จิ่วเม่ยกับชุยเต๋อจึงได้มาใช้แซ่ของมารดาชุยเต๋อคือ แซ่ซู เรื่องนี้นับว่าสร้างแปลกใจให้ซูเจินที่นอนนิ่งฟังเรื่องราวต่างๆ อยู่ไม่น้อย
เพราะตัวนางก็แซ่ซู นามเจิน มาภพใหม่ยังได้ใช้ชื่อแซ่เดิมอีก ซูเจินนางผนวกเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว นางข้ามมิติมาอยู่ในยุคโบราณในร่างของเด็กทารกที่มีความทรงจำเดิมอยู่ครบถ้วน
หมู่บ้านที่นางอยู่ คือ หมู่บ้านตงหยาน เมืองเหอหนาน แคว้นต้าเยี่ยน เหมือนว่านางอยู่ที่ป่าของเหอหนาน เพียงย้อนกลับมาในพันปีที่แล้ว
จิ่วเม่ยมีชาวบ้านช่วยเก็บของของนางพากลับไปที่เรือนเดิมที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ข้าวของของนางมีไม่มาก เก็บไม่ถึงเค่อ (1เค่อ = 15 นาที) ก็เสร็จเรียบร้อย
เรือนของท่านปู่ท่านย่าของนางที่ท้ายหมู่บ้านมิได้ทรุดโทรมทั้งยังมีห้องมากถึงห้าห้อง นางไห่ซื่อจึงอยากได้มาครอบครองมากนัก นางอยากยกให้ชุยฟงบุตรชายของนาง ที่ปีหน้าก็จะต้องลูกสะใภ้เข้าเรือนแล้ว แต่ก็ต้องคืนให้จิ่วเม่ยไปเสียก่อน
“ขอบคุณทุกท่านมากเจ้าค่ะ บุญคุณที่ช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะไม่ลืมเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยคุกเข่าลงต่อหน้าชาวบ้าน เมื่อพวกเขามาส่งนางที่เรือน
“นับว่าสวรรค์เมตตาเจ้าแล้วอาเม่ยที่หลุดพ้นแม่สามีเช่นนั้นมาได้ เมื่ออาเต๋อกลับมาพวกเจ้าก็จะอยู่เป็นครอบครัวเสียที” ป้าหวงเอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ
“ข้าก็หวังเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางปาดน้ำตา ร้องไห้ออกมาเงียบๆ
ซูเจินอดจะสงสารมารดาคนใหม่ของนางไม่ได้ ที่มีชีวิตรันทดเช่นนี้ นางทำได้แต่ยกมือน้อยกำไปที่อกเสื้อของนาง
“โอ้ เจินเออร์หิวแล้วหรือ” เป็นป้าหวงที่เอ่ยออกมา
มือเล็กๆ ที่กำสาบเสื้อของมารดาอยู่แทบจะคลายออกทันที นางอุตส่าห์เป็นห่วง แต่คิดไปว่านางหิวได้อย่างไร
จิ่วเม่ยส่งเงินให้ผู้นำหมู่บ้านแปดสิบตำลึงเงิน เพื่อให้เขาจัดการเรื่องซื้อที่ดินเพิ่มให้นาง เพราะนางคิดว่าหากเงินอยู่ที่ตัวนางมากเกินไปนางไห่ซื่อคงได้ตามมาหาเรื่องอีกแน่นอน
“อาเม่ย เจ้าอย่าได้กังวล ข้าเขียนในหนังสือตัดขาดอย่างชัดเจน หากเรือนตระกูลชุยยังมาสร้างความวุ่นวายกับพวกเจ้าสองแม่ลูกอีก พวกเขาจะต้องจ่ายเงินให้พวกเจ้าร้อยตำลึงเงิน ไม่เช่นนั้นก็ให้ทางการจัดการ”
“แต่ข้าก็ยังไม่วางใจเจ้าค่ะ” นางผลักเงินกลับไปให้ผู้นำหมู่บ้าน
เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมานางรู้ถึงความร้ายกาจของนางไห่ซื่อไม่น้อย ยิ่งบ้านเดิมของนางที่อยู่อีกหมู่บ้าน ยิ่งน่ากลัวกว่านางมากนัก
สายตาของน้องชายนางที่มาขอเงินพี่สาวที่มองจิ่วเม่ยทุกครั้ง ทำให้นางอกจะขนหัวลุกไม่ได้
