หลังจากที่เสิ่นซางหนิงตัดสัมพันธ์กับจวนป๋อ นางคิดว่าตระกูลเวยเซิงจะอยู่เคียงข้างนาง แต่ในท้ายที่สุด หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียแล้ว พวกเขาก็เลือกเฉิงอันป๋อและเสิ่นเมี่ยวอี๋แม้ว่าเสิ่นซางหนิงจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตระกูลเวยเซิงแล้วทำไม แต่สามีของนางคือเผยเชิ่อ ซึ่งเป็นคนเสเพลที่ไร้ประโยชน์แต่เสิ่นเมี่ยวอี๋เป็นฮูหยินของซื่อจื่อหนิงกั๋วกงในเวลานั้น จู่ๆ เสิ่นซางหนิงก็เข้าใจได้ว่าบางทีอาจจะมีท่านยายที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ และบางทีลุงและป้าสะใภ้ของนางก็จริงใจนิดหน่อยเช่นกัน แต่ก็สู้ผลประโยชน์ไม่ได้ถึงยังไงพวกเขาสามารถละทิ้งลูกสาวของตัวเองได้ หลานสาวก็ยิ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลยเพียงแต่คราวนี้ เสิ่นซางหนิงเป็นฮูหยินซื่อจื่อ ซึ่งมีทั้งสถานะและสายเลือดนางคิดว่าทางเลือกของตระกูลเวยเซิงอาจแตกต่างกันไม่ว่าตัวเลือกก่อนหน้านี้ของตระกูลเวยเซิงจะเป็นอย่างไร เสิ่นซางหนิงจะไม่มีวันลืมว่าท่านยายปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีจริงๆยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ร้านค้าในชื่อของนางและเงินสดที่เหลือล้วนมาจากตระกูลเวยเซิงดังนั้นหลังจากได้รับอำนาจแล้ว นางยังคงช่วยเหลื
เผยหลูเยียนปิดตู้ลงและปิดตู้ไม้ให้สนิทก่อนสั่งเฉินซู"วันมะรืนนี้ฮูหยินจะกลับบ้านพ่อแม่ของนาง เจ้าและอวี้เฟยจงไปเตรียมสิ่งของทั้งหมดสำหรับการกลับบ้าน"เฉินซูตอบรับโดยยืนนิ่งเผยหลูเยียนเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า "ยังไม่ไปอีกเหรอ?"เฉินซูกล่าวอย่างลำบากใจว่า "ซื่อจื่อ ท่านเจ้ากรมให้เวลาท่านพักผ่อนเพียงสามวัน ถึงพรุ่งนี้พอดี มะรืนนี้นี้ท่านไม่มีเวลากลับบ้านพร้อมฮูหยิน ไม่ทราบว่าทางฮูหยินน้อยจะโกรธหรือไม่"เผยหลูเยียนกล่าวว่า "เจ้าไปจัดการก่อน"หากปล่อยให้เจ้าสาวกลับบ้านพ่อแม่ด้วยคนเดียว นางอาจจะโดนนินทาแทบตายแม้ว่าจะมีความขัดแย้งระหว่างคู่รักกัน แต่เผยหลูเยียนก็ไม่สามารถปล่อยให้นางกลับไปตามลำพังได้เฉินซูยังไม่เข้าใจความตั้งใจของซื่อจื่อ เมื่อเห็นทัศนคติที่ไม่แยแสของเขา เขาจึงคิดว่าซื่อจื่อคงจะไม่ไปกับฮูหยินน้อยเลยหลังจากที่เฉินซูจากไป เผยหลูเยียนไม่ได้นั่งอ่านหรือทำงานต่อเลย แต่เดินไปด้านหลังฉากบังตาขวดสุราสีแดงยังคงวางอยู่บนโต๊ะเล็ก เผยหลูเยียนหยิบที่จับขึ้นมา ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนวางมันลงอีกครั้งเขาเป็นคนไม่ดื่มเหล้า น่าเสียสุราที่ดีนี้มันคือสุราแต่งงานเมื่อคืนเขาใช้เวล
