เสิ่นซางหนิงตบฝุ่นบนกล่องแล้วพูดว่า "ข้านำสิ่งนี้กลับมาจากเมืองจินหลิงเมื่อหกปีที่แล้ว"กล่องนี้บรรจุสิ่งที่เสิ่นซางหนิงนำกลับมาจากเมืองจินหลิงเมื่อนางอายุ 12 ปี และยังมีหนังสือทางธุรกิจอยู่บ้าง"ท่านพ่อไม่ชอบให้ข้าสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้นำของเหล่านี้ไปด้วยเมื่อข้าแต่งงาน""ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของเขาอีกต่อไป ข้าอยากจะเอาสิ่งนี้ไปได้เลย" เมื่อเสิ่นซางหนิงพูดแบบนี้ นางก็หัวเราะอย่างจริงใจคนเรามีเพียงสองกรณีเท่านั้นที่ต้องถูกควบคุมโดยผู้อื่น กรณีแรกคือเมื่อเขาต้องพึ่งพาคนอื่น สองก็คือเพราะให้ความสำคัญบัดนี้เสิ่นซางหนิงไม่ต้องการอีกต่อไปเผยหลูเยียนจ้องมองที่กล่องและพูดโดยไม่ถามคำถามใดๆ อีก "ได้"ในชาติที่แล้ว เสิ่นซางหนิงทะเลาะกับจวนป๋อในวันที่นางกลับบ้านพ่อแม่ และไม่ทันได้หยิบกล่องกลับ เมื่อนางจำได้ในวันรุ่งขึ้น ก็กลับมาเอาของ แต่กลับพบว่าโดนเสิ่นยี่ทิ้งไปแล้วจนกระทั่งอายุสี่สิบปีแล้ว เสิ่นซางหนิงก็ยังไม่เจอมันเมื่อเวลาผ่านไป นางถึงขนาดลืมไปแล้วว่าสิ่งของที่เก็บไว้ในกล่องมีอะไรบ้าง"กุญแจอาจจะหายไปแล้ว" นางพูดอย่างผิดหวังเผยหลูเยียนมองดูแม่กุญแจรูปทร
นางหลิ่วเงียบไปสักพัก และในที่สุดก็ทำได้เพียงสนับสนุนลูกสาวอย่างไม่มีเงื่อนไข"ช่วงนี้จวนป๋อก็ขาดเงินเหมือนกัน อีกหน่อยรอคนของตระกูลเวยเซิงมาก็จะมีเงิน!"เมื่อเทียบกับเงินแล้ว นางหลิ่วกังวลเรื่องอื่นมากกว่า "เมี่ยวเมี่ยว เผยเช่อดีต่อเจ้าหรือไม่ พวกอนุในเรือนของเขา เจ้าต้องจัดการได้อยู่มัดนะ""ท่านแม่ไม่ต้องกังวล" ดวงตาของเสิ่นเมี่ยวอี๋ฉายแววด้วยความภาคภูมิใจ และนางพูดอย่างมั่นใจ "ในอนาคต ท่านรองจะไล่อนุทั้งหมดออกเพื่อข้า และในจวนหลังมีข้าเป็นเพียงคนเดียว"นางหลิ่วสงสัย "เขาสัญญากับเจ้าเหรอ?"ไม่ได้สัญญาหรอกเพียงแต่ว่าเสิ่นเมี่ยวอี๋จำพัฒนาการของชาติที่แล้วได้ และนางก็เชื่ออย่างลึกซึ้งนางไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเดินออกไปพร้อมกับนางหลิ่วเมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นซางหนิงก็ดึงแขนเสื้อของเผยหลูเยียนขึ้นแล้ววิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามพวกเขาไม่หยุดจนกว่าจะไม่เห็นเงาของแม่ลูกนางหลิ่วนางอ้าปากหอบหายใจ "ยามนี้ถึงต้องไปทานข้าวจริงๆ แล้ว""เจ้า..." ใบหน้าของเผยหลูเยียนมืดมน เขาหยุดชะงักแม้ว่าเขาเคยได้ยินเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเฉิงอันป๋อ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดหวังและกังวลเขาได้เห็นแผนการในแ
