ซูเจิน นักพฤกษศาตร์ เดิมทีเธอก็ทำงานวิจัยอยู่แต่ในห้องทดลอง แต่เพราะต้องการจะออกนอกพื้นที่ จึงได้เดินทางไปกับทีมสำรวจในป่าใหญ่ทางเหอหนาน ที่ไม่มีผู้ใครเข้าไปถึงมาก่อน งานนี้ก็เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล
View Moreสามวันต่อมาซูเต๋อก็กลับมาที่จวนแล้วแจ้งเรื่องที่อีกสองวันข้างหน้าจะออกเดินทางไปเมืองหนานไห่ เพื่อเตรียมการเรื่องสร้างเขื่อน ซูเจินที่ต้องออกเดินทางไปด้วยจึงให้เสี่ยวผิงจัดเตรียมข้าวของให้นางครั้งนี้นางจะพาเสี่ยวผิงไปด้วย ตอนนี้นางใกล้ถึงวัยออกเรือนของคนในยุคนี้แล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องมีสาวใช้ติดตาม เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นแม้แต่ตอนเดินทางนางก็ต้องมีรถม้าของนางต่างหากแล้ว มิอาจไปนั่งคันเดียวกับบิดาและใต้เท้าหานเช่นเดิมได้“เจินเออร์ เดินทางลงใต้ครั้งนี้คงอีกนานกว่าเจ้าจะเดินทางกลับมาเมืองหลวง หากพบบุรุษที่พึงใจเจ้าก็รีบแจ้งบอกแม่ แม่จะออกเดินทางไปหาเจ้าทันที” จิ่วเม่ยเอ่ยบอกบุตรสาวซูเจินที่กินของว่างอยู่ นางก็สำลักขึ้นมาทันที เพราะนางอายุเพิ่งจะสิบสี่หนาว จะให้รีบหาบุตรเขยไปทำไม“โถ่ ท่านแม่ ข้าเพียงสิบสี่หนาว ท่านจะรีบร้อนไปไยเล่าเจ้าค่ะ” เห็นพูดมาเช่นนี้หลายคนแล้ว ไม่แคล้วอีกไม่นานก็คงได้แต่งออกไป“ผู้อื่นก็ล้วนออกเรือนเมื่อเข้าสู่วัยปักปิ่น แม่มิได้เร่งเจ้า เพียงแค่พูดถึงเท่านั้น” จิ่วเม่ยตบที่หลังมือของบุตรสาวเบาๆต่อให้นางไม่คิดจะออกเรือนเลย ก็ไม่มีผู้ใดว่านางได้สองว
หลังจากนั้น ตลอดเวลาที่ตระกูลซูพักอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวนอีกเลยซูเต๋อกับซูเจินเดินขึ้นเขาไปที่ถ้ำ เพื่อตรวจดูแร่เหล็กที่อยู่ด้านในก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองหลวง“ท่านพ่อ ท่านคิดจะทำสิ่งใดกับแร่เหล็กพวกนี้เจ้าคะ”“ตอนนี้พ่อยังไม่มีความคิดที่จะทำอันใด พวกเราก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปก่อนก็แล้วกัน” ซูเต๋อลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่นางเกือบจะสิบหนาวแล้ว เติบโตขึ้นไม่น้อย เรื่องที่นางทำล้วนแต่สร้างประโยชน์ให้กับแคว้น เขาผู้ที่เป็นบิดายังมิอาจเทียบนางได้ แต่นางกลับยกความดีทั้งหมดให้กับเขาซูเจินนางใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงอย่างจำเจ เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีเรื่องใดที่ต้องให้นางเป็นผู้ลงมือ ทั้งภัยแล้งหรือภัยหนาวที่เกิดขึ้นต่างก็มีทางออกที่นางได้เตรียมไว้เมื่อหลายปีที่แล้วปีนี้ซูเจินนางอายุได้สิบสี่หนาว ความงามของนางก็ยิ่งเผยออกมาจนมีขุนนางหลายคนเริ่มทาบทามกับซูเต๋อมาบ้างแล้วเมื่อสองปีที่แล้วหวงหลันได้แต่งให้กับฉู่จิ้งที่สอบผ่านจวี่เหรินเมื่อสองปีที่แล้ว ซูเต๋อก็ทำตามคำพูดเขาซื้อจวนให้ทั้งสองเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานนางฉู่ก็ได้ย้ายไปอยู่ดูแลบุตรชายกับสะใภ้ที่กำลังจะมี
