Share

บทที่ 11

"หากเจ้าขายไปกี่แห่งอย่างเงียบๆ ใครจะรู้เล่า" เสิ่นเมี่ยวอี๋เหลือบมองซู่หยุนแล้วถามว่า "ทำสิ่งต่างๆ ให้เนียมหน่อย หากต่อไปข้าได้อำนาจ เจ้าต้องมาผลประโยชน์แน่ๆ"

ซู่หยุนไม่สามารถชักชวนนางได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ตอบตกลง

แต่นางได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อย โดยสงสัยว่าเหตุใดเจ้านายจึงเปลี่ยนไปมากในช่วงนี้

ในอดีต คนที่นางดูหมิ่นที่สุดก็คือนักธุรกิจ แต่กลับต้องการทำธุรกิจด้วย

เมื่อเห็นว่าซู่หยุนกำลังจะออกไปหลังจากได้รับคำสั่ง เสิ่นเมี่ยวอี๋ก็นึกถึงคำพูดของเผยเชิ่ออีกครั้ง และนางก็โกรธมาก "เดี๋ยวก่อน!"

"หาสาวใช้ที่อ่านหนังสือเเป็นไปคัดลอกหนังสือ"

*

อีกด้าหนึ่ง จื่อหลิงกำลังหยิบยากระตุ้นอารมณ์แอบเข้าไปห้อง และบังเอิญโดนเฉินซูที่ไปตามหาอวี้เฟยเข้า

ทำตัวลับๆ ล่อๆ น้่สงสัยมาก

เฉินซูอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า "แม่นางจื่อหลิง"

จื่อหลิงหยุดฝีเท้าลงและเก็บยาต่างๆ ในมือให้ยัดเข้าไปแข็นเสื้อ เพราะกลัวโดนคนอื่นเห็นเข้า เวลาต่อมาก็ได้ยินเฉินซูพูดว่า

"เจ้าเป็นคนข้างกายของฮูหยินซื่อจื่อ ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ตนเองด้วย อย่าทำให้ซื่อจื่อและฮูหยินต้องขายหน้า เจ้ากำลังถืออะไรอยู่ในมือเล่า"

เฉินซู่เห็นข้อความเล็กๆ "น้ำสดชื่น" ติดอยู่บนขวด "มันก็แค่น้ำสดชื่นนี่เอง เจ้าซ่อนมันทำไม"

น้ำเสียงของเฉินซูนั้นดูปกติมากจนทำให้จื่อหลิงเบิกตากว้าง นางตกใจมาก "เจ้ารู้ด้วยหรือ"

นางพึมพำในใจอย่างเงียบๆ จบแล้ว จบสิ้นแล้ว ชื่อเสียงของฮูหยินน้อยกำลังจะถูกทำลาย

"ทำไมจะไม่รู้" เฉินซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม "น้ำหวานที่ร้านยงอันขายดีในทุกๆ หน้าร้อน เพื่อลดความร้อนภายในนี่"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จื่อหลิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

น้ำสดชื่นนี้ต่างกับน้ำหวานที่เขาพูด และของในมือตนเองไม่ได้แก้อาการร้อนในสักหน่อย

เมื่อจื่อหลิงกลับไปที่เรือนชิงอวี๋น นางได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้

"ร้านยาซ่างนี่น่าทึ่งมาก ถ้วยที่ใส่ยานั้นยังทำแบบเดียวกับของร้านยงอันด้วย"

เสิ่นซางหนิงก้มศีรษะลงและกำลังทำข้อสอบของการสอบขุนนางในอีกยี่สิบปีข้างหน้า

ในชาติก่อนเพื่อที่จะสอนลูกชาย นางจึงให้ความสนใจกับข้อสอบอยู่เสมอ

ไม่เพียงแต่การสอบทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสอบระดับเขตและระดับจังหวัดด้วย

หากไม่มีข้อผิดพลาด ข้อสอบเหล่านี้ก็อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

เมื่อได้ยินเสียงของจื่อหลิง เสิ่นซางหนิงก็ยกมือขึ้นพับต้นฉบับและวางบนเชิงเทียนเพื่อเผามัน

การเขียนซ้ำพเพื่อจำให้ขึ้นใจเผื่อว่าต้องการใช้มันในอนาคต

ถ้าหากทิ้งข้อสอบพวกนี้ไว้ อาจโดนจับผิดได้

ในขณะนี้ เฉินซูเดินช้านั้นก็ได้เข้าไปในเรือนชิงอวี๋น เสียงการสนทนากับอวี้เฟยไม่ดัง แต่มันพอได้ยินจากห้องหลัก