บนรถม้าเสิ่นซางหนิงปอกเปลือกลิ้นจี่โดยจับเนื้อสีขาวราวหิมะไว้ระหว่างปลายนิ้วของนางทันใดนั้นนางก็นึกถึงชาติที่แล้ว ประมาณครึ่งปีต่อมา เสิ่นยี่ตัดสินใจมอบอนุให้เผยหลูเยียนแม้ว่าเสิ่นยี่จะเอ็นดูเสิ่นเมี่ยวอี๋ แต่เขาก็ยังคงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มากกว่าเมื่อเห็นว่าเผยหลูเยียนไม่ชอบเสิ่นเมี่ยวอี๋สักที จึงคิดที่จะส่งบุตรีอนุเสิ่นลั่วอวี่ไปที่จวนกั๋วกงอย่างไรก็ตาม เสิ่นลั่วอวี่หยิ่งเกินไป ต้องการแทนที่เสิ่นเมี่ยวอี๋ความคิดนี้ถูกนางหลิ่วรู้เข้า นางเกือบถูกนางหลิ่วเล่นงานตายแต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อไม่มีนางหลิ่ว แผนของพวกเขาก็ไม่สำเร็จอยู่แล้วเสิ่นซางหนิงรู้จักครอบครัวนี้เป็นอย่างดี พวกเขาทั้งหมดมีข้อหนึ่งที่เหมือนกันหมดไม่รู้จักประมาณตนมักจะคิดว่าความสุภาพที่ผู้ดีมีต่อคนอื่นนั้นคือจุดอ่อน ทางจวนหนิงกั๋วกงปฏิบัติต่อจวนเฉิงอันป๋ออย่างสุภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเคารพเสิ่นยี่จริงๆ และยอมให้เขามาสั่งการเมื่อถึงเวลาที่ทำให้จวนกั๋วกงไม่พอใจเข้า เสิ่นซางหนิงก็คอดูเรื่องตลกๆ เลยเสิ่นซางหนิงยัดลิ้นจี่เข้าปาก แก้มของนางโปน แล้วพูดกับเผยหลูเยียนว่า "เราควรคุยเรื่องทายาทกันต่อไ
พระอาทิตย์กำลังตกดินซู่หยุนทำธุระที่เสิ่นเมี่ยวอี๋มอบให้เสร็จแล้ว และกลับไปที่เรือนฝูฮวาอย่างช้าๆเมื่อคิดว่าร้านอาหารที่เจ้านายสนใจนั้นได้เสนอราคาสูงลิ่วซู่หยุนก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ และรีบกลับไปเพื่อให้เสิ่นเมี่ยวอี๋ตัดสินใจแทน"พี่ซู่หยุน คุณชายรองและฮูหยินน้อยรองอยู่ในห้อง โปรดรอสักครู่" สาวใช้ที่เฝ้าประตูหยุดนางไว้ซู่หยุนได้ยินเช่นนั้น ได้แต่รออย่างอดทนภายในห้อง"ท่านพี่หญิงนำป้ายวิญญาณของเวยเซิงฮูหยินกลับมาที่จวนแล้วหรือ" เสิ่นเมี่ยวอี๋รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อทราบข่าวจากเผยเช่อเด็กผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะนำป้ายวิญญาณของแม่ที่เสียชีวิตไปด้วยได้ที่ไหนนางกล้ามากจริงๆ ไม่กลัวถูกชี้หน้าด่าเลยเสิ่นเมี่ยวอี๋รู้สึกว่าเสิ่นซางหนิงคงจะเสียสติไปแล้ว "จะวางป้ายวิญญาณไว้ที่ไหน"เผยเช่อพยักหน้าเล็กน้อย จับมือมือเล็กๆ ของเสิ่นเมี่ยวอี๋ และเอนตัวลงบนที่นอนอย่างไม่ใส่ใจ "บัดนี้ พี่ชายกำลังหารือกับท่านพ่อท่านแม่อยู่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าต้องการไปวางมันไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษ""ห้องโถงบรรพบุรุษ?" เสียงของเสิ่นเมี่ยวอี๋สั่นด้วยความไม่อยากเชื่อนอกจากตกใจแล้วยังมีความโกรธอีกด้วยทำไมเผยหล