"หากเจ้าขายไปกี่แห่งอย่างเงียบๆ ใครจะรู้เล่า" เสิ่นเมี่ยวอี๋เหลือบมองซู่หยุนแล้วถามว่า "ทำสิ่งต่างๆ ให้เนียมหน่อย หากต่อไปข้าได้อำนาจ เจ้าต้องมาผลประโยชน์แน่ๆ"ซู่หยุนไม่สามารถชักชวนนางได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ตอบตกลงแต่นางได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อย โดยสงสัยว่าเหตุใดเจ้านายจึงเปลี่ยนไปมากในช่วงนี้ในอดีต คนที่นางดูหมิ่นที่สุดก็คือนักธุรกิจ แต่กลับต้องการทำธุรกิจด้วยเมื่อเห็นว่าซู่หยุนกำลังจะออกไปหลังจากได้รับคำสั่ง เสิ่นเมี่ยวอี๋ก็นึกถึงคำพูดของเผยเชิ่ออีกครั้ง และนางก็โกรธมาก "เดี๋ยวก่อน!""หาสาวใช้ที่อ่านหนังสือเเป็นไปคัดลอกหนังสือ"*อีกด้าหนึ่ง จื่อหลิงกำลังหยิบยากระตุ้นอารมณ์แอบเข้าไปห้อง และบังเอิญโดนเฉินซูที่ไปตามหาอวี้เฟยเข้าทำตัวลับๆ ล่อๆ น้่สงสัยมากเฉินซูอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า "แม่นางจื่อหลิง"จื่อหลิงหยุดฝีเท้าลงและเก็บยาต่างๆ ในมือให้ยัดเข้าไปแข็นเสื้อ เพราะกลัวโดนคนอื่นเห็นเข้า เวลาต่อมาก็ได้ยินเฉินซูพูดว่า"เจ้าเป็นคนข้างกายของฮูหยินซื่อจื่อ ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ตนเองด้วย อย่าทำให้ซื่อจื่อและฮูหยินต้องขายหน้า เจ้ากำลังถืออะไรอยู่ในมือเล่า"เฉินซู่เห็นข้อความเล็กๆ
เสิ่นซางหนิงตกใจ "ท่าน ท่านมาได้ยังไง"เผยหลูเยียนลงจากหลังม้า ยื่นเชือกให้คนใช้เฝ้าประตู แล้วเดินไปหาเสิ่นซางหนิงด้วยสีหน้าสงสัย "เฉินซูไม่ได้บอกเจ้าเหรอ?"ในขณะนี้ เฉินซูรีบออกจากประตู "ซื่อจื่อ เมื่อเช้าตอนนับของขวัญได้พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป ข้าน้อยค้นหาอยู่นานจนลืมบอกฮูหยินน้อยว่าท่านจะกลับมา... โปรดลงโทษข้าน้อยด้วย!"เฉินซูขอโทษอย่างจริงจัง จนเกือบจะทำให้ฮูหยินน้อยกลับบ้านด้วยคนเดียว หากเป็นเช่นนี้เขาต้องมีผิดร้ายแรงหลังจากได้ยินคำพูดเช่นนั้น เสิ่นซางหนิงก็เข้าใจทั้งหมด ที่แท้หลังจากที่เผยหลูเยียนเลิกประชุมยามเช้าที่ราชสำนัก ไม่ได้กลับสำนัก แต่กลับมาแล้วอย่างไรก็ตาม นางยังคงแปลกใจที่เขาสามารถละทิ้งหน้าที่ราชการและกลับบ้านพ่อแม่ของนางด้วยกันเผยหลูเยียนสังเกตเห็นท่าทางสงสัยจากเสิ่นซางหนิง และหรี่ตาลง "วันนี้ไม่มีงานอะไร สามารถกลับบ้านด้วยกัน"ในอีกด้านหนึ่ง เฉินซูเริ่มจัดเตรียมของต่างๆ บนรถม้า และให้คนรับใช้นำของขวัญขึ้นรถม้ากลุามคนที่ติดตามเผยหลูเยียนในเมื่อกี้ก็เริ่มขนสินค้าบนหลังม้าของพวกเขาเช่นกัน ตะกร้าสินค้าที่ปิดสนิทยังคงมีคราบน้ำหยดอยู่"นั่นคืออะไร?" เสิ่น
