แชร์

บทที่ 4

เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มของเสิ่นเมี่ยวอี๋ก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และดวงตาของนางก็เปล่งประกาย รอดูให้เสิ่นซางหนิงขายหน้าได้เลย

"เมี่ยวอี๋ เจ้าคิดถึงเรื่องอะไรที่น่ายินดีหรือ"

เสิ่นซางหนิงพูดด้วยรอยยิ้มจาง แต่เดิมนางไม่ต้องการพูดตรงๆ แต่ทนเห็นสายตา "ได้ใจ" ของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และรอยยิ้มที่กำลังดูเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น

มันโง่จริงๆ

เสิ่นซางหนิงอาจจะเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ก็แค่คิดว่าได้เกิดใหม่ก็สามารถเหยียบย่ำตัวเองไว้ใต้เท้าสินะ

โอ้ มันน่าขำจริงๆ

เสิ่นเมี่ยวอี๋กลับมามีสติอีกครั้ง และเม้มริมฝีปาแน่น "ท่านพี่หญิงไปถวายน้ำชาเถอะ อย่าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องรอนาน"

เสิ่นซางหนิงเห็นดวงตาอันได้ใจของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และยกมุมริมฝีปากก่อนจะยิ้มขึ้น

ไม่รู้จริงๆ ว่าคนงี่เง่าคนนี้ได้โง่เช่นนี้ได้ยังไง ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่ได้ฉลาดขึ้นสักหน่อย

ภายในห้องโถงหลัก

หนิงกั๋วกงและนางอวี๋นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และหนิงกั๋วกงกำลังคุยเล่นกับนางอวี๋อย่างมีความสุข

นางอวี๋ได้ดูแลตัวเองอย่างดี แม้ว่าจะอายุสี่สิบแล้ว แต่ก็ดูเหมือนมีอายุแค่สามสิบเท่านั้น คิ้วงดงามดูมีพลัง และจ้องมองทางประตูอย่างจริงจัง

ทันทีที่เสิ่นซางหนิงเข้าไปในประตู นางก็รู้สึกถึงการจ้องมองที่กดดัน เมื่อรู้ว่านางอวี๋กำลังมองสำรวจตัวเอง นางยืดหลังตรง แล้วเผชิญหน้ากับการจ้องมองจากนางอวี๋

หลังจากยืนนิ่งต่อหน้าท่านพ่อแม่สามีแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

"ท่านพ่อ ท่านแม่" เผยหลูเยียนเอ่ยปากได้คลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกัน เสิ่นซางหนิงสังเกตเห็นว่าความแข็งแกร่งในตัวนางอวี๋ก็อ่อนลง เห็นได้ชัดว่านางได้เอ็นดูเผยหลูเยียนมากนัก

"ลูกสะใภ้ขถวายน้ำชาให้ท่านพ่อแลท่านแม่เจ้าค่ะ" เสิ่นซางหนิงหยิบถ้วยชาจากมือของสาวใช้อย่างงสบและสุภาพแล้วมอบให้หนิงกั๋วกงและนางอวี๋

หนิงกั๋วกงรับชาขึ้นมาอย่างเร็ว แต่เมื่อถึงตานางอวี๋ นางกลับไม่ยอมรับสักที

เสิ่นซางหนิงก็ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ นางเตรียมใจมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากอีกครั้งว่า "ท่านแม่ โปรดดื่มชาเจ้าค่ะ"

บรรยากาศเริ่มแปลกๆ และตึงเครียดอีกครั้ง

แต่เมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว การถือน้ำชาไว้อย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องอึดอัดอะไร

แต่เมื่อถือมันไว้เป็นเวลานาน มือของเสิ่นซางหนิงก็เหนื่อยเล็กน้อยและสั่นอย่างควบคุมมิได้ เมื่อเห็นว่าน้ำชากำลังจะล้นไปโดนนิ้ว

จู่ๆ ฝ่ามือใหญ่ข้าหนึ่งก็รับชาไป ซึ่งดึงดูดความสนใจของเสิ่นซางหนิงและนางอวี๋ด้วยเช่นกัน

สีหน้าของเผยหลูเยียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขาถือถ้วยไว้ราวกับเขาไม่กลัวที่จะถูกลวก จากนั้นวางถ้วยชากลับบนถาดของสาวใช้อย่างใจเย็น แล้วสั่งสาวใช้ -

"ชามันร้อนเกินไป ท่านแม่ดื่มไม่ได้ ไปเปลี่ยนน้ำอุ่นมา"

