ตอนที่เสิ่นซางหนิงกลับไปมาถึงเรือนชิงอวี๋น ก็เห็นสาวใช้ข้างกายของนางอวี๋ส่งยามาให้"ฮูหยินบอกว่า ยาที่เตรียมไว้สำหรับฮูหยินน้อย ส่งเสริมความประหยัดก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่สามารถกินยาที่หมดอายุ"สิ่งที่สาวใช้พูด คือคำพูดของนางอวี๋เสิ่นซางหนิงฟังแล้วก็รู้สึกขัดเขิน รับยามา และรีบให้จื่อหลิงไปเปลี่ยน "ยาที่หมดอายุ"ทันทีที่สาวใช้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งออกไป จื่อหลิงก็เข้ามากระซิบยืนยันเบาๆ "ยาชุนรื่อไม่เอาแล้วใช่ไหมเจ้าคะ? ""อืม" เสิ่นซางหนิงไม่สร้างปัญหาอีกจื่อหลิงเอายาไปวางด้วยความเสียใจพูดไปแล้วก็บังเอิญมาก ขวดของยาดับร้อนถอนพิษขวดใหม่นี้ กลับเหมือนกับยาชุนรื่อเมื่อก่อนทุกประการเสิ่นซางหนิงตั้งใจกำชับขึ้นเป็นพิเศษว่า "อย่าปนกันเด็ดขาด"จื่อหลิงมือสั่น สัญญาขึ้นอย่างหนักแน่น "ไม่ปะปนกันแน่นอน ข้าน้อยเชื่อถือได้เจ้าค่ะ"*ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว และคืนนี้เผยหลูเยียนก็ไม่มาจริง ๆเสิ่นซางหนิงก็ไม่รีบร้อน คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้เจอกับอวิ๋นจ้าวแล้ว จึงสั่งให้คนเตรียมทำความสะอาดห้องเล็กๆ เงียบสงบด้านหลังไกลๆ ไว้จื่อหลิงจะไม่อิจฉาก็ไม่ได้ "ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะเกี่ยวข้องกับคนประเภทนั้นใ
จากนั้นก็คลานออกมาจากบ่อน้ำ เข้าไปในสลัมที่มืดมิดชื้นแฉะ"พี่อวิ๋นจ้าว ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว! " เด็กน้อยธรรมดาหลายคนวิ่งเข้ามาหานาง ถนนไม่เรียบ เกือบจะล้มลงเด็กๆ เห็นมือทั้งสองของนางว่างเปล่า ก็จ้องมองอย่างโหยหาหลายวันที่อวิ๋นจ้าวอยู่ในคุก มีเด็กหลายคนก็หิวจนผอมแล้วแววตาของนางมืดมิดลงเล็กน้อย นึกถึงคำสัญญาเมื่อครู่ของหญิงสาวแปลกหน้า ในใจของนางก็มีความคิดใหม่เกิดขึ้น"หลายวันที่เจ้าไม่อยู่ อาหารกินหมดแล้ว" ชายหนุ่มร่างผอมนั่งอยู่ตรงมุม "ข้ารับงานหนึ่ง นายจ้างเสนอเงินให้หนึ่งร้อยตำลึง เพื่อซื้อชีวิตคนหนึ่งคน"อวิ๋นจ้าวไม่พอใจ "เราไม่ฆ่าคน""ข้ารู้ ข้าไปฆ่าเอง" ชายหนุ่มร่างผอมสีหน้ามืดมน มองไปที่อวิ๋นจ้าวแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว ข้าเป็นคนที่อยู่ในความมืด ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพอย่างถูกต้องได้ และเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ไม่ได้"สีหน้าของอวิ๋นจ้าวบูดบึ้งทันที บรรยากาศแปลกๆ ชายหนุ่มคนนั้นอธิบายขึ้นว่า "ข้าถามแล้ว คนที่จะฆ่าคือขุนนางชั้นสูง ไม่ใช่คนดี"เมื่ออวิ๋นจ้าวได้ยิน สีหน้าของนางก็เคร่งขรึม "ขุนนางชั้นสูง หนึ่งร้อยตำลึง? ข้าคิดว่าคนที่เสนอราคาต่างห
ในช่วงเวลาสะลึมสะลือ ชายกระโปรงก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆเสิ่นซางหนิงคิดว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตานางเป็นถึงนายหญิงใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนในจวนหนิงกั๋วกง(ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ) ผู้ใดกล้าปีนขึ้นไปบนเตียงของนางในกลางดึกเล่าจนกระทั่งได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด เสิ่นซางหนิงก็ตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน นางลืมตาขึ้นและตรงหน้ามืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยทว่าบนตัวกลับมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่คุณพระช่วยเสิ่นซางหนิงรู้สึกตกใจมาก และยื่นมือออกเพื่อผลักเขาออกทันที "ช่างบังอาจ ไอ้..."คำพูดถูกบรรยากาศที่ช่างเร้าอารมณ์นั้นขัดจังหวะกระแสนิยมของสังคมปัจจุบันกลับแย่กว่าแต่ก่อนเลย ผู้คนที่มีนิสัยไม่ดีได้มากขึ้นเรื่อยๆเสิ่นซางหนิงเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่านี่ก็อายุสี่สิบปีแล้ว ยังต้องเจอกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ผลกระทบนั้นมันรุงแรงมาก จนนางไม่สามารถได้ยินเสียงตัวเองได้เปลี่ยนไปเป็นเสียงตอนสมัยสาวๆ ด้วยซ้ำ"ไอ้สารเลว!"นางผลักเขาไม่ออก แต่ก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงต้องโหดร้ายขึ้นมาและกัดไหล่ของชายคนนั้นอย่างแรง เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเลย"เฮ้อ" ชายคนนั้นสู