"เจ้าไปทำเลย ให้ฮูหยินน้อยได้กลับบ้านพ่อแม่อย่างมีหน้ามีตา" เฉินซูพูดอย่างใจปล้ำ

แต่อวี้เฟยถอนหายใจเบาๆ "ซื่อจื่อจะไม่กลับไปพร้อบฮูหยินน้อยจริงๆ หรือ ของขวัญจะล้ำค่ามากแค่ไหนแล้วมันจะมีค่าอะไร หากไม่ไปด้วยตนเอง จะว่าไปฮูหยินน้อยก็จะเสียใจ"

เฉินซูหยุดครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ "ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าซื่อจื่อเขายุ่งนะ เจ้าควรชักชวนฮูหยินน้อยให้เข้าใจซื่อจื่อด้วย"

ภายในห้อง เสิ่นซางหนิงมีสีหน้าเฉยเมย เดิมทีนางไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว เลยไม่ได้ผิดหวังอะไร

ในทางกลับหัน จื่อหลิงมีสีหน้าเศร้า "ซื่อจื่อไม่รู้จักเอาใจคนจริงๆ จะทำเช่นนี้ได้ยังไง ไม่งั้นให้ซื่อจื่อดื่มน้ำสดชื่นให้เร็วหน่อย จะได้ให้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน"

เสิ่นซางหนิงรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อเห็นนางรีบร้อนที่จะลงมือ "เจ้าได้ถามหมอบ้างไหมว่ายานี้รุนแรงแค่ไหนและครั้งละเท่าไร"

จื่อหลิงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่นางซื้อสิ่งของนี้ หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วก็รีบวิ่งออกไปแล้ว

ในขณะนี้ นางส่ายหัวด้วยความสับสน "ข้าน้อยนึกว่าท่านรู้"

เสิ่นซางหนิงก็ไม่รู้เหมือนกัน ในชาติที่แล้ว นางได้ยินมาว่าสิ่งนี้ได้ผล แต่ไม่เคยใช้มันเลย

"ไม่งั้นให้ข้าน้อยไปอีกครั้งไหม" จื่อหลิงถามอย่างจริงจัง

เพราะคนที่กินยานั้นคือซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ หากใช้ยามากเกินไปทำให้เกิดปัญหาอื่นขึ้นมา นางก็รับผิดชอบไม่ไหว

เสิ่นซางหนิงคิดว่าถ้าไปร้านขายยาบ่อยๆ โอกาสที่จะถูกพบเจอจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

นางไอสองครั้งแล้วพูดว่า "อย่าไป มันแค่ช่วยปลุกอารมณ์ ใช้มันเท่าที่จำเป็น"

หลังจากพูดเช่นนี้ ก็ใส่น้ำยานั้นในขวดยาเล็กๆ หลายขวด ติดป้ายกำกับว่า "แก้อาการน้อนใน" แล้วใส่ลงในกล่องยาของนาง

เมื่อพลบค่ำ เผยหลูเยียนไม่ได้กลับไปทานอาหารเย็นที่เรือนอย่างที่คิด

เขาไม่ได้กลับมาพักผ่อนในเวลากลางคืนด้วย

เสิ่นซางหนิงได้แต่ไปหาเขาที่ห้องหนังสือ แต่ไม่คาดคิดว่าห้องหนังสือถูกปิดสนิทไว้

แม้ว่านางจะพูดจาดีๆ แต่คนข้างในกลับพูดอย่างเย็นชา

"ฮูหยิน ในห้องหนังสือไม่มีที่สำหรับสองคน"

เสิ่นซางหนิงจากไปด้วยความผิดหวัง ขวดยาเล็กๆ ในอ้อมแขนของนางก็ไม่มีประโยชน์ในขณะนี้

ไม่เพียงแต่วันนี้ แต่เป็นเวลาสองวันติดต่อกัน ห้องหนังสือถูกปิดไว้เพื่อป้องกันนางอย่างกับขโมย

หลังจากตื่นจะฝันตอนเที่ยงคืน เสิ่นซางหนิงตื่นขึ้น นางมักจะลุกขึ้นมาส่องกระจกดู เพื่อยืนยันว่านางยังอยู่ในวัยอายุสิบแปดปี

เมื่อเกิดใหม่ นางยังปรับตัวได้ไม่เต็มที่ และมักจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

เมื่อแสงปรากฏที่ขอบฟ้าและพระอาทิตย์ยามเช้าปรากฏขึ้นก็ถึงเวลากลับบ้านพ่อแม่แล้ว

เสิ่นซางหนิงสวมกระโปรงสีอ่อน เสื้อเชิ้ตกระดุมสองแถวสีชมพูอ่อนมีแขนยาวขนาดใหญ่ และปิ่นปักผมติดผมมวยอย่างสง่างาม