เสิ่นซางหนิงเหลือบมองนิ้วโดนลวกจนเป็นสีแดงของเผยหลูเยียน และหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนความประหลาดใจไว้

ในเวลาเดียวกัน นางรู้สึกอบอุ่นในใจ

ที่สามีช่วยภรรยา เดิมทีก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่เสิ่นซางหนิงในชาติก่อนไม่เคยเห็นเผยเชิ่อปกป้องตนเองด้วย

ในขณะนี้ สาวใช้ฟังคำแนะนำของเผยหลูเยียน และเหลือบมองนางอวี๋อย่างระมัดระวังก่อนจะลงไปเปลี่ยนน้ำชา

ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนน้ำชา เสิ่นซางหนิงดึงมือกลับและขยับมือที่แข็งเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่านางอวี๋ไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมภูมิปัญญาของเผยหลูเยียน

ในโลกนี้ ผู้ชายส่วนอย่างยอมทำตัวตาบอดและจะเฉยเมยต่อความขัดแย้งระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ ส่วนอีกส่วนหนึ่ง ยิ่งเข้าไปยุ่งยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้า

การช่วยจัดการปัญหามันต้องใช้ความฉลาด ไม่ว่าจะเข้าข้างฝ่าใด ต้องกลายเป็นต้นตอของความขัดแย้งระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การกระทำของเผยหลูเยียน ไม่เพียงแต่ช่วยนางให้พ้นจากปัญหาเท่านั้น แต่ยังห่วงใยแม่ของตนเองด้วย ทำให้ทั้งคู่รู้สึกมีความสุข

ไมานานนัก สาวใช้ก็กลับมาพร้อมกับชาอุ่นๆ และเสิ่นซางหนิงก็ถวายน้ำชาอีกครั้ง

ครั้งนี้นางอวี๋ไม่ได้จงใจสร้างปัญหาอีก

เมื่อเห็นนางอวี๋กำลังดื่มชา ในที่สุด เสิ่นซางหนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและฟังคำกำชับอันเคร่งขรึมจากนางอวี๋——

"นางเสิ่น ในเมื่อกลายเป็นสะใภ้คนโตของจวนเรา ต้องมีศักดิ์ศรีสมกับลูกสะใภ้คนโตด้วย"

"บัดนี้ข้ายังรับผิดชอบงานต่างๆ ในจวนอยู่ หน้าที่ของเจ้าก็คือให้มีลูกกับเยียนเอ๋อร์โดยเร็วที่สุด"

น้ำเสียงของนางอวี๋ไม่ได้ใจดีมากนัก แต่คำพูดนั้นกลับตรงกับความคิดของเสิ่นซางหนิงเลย

เสิ่นซางหนิงก็อยากมีลูเร็วๆ "เจ้าค่ะ ข้าจะปฏิบัติตามคำสอนของท่านแม่"

ตราบใดที่มีลูกกับเผยหลูเยียน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอำนาจการดูแลจวนในอนาคต

ต่อมา หนิงกั๋วกงและนางอวี๋ก็ให้เผยหลูเยียนอยู่ต่อ บอกให้เสิ่นซางหนิงออกไปก่อน

ทันทีที่เสิ่นซางหนิงจากไป นางอวี๋ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง คราวนี้ทำเพื่อลูกชายของตนเอง——

"ข้าไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ในตั้งแต่แรก แต่เจ้าก็ไม่ยอมจะยกเลิกการหมั้นหมาย ข้าจึงเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า"

"บัดนี้ได้แต่งงานกัน และร่วมรักกันแล้ว ทำไมถึงยังพักที่ห้องหนังสือเล่า แม้ว่าข้าจะไม่ชอบลูกสาวจากจวนเฉิงอันป๋อ แต่ในเมื่อเจ้าแต่งมาแล้ว เจ้าควรรับผิดชอบต่อนางด้วย"

เมื่อฟังคำสั่งสอนที่เข้มงวดของท่านแม่ เผยหลูเยียนก็ก้มศีรษะลงและคิดถึงเรื่องเมื่อคืน

ตอนร่วมรักยังดีๆ อยู่ แต่จู่ๆ ภรรยาของเขาก็ไม่ยอมแล้ว... เมื่อคิดดูในยามนี้ เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดที่ไหล่ของเขา

มันยากที่จะอธิบายจริงๆ

นอกบ้านที่มีประตูบานใหญ่กันไว้

เมื่อเสิ่นซางหนิงเดินออกไป เขาพบว่าเสิ่นเมี่ยวอี๋ยังคงยืนอยู่ในลานบ้านและไม่อยากจากไป