ใครอยากจะมองเล่าตลกเอาซะเสิ่นซางหนิงหันศีรษะออกและตีตัวออกห่างจากเผยหลูเยียนเผยหลูเยียนเปลี่ยนชุดผ้าลายไม้ไผ่สีขาว และนั่งตัวตรงราวกับดอกบัวอันสูงส่งดูเหมือนเขาจะตระหนักถึงบรรยากาศที่เงียบสงบและแปลกๆ ในรถม้า หลังจากคิดพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เขากล่าวว่า "เป็นข้าที่ใช้คำไม่ถูกต้อง ข้าไม่ได้ตั้งใจหาว่าเจ้า"แค่อยากให้เหตุผลกับนางอย่างจริงจังเท่านั้นแต่เดิมเสิ่นซางหนิงคิดว่าทั้งสองคนจะไม่พูดคุยในตลอดทาง แต่เขาก็เป็นฝ่ายยอมก่อนโดยไม่คาดคิดก่อนแต่แม้ว่าเขายอมให้ แต่คำว่าเห็นแก่ตัว นางไม่มีทางลืมนางแค่ไม่อยากเสียดายของกับจวนป๋อ แต่เขากลับหาว่านางเห็นแก่ตัวทางออกนี้ เสิ่นซางหนิงไม่ต้องการนางแอบคิดในใจว่าวันนี้นางจะให้เผยหลูเยียนได้เปิดหูเปิดตาว่าอะไรคือเห็นแก่ตัวทุกคนในจวนเฉิงอันป๋อ มีแต่คนหน้าด้านทั้งนั้นบรรยากาศในรถม้ายังคงตึงเครียด และเผยหลูเยียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อไม่ได้คำตอบจากคนรอบข้างมันน่าอึดอัดเอาซะแตกต่างจากภาคเหนือในเมืองหลวงที่ได้รวมตัวตระกูลชั้นสูงและผู้มีอำนาจ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่เขตตะวันออกของเมืองเป็นขุนนางหรือเศรษฐี และจวนเฉิงอันป๋อก็เป็นหน
"เจ้า!"เสิ่นยี่รู้สึกโกรธในทันที จากนั้นได้ยินเสิ่นซางหนิงถามอีกครั้ง -"เป็นเพราะข้าเดินเข้าจวนมาก่อน ท่านพ่อเลยคิดว่าเผยหลูเยียนจะไม่พอใจหรือ"เสียงของหญิงสาวอ่อนโยน และดูเหมือนจะไม่ได้จงใจที่จะโต้แย้งเขาแต่ความเฉยเมยในสีหน้าได้เผยความห่างเหินจากตัวนาง ซึ่งทำให้เสิ่นยี่ไม่พอใจอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นางดูเหมือนภรรยาเดิมของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เสิ่นยี่ยิ่งอารมณ์เสียแม่ลูกสองคนนี้เหมือนกันไม่มีผิด ทั้งๆ ที่พวกนางมีสายเลือดของนักธุรกิจ แต่กลับสามารถเพลิดเพลินกับสถานะของจวนป๋อได้อย่างสบายใจ และยังสงบและฉลาดกว่าคนอื่นๆ ในจวนป๋อด้วยเสิ่นยี่ดูถูกลูกสาวคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ แต่นางก็เป็นลูกสาวที่มีอนาคตที่ดีที่สุดในบรรดาเด็กๆ ทุกคน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพูดกับนางด้วยท่าทางอ่อนโยน——"แม้ว่าเจ้าจะเป็นภรรยาเอก แต่ด้วยทั้งฐานะและความสัมพันธ์ทางสังคมของจวนป๋อต่างก็สู้จวนกั๋วกงไม่ได้ ที่เขายอมแต่งงานกับเจ้า ถือว่าเป็นบุญคุณของเจ้านะ เจ้าต้องเอาชนะใจซื่อจื่อให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม"หลังจากที่เขาพูดจบเก็กล่าวเสริมว่า "เมื่อเขาได้เลื่อนตำแหน่งที่สูง ยังสามารถช่วยน้องชายขอ