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าจะจัดการเรื่องที่ดินให้พรุ่งนี้เลย ที่นาที่ติดกับผืนของเจ้าก็ยังว่างอยู่ นางยังเหลือก็ซื้อที่ติดเรือนไว้ เมื่ออาเต๋อกลับมาจะได้ปลูกผักไว้ขายได้” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยฝากให้เรือนที่อยู่ด้านข้างของจิ่วเม่ยช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลสองแม่ลูกก่อนที่จะกลับเรือนไป
นางจึงได้ปิดประตูเรือน แล้วพาซูเจินกลับเข้าไปในห้องเพื่อให้นางดื่มนม
ซูเจินแทบจะร้องออกมา เมื่อเห็นจิ่วเม่ยเปิดสาบเสื้อออก และกำลังยัดเต้านมเข้าไปในปากของนาง
“ไม่ร้อง ไม่ร้องเด็กดี แม่กำลังป้อนนมให้เจ้าอย่างไรเล่า”
ซูเจินหันหน้าน้อยๆ ของนางหนีอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายเต้านมของมารดาก็เข้ามาอยู่ในปากของนาง จะดูดก็ไม่กล้า จะกัดก็ทำไม่ลง ได้แต่อมไว้ในปาก
จิ่วเม่ยเห็นบุตรสาวไม่ยอมดูดก็บีบแก้มน้อยๆ ของนางเพื่อเร่งให้นางดูดนมเสียที ท้องน้อยๆ ของซูเจินไม่อาจจะต้านทานความหิวได้นางจึงได้เริ่มดูดนมของจิ่วเม่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
แต่เมื่อน้ำนมไหลเข้าปาก จึงได้รู้ว่ารสชาติก็ไม่ได้แย่เสียหน่อย จึงได้ดูดนมของจิ่วเม่ยอย่างเอาเป็นเอาตายจนเกือบจะสำลัก
“ค่อยๆ ดื่ม แม่ไม่ได้เร่งเจ้าเสียหน่อย” ปากน้อยๆ ดูดนมอย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาก็สำรวจมารดาคนใหม่ไปด้วย
นางเป็นเพียงแม่นางน้อยวัยไม่ถึงยี่สิบหนาวก็มีลูกเสียแล้ว ดูแล้วคงเพียงจะสิบหกสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น
จิ่วเม่ยเห็นดวงตาของบุตรสาวจ้องมองนางตาไม่กะพริบก็อดจะก้มลงหอมแก้มนางไม่ได้ ยิ่งมาใช้ชีวิตกันสองคน ก็ยิ่งคิดถึงสามีที่ไม่มีข่าวคราวส่งมา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นใดบ้าง
ตลอดเวลาที่ซูเต๋อ (เปลี่ยนมาใช้แซ่มารดาแล้ว) อยู่ในสนามรบเขาส่งเงินกลับมาให้พวกนางสองแม่ลูกไม่ขาด ไม่รู้ว่าที่ตัวได้มีติดไว้หรือไม่ แต่เงินสามตำลึงเงินก็ไม่เคยตกถึงมือสองแม่ลูกเลยสักครั้ง
เมื่อซูเจินกินอิ่มแล้วก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่กำลังจะปิดลงได้ นางจึงหลับไปในอ้อมกอดของจิ่วเม่ย พอเห็นบุตรสาวหลับแล้ว นางจึงลุกขึ้นไปเก็บของเข้าที่ และต้อมน้ำเพื่อเช็ดตัวให้ตนเองและบุตรสาว
ยังดีที่ชาวบ้านในหมู่บ้านมีน้ำใจกับนางไม่น้อย พวกเขาต่างนำข้าวสาร ผัก ของแห้งมาให้นางใช้ที่เรือนไปก่อน
จิ่วเม่ยจึงเข้าครัวไปจัดการหุงหาอาหาร เพราะมีเพียงปากท้องเดียวที่กิน นางจึงทำออกมาเยอะ ซูเจินนางก็เพียงได้แต่ดื่มนมเท่านั้น
มื้อนี้เป็นมื้อที่นางกินข้าวได้อิ่มท้องตั้งแต่แต่งให้ซูเต๋อมา นางก็แทบจะไม่ได้กินจนอิ่มสักมื้อ กินข้าวไปน้ำตาก็ไหลไป เพราะคิดถึงสามี แต่ไม่รู้จะส่งข่าวให้เขาเช่นไร
รุ่งเช้าวันใหม่ จิ่วเม่ยที่กำลังจัดการบุตรสาวตัวน้อยอยู่ ป้าหวงก็ร้องเรียกนางอยู่ที่หน้าเรือน
“อาเม่ย อาเม่ย”
“มาแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบเดินไปเปิดประตูเรือน ก็เห็นป้าหวงยืนรอนางอยู่
“เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ”