หากดูเรื่องสนุกๆหรือ ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเอาซะจริงๆ

เสิ่นซางหนิงต้องการแสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง แล้วจากไปตรงๆ

แต่ไม่คาดคิดว่าเสิ่นเมี่ยวอี๋ได้ยินการเคลื่อนไหว ดวงตาของนางก็สว่างขึ้น และเดินเข้ามาทันที "ท่านพี่หญิง ท่านแม่ได้พูดอะไรหรือเปล่า"

เสิ่นซางหนิงแสร้งทำเป็นไม่เห็นความคาดหวังในดวงตาของนาง และพูดอย่างใจเย็น "แค่กำชับไปสองสามคำเอง"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นเมี่ยวอี๋ก็เม้มริมฝีปากด้วยความไม่อยากเชื่อ โดยไม่คาดคิดว่านางอวี๋ไม่ได้หาเรื่องนางจนอึ้งไปอยู่นาน ก่อนจะถามคำถามว่า "ผ้าขนหนูพรหมจรรย์ของพี่ยังอยู่หรือไม่"

ทันทีที่นางพูดเช่นนนี้ เสิ่นซางหนิงก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่นางกำลังคิด "แน่นอนว่ามันถูกทำลายหลังจากการตรวจสอบเสร็จแล้ว ทำไมต้องเก็บมันไว้เล่า"

เสิ่นเมี่ยวอี๋ขมวดคิ้วและจับมือของเสิ่นซางหนิงดูเหมือนกับพี่น้องที่มีความรักอย่างสุดซึ้ง แต่จริงๆ แล้ว นางกำลังมองหาบาดแผลบนนิ้วของนาง

ในใจของเสิ่นเมี่ยวอี๋นั้น เสิ่นซางหนิงมักจะวางมาดบุตรีของฮูหยินเอกจากจวนป๋ออยู่เสมอ ขะมีความสามารถที่จะยั่วยวนผู้ชายที่ไหนได้

ผู้ชายที่เสิ่นเมี่ยวอี๋พยายามสุดความสามารถยังเอาชนะใจไม่ได้นั้น แล้วจะแตะต้องผู้หญิงน่าเบื่ออย่างกับเสิ่นซางหนิงได้ยังไง

ถึงขนาดเสิ่นเมี่ยวอี๋ยังคงสงสัยว่าเผยหลูเยียนมีโรคที่ไม่อาจบอกคนหรือเปล่า

ดังนั้น ผ้าขนหนูพรหมจรรย์จึงต้องถูกลงมือทำอะไรไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถผ่านการตรวจสอบได้แน่นอน

ความคิดทั้งหมดของเสิ่นเมี่ยวอี๋ดูเหมือนจะเขียนไว้บนใบหน้าของนาง และท่าทางของการค้นหาบาดแผลอย่างรีบร้อนนั้นทำให้เสิ่นซางหนิงอยากจะหัวเราะ

เสิ่นซางหนิงปล่อยให้นางได้ดึงตนเองออกจากลานบ้าน

ในมุมที่ไม่มีใครเห็นนั้น เสิ่นเมี่ยวอี๋ถามด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ว่า——

"ท่านพี่หญิง ข้ารู้ว่าซื่อจื่อไม่ได้แตะต้องพี่ในเมื่อคืนนี้ ผ้าขาวนั้นสามารถเปื้อนเลือดก็ผ่านได้"

"แต่พี่เคยคิดบ้างไหมว่าหากไม่มีบุตรสักทีมันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ พี่สามารถโกหกได้ครั้งเดียว แต่ไม่สามารถปกปิดตลอดไปได้"

คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะคำนึงถึงเสิ่นซางหนิงจริงๆ

แต่เสิ่นซางหนิงจะคร่ำครวญถึงความโง่เขลาของเสิ่นเมี่ยวอี๋อีกครั้ง นางกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่านางได้เกิดใหม่งั้นหรือ

พูดมากขนาดนั้นเพียงเพื่อมาอวดดีหรือ

อวดสามีได้ทำคืนละสามครั้งเหรอ

เสิ่นซางหนิงไม่เข้าใจจริงๆ เสิ่นเมี่ยวอี๋มีสมองที่โง่เขลา และไม่ใช่ลูกทางสายเลือดของพ่อนางด้วยซ้ำ ทำไมท่านพ่อถึงเอ็นดูนางเช่นนั้นด้วย

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status