีกอย่างไม่สามารถทำให้ลูกสะใภ้คนโตต้องอับอายเช่นกันและตอนนี้ได้แต่งงานกับเผยหลูเยียนแล้ว นอกเหนือจากนางอวี๋แล้ว ผู้หญิงทั้งหมดในจวนก็เป็นนางที่ใหญ่สุดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของเสิ่นซางหนิงก็เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ยินคำตอบจากด้านหลังเป็นเวลานาน เสิ่นซางหนิงก็หันหลัง และเผยหลูเยียนก็เบือนหน้าออกไป ทำเอาเสิ่นซางหนิงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็จำบาดแผลของเผยหลูเยียนได้ และถามด้วยความรู้สึกผิดและความกังวลว่า "จริงสิ บาดแผลบนไหล่ของท่านยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?"สายลมพัดผ่าน เสื้อคลุมผ้าลายเมฆสีน้ำเงินของเผยหลูเยียนได้ปลิวไปมา เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ความประทับใจในเมื่อกี้ก็ค่อยๆ หายไปเขากระซิบ "เจ้ากลับเรือนชิงอวี๋นก่อน" จากนั้นเขาก็เร่งฝีเท้าและเดินไปในทิศทางที่เขามาเรือนชิงอวี๋นเป็นที่อยู่อาศัยของเผยหลูเยียนและเสิ่นซางหนิง แต่เห็นได้ชัดว่า เผยหลูเยียนต้องไปห้องหนังสืออีกครั้งเสิ่นซางหนิงมองไปที่แผ่นหลังเรียวยาวนั้น และทันใดนั้นแก้มของนางก็รู้สึกเย็นราวก
ประโยคนี้ ไม่ได้อ้อมค้อมจนทำให้ผู้ฟังต้องตกใจแม้แต่อวี้เฟย สาวใช้ที่มาส่งร่มก็ยังได้ยินเข้าแล้ว และยืนเงียบๆ ข้างทางเดินเพื่อรอคำตอบจากซื่อจื่อความประหลาดใจและความซับซ้อนฉายแววไปทั่วดวงตาของเผยหลูเยียน ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขากำหมัดแน่น แต่ใบหน้ายังคงสงบมาก "สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าในเมื่อคืน เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ"เมื่อคืนดวงตาของเสิ่นซางหนิงเต็มไปด้วยความสับสน "อะไรนะ...ท่านพูดอะไร"หรือว่าก่อนที่นางจะเกิดใหม่หรือ เขาได้พูดอะไรไป"เฮอะ" เผยหลูเยียนอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย "ไม่มีอะไร"หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่มองเสิ่นซางหนิงอีกเลย และเดินตากฝนไป"ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย" เสิ่นซางหนิงตะโกนนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเผยหลูเยียนถึงอารมณ์ร้อนขนาดนี้ถ้าจำไม่ได้ก็แค่บอกอีกครั้งก็ได้แล้วนี่ชาติที่แล้ว นางรู้แค่ว่าเขาเป็นคนไม่แยแส และทำอะไรอย่างเด็ดขาด แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเจ้าอารมณ์เช่นนี้เกรงว่าจะโกรธมากจนหัวใจวายตายเสิ่นซางหนิงกำลังบ่นอยู่ในใจ แต่ชายในท่ามกลางฝนก็หยุดลงเผยหลูเยียนหันหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าได้ตอบไปแล้ว"ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปที่ลานบ้านอ
เสิ่นซางหนิงเข้าใจแล้ว ปรากฎว่าเขายังคงโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะโกรธนางรู้สึกผิดเล็กน้อย "เมื่อคืนข้าแค่กลัวนิดหน่อย ข้าขอโทษกับท่าน"ขณะที่นางพูด ศีรษะก็ก้มต่ำลงเรื่อยๆ "คืนนี้จะไม่ทำแบบนี้""ไม่ยอมรับ" เสียงที่เด็ดขาดดังมาจากด้านบนเสิ่นซางหนิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง "ข้าถามท่านว่าท่านโกรธหรือเปล่า และท่านบอกว่าเปล่า แล้วท่านยังไม่ยอมรับคำขอโทษจากข้า งั้นท่าน--"ท่านต้องการอะไร?เผยหลูเยียนดูเหมือนจะมองออกสิ่งที่นางคิดได้ "การไม่โกรธเป็นเพราะข้าพยายามสงบอยู่ ไม่ใช่เพราะให้อภัยกับสิ่งที่เจ้าทำ"เสิ่นซางหนิงตกตะลึงและพูดไม่ออกในทันทีจากนั้น เผยหลูเยียนเพิกเฉยต่อสีหน้าขมขื่นของนางและพูดขึ้นว่า "คืนนี้ไม่ต้องรอข้า"หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องและมีผู้ติดตามเดินตามเขาไปด้วยเสิ่นซางหนิงถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตามลำพัง นางไม่สามารถพูดอะไรเพื่อโต้กลับนางยกมือขึ้นตบปากตัวเอง โทษที่มันพูดอะไรไปมั่วๆ โทษมันหาว่าคนอื่นในเมื่อคืน"คุณหนู ซื่อจื่อเขา..." จื่อหลิงได้ยินเสียงไม่ชัดเจนจากนอกประตู เมื่อนางเดินเข้าไปก็เห็นคุณหนูดูหงุดหงิด "เขารังแกท่านอีกแล
หลังจากที่เสิ่นซางหนิงตัดสัมพันธ์กับจวนป๋อ นางคิดว่าตระกูลเวยเซิงจะอยู่เคียงข้างนาง แต่ในท้ายที่สุด หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียแล้ว พวกเขาก็เลือกเฉิงอันป๋อและเสิ่นเมี่ยวอี๋แม้ว่าเสิ่นซางหนิงจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตระกูลเวยเซิงแล้วทำไม แต่สามีของนางคือเผยเชิ่อ ซึ่งเป็นคนเสเพลที่ไร้ประโยชน์แต่เสิ่นเมี่ยวอี๋เป็นฮูหยินของซื่อจื่อหนิงกั๋วกงในเวลานั้น จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็เข้าใจได้ว่าบางทีอาจจะมีท่านยายที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ และบางทีลุงและป้าสะใภ้ของนางก็จริงใจนิดหน่อยเช่นกัน แต่ก็สู้ผลประโยชน์ไม่ได้ถึงยังไงพวกเขาสามารถละทิ้งลูกสาวของตัวเองได้ หลานสาวก็ยิ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลยเพียงแต่คราวนี้ เสิ่นซางหนิงเป็นฮูหยินซื่อจื่อ ซึ่งมีทั้งสถานะและสายเลือดนางคิดว่าทางเลือกของตระกูลเวยเซิงอาจแตกต่างกันไม่ว่าตัวเลือกก่อนหน้านี้ของตระกูลเวยเซิงจะเป็นอย่างไร เสิ่นซางหนิงจะไม่มีวันลืมว่าท่านยายปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีจริงๆยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ร้านค้าในชื่อของนางและเงินสดที่เหลือล้วนมาจากตระกูลเวยเซิงดังนั้นหลังจากได้รับอำนาจแล้ว นางยังคงช่วยเหลื