“ข้ามาถามเจ้าว่าจะปลูกข้าวเลยหรือไม่” เพราะที่นาของจิ่วเม่ยที่เก็บเกี่ยวไปนานแล้ว ยังว่างเปล่าอยู่
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านกำลังเริ่มต้นการเพาะปลูกอีกครั้ง ป้าหวงเห็นว่าจิ่วเม่ยนางตัวคนเดียวจึงได้มาถามด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องนี้ข้าก็กำลังจะไปหาท่านอยู่พอดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ว่าแต่เจ้าเสร็จแล้วหรือยัง เจินเออร์เล่า” นางชะเง้อคอมองหาเด็กตัวน้อย
“ไปได้เลยเจ้าค่ะ ท่านป้ารอข้าประเดี๋ยว” จิ่วเม่ยเข้าไปอุ้มบุตรสาว ใช้ผ้าผูกมัดตัวนางไว้ที่ด้วยหน้า ก่อนจะเดินออกจากเรือนไปพร้อมป้าหวง
นางไม่มีเมล็ดข้าวที่จะใช้ปลูก ป้าหวงจึงได้แบ่งจากที่เรือนของนางมาให้ แต่จิ่วเม่ยก็ไม่กล้าเอาเปล่าๆ ป้าหวงจึงได้คิดเงินนางเพียงสองตำลึงเท่านั้นนับว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับที่นาของจิ่วเม่ยที่เพิ่มมาอีกเกือบสิบหมู่ ตอนนี้นางจึงมีที่ทำนาถึงสิบหกหมู่ หากจะให้นางทำผู้เดียวคงไม่ไหว ชาวบ้านจึงได้มาช่วยนางทำนาในครั้งนี้ด้วยแต่ต้องรอให้ชาวบ้านจัดการแปลงของตนเองเรียบร้อยเสียก่อน จิ่วเม่ยนางให้ค่าแรงพวกเขาคนละสามสิบอิแปะ เท่ากับราคาค่าจ้างในเมือง เพียงแต่ไม่มีอาหารให้เท่านั้น“ไม่ต้อง เจ้าเก็บเงินไว้ดูลูกเถิด” ป้าหวงและชาวบ้านต่างตำหนินาง“ไม่ได้เจ้าค่ะ พวกท่านช่วยเหลือข้าบ่อยครั้ง แต่ข้าไม่มีสิ่งใดที่จะตอบแทนพวกท่านได้เลย” จิ่วเม่ยมองพวกเขาทุกคนอย่างซาบซึ้ง“เช่นนั้นก็ให้เพียงยี่สิบอิแปะพอ ข้าวกลางวัน พวกข้าจะจัดการกันเอง” เมื่อป้าหวงเอ่ยเช่นนี้ ชาวบ้านที่เหลือต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยในหมู่บ้านหากไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัวที่อยู่ไม่กี่เรือน พวกเขาต่างช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จึงไม่คิดอยากจะได้เงินจากสองแม่ลูกที่น่าสงสารเช่นนี้ ในเมื่อจิ่วเม่ยนางไม่ยอม ทุกคนจึงได้ทำอย่างที่ป้าหวงว่าซูเจินน้อยมองพวกเขาพ
เสียงร้องของไห่กวงที่วิ่งจากท้ายหมู่บ้านไปจนเรือนของตระกูลชุยที่กลางหมู่บ้าน ปลุกให้ชาวบ้านที่ต่างเข้านอนไปแล้วลุกขึ้นออกมาดูอย่างสงสัย“นั่นมันน้องชายนางไห่ซื่อมิใช่หรือ” หนึ่งในชาวบ้านที่ออกมาดูมองไปที่ไห่กวงที่วิ่งผ่านหน้าไป“มาทำอันใดยามนี้” พวกเขาต่างเดินตามไปอย่างสงสัย“ท่านพี่ ท่านพี่ เปิดประตูเร็วเข้า” ไห่กวงตะโกนร้องเรียกพี่สาวอยู่ที่หน้าเรือนนางไห่ซื่อลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างแปลกใจ นางคุยกับน้องชายไว้แล้วว่า พรุ่งนี้นางจะพาชาวบ้านไปที่เรือนของจิ่วเม่ย เพื่อให้พวกเขาเห็นกับตา ว่าทั้งคู่ลอบนัดพบกัน“นั่นเสียงอากวงมิใช่รึ” ต้าหลางลุกตามเมียขึ้นมานั่ง ก่อนที่จะเดินออกจากเรือนเพื่อไปดูพอเปิดประตูเรือนเท่านั้น นางไห่ซื่อก็กรีดร้องออกมา เมื่อเห็นผึ้งบินอยู่รอบตัวน้องชาย