เสิ่นซางหนิงรู้ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนค่ำคืนที่มิดสนิท แต่ในจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ทางเดินถูกแขวนด้วยผ้าไหมสีแดงและโคมไฟสีแดงงานเลี้ยงที่ลานหน้าบ้านเพิ่งจบลงไปไม่นาน เสิ่นซางหนิงวิ่งรีบร้อนมาก และจู่ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นที่มุมถนน นางจึงไม่ทันได้หยุดฝีเท้าจึงชนเข้าไปเลยหน้าอกของอีกฝ่ายแข็งมาก เสิ่นซางหนิงปิดหน้าผากและถอยหลังออกไป ขณะที่นางกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ก็ได้ยินน้ำเสียงที่ดูประหลาดใจของอีกฝ่าย——"พี่สะใภ้เหรอ"เสิ่นซางหนิงฟังเสียงนี้มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ยามนี้กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงถูกสามีในชีวิตที่แล้วเรียกตนเองว่าพี่สะใภ้ นอกจากไม่ชินแล้วยังรู้สึกอึดอัดด้วยเสิ่นซางหนิงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของเผยเชิ่อเขาหน้าไม่เหมือนเผยหลูเยียน เขาไม่ได้เย็นชาและสูงส่งเท่าเผยหลูเยียน แต่ดูสง่างามกว่า"พี่สะใภ้ไปไหนหรือ ท่านพี่ชายอยู่ไหน"เผยเชิ่อมองไปยังพี่สะใภ้ซึ่งอายุน้อยกว่าเขา และสงสัยว่าเหตุใดนางถึงวิ่งไปข้างนอกในคืนวันแต่งงานเนื่องจากตระกูลเผยและตระกูลเสิ่นต่างเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวง ที่เผยเช
เผยหลูเยียนยืนขึ้น วางขวดสุราลง แล้วเดินไปที่โต๊ะ ก่อนนั่งลงอย่างเคร่งขรึม "ข้ามีงานต้องจัดการ คืนนี้จะพักอยู่ที่ห้องหนังสือ"ก็ได้เขาบอกว่าเขาอยากอยู่กับงานเสิ่นซางหนิงอยากถามว่ามันมีงานอะไรเยอะแยะเช่นนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่อยากร่วมรักกับนางก็เท่านั้นแม้ว่าจะถูกปฏิเสธ แต่เสิ่นซางหนิงก็ไม่อยากยอมแพ้ "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะอยู่เพื่อนท่านที่ห้องหนังสือ"หญิงสาวผู้กล้าหาญกลัวที่จะถูกผู้ชายตามตื้อ ผู้ชายก็เช่นกันฮึ่ม นางไม่เชื่อหรอกว่าการมีลูกจยากขนาดนั้นหลังจากพูดอย่างนั้น นางก็นอนลงบนที่นอนพลางหลับตาและทำท่าเหมือนกับจะนอนที่นี่แต่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของเผยหลูเยียนแต่อยาสงใดเป็นเวลานาน เขาไม่ได้ขับไล่นางออกไป ซึ่งทำให้นางประหลาดใจนางแอบลืมตาขึ้นอย่างสงสัย และบังเอิญว่าเผยหลูเยียนก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะด้วยท้องสองคนสบตากันหลังจากถูกจับได้ เสิ่นซางหนิงก็คว้าผ้าห่มจากด้านข้างและปกปิดตัวเองด้วยความเขินอาย "มันหนาวนิดหน่อย"ดวงตาของเผยหลูเยียนสงบนิ่งและเฉียบคม แต่ดูเหมือนว่าเขาสามารถมองความคิดของนางออก ซึ่งทำให้เสิ่นซางหนิงตัวร้อนขึ้นมานางดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ เพื่อให้ตัวนางอยู่ในค
เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มของเสิ่นเมี่ยวอี๋ก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และดวงตาของนางก็เปล่งประกาย รอดูให้เสิ่นซางหนิงขายหน้าได้เลย"เมี่ยวอี๋ เจ้าคิดถึงเรื่องอะไรที่น่ายินดีหรือ"เสิ่นซางหนิงพูดด้วยรอยยิ้มจาง แต่เดิมนางไม่ต้องการพูดตรงๆ แต่ทนเห็นสายตา "ได้ใจ" ของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และรอยยิ้มที่กำลังดูเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้นมันโง่จริงๆเสิ่นซางหนิงอาจจะเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ก็แค่คิดว่าได้เกิดใหม่ก็สามารถเหยียบย่ำตัวเองไว้ใต้เท้าสินะโอ้ มันน่าขำจริงๆเสิ่นเมี่ยวอี๋กลับมามีสติอีกครั้ง และเม้มริมฝีปาแน่น "ท่านพี่หญิงไปถวายน้ำชาเถอะ อย่าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องรอนาน"เสิ่นซางหนิงเห็นดวงตาอันได้ใจของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และยกมุมริมฝีปากก่อนจะยิ้มขึ้นไม่รู้จริงๆ ว่าคนงี่เง่าคนนี้ได้โง่เช่นนี้ได้ยังไง ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่ได้ฉลาดขึ้นสักหน่อยภายในห้องโถงหลักหนิงกั๋วกงและนางอวี๋นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และหนิงกั๋วกงกำลังคุยเล่นกับนางอวี๋อย่างมีความสุขนางอวี๋ได้ดูแลตัวเองอย่างดี แม้ว่าจะอายุสี่สิบแล้ว แต่ก็ดูเหมือนมีอายุแค่สามสิบเท่านั้น คิ้วงดงามดูมีพลัง และจ้องมองทางประตูอย่างจริงจั
เสิ่นซางหนิงขี้เกียจที่จะฝืนยิ้ม "ทำไมน้องถึงมั่นใจขนาดนั้น"เสิ่นเมี่ยวอี๋สำลักด้วยสีหน้าไม่อาจหยั่งรู้ได้ "ข้ามีวิธีรู้ ข้ายังรู้ด้วยซ้ำว่าสามีของข้าจะเป็นคนใหญ่คนโตในอนาคต"เป็นคนใหญ่คนโตงั้นเหรอเผยเชิ่อเปลี่ยนจากผู้ชายเสเพลกลายเป็นแม่ทัพที่สร้างผลงานทางทหารมากมาย ต่อมาก็สืบทอดยศหนิงกั๋วกง ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆเสิ่นซางหนิงยอมรับว่าเผยเชิ่อเก่งศิลปะการต่อสู้และมีไหวพริบในการนำกองทหารไปออกรบ แต่ถ้าไม่มีนางที่ทุ่มเงินใช่เส้นสาย เขาไม่มีทางที่จะเป็นแม่ทัพใหญ่ในเวลาสิบปีต้องรู้ว่านับตั้งแต่ปู่ของเผยหลูเยียนเสียชีวิต จวนหนิงกั๋วกงก็ตกต่ำลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องพึ่งพาเผยหลูเยียนสอบขุนนางติดอันดับหนึ่งถึงได้รักษาฐานะในแวดวงเมืองหลวงเผยหลูเยียนเป็นความหวังของทั้งจวน พอเผยหลูเยียนเสียชีวิต สามีภรรยาหนิงกั๋วกงก็สุขภาพแย่ลง ในตระกูลก็เกิดเรื่องไม่หยุด บ่อเงินของจวนก็ใช้เงินหมดในเวลาไม่ถึงสองปีการตกอับอย่างเร็วนั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆในอีกด้านหนึ่ง เผยเชิ่อต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ แต่จวนหนิงกั๋วกงอยู่ในฝ่ายผู้รู้หนังสือและแทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับพวกทหาร หากอยากให้เผยเชิ่อก้าวไ
เพราะเมื่อชาติก่อนเป็นภรรยาของเผยเชิ่อ จะมีแม่สาใหญ่และแม่สามีเล็กต้องคอยดูแล อีกอย่างไม่สามารถทำให้ลูกสะใภ้คนโตต้องอับอายเช่นกันและตอนนี้ได้แต่งงานกับเผยหลูเยียนแล้ว นอกเหนือจากนางอวี๋แล้ว ผู้หญิงทั้งหมดในจวนก็เป็นนางที่ใหญ่สุดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของเสิ่นซางหนิงก็เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ยินคำตอบจากด้านหลังเป็นเวลานาน เสิ่นซางหนิงก็หันหลัง และเผยหลูเยียนก็เบือนหน้าออกไป ทำเอาเสิ่นซางหนิงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็จำบาดแผลของเผยหลูเยียนได้ และถามด้วยความรู้สึกผิดและความกังวลว่า "จริงสิ บาดแผลบนไหล่ของท่านยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?"สายลมพัดผ่าน เสื้อคลุมผ้าลายเมฆสีน้ำเงินของเผยหลูเยียนได้ปลิวไปมา เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ความประทับใจในเมื่อกี้ก็ค่อยๆ หายไปเขากระซิบ "เจ้ากลับเรือนชิงอวี๋นก่อน" จากนั้นเขาก็เร่งฝีเท้าและเดินไปในทิศทางที่เขามาเรือนชิงอวี๋นเป็นที่อยู่อาศัยของเผยหลูเยียนและเสิ่นซางหนิง แต่เห็นได้ชัดว่า เผยหลูเยียนต้องไปห้องหนังสืออีกครั้งเสิ่นซางหนิงมองไปที่แผ่นหลังเรียวยาวนั้น และทันใดนั้นแก้มของนางก็รู้สึกเย็นราวก