อากาศที่เมืองหลวงกำลังดี ชาวบ้านเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยว พร้อมทั้งหาที่ค้าขาย เพราะใกล้จะถึงเทศกาลชุนเจี๋ย (ตรุษจีน) และเทศกาลหยวนเซียว (งานโคมไฟ)เมื่อมาถึงเมืองหลวง ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็เร่งเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อรายงานเรื่องที่ได้พบเจอมาตลอดทั้งหกเดือนที่ออกไปจัดการเรื่องทางหัวเมืองเหนือซูเจินนางเดินทางกลับมาที่จวนก่อน แต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากผลไม้ไปให้ฮ่องเต้และหวังกงกงได้ลองชิม สุดท้ายปู่หวังของนางก็ได้กินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถูกฮ่องเต้แย่งไปกินเสียหมด“เหอะ หวังกงกง เจ้าหวงเจิ้นเช่นนั้นรึ หลานสาวของเจ้ามีอีกมาก จะหวงเจิ้นเพื่ออันใด” ฮ่องเต้อดที่จะมองค้อนหวังกงกงไม่ได้“โถ่ ฝ่าบาท กระหม่อมจะกล้ารึพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงยิ้มอย่างเอาใจอย่างไรวันหยุดที่จะถึงนี้เขาก็ได้ออกไปเที่ยวหาหลานสาวที่ไม่ได้พบหลายเดือน ค่อยไปกินอีกครั้งที่จวนของนางก็ยังได้ซูเต๋อเมื่อเสร็จเรื่องในวังหลวงก็เร่งเดินทางกลับมาที่จวนทันที เพื่อบอกกล่าวเรื่องที่ราชสำนักหยุดให้ขุนนางเพื่อเดินทางกลับไปไหว้บรรพชน เขาจึงคิดจะกลับหมู่บ้านไปเคารพหลุมศพมารดาเช่นกัน“ข้ากำลังจะถามท่านพี่เรื่องนี้พอดี” จิ่วเม่ยเอ่ยออกมาอย่าง
ใต้เท้าหานกับซูเต๋อคิดตรงกันที่จะรอดูผลผลิตที่ปลูกเสียก่อนว่าเป็นเช่นไร จึงคิดจะเดินทางกลับเมืองหลวงเพราะในหัวเมืองอื่นก็มีเจ้าหน้าที่เดินทางมาจัดการเรื่องสร้างกำแพงไฟแล้ว และแม่ทัพจ้าวยังแบ่งทหารไปจัดการช่วยเหลือหัวเมืองอื่นอีกด้วยเจ้าเมืองและขุนนางหัวเมืองอื่นที่ใช้อำนาจของตนในทางที่ผิดก็ถูกลงโทษไปไม่น้อย เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ผู้อื่นกระทำตามพอผลไม้ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ เยี่ยนเฟยหยางก็เริ่มจะเกาะติดซูเจินเพราะรู้ว่านางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกที่ราวกับมีม้าวิ่งอยู่ภายในอกคืออาการเช่นใด เขานำเรื่องนี้ไปพูดกับขันทีข้างกายเพราะคิดว่าตนเองป่วยใกล้ตาย“โถ่องค์ชายของกระหม่อม พระองค์ตกหลุมรักสตรีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวีกงกงเอ่ยออกมาอย่างหยอกล้อ“เพ้ย จะเป็นไปได้อย่างไร” เยี่ยนเฟยหยางเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด ว่าเขารู้สึกกับซูเจินเช่นนั้นจริงหรือด้วยยังไม่เชื่อในสิ่งที่สวีกงกงพูด จึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาจ้าวลู่เทียนด้วยอีกคน“หรือพระองค์จะป่วย” จ้าวลู่เทียนที่อยู่ในวัยเดียวกันกับเยี่ยนเฟยหยางก็ขมวดคิ้วคิด“เพ้ย ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางจำต้องเดินหน