ใบหน้าของเขาเริ่มจะบวมเป็นหัวหมูแล้วเสี่ยวมี่เห็นนางไห่ซื่อ ก็สั่งให้ผึ้งที่บินล้อมไห่หวง บินไปต่อยที่ปากของนางทันที“โอ๊ยยย” นางไห่ซื่อกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ ทั้งปัดป้องและวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในเรือน“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ชาวบ้านไปตามลุงหวงที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมา เพราะไห่กวงไม่ใช่คนในหมู่บ้าน หากเกิดเรื่องร้ายก
ผ่านมาเกือบเดือนผลผลิตในนาข้าวของจิ่วเม่ยก็ดูจะงอกงามกว่าของผู้อื่นมากนัก ของชาวบ้านที่มาช่วยนางทำนาก็ดีไม่แพ้ของนางมีเพียงซูเจินที่รู้ว่า แมลงต่างๆ ทั้งหนู มิได้กินผลผลิตในนาข้าวของเรือนนาง แม้แต่ของชาวบ้านที่ช่วยเหลือจิ่วเม่ยก็ได้รับการละเว้นคงมีแต่ของตระกูลชุยที่ปีนี้แทบจะไม่เหลือผลผลิตให้เก็บเกี่ยว หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็คงได้แต่เก็บไว้กิน มิอาจจะนำไปขายแลกเงินได้ผ่านมาอีกสองเดือนซูเจินน้อยที่ถูกนำไปที่นาด้วยก็ถูกจับให้นั่งรอที่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม ตอนนี้ไม่ใครกังวลเป็นห่วงนางมากแล้ว เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้รู้ว่านางเป็นเด็กที่รู้เรื่องเพียงใดซูเจินนางจะคลานไปรอบๆ อย่างสนใจ และหยุดมองพวกเขาทำงาน เด็กน้อยจะคลานอยู่ไม่ห่างทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างเต็มที่แต่แปลกที่เด็กคนอื่นมาเล่นกับนาง นางจะไม่ค่อยเล่นด้วย ได้แต่มองพวกเขาเล่นเท่านั้น แต่หากมีเด็กคนใดที่รังแกนาง ไม่ต้องให้ซูเจินนางลงมือ เสี่ยวอี่ก็สั่งให้พวกมดไปกัดเด็กคนนั้นแล้ว ยังดีที่มดเพียงสองสามตัวเท่านั้นที่กัดพอซูเจินนางอายุได้เกือบขวบ ข่าวของชูเต๋อก็ส่งมาถึงหมู่บ้าน สงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเขากำลังเดินทางกลับมา ลุงหวงกับป
ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอหวงไฉเมื่อเห็นว่าตกลงกันได้แล้ว เขาก็ลงมือชำแหละเนื้อกวางทันที ฝีมือของหวงไฉทำให้ซูเจินจ้องมองอย่างสนใจ แม้แต่เลือดกวางก็ถูกเก็บเอาไว้ เนื้อถูกส่วนเขาชำแหละออกมาแทบไม่เหลือติดกระดูกเลยเขากวางหวงไฉก็รับปากว่าจะนำไปขายที่ร้านยาให้นาง เพราะเขากวางที่สมบูรณ์เช่นนี้ได้ราคาไม่น้อยเลยทีเดียว หนังกวางก็ถูกถลกออกมาได้ไร้ที่ติในตอนแรกหวงไฉก็คิดจะนำไปขายให้จิ่วเม่ย แต่นางจะเก็บไว้ทำรองเท้าให้สองพ่อลูกมากกว่า เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดนางเนื้อกวางถูกชำแหละออกมาได้มากถึงเกือบหนึ่งร้อยชั่ง (1ชั่ง=500กรัม) จิ่วเม่ยให้ป้าหวงเลือกไปสิบชั่ง ส่วนเรือนอื่นนางเก็บไว้ให้เรือนละสองชั่ง ก็อีกสิบชั่ง ตัวนางที่อยู่เพียงสองคนแม่ลูกเก็บไว้สิบชั่งเช่นกัน ก่อนจะให้หวงไฉออกหน้านำที่เหลือไปขายให้นาง“ขายชั่งละหกสิบอิแปะเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” หากขายในเมืองเนื้อที่สดใหม่อย่างน้อยต้องได้ชั่งละหนึ่งร้อยอิแปะแต่เพราะนางไม่อาจจะเดินทางไปขายได้ อีกทั้งก็อยากจะแบ่งให้ชาวบ้านในราคาที่ไม่แพง ราคาหกสิบอิแปะจึงนับว่าเหมาะสม