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเผยหลูเยียนก็มืดลงทันทีเขามองไปที่เสิ่นยี่ด้วยสีหน้าเย็นชา "ท่านพ่่อ ทำไมเป็นเช่นนี้"ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เสิ่นยี่ก็มีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหลังของเขาลูกเขยที่อ่อนโยนและสุภาพในเมื่อกี้ ก็ชักสีหน้าลง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวมาก"แม่ของซางหนิงเป็นนักธุรกิจ ในจวนป๋อของเรายังไม่เคยมีลูกสาวจากครอบครัวนักธุรกิจตั้งป้ายวิญญาณที่ห้องโถงบรรพบุรุษ" เสิ่นยี่รู้สึกว่าเขามีเหตุผล แต่ภายใต้การจ้องมองที่สงบของเผยหลูเยียน เขาก็กระพริบตาอย่างร้อนตัว"ภรรยาเอกของท่านไม่คู่ควรที่จะเข้าไปในห้องโถงของบรรพบุรุษหรือ" เผยหลูเยียนคิดว่ามันไร้สาระเอาซะและหัวเราะเบาๆ "หรือว่าท่านแม่ของฮูหยินข้าจะไม่คู่ควรกับตระกูลเสิ่นหรือ?"เสิ่นยี่เหงื่อออกและเขาก็ตัดสินใจทันทีว่า "ลูกเขยพูดไปไกลแล้ว แน่นอนว่าคู่ควร ในฐานะแม่สามีของซื่อจื่อจากจวนกั๋วกง ป้ายวิญญาณของนางเวยเซิงสามารถเข้าไปในห้องโถงบรรพบุรุษได้"เมื่อเห็นว่าเผยหลูเยียนเงียบ เขาก็รีบพูดว่า "จะให้เข้าวันนี้เลย วันนี้"เมื่อฟังคำพูดที่เร่งรีบของเสิ่นยี่แล้ว เสิ่นซางหนิงก็รู้สึกน่าขำสิ้นดีในชีวิตแม่ นางเป็นลูกสาวของตระกูลเวยเซิง เมื่อนา
เสิ่นซางหนิงตบฝุ่นบนกล่องแล้วพูดว่า "ข้านำสิ่งนี้กลับมาจากเมืองจินหลิงเมื่อหกปีที่แล้ว"กล่องนี้บรรจุสิ่งที่เสิ่นซางหนิงนำกลับมาจากเมืองจินหลิงเมื่อนางอายุ 12 ปี และยังมีหนังสือทางธุรกิจอยู่บ้าง"ท่านพ่อไม่ชอบให้ข้าสัมผัสสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้นำของเหล่านี้ไปด้วยเมื่อข้าแต่งงาน""ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของเขาอีกต่อไป ข้าอยากจะเอาสิ่งนี้ไปได้เลย" เมื่อเสิ่นซางหนิงพูดแบบนี้ นางก็หัวเราะอย่างจริงใจคนเรามีเพียงสองกรณีเท่านั้นที่ต้องถูกควบคุมโดยผู้อื่น กรณีแรกคือเมื่อเขาต้องพึ่งพาคนอื่น สองก็คือเพราะให้ความสำคัญบัดนี้เสิ่นซางหนิงไม่ต้องการอีกต่อไปเผยหลูเยียนจ้องมองที่กล่องและพูดโดยไม่ถามคำถามใดๆ อีก "ได้"ในชาติที่แล้ว เสิ่นซางหนิงทะเลาะกับจวนป๋อในวันที่นางกลับบ้านพ่อแม่ และไม่ทันได้หยิบกล่องกลับ เมื่อนางจำได้ในวันรุ่งขึ้น ก็กลับมาเอาของ แต่กลับพบว่าโดนเสิ่นยี่ทิ้งไปแล้วจนกระทั่งอายุสี่สิบปีแล้ว เสิ่นซางหนิงก็ยังไม่เจอมันเมื่อเวลาผ่านไป นางถึงขนาดลืมไปแล้วว่าสิ่งของที่เก็บไว้ในกล่องมีอะไรบ้าง"กุญแจอาจจะหายไปแล้ว" นางพูดอย่างผิดหวังเผยหลูเยียนมองดูแม่กุญแจรูปทร