นางลืมเรื่องที่ให้เสี่ยวอิงออกไปตรวจสอบหาบ่อน้ำพุร้อนไปเสียสนิท เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด นางจึงได้มีเวลาออกไปสำรวจเรื่องนี้เสียที“พวกเจ้าจะไปที่ใด” เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังจะไปค่ายทหารเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นใต้เท้าหาน ซูเต๋อและซูเจินเตรียมตัวจะออกจากจวน โดยมีแม่ทัพจ้าวและทหารบางส่วนที่ติดตามไปด้วยซูเจินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นางคิดว่าเมื่อคืนเยี่ยนเฟยหยางกับจ้าวลู่เทียนจะพักในค่ายทหารเสียอีก“กระหม่อมจะออกไปสำรวจป่านอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ” เป็นใต้เท้าหานที่เอ่ยตอบแทนทุกคน“เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปด้วยก็แล้วกัน”ซูเจินเหลือกตาขึ้นมองด้านบนทันที นางทนมองเด็กหนุ่มที่แสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้ว ยืนเอามือไพล่หลังเอ่ยออกมาราวกับว่าหากเขาไม่ไปคนอื่นก็ไม่อาจทำงานได้เมื่อทุกคนไม่มีใครเอ่ยปฏิเสธ ขบวนเดินทางทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง เสี่ยวสือบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า ตามเสี่ยวอิงที่บินช้าๆ ไปตามทิศทางที่เขาพบเจอบ่อน้ำพุร้อนหนทางไม่ได้ไกลมากนัก แต่ค่อนข้างที่จะเดินลำบาก เพราะหิมะที่หนาจนซูเจินนางแทบจะยกขาเดินไม่ได้“ขึ้นมา” เยี่ยนเฟยหยางลดตัวลง เพื่อให้ซูเจินนางขึ้นหลัง เขาต้องการที่จะแบกนางเดิน“เหอะ ตัวท่านย
ใต้เท้าหานนำเรื่องที่พูดคุยกับซูเจินหารือกับท่านแม่ทัพ เขาก็เห็นเช่นเดียวกันกับใต้เท้าหานและซูเจิน“เช่นนั้น ข้าจะไปจัดการเรื่องทหารให้ขอรับ” แม่ทัพจ้าวเตรียมตัวจะไปที่ค่ายทหาร แต่ถูกใต้เท้าหานเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน“ประเดี๋ยวก่อนยังมีอีกเรื่อง เจินเออร์นางอยากให้ท่านสร้างโรงเรือนให้นาง” “โรงเรือน คือสิ่งใด” แม่ทัพจ้าวเอ่ยถามอย่างสงสัยใต้เท้าหานจำต้องอธิบายรายละเอียดตามที่ซูเจินนางบอก “นางต้องการให้สร้างโครงไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงให้นาง เพื่อที่จะใช้ปลูกผลไม้” “ท่านว่าอย่างไรนะ ปลูกผลไม้” แม่ทัพจ้าวยังไม่เข้าใจ ว่าการปลูกผลไม้จะช่วยจัดการเรื่องความอดยากของชาวบ้านได้อย่างไร“หัวเมืองทางเหนือมีหิมะตกถึงแปดเดือน เจินเออร์นางจึงคิดจะปลูกผลไม้ที่ยังไม่มีในแคว้นต้าเยี่ยน เพื่อให้ชาวบ้านทำการค้ากับเมืองอื่นเพื่อแลกข้าวสาร ผัก อาหารแห้ง” เมื่อได้ยินสิ่งที่ใต้เท้าหานพูด ดวงตาของแม่ทัพจ้าวก็สว่างวาบออกมาทันที ทุกวันนี้อาหารทั้งหมดในกองทัพต้องรอเสบียงหลวงส่งมา หากกองทัพสามารถปลูกผลไม้ออกมาได้ ทหารคงได้ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ จะรีบจัดการเรื่องนี้ให้ทันที” แม่ทัพจ้าวเดินทางไปค่
