เขากลับบอกว่าเขาเชื่อความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ไหลผ่านหัวใจของนางทันที และรอยยิ้มก็เบ่งบานออกมาจากใบหน้าของเสิ่นซางหนิงนางหยิบถังหูหลูสดใสแวววาวขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา "ซานจาไม่แพ้ใช่ไหม? "เมื่อเห็นแก้มทั้งสองข้างของนางมีลักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น หัวใจของเผยหลูเยียนก็เต้นแรง แต่ใบหน้าของเขากลับรับถังหูหลูมาอย่างสงบถังหูหลูแต่ละลูกก็สดใสแวววาวดึงดูดใจ งดงามมีเสน่ห์มากยังไม่ออกน้ำตาลที่เกาะออก ก็ได้ยินเสียงแกร๊กๆ จากข้างๆ ดังขึ้น "มันหวานมาก"เผยหลูเยียนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเสิ่นซางหนิงกัดลงไปบนก้อนน้ำตาลแล้ว น้ำเชื่อมสีแดงเคลือบบนริมฝีปากสีชมพูของนาง เหมือนกับดอกท้อที่เพิ่งจะผลิบานกลิ่นหอมหวานผสมกับกลิ่นธูปหอมในรถม้า เผยหลูเยียนเหมือนจะได้กลิ่นหอมของน้ำตาลหวานมากจริง ๆความหวานนั้น ราวกับว่าเมื่อจมดิ่งลงไปแล้วก็จะติดใจมันแววตาของเขาเป็นประกาย ละสายตาไปทางอื่น และสั่งออกไปนอกรถม้า "ไปหกกรม"พูดจบ เขาถึงจะพูดกับเสิ่นซางหนิงว่า "วันนี้ข้ายังมีภารกิจทางการ อีกเดี๋ยวให้เฉินซูส่งเจ้ากลับไป"เสิ่นซางหนิงพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจ "ท่านก็ยุ่งกับงานของท่านเถอะ""แต่" นางหยุดลงชั่วขณะ และม
เรื่องที่ควรเข้าใจ นางก็เข้าใจหมดแล้วจื่อหลิงเปิดหน้าต่างรถม้า หยาดฝนก็ตกลงมา และแทรกซึมเข้ามาในรถตามช่องว่าง"เอ๊ะ นั่นซู่หยุนไม่ใช่หรือเจ้าคะ?" จื่อหลิงพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยิน เสิ่นซางหนิงก็มองไปตามสายตาของจื่อหลิงทันทีท่ามกลางสายฝน ด้านหลังที่คุ้นเคยที่ถูกเถ้าแก่ร้านหนึ่งส่งออกมา ก็คือซู่หยุนซู่หยุนมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง ถือร่มวิ่งไปท่ามกลางสายฝน"สองวันนี้ดูเหมือนนางจะยุ่งมาก" จื่อหลิงพูดขึ้น "ร้านนั้น ดูเหมือนจะเป็นร้านสินสอดของฮูหยินน้อยรอง"เสิ่นซางหนิงมองร้านเครื่องชาดนั้นอย่างมีความคิดบางอย่าง "อืม ตอนนี้อาจจะไม่แน่แล้ว"ด้วยนิสัยอยากมีเงินอย่างรวดเร็วของเสิ่นเมี่ยวอี๋ คาดว่าเวลานี้ก็คงคิดทุกวิถีทางเพื่อจะซื้อร้านอาหารร้านนั้นทางตะวันออกของเมืองตอนแรกก็ต้นทุนไม่พอ ขายร้านมันก็แน่นอนอยู่แล้วจื่อหลิงไม่เข้าใจ "ไม่ใช่ซู่หยุนมาเก็บค่าเช่าหรือเจ้าคะ?แต่มาขายร้าน?ฮูหยินน้อยรองขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?"แน่นอนว่าขาดเงิน ทั้งยังใจแคบด้วยใช้เงินและสินสอดของตระกูลเวยเซิง ยกชามขึ้นกินข้าว วางชามลงก็ด่าแม่โลภมากมักลาภหาย เสิ่นซางหนิงไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเสิ่นซางหนิงกลับมาถึงจวน ก็ได้ยินอวี้เฟยมารายงานว่า ฮูหยินน้อยรองไปจุดธูปกราบไหว้ท่านแม่ของนางที่ห้องโถงบรรพบุรุษแล้วเสิ่นเมี่ยวอี๋มีเจตนาดีขนาดนี้จริงๆ ?นางหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังห้องโถงบรรพบุรุษท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงแดดจ้าเสิ่นเมี่ยวอี๋ไล่สาวใช้ออกไป เดินเข้าไปข้างในคนเดียว สายตาของนางกวาดมองไปป้ายวิญญาณ จากนั้นก็มองไปที่แถวที่สามลำดับที่หกเวยเซิงเหยียนนี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเมี่ยวอี๋รู้จักชื่อของนางเวยเซิงตระกูลเวยเซิงไม่เพียงไม่เพียงได้เข้ามาอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษของจวนกั๋วกง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชื่อของนาง น่าขำสิ้นดี!เสิ่นเมี่ยวอี๋ยิ้มเยาะ จากนั้นก็หยิบธูปสามดอกออกมาจากใต้แท่นบูชา มือขวาถือธูปแล้วจุดกับเทียนบนเชิงเทียน เมื่อเห็นว่าไฟแรงเกินไป นางก็เป่าดับทันทีนางเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจเข้ามาอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษแล้วยังไง?"คุณชายรอง ฮูหยินน้อยรองอยู่ด้านในเจ้าค่ะ" ด้านนอกเสียงของคนรับใช้ดังขึ้นเมื่อเสิ่นเมี่ยวอี๋ได้ยิน ก็ยืดตัวตรงขึ้น เมื่อด้านหลังมีเสียงฝีเท้าของผู้ชายดังขึ้น นางก็แสร้งทำเป็นพูดกับป้ายวิญญาณ——"ท่านแม่เจ้าคะ ลูกไม่เคยจุดธูปกราบไ
ตอนที่เสิ่นซางหนิงกลับไปมาถึงเรือนชิงอวี๋น ก็เห็นสาวใช้ข้างกายของนางอวี๋ส่งยามาให้"ฮูหยินบอกว่า ยาที่เตรียมไว้สำหรับฮูหยินน้อย ส่งเสริมความประหยัดก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่สามารถกินยาที่หมดอายุ"สิ่งที่สาวใช้พูด คือคำพูดของนางอวี๋เสิ่นซางหนิงฟังแล้วก็รู้สึกขัดเขิน รับยามา และรีบให้จื่อหลิงไปเปลี่ยน "ยาที่หมดอายุ"ทันทีที่สาวใช้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งออกไป จื่อหลิงก็เข้ามากระซิบยืนยันเบาๆ "ยาชุนรื่อไม่เอาแล้วใช่ไหมเจ้าคะ? ""อืม" เสิ่นซางหนิงไม่สร้างปัญหาอีกจื่อหลิงเอายาไปวางด้วยความเสียใจพูดไปแล้วก็บังเอิญมาก ขวดของยาดับร้อนถอนพิษขวดใหม่นี้ กลับเหมือนกับยาชุนรื่อเมื่อก่อนทุกประการเสิ่นซางหนิงตั้งใจกำชับขึ้นเป็นพิเศษว่า "อย่าปนกันเด็ดขาด"จื่อหลิงมือสั่น สัญญาขึ้นอย่างหนักแน่น "ไม่ปะปนกันแน่นอน ข้าน้อยเชื่อถือได้เจ้าค่ะ"*ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว และคืนนี้เผยหลูเยียนก็ไม่มาจริง ๆเสิ่นซางหนิงก็ไม่รีบร้อน คิดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้เจอกับอวิ๋นจ้าวแล้ว จึงสั่งให้คนเตรียมทำความสะอาดห้องเล็กๆ เงียบสงบด้านหลังไกลๆ ไว้จื่อหลิงจะไม่อิจฉาก็ไม่ได้ "ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะเกี่ยวข้องกับคนประเภทนั้นใ
จากนั้นก็คลานออกมาจากบ่อน้ำ เข้าไปในสลัมที่มืดมิดชื้นแฉะ"พี่อวิ๋นจ้าว ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว! " เด็กน้อยธรรมดาหลายคนวิ่งเข้ามาหานาง ถนนไม่เรียบ เกือบจะล้มลงเด็กๆ เห็นมือทั้งสองของนางว่างเปล่า ก็จ้องมองอย่างโหยหาหลายวันที่อวิ๋นจ้าวอยู่ในคุก มีเด็กหลายคนก็หิวจนผอมแล้วแววตาของนางมืดมิดลงเล็กน้อย นึกถึงคำสัญญาเมื่อครู่ของหญิงสาวแปลกหน้า ในใจของนางก็มีความคิดใหม่เกิดขึ้น"หลายวันที่เจ้าไม่อยู่ อาหารกินหมดแล้ว" ชายหนุ่มร่างผอมนั่งอยู่ตรงมุม "ข้ารับงานหนึ่ง นายจ้างเสนอเงินให้หนึ่งร้อยตำลึง เพื่อซื้อชีวิตคนหนึ่งคน"อวิ๋นจ้าวไม่พอใจ "เราไม่ฆ่าคน""ข้ารู้ ข้าไปฆ่าเอง" ชายหนุ่มร่างผอมสีหน้ามืดมน มองไปที่อวิ๋นจ้าวแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่กลับมาแล้ว ข้าเป็นคนที่อยู่ในความมืด ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพอย่างถูกต้องได้ และเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ไม่ได้"สีหน้าของอวิ๋นจ้าวบูดบึ้งทันที บรรยากาศแปลกๆ ชายหนุ่มคนนั้นอธิบายขึ้นว่า "ข้าถามแล้ว คนที่จะฆ่าคือขุนนางชั้นสูง ไม่ใช่คนดี"เมื่ออวิ๋นจ้าวได้ยิน สีหน้าของนางก็เคร่งขรึม "ขุนนางชั้นสูง หนึ่งร้อยตำลึง? ข้าคิดว่าคนที่เสนอราคาต่างห
ในช่วงเวลาสะลึมสะลือ ชายกระโปรงก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆเสิ่นซางหนิงคิดว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตานางเป็นถึงนายหญิงใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากทุกคนในจวนหนิงกั๋วกง(ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ) ผู้ใดกล้าปีนขึ้นไปบนเตียงของนางในกลางดึกเล่าจนกระทั่งได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด เสิ่นซางหนิงก็ตื่นขึ้นอย่างกะทันหัน นางลืมตาขึ้นและตรงหน้ามืดจนมองไม่เห็นอะไรเลยทว่าบนตัวกลับมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่คุณพระช่วยเสิ่นซางหนิงรู้สึกตกใจมาก และยื่นมือออกเพื่อผลักเขาออกทันที "ช่างบังอาจ ไอ้..."คำพูดถูกบรรยากาศที่ช่างเร้าอารมณ์นั้นขัดจังหวะกระแสนิยมของสังคมปัจจุบันกลับแย่กว่าแต่ก่อนเลย ผู้คนที่มีนิสัยไม่ดีได้มากขึ้นเรื่อยๆเสิ่นซางหนิงเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่านี่ก็อายุสี่สิบปีแล้ว ยังต้องเจอกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ผลกระทบนั้นมันรุงแรงมาก จนนางไม่สามารถได้ยินเสียงตัวเองได้เปลี่ยนไปเป็นเสียงตอนสมัยสาวๆ ด้วยซ้ำ"ไอ้สารเลว!"นางผลักเขาไม่ออก แต่ก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงต้องโหดร้ายขึ้นมาและกัดไหล่ของชายคนนั้นอย่างแรง เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเลย"เฮ้อ" ชายคนนั้นสู
เสิ่นซางหนิงรู้ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหนค่ำคืนที่มิดสนิท แต่ในจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ทางเดินถูกแขวนด้วยผ้าไหมสีแดงและโคมไฟสีแดงงานเลี้ยงที่ลานหน้าบ้านเพิ่งจบลงไปไม่นาน เสิ่นซางหนิงวิ่งรีบร้อนมาก และจู่ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นที่มุมถนน นางจึงไม่ทันได้หยุดฝีเท้าจึงชนเข้าไปเลยหน้าอกของอีกฝ่ายแข็งมาก เสิ่นซางหนิงปิดหน้าผากและถอยหลังออกไป ขณะที่นางกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ก็ได้ยินน้ำเสียงที่ดูประหลาดใจของอีกฝ่าย——"พี่สะใภ้เหรอ"เสิ่นซางหนิงฟังเสียงนี้มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ยามนี้กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงถูกสามีในชีวิตที่แล้วเรียกตนเองว่าพี่สะใภ้ นอกจากไม่ชินแล้วยังรู้สึกอึดอัดด้วยเสิ่นซางหนิงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของเผยเชิ่อเขาหน้าไม่เหมือนเผยหลูเยียน เขาไม่ได้เย็นชาและสูงส่งเท่าเผยหลูเยียน แต่ดูสง่างามกว่า"พี่สะใภ้ไปไหนหรือ ท่านพี่ชายอยู่ไหน"เผยเชิ่อมองไปยังพี่สะใภ้ซึ่งอายุน้อยกว่าเขา และสงสัยว่าเหตุใดนางถึงวิ่งไปข้างนอกในคืนวันแต่งงานเนื่องจากตระกูลเผยและตระกูลเสิ่นต่างเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวง ที่เผยเช
เผยหลูเยียนยืนขึ้น วางขวดสุราลง แล้วเดินไปที่โต๊ะ ก่อนนั่งลงอย่างเคร่งขรึม "ข้ามีงานต้องจัดการ คืนนี้จะพักอยู่ที่ห้องหนังสือ"ก็ได้เขาบอกว่าเขาอยากอยู่กับงานเสิ่นซางหนิงอยากถามว่ามันมีงานอะไรเยอะแยะเช่นนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่อยากร่วมรักกับนางก็เท่านั้นแม้ว่าจะถูกปฏิเสธ แต่เสิ่นซางหนิงก็ไม่อยากยอมแพ้ "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะอยู่เพื่อนท่านที่ห้องหนังสือ"หญิงสาวผู้กล้าหาญกลัวที่จะถูกผู้ชายตามตื้อ ผู้ชายก็เช่นกันฮึ่ม นางไม่เชื่อหรอกว่าการมีลูกจยากขนาดนั้นหลังจากพูดอย่างนั้น นางก็นอนลงบนที่นอนพลางหลับตาและทำท่าเหมือนกับจะนอนที่นี่แต่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวของเผยหลูเยียนแต่อยาสงใดเป็นเวลานาน เขาไม่ได้ขับไล่นางออกไป ซึ่งทำให้นางประหลาดใจนางแอบลืมตาขึ้นอย่างสงสัย และบังเอิญว่าเผยหลูเยียนก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะด้วยท้องสองคนสบตากันหลังจากถูกจับได้ เสิ่นซางหนิงก็คว้าผ้าห่มจากด้านข้างและปกปิดตัวเองด้วยความเขินอาย "มันหนาวนิดหน่อย"ดวงตาของเผยหลูเยียนสงบนิ่งและเฉียบคม แต่ดูเหมือนว่าเขาสามารถมองความคิดของนางออก ซึ่งทำให้เสิ่นซางหนิงตัวร้อนขึ้นมานางดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ เพื่อให้ตัวนางอยู่ในค