เป็นการแต่งตัวที่เรียบง่ายแต่ก็ดูสง่างามมาก

ตามประเพณีแล้ว นางควรกลับบ้านพ่อแม่พร้อมกับเสิ่นเมี่ยวอี๋ เพราะชาติก่อนก็ทำเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม เสิ่นซางหนิงไม่ต้องการที่จะไปกับนางในครั้งนี้ ดังนั้นนางจึงถ่วงเวลา สุดท้ายถึงเดินออกจากห้องอย่างช้าๆ โดยไม่คาดคิดว่าเสิ่นเมี่ยวอี๋ยังไม่กลับ

ภายใต้แสงยามเช้า เผยเชิ่อขี่ม้าตัวใหญ่

เสิ่นเมี่ยวอี๋โผล่หัวของนางออกจากรถม้าแล้วเรียกเสิ่นซางหนิง "ทำไมท่านพี่หญิงถึงกลับคนเดียวเล่า?"

เมื่อเห็นว่านางอยู่คนเดียว เสิ่นเมี่ยวอี๋ก็รู้สึกสะใจมาก

เสิ่นเมี่ยวอี๋แสร้งทำเป็นประหลาดใจและพูดว่า "หรือว่าซื่อจื่อไม่กลับบ้านพร้อมพี่หรือ"

เสิ่นซางหนิงเอ่ยปากเรียบๆ "ท่านสามีมีงานยุ่ง ยิ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้น เวลาก็ยิ่งน้อย ข้าไม่ได้โชคดีเหมือนน้องที่มีน้องรองคอยอยู่เคียงข้างน้องตลอดเวลา"

ความหมายแอบแฝงนั้นทำให้เสิ่นเมี่ยวอี๋เปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน

ในทางกลับกัน เผยเชิ่อซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้านั้นไม่ได้ตระหนักถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดแต่อย่างใด

รอยยิ้มของเสิ่นเมี่ยวอี๋นั้นแข็งทื่อ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเสิ่นซางหนิงที่กลับบ้านโดยไม่มีสามีตามไปด้วย แล้วทำไมเสิ่นซางหนิงถึงยังคงสงบเช่นนี้

"พี่นี่ปากแข็งจริงๆ เราสองพี่น้องยังมีเรื่องอะไรจะคุยไม่ได้เล่า ถ่วงเวลาตั้งนาน คิดว่าคงไม่สบอารมณ์มากนัก"

เสิ่นเมี่ยวอี๋ทำตัวเป็นกังวล "รีบขึ้นรถสิ มีผู้คนสัญจรไปมามากมายที่นี่ ถ้ามีใครเห็นว่าพี่กลับคนเดียว และโดนนินทาแน่ๆ ข้าแค่กลัวว่าพี่จะเสียใจ"

ก่อนที่นางจะพูดจบ เสิ่นซางหนิงก็หันกลับและเดินไปที่รถม้าด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เพิกเฉยต่อคำพูดของนางตรงๆ

เสิ่นเมี่ยวอี๋รู้สึกราวชกมือต่อยผ้าฝ้าย ยังไม่ได้ระบายความโกรธออกมา นางหงุดหงิดมาก

นางขมวดคิ้วและมองไปยังรถม้าที่อยู่ข้างหลัง นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ประชดเสียง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงม้าที่เร่งฝีเท้าเร็วดังมาจากส่วนลึกของถนน

จากระยะไกลกว่าหลายสิบวา นางเห็นกลุ่มคนควบม้าเข้ามาหานาง

ร่างของผู้นำนั้นดูค่อนข้างคุ้นเคย เขาสวมเครื่องแบบขุนนางสีแดงและกลายเป็นจุดสนใจในทางถนน ในเวลานี้ เขากำลังขี่ม้า ไม่นานนักเขาก็มาถึงหน้าจวน

บังเหียนจับม้าไว้ด้านหลัง และม้าก็หยุดลง

เสิ่นซางหนิงเห็นใบหน้าของเผยหลูเยียนอย่างชัดเจน นางกำลังยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ ไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ นางเองก็คงไม่คาดคิดว่าเผยหลูเยียนจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่

เผยหลูเยียนแต่งกายด้วยเครื่องแบบราชการ ดูอ่อนเยาว์และสูงส่งมาก ทั้งยังมีความสง่างามที่แตกต่างจากปกติ

เขาดูจริงจัง ถึงขั้นเคร่งขรึมด้วย "ขอโทษที่มาสาย"

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status