ไม่รู้ว่าเขาจะไปโยนทิ้งที่ไหนหรือไม่ นางคงต้องบอกให้เสี่ยวอี่ไปแจ้งพวกมด แมลงในจวนคอยจับตาดูเสียแล้ว หากเขาโยนทิ้งนางจะได้ไปเก็บกลับมาแต่ผิดคาดเยี่ยนเฟยหยางมิได้โยนทิ้ง เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี เมื่อเขากลับมาถึงเรือนพัก จึงได้รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าของนางช่างแตกต่างจากผ้าที่เขาเคยพบเห็นแม้มันจะห่อหุ้มหิมะไว้ แต่ก็มีเพียงความเย็นเท่านั้นที่ถูกส่งออกมา หาได้มีน้ำออกมาจนเปียกมือไม่ อีกทั้งตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ยุบลงจนกลับมาเป็นเช่นเดิม แม้แต่รอยที่ถูกผึ้งต่อยก็ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้วเยี่ยนเฟยหยางได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เขายังไม่คิดที่จะเอ่ยถามนาง คงได้แต่จับตาดูนางไปก่อน เพราะนางคงต้องอยู่ที่โจวเป่ยอีกหลายเดือนทางด้านใต้เท้าหานกับซูเต๋อ ที่ได้แม่ทัพจ้าวช่วยนำทหารในค่ายมาใช้แรงงานมากมายก็สร้างกำแพงไฟขึ้นมาในเรือนหลังหนึ่งภายในจวน โดยใช้เวลาเพียงห้าวันเท่านั้นเมื่อตรวจดูความแข็งแรงตามคำเตือนของซูเจินแล้ว ก็สั่งให้ทหารจุดไฟในช่องเตาขึ้นทันที พอควันไฟที่ออกมาไหลไปตามท่อไม้ไผ่ที่ทำขึ้นส่งไปยังห้องต่างๆ ภายในเรือน ก็พบว่าภายในเรือนและห้องนอนอุ่นขึ้น โดยไม่ต้องจุดเตาไฟในห้องเลย“อุ่นขึ้นจริงด้ว
เยี่ยนเฟยหยางเห็นเหยี่ยวแดงตัวงามบินออกมาจากเรือนของซูเจินเข้าพอดี เขามองตามไปอย่างสนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เรือนของนาง เพื่อดูว่าเหยี่ยวเพียงแค่บินผ่านหรือเป็นของนางกันแน่“โอ๊ยยย” เยี่ยนเฟยหยางกุมแก้มไว้แน่น เขากำลังจะเข้าไปในเรือนของซูเจินก็รู้สึกเจ็บปวดที่แก้มขึ้นมาทันทีซูเจินที่ได้ยินเสียงร้อง ทั้งยังรู้มาจากเสี่ยวมี่ด้วยว่ามีเยี่ยนเฟยหยางจะลอบเข้ามา นางจึงได้เดินออกมาดู ก็เห็นเยี่ยนเฟยหยางกุมแก้ม ใบหน้าแดงก่ำมองมาทางนางอย่างโกรธแค้น“เพ้ย เปิ่นหวางเข้าใกล้เจ้าครั้งใด เป็นต้องพบเคราะห์ร้ายไปเสียทุกครั้ง” แก้มของเขาเริ่มจะปูดบวมอย่างเห็นได้ชัด“แล้วผู้ใดให้พระองค์เข้ามากันเล่า” ซูเจินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมานางเดินเข้ามาดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด และกลัวว่าเขาจะแพ้พิษผึ้งจนถึงแก่ชีวิตได้“เจ้าจะทำอันใด” เยี่ยนเฟยหยางถอยหนีไปสองก้าว“หม่อมฉันเพียงจะดูให้ว่าพระองค์เป็นเช่นใดบ้าง หากไม่ต้องการเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ” ซูเจินส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ที่นางต้องพบเจอเด็กดื้อรั้นเช่นเยี่ยนเฟยหยาง“ยังไปมิได้ เจ้าทำให้เปิ่นหวางบาดเจ็บ รีบมาดูให้เปิ่นหวางประเดี๋ยวนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ย
ก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะคว้าแขนของซูเจิน นางก็เตะเข้าที่ขาของเขา ตำแหน่งเดิมที่เขาถูกเตะในครั้งนั้นพอดี“โอ๊ยยย เจ้า” เยี่ยนเฟยหยางล้มไปกองกับพื้นหิมะ กุมขาอย่างเจ็บปวด“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเก่งขึ้นแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ ก็ยังเป็นเช่นเดิม” ซูเจินยื่นหน้าไปพูดกับเยี่ยนเฟยหยางอย่างเยาะเย้ย“เจ้า เจ้าบังอาจนัก กล้าพูดกับเปิ่นหวางเช่นนี้รึ” เขาร้องออกมาเสียงดัง จนผู้อื่นที่พูดคุยกันอยู่ภายในห้องโถงต้องรีบวิ่งมาดูทันที“แล้วอย่างไร ท่านจะเขียนสารไปฟ้องเสด็จพ่อของท่านหรือไม่เล่า” ซูเจินผายมือเช่นที่เขาทำตอนอยู่ในห้องโถง“เกิดเรื่องอันใดขึ้น อาเทียนเจ้ายังไม่ไปช่วยประคององค์ชายห้าอีกเล่า” แม่ทัพจ้าวหันไปตำหนิบุตรชาย“เจินเออร์ เจ้าทำอันใดลงไป” ซูเต๋ออดที่จะตำหนิบุตรสาวไม่ได้ซูเจินก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดา ด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำอย่างน่าสงสาร“ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเจ้าค่ะ องค์ชายห้าจะเข้ามาทำร้ายข้า” นางแสร้งทำท่าทีหวาดกลัวเยี่ยนเฟยหยางมีเพียงซูเต๋อและใต้เท้าหานที่ส่ายหัวออกมา ทั้งสองรู้ดีว่านางมิได้หวาดกลัวองค์ชายห้าสักนิด เยี่ยนเฟยหยางกับจ้าวลู่เทียนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าน
ซูเจินตื่นขึ้นอีกครั้ง เพราะเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อเธอลืมตาขึ้น จึงคิดจะเอ่ยปลอบคนที่ร้องไห้อยู่ คงไม่มีใครนอกจากเสี่ยวชิงเพราะตัวเธอสูญเสียคุณพ่อคุณแม่ไปตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หัวคิ้วของซูเจินก็ขมวดเข้าหากันแน่นไม่ ไม่ถูกต้อง ทำไมเธอจึงรู้สึกเหมือนถูกกอดรัดไว้อย่างแน่น ความรู้สึกที่เริ่มจะหายใจไม่ออกทำให้ ซูเจินร้องประท้วงออกมา“อุแว้” ซูเจินเงียบเสียงลง พร้อมทั้งเสียงของสตรีที่ร้องคร่ำครวญเมื่อครู่ก็หยุดลงเช่นกัน ซูเจินร้องใหม่อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของเธอ“อุแว้” ดวงตาของซูเจินเบิกกว้าง เธอรู้แล้วว่าเสียงร้องของเด็กน้อยเมื่อครู่เป็นเสียงร้องของเธอเองมันเหมือนจะยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่อสตรีตรงหน้าเปลี่ยนท่าทางที่กอดเธออยู่ เป็นอุ้มออกดูเพื่อจะดูว่าให้แน่ใจเช่นกันสิ่งที่ซูเจินเห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาเสียงดัง แข่งกับสตรีที่อุ้มเธออยู่ในความรู้สึกของเธอ เหมือนเธอกำลังโวยวายอย่างบ้าคลั่ง แต่เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเพียงเสียงของเด็กน้อยที่ร้องลั่นปานจะขาดใจ“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วลูก” เสียงของสตร...
Comments