จากนั้น เสียงของเผยเช่อก็หายไปจากลานบ้านเมื่อซู่หยุนเข้าไปในห้อง นางเห็นเสิ่นเมี่ยวอี๋กำลังขว้างแก้วด้วยความโกรธ"ซู่หยุน! เจ้าบอกข้าสิ ข้าผิดตรงไหน นางเวยเซิงมันต่ำช้ามันเป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!""เอาแต่บอกว่ารักข้า แล้วเขาก็มาชักสีหน้าใส่ข้าเพราะเรื่งองนี้หรือ เขาดูถูกข้าหรือเปล่า?"มีเสียงพังเครื่องอยู่ในห้องตลอดเวลา และสาวใช้นอกห้องต่างก็ถอยกลับออกไปเมื่อได้ยินเสียงนี้"ฮูหยินน้อย โปรดใจเย็นๆ" ซู่หยุนลังเลอยู่นานสุดท้ายก็ตัดสินใจพูด "ค่าเช่ารายปีสำหรับร้านอาหารทางเขตตะวันออกของเมืองคือหนึ่งหมื่นตำลึง และต้องเช่าขั้นต่ำคือสามปี"การกระทำของการขว้างสิ่งของก็ค้างอยู่ในกลางอากาศ เสิ่นเมี่ยวอี๋รู้สึกตกใจ "สามหมื่นตำลึง"กล้าเสนอราคาแพงเช่นนี้ในสองวันที่ผ่านมาเพิ่งได้ขายร้านค้าหลายแห่งในทำเลไม่ดี รวมเงินสินเดิมก็มีเงินแค่หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเท่านั้นยังขาดอีกครึ่งหนึ่งข่าวร้ายแบบนี้มันเท่ากับซ้ำเติมเสิ่นเมี่ยวอี๋ชัดๆแต่แล้วไงล่ะ"ข้ายังมีร้านอื่นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ ให้ขายไปครึ่งหนึ่ง หากไม่พอ ข้าก็ใช้สินเดิมและเครื่องประดับไปแลกเงิน"เสิ่นเมี่ยวอี๋ตัดสินใจ
"เด็กใช้คนนั้นน่าสงสารมาก ไม่ว่าเขาจะขอร้องยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เขาแค่ได้มองภาพเหมือนแวบหนึ่งเองก็ถูกขายไป"จื่อหลิงพูดอย่างเป็นตุเป็นตะ ทำหน้าจริงจัง "ว่ากันว่าซื่อจื่อในตอนนั้นมีอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดปี หลังจากที่เด็กคนนั้นถูกขายไป ข่าวก็ยังไปถึงหูของกั๋วกง กั๋วกงดุยกใหญ้ หาว่าซื่อจื่อเสเพล ไม่เอาไหน จนเผาภาพวาดด้วย ทำให้ความคิดของซื่อจื่อต้องจบลงทันที"เสิ่นซางหนิงถามว่า "แล้วไงต่อล่ะ""อะแฮ่ม ไม่มีใครในจวนจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่ได้ยินว่าฐานะครอบครัวไม่ค่อยเท่าไร" จื่อหลิงลดเสียงลงเพราะกลัวว่าจะถูกได้ยินเข้า "ท่านกั๋วกงเลยเตือนซื่อจื่อว่าถ้าเขาคิดถึงหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เขาจะให้ครอบครัวของนางเห็นดีแน่ๆ""ใช้อำนาจกดขี่!" จื่อหลิงส่ายหัว "แน่นอนว่าซื่อจื่อต้องยอมแพ้ และเรื่องนี้ก็จบลงอย่างนั้น"เพราะมันไม่ใช่ข่าวที่ได้รับการยืนยัน ดังนั้นเสิ่นซางหนิงจึงเชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นหากเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าเผยหลูเยียนขาดความรัก มันสามารถสังเกตเห็นได้หลายๆ ที่เสิ่นซางหนิงนั่งบนเก้าอี้โยกในลานบ้าน ขัดจังหวะความอยากรู้อยากเห็นของจื่อหลิง "ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ไปเรียกเขา
ค่ำคืนเริ่มมืดลงเรื่อยๆ และมีลมเย็นพัดผ่านเสิ่นซางหนิงรออยู่บนเก้าอี้โยกเป็นเวลานาน และในที่สุดก็เห็นเผยหลูเยียนปรากฏตัวรูปร่างของชายคนหนึ่งดูเรียวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่ใต้โคมไฟ และคิ้วของเขาเหมือนหยกสีขาวใต้แสงจันทร์ สง่างามและสดใสจื่อซูเดินอย่างรวดเร็วไปที่ด้านข้างเสิ่นซางหนิง และกระซิบว่า "คำพูดของท่าน ข้าน้อยยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย แต่ซื่อจื่อก็ตกลงมาทานอาหารเย็นแล้ว"เขาไม่ได้บอกว่าอยากนอนอยู่ในห้องหนังสือหรือ ทำไมเขาถึงยอมมาง่ายๆก่อนที่เสิ่นซางหนิงจะลุกขึ้น เผยหลูเยียนก็เดินไปข้างๆ นางแล้ว ไหล่กว้างของเขาบังแสงที่ส่องมาบนใบหน้าของนาง"ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะพักที่เรือนหอในวันที่หนึ่ง สิบห้า และยี่สิบของทุกเดือน"เขาดูประหม่า และหลังจากพูดจบ เขาก็ถามด้วยความไม่แน่ใจ "ถ้าเจ้าไม่อยาก"คำว่า "ก็ไม่เป็นไร" ยังไม่ได้พูดออกไปเสิ่นซางหนิงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้โยกแล้วพูดว่า "ข้าเห็นด้วย"นางเห็นด้วยเสมอแม้ว่านางจะรู้สึกว่าสามครั้งต่อเดือนนั้นน้อยเกินไป แต่ในเมื่อเขายอมอ่อนข้อให้ นางก็ไม่อาจจะขออะไรมากกว่านั้นเสิ่นซางหนิงชี้ไปที่ท้องฟ้าและเตือนเขา——"วันนี้วันที่สิบห้านะ"เส
อวี้เฟยคิดว่าเขาลืมไปแล้ว "ตอนที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านกินเม็ดบัวสิบเม็ดและตกอยู่ในอาการสลบเป็นเวลาสองวัน... ครัวเล็กมีแต่คนใหม่ บางทีพวกเขาอาจจำข้อห้ามของซื่อจื่อไม่ได้ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเจ้าค่ะ"หลังจากพูดอย่างนั้น อวี้เฟยยังคงรู้สึกหดหู่ "พวกเขาไม่รู้ข้อห้ามของซื่อจื่อ และตัวซื่อจื่อเองก็ไม่รู้เช่นกัน"ในฐานะลูกสาวของแม่นม สถานะของอวี้เฟยในจวนนั้นอยู่เหนือกว่าสาวใช้ธรรมดา บางครั้งก็ตัดเตือนได้บ้างเพราะหากเผยหลูเยียนดินมันเข้าไป แล้วเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ อย่าว่าแต่ครัวเล็ก แม้แต่คนทั้งเรือนต้องโดนแน่ๆหลังจากที่อวี้เฟยจากไป ในห้องก็ตออยู่ความเงียบงันอีกครั้งเสิ่นซางหนิงไม่รู้จริงๆ นางแค่เลือกน้ำหวานเพื่อวางยาในตอนนี้ นางรู้สึกดีใจที่หนิงโหวคว่ำน้ำหวานนั้นไม่อย่างนั้น ถ้าดื่มมันเข้าไปหนึ่งชาม ทั้งแพ้และตัวร้อน เมื่อหมอมาก็ไม่รู้ว่าจะรักษาอาการไหนดีเมื่อถึงเวลานั้น เรื่องการวางยาจะปกปิดไม่ได้อีก...แค่คิดเกี่ยวกับมันก็รู้สึกหวาดกลัว เสิ่นซางหนิงเป็นเหมือนเด็กที่ทำอะไรผิด และนางก็เงียบลงมากเผยหลูเยียนคิดว่านางกำลังโทษตัวเองอยู่ เลยไอเบาๆ "บางทีพอโตขึ้นแล้วอาจจ