ป้าหวงที่เห็นหวงฉืออุ้มซูเจินที่ตัวอวบอ้วนมาอย่างลำบากก็รีบเดินเข้ามารับนางไปอุ้มไว้แทนนางไม่ได้พาซูเจินเดินเข้าไปด้านใน แต่พาออกมายืนมองอยู่ห่างๆ“ท่านพ่อ ท่านทำกับลูกเมียของข้าเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ” ซูเต๋อเออ่ยถามอย่างเจ็บปวดเขารู้ว่าท่านพ่อเข้าข้างนางไห่ซื่อมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่รับปากเขาเอาไว้จะช่วยดูแลลูกเมีย กลับไล่นางสองแม่ลูกให้ไปอยู่ที่เรือนท้ายหมู่บ้านเขารีบเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน คิดถึงลูกเมียใจแทบขาด ทั้งยังกังวลว่าทั้งคู่มีความเป็นอยู่เช่นไร แม้จะเห็นสีหน้าที่มองเขาอย่างเห็นใจจากชาวบ้าน แต่ไม่คิดจะหยุดถาม เมื่อมาถึงเรือนตระกูลชุยจึงได้รู้เรื่องทั้งหมด“หึ ข้าทำอันใด เป็นนางที่ขี้เกียจไม่อยากทำงานในเรือนจึงได้หอบลูกไปฟ้องผู้นำหมู่บ้านหวงให้มาทำเรื่องตัดขาด” นางไห่ซื่อโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยจิ่วเม่ยที่มาได้ยินพอดี ก็รีบเข้ามากอดแขนสามีแล้วโต้แย้งออกมา“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจินเออร์นางป่วยหนักเกือบรักษาชีวิตไม่ได้ ข้าไปขอสินเดิมที่ท่านแม่ยึดไว้ เพื่อพานางไปหาหมอ แต่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้า” จิ่วเม่ยเห็นหน้าสามี และเอ่ยถึงเรื่องในหนเก่าก็อดที่จะร้องไห้ออกไม่ได้“เจ้
บิดาของนางฉลาดไม่น้อย เพียงแค่ฟังเรื่องที่มารดาเล่าก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ผิดกับมารดาเป็นเวลานานกว่านางจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าคิดว่าใช่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเล่าเรื่องที่ไห่กวงจะลอบเข้ามาในเรือน แต่โดนผึ้งต่อยเสียก่อน จนตอนนี้ใบหน้าบางส่วนของเขายังไม่สามารถนำเหล็กในของผึ้งออกได้เลย“ช่างกล้านัก” ซูเต๋อถึงกับคำรามออกมา ความคิดเช่นนี้คงเป็นของนางไห่ซื่ออย่างแน่นอนหากไม่ได้สหายของบุตรสาวเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่านางแม่ลูกจะมีชะตาชีวิตเช่นไร“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะ อย่างที่ท่านเห็น หากนางไห่ซื่อมาหาเรื่องอีก ข้าคิดว่าสหายของเจินเออร์คงไม่ปล่อยนางไว้แน่” จิ่วเม่ยบีบมือสามีเพื่อให้เขาคลายโทสะ“หากมีอีกครั้งก็ลองดู ว่าข้าจะจัดการนางเช่นไร” เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากมีคนคิดจะรังแกครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องจัดการอย่างเด็ดขาดแน่นอน“ข้าว่าท่านลองไปดูโรงเก็บข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ซูเต๋ออุ้มซูเจิน เดินตามจิ่วเม่ยไปโรงเก็บข้าวเปลือกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นข้าวที่เต็มโรงเก็บไปหมด เขาก็ไม่อยากเชื่อสายตา หากไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหายของบุตรสาว คงได้คิดว่าจิ่ว
ซูเจินนางนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่จะปิดลงมาให้ได้อยู่ตลอด จิ่วเม่ยหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะอุ้มนางไปล้างหน้าแล้วพาเข้านอน“นอน” ซูเจินนางชี้มือไปที่ห้องข้างที่อยู่ติดกับห้องของบิดามารดา“เจินเออร์ จะนอนห้องข้างหรือลูก”“อืม” นางพยักหน้าอย่างงัวเงีย“ไม่ได้ เจ้ายังเล็กนัก”“นอน นอน” ครั้งนี้ซูเจินงอแงอย่างเห็นได้น้อย ป้าหวงที่ได้ยินเสียงของนางโวยวายจึงได้เดินเข้ามาดู“เกิดอันใดขึ้น”“เจินเออร์ นางจะนอนห้องนี้ผู้เดียวเจ้าค่ะ”“เพ้ย เจ้าเด็กดื้อ เหตุใดถึงได้งอแงในวันที่บิดาเจ้ากลับมาเล่า” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก“น้อง” นางตบไปที่ท้องของมารดาแล้วพูดออกมา“ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กแสบ” ป้าหวงหัวเราะลั่นลุงหวงกับซูเต๋อต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็เห็นป้าหวงที่หัวเราะไม่หยุด และจิ่วเม่ยที่ยืนอุ้มซูเจินที่ใกล้จะหลับหน้าแดงก่ำ“เกิดอันใดขึ้นขอรับ”“เจินเออร์ เจ้าเด็กแสบ จะไปนอนห้องข้าง นางอยากจะมีน้อง ฮ่า ฮ่า” ป้าหวงหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจกลายเป็นซูเต๋ออีกคนที่หน้าแดง ลุงหวงก็หัวเราะไปด้วยกับภรรยา เขาอดที่จะมองซูเจินอย่างชื่นชมในความรู้งานของนาง
ภาพตรงหน้าของซูเจินแปลกไป นางมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก แต่ตัวนางยังเป็นเด็กอยู่เช่นเดิม เพียงแต่นางสามารถเดินไปอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังพูดได้ชัดเจนแต่ก่อนที่นางจะสงสัยไปมากกว่านี้ ก็มีทูตตัวน้อยปรากฏตรงหน้านาง“คารวะนายหญิงแห่งมิติ”“ข้ารึ” ซูเจินชี้ไปที่ตัวนาง“เจ้าค่ะ ข้าคือทูตที่ดึงตัวท่านมาที่มิตินี่”“เจ้าจะบอกว่า เจ้าคือดอกไม้ดอกนั้นรึ”“เจ้าค่ะ”“แล้วเจ้าพาข้ามาเพื่ออันใด”“อีกไม่กี่ปีข้างหน้า แคว้นต้าเยี่ยนจะเกิดภัยแล้ง ต้นไม้เกือบทั้งหมดจะตายลง สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่อาศัย ต่างล้มตาย สูญพันธุ์ จนสิ้น มีเพียงท่านที่มองเห็นข้า ข้าจึงได้พาท่านมาช่วยเจ้าค่ะ”“แล้ว แล้วข้าจะทำได้หรือ”“มือของท่านมีความลับมากกว่าที่ท่านรู้ ท่านไม่เพียงสื่อสารกับสัตว์ทุกชนิดได้ แต่มือของท่านจะช่วยฟื้นต้นไม้ที่ตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”“สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซูเจินก้มลงมองมือของนาง“ท่านมี เสี่ยวเตี๋ย เสี่ยวมี่ เสี่ยวอี่อยู่ข้างกายท่าน ข้าจะอยู่ดูแลมิติของท่านให้เจ้าค่ะ”“แล้วในมิติ คือสิ่งใด” ซูเจินยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทูตน้อยบอกนาง“ด้านในจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่เข
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ซูเต๋อและหวงไฉก็พาชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปที่หมู่บ้านหูต้า เมื่อมาถึงที่ทางเข้าหมู่บ้านก็พบว่าท่านเจ้าเมืองมารอพวกเขาอยู่แล้ว“อาเต๋อเจ้ามาแล้ว” ท่านเจ้าเมืองเดินเข้ามารับซูเต๋อที่รถม้าอย่างยินดี“คารวะท่านเจ้าเมืองขอรับ” ซูเต๋อยังคงนอบน้อมเช่นเดิม“เพ้ย ไปไป เข้าไปในหมู่บ้านกันเถิด ข้าอยากจะเห็นแล้วว่าเจ้าหาตาน้ำเช่นไร” ซูเต๋อเดินตามท่านเจ้าเมืองเข้าไปในหมู่บ้าน เขาไม่ได้รีบไปที่ตาน้ำตามที่ซูเจินนางบอก เสี่ยวอี่ยังติดตามเขามาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นหัวหน้าหมู่บ้านลองทำตามวิธีของซูเต๋อก่อนที่เขาจะมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีไอน้ำขึ้นมาจากดินเช่นที่ดินของซูเต๋อเลยสักนิด“ข้าสำรวจแล้วหนึ่งรอบ แต่ไม่พบไอน้ำอย่างที่เจ้าว่า” เขาเอ่ยออกมาอย่างกังวลหากที่หมู่บ้านหูต้าไม่มีตาน้ำ ก็คงต้องรบกวนหมู่บ้านตงหยานต่อไป“เรื่องนี้ท่านอย่าเพิ่งกังวล ตอนที่ท่านสำรวจฟ้าคงยังมืดอยู่จึงไม่อาจเห็นได้ชัด” ซูเต๋อก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่เขาพูดจะถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้หัวหน้าหมู่บ้านกังวลใจพอฟ้าใกล้สาง ซูเต๋อก็เดินนำไปตามเส้นทางที่สอบถามซูเจินมาก่อนหน้านี้แล้วทันที เส
ห้าเดือนต่อมาจิ่วเม่ยก็คลอดบุตรชายอวบอ้วนออกมาให้ซูเต๋อได้เชยชม ซูเจินนางยังเฝ้าน้องชายของนางอยู่ไม่ห่างข่าวของหวงจือที่อยู่ในเมืองหลวงก็ถูกส่งกลับมาที่หมู่บ้าน เขาสอบซิ่วไฉผ่านในวัยเพียงสิบเจ็ดหนาว และปีหน้าจะสอบจวี่เหรินอีกด้วยคนตระกูลหวงจึงคิดจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปดูความเป็นอยู่ของเขา“เจินเออร์ เจ้าอยากไปกับยายหรือไม่” ป้าหวงเอ่ยถามซูเจิน“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ดูน้องชาย” นางไม่รู้ว่าจะไปทำอันใดที่เมืองหลวง อยากจะรอให้น้องชายโตเสียก่อนค่อยคิดจะเดินทางไปเที่ยวเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ป้าหวงจึงไม่คิดจะบังคับนางต่อ นางกลับเรือนของตนเพื่อไปจัดการเก็บข้าวของ ทั้งยังบอกจะซื้อของมาฝากซูเจินอีกด้วยลุงหวงมิได้ทำหน้าที่ผู้นำหมู่บ้านแล้ว เป็นหวงไฉที่ทำหน้าที่แทนเขา หวงไฉจึงไม่ได้ออกเดินทางไปด้วย เพราะเป็นห่วงทางหมู่บ้านที่ปีนี้ดูจะแล้งกว่าปีที่แล้วมากนักซูเจินเอ่ยถามเรื่องตาน้ำกับสหายทั้งสามของนาง ถึงแม้ในหมู่บ้านตงหยานจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่หมู่บ้านหูต้าที่อยู่ติดกันได้รับผลกระทบไม่น้อยผู้นำหมู่บ้านหูต้าต้องเดินทางมาคุยกับหวงไฉ เพื่อขอให้ชาวบ้านเดินทางมาตักน้ำที่ยังมีอีกมากในหมู่
สิบห้าวันให้หลังขบวนรถม้าที่ยาวถึงหกคันรถก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านตงหยาน ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างยินดีซูเจินก็ถูกจิ่วเม่ยