เสิ่นซางหนิงขี้เกียจที่จะฝืนยิ้ม "ทำไมน้องถึงมั่นใจขนาดนั้น"เสิ่นเมี่ยวอี๋สำลักด้วยสีหน้าไม่อาจหยั่งรู้ได้ "ข้ามีวิธีรู้ ข้ายังรู้ด้วยซ้ำว่าสามีของข้าจะเป็นคนใหญ่คนโตในอนาคต"เป็นคนใหญ่คนโตงั้นเหรอเผยเชิ่อเปลี่ยนจากผู้ชายเสเพลกลายเป็นแม่ทัพที่สร้างผลงานทางทหารมากมาย ต่อมาก็สืบทอดยศหนิงกั๋วกง ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆเสิ่นซางหนิงยอมรับว่าเผยเชิ่อเก่งศิลปะการต่อสู้และมีไหวพริบในการนำกองทหารไปออกรบ แต่ถ้าไม่มีนางที่ทุ่มเงินใช่เส้นสาย เขาไม่มีทางที่จะเป็นแม่ทัพใหญ่ในเวลาสิบปีต้องรู้ว่านับตั้งแต่ปู่ของเผยหลูเยียนเสียชีวิต จวนหนิงกั๋วกงก็ตกต่ำลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องพึ่งพาเผยหลูเยียนสอบขุนนางติดอันดับหนึ่งถึงได้รักษาฐานะในแวดวงเมืองหลวงเผยหลูเยียนเป็นความหวังของทั้งจวน พอเผยหลูเยียนเสียชีวิต สามีภรรยาหนิงกั๋วกงก็สุขภาพแย่ลง ในตระกูลก็เกิดเรื่องไม่หยุด บ่อเงินของจวนก็ใช้เงินหมดในเวลาไม่ถึงสองปีการตกอับอย่างเร็วนั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆในอีกด้านหนึ่ง เผยเชิ่อต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ แต่จวนหนิงกั๋วกงอยู่ในฝ่ายผู้รู้หนังสือและแทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับพวกทหาร หากอยากให้เผยเชิ่อก้าวไ
เพราะเมื่อชาติก่อนเป็นภรรยาของเผยเชิ่อ จะมีแม่สาใหญ่และแม่สามีเล็กต้องคอยดูแล อีกอย่างไม่สามารถทำให้ลูกสะใภ้คนโตต้องอับอายเช่นกันและตอนนี้ได้แต่งงานกับเผยหลูเยียนแล้ว นอกเหนือจากนางอวี๋แล้ว ผู้หญิงทั้งหมดในจวนก็เป็นนางที่ใหญ่สุดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของเสิ่นซางหนิงก็เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ยินคำตอบจากด้านหลังเป็นเวลานาน เสิ่นซางหนิงก็หันหลัง และเผยหลูเยียนก็เบือนหน้าออกไป ทำเอาเสิ่นซางหนิงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็จำบาดแผลของเผยหลูเยียนได้ และถามด้วยความรู้สึกผิดและความกังวลว่า "จริงสิ บาดแผลบนไหล่ของท่านยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?"สายลมพัดผ่าน เสื้อคลุมผ้าลายเมฆสีน้ำเงินของเผยหลูเยียนได้ปลิวไปมา เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ความประทับใจในเมื่อกี้ก็ค่อยๆ หายไปเขากระซิบ "เจ้ากลับเรือนชิงอวี๋นก่อน" จากนั้นเขาก็เร่งฝีเท้าและเดินไปในทิศทางที่เขามาเรือนชิงอวี๋นเป็นที่อยู่อาศัยของเผยหลูเยียนและเสิ่นซางหนิง แต่เห็นได้ชัดว่า เผยหลูเยียนต้องไปห้องหนังสืออีกครั้งเสิ่นซางหนิงมองไปที่แผ่นหลังเรียวยาวนั้น และทันใดนั้นแก้มของนางก็รู้สึกเย็นราวก
ประโยคนี้ ไม่ได้อ้อมค้อมจนทำให้ผู้ฟังต้องตกใจแม้แต่อวี้เฟย สาวใช้ที่มาส่งร่มก็ยังได้ยินเข้าแล้ว และยืนเงียบๆ ข้างทางเดินเพื่อรอคำตอบจากซื่อจื่อความประหลาดใจและความซับซ้อนฉายแววไปทั่วดวงตาของเผยหลูเยียน ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขากำหมัดแน่น แต่ใบหน้ายังคงสงบมาก "สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าในเมื่อคืน เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ"เมื่อคืนดวงตาของเสิ่นซางหนิงเต็มไปด้วยความสับสน "อะไรนะ...ท่านพูดอะไร"หรือว่าก่อนที่นางจะเกิดใหม่หรือ เขาได้พูดอะไรไป"เฮอะ" เผยหลูเยียนอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย "ไม่มีอะไร"หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่มองเสิ่นซางหนิงอีกเลย และเดินตากฝนไป"ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย" เสิ่นซางหนิงตะโกนนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเผยหลูเยียนถึงอารมณ์ร้อนขนาดนี้ถ้าจำไม่ได้ก็แค่บอกอีกครั้งก็ได้แล้วนี่ชาติที่แล้ว นางรู้แค่ว่าเขาเป็นคนไม่แยแส และทำอะไรอย่างเด็ดขาด แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเจ้าอารมณ์เช่นนี้เกรงว่าจะโกรธมากจนหัวใจวายตายเสิ่นซางหนิงกำลังบ่นอยู่ในใจ แต่ชายในท่ามกลางฝนก็หยุดลงเผยหลูเยียนหันหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าได้ตอบไปแล้ว"ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปที่ลานบ้านอ
เสิ่นซางหนิงเข้าใจแล้ว ปรากฎว่าเขายังคงโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะโกรธนางรู้สึกผิดเล็กน้อย "เมื่อคืนข้าแค่กลัวนิดหน่อย ข้าขอโทษกับท่าน"ขณะที่นางพูด ศีรษะก็ก้มต่ำลงเรื่อยๆ "คืนนี้จะไม่ทำแบบนี้""ไม่ยอมรับ" เสียงที่เด็ดขาดดังมาจากด้านบนเสิ่นซางหนิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง "ข้าถามท่านว่าท่านโกรธหรือเปล่า และท่านบอกว่าเปล่า แล้วท่านยังไม่ยอมรับคำขอโทษจากข้า งั้นท่าน--"ท่านต้องการอะไร?เผยหลูเยียนดูเหมือนจะมองออกสิ่งที่นางคิดได้ "การไม่โกรธเป็นเพราะข้าพยายามสงบอยู่ ไม่ใช่เพราะให้อภัยกับสิ่งที่เจ้าทำ"เสิ่นซางหนิงตกตะลึงและพูดไม่ออกในทันทีจากนั้น เผยหลูเยียนเพิกเฉยต่อสีหน้าขมขื่นของนางและพูดขึ้นว่า "คืนนี้ไม่ต้องรอข้า"หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องและมีผู้ติดตามเดินตามเขาไปด้วยเสิ่นซางหนิงถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตามลำพัง นางไม่สามารถพูดอะไรเพื่อโต้กลับนางยกมือขึ้นตบปากตัวเอง โทษที่มันพูดอะไรไปมั่วๆ โทษมันหาว่าคนอื่นในเมื่อคืน"คุณหนู ซื่อจื่อเขา..." จื่อหลิงได้ยินเสียงไม่ชัดเจนจากนอกประตู เมื่อนางเดินเข้าไปก็เห็นคุณหนูดูหงุดหงิด "เขารังแกท่านอีกแล
หลังจากที่เสิ่นซางหนิงตัดสัมพันธ์กับจวนป๋อ นางคิดว่าตระกูลเวยเซิงจะอยู่เคียงข้างนาง แต่ในท้ายที่สุด หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียแล้ว พวกเขาก็เลือกเฉิงอันป๋อและเสิ่นเมี่ยวอี๋แม้ว่าเสิ่นซางหนิงจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตระกูลเวยเซิงแล้วทำไม แต่สามีของนางคือเผยเชิ่อ ซึ่งเป็นคนเสเพลที่ไร้ประโยชน์แต่เสิ่นเมี่ยวอี๋เป็นฮูหยินของซื่อจื่อหนิงกั๋วกงในเวลานั้น จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็เข้าใจได้ว่าบางทีอาจจะมีท่านยายที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ และบางทีลุงและป้าสะใภ้ของนางก็จริงใจนิดหน่อยเช่นกัน แต่ก็สู้ผลประโยชน์ไม่ได้ถึงยังไงพวกเขาสามารถละทิ้งลูกสาวของตัวเองได้ หลานสาวก็ยิ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลยเพียงแต่คราวนี้ เสิ่นซางหนิงเป็นฮูหยินซื่อจื่อ ซึ่งมีทั้งสถานะและสายเลือดนางคิดว่าทางเลือกของตระกูลเวยเซิงอาจแตกต่างกันไม่ว่าตัวเลือกก่อนหน้านี้ของตระกูลเวยเซิงจะเป็นอย่างไร เสิ่นซางหนิงจะไม่มีวันลืมว่าท่านยายปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีจริงๆยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ร้านค้าในชื่อของนางและเงินสดที่เหลือล้วนมาจากตระกูลเวยเซิงดังนั้นหลังจากได้รับอำนาจแล้ว นางยังคงช่วยเหลื
เผยหลูเยียนปิดตู้ลงและปิดตู้ไม้ให้สนิทก่อนสั่งเฉินซู"วันมะรืนนี้ฮูหยินจะกลับบ้านพ่อแม่ของนาง เจ้าและอวี้เฟยจงไปเตรียมสิ่งของทั้งหมดสำหรับการกลับบ้าน"เฉินซูตอบรับโดยยืนนิ่งเผยหลูเยียนเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า "ยังไม่ไปอีกเหรอ?"เฉินซูกล่าวอย่างลำบากใจว่า "ซื่อจื่อ ท่านเจ้ากรมให้เวลาท่านพักผ่อนเพียงสามวัน ถึงพรุ่งนี้พอดี มะรืนนี้นี้ท่านไม่มีเวลากลับบ้านพร้อมฮูหยิน ไม่ทราบว่าทางฮูหยินน้อยจะโกรธหรือไม่"เผยหลูเยียนกล่าวว่า "เจ้าไปจัดการก่อน"หากปล่อยให้เจ้าสาวกลับบ้านพ่อแม่ด้วยคนเดียว นางอาจจะโดนนินทาแทบตายแม้ว่าจะมีความขัดแย้งระหว่างคู่รักกัน แต่เผยหลูเยียนก็ไม่สามารถปล่อยให้นางกลับไปตามลำพังได้เฉินซูยังไม่เข้าใจความตั้งใจของซื่อจื่อ เมื่อเห็นทัศนคติที่ไม่แยแสของเขา เขาจึงคิดว่าซื่อจื่อคงจะไม่ไปกับฮูหยินน้อยเลยหลังจากที่เฉินซูจากไป เผยหลูเยียนไม่ได้นั่งอ่านหรือทำงานต่อเลย แต่เดินไปด้านหลังฉากบังตาขวดสุราสีแดงยังคงวางอยู่บนโต๊ะเล็ก เผยหลูเยียนหยิบที่จับขึ้นมา ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนวางมันลงอีกครั้งเขาเป็นคนไม่ดื่มเหล้า น่าเสียสุราที่ดีนี้มันคือสุราแต่งงานเมื่อคืนเขาใช้เวล
"หากเจ้าขายไปกี่แห่งอย่างเงียบๆ ใครจะรู้เล่า" เสิ่นเมี่ยวอี๋เหลือบมองซู่หยุนแล้วถามว่า "ทำสิ่งต่างๆ ให้เนียมหน่อย หากต่อไปข้าได้อำนาจ เจ้าต้องมาผลประโยชน์แน่ๆ"ซู่หยุนไม่สามารถชักชวนนางได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ตอบตกลงแต่นางได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อย โดยสงสัยว่าเหตุใดเจ้านายจึงเปลี่ยนไปมากในช่วงนี้ในอดีต คนที่นางดูหมิ่นที่สุดก็คือนักธุรกิจ แต่กลับต้องการทำธุรกิจด้วยเมื่อเห็นว่าซู่หยุนกำลังจะออกไปหลังจากได้รับคำสั่ง เสิ่นเมี่ยวอี๋ก็นึกถึงคำพูดของเผยเชิ่ออีกครั้ง และนางก็โกรธมาก "เดี๋ยวก่อน!""หาสาวใช้ที่อ่านหนังสือเเป็นไปคัดลอกหนังสือ"*อีกด้าหนึ่ง จื่อหลิงกำลังหยิบยากระตุ้นอารมณ์แอบเข้าไปห้อง และบังเอิญโดนเฉินซูที่ไปตามหาอวี้เฟยเข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ น้่สงสัยมากเฉินซูอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า "แม่นางจื่อหลิง"จื่อหลิงหยุดฝีเท้าลงและเก็บยาต่างๆ ในมือให้ยัดเข้าไปแข็นเสื้อ เพราะกลัวโดนคนอื่นเห็นเข้า เวลาต่อมาก็ได้ยินเฉินซูพูดว่า"เจ้าเป็นคนข้างกายของฮูหยินซื่อจื่อ ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ตนเองด้วย อย่าทำให้ซื่อจื่อและฮูหยินต้องขายหน้า เจ้ากำลังถืออะไรอยู่ในมือเล่า"เฉินซู่เห็นข้อความเล็กๆ
เสิ่นซางหนิงตกใจ "ท่าน ท่านมาได้ยังไง"เผยหลูเยียนลงจากหลังม้า ยื่นเชือกให้คนใช้เฝ้าประตู แล้วเดินไปหาเสิ่นซางหนิงด้วยสีหน้าสงสัย "เฉินซูไม่ได้บอกเจ้าเหรอ?"ในขณะนี้ เฉินซูรีบออกจากประตู "ซื่อจื่อ เมื่อเช้าตอนนับของขวัญได้พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป ข้าน้อยค้นหาอยู่นานจนลืมบอกฮูหยินน้อยว่าท่านจะกลับมา... โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย!"เฉินซูขอโทษอย่างจริงจัง จนเกือบจะทำให้ฮูหยินน้อยกลับบ้านด้วยคนเดียว หากเป็นเช่นนี้เขาต้องมีผิดร้ายแรงหลังจากได้ยินคำพูดเช่นนั้น เสิ่นซางหนิงก็เข้าใจทั้งหมด ที่แท้หลังจากที่เผยหลูเยียนเลิกประชุมยามเช้าที่ราชสำนัก ไม่ได้กลับสำนัก แต่กลับมาแล้วอย่างไรก็ตาม นางยังคงแปลกใจที่เขาสามารถละทิ้งหน้าที่ราชการและกลับบ้านพ่อแม่ของนางด้วยกันเผยหลูเยียนสังเกตเห็นท่าทางสงสัยจากเสิ่นซางหนิง และหรี่ตาลง "วันนี้ไม่มีงานอะไร สามารถกลับบ้านด้วยกัน"ในอีกด้านหนึ่ง เฉินซูเริ่มจัดเตรียมของต่างๆ บนรถม้า และให้คนรับใช้นำของขวัญขึ้นรถม้ากลุามคนที่ติดตามเผยหลูเยียนในเมื่อกี้ก็เริ่มขนสินค้าบนหลังม้าของพวกเขาเช่นกัน ตะกร้าสินค้าที่ปิดสนิทยังคงมีคราบน้ำหยดอยู่"นั่นคืออะไร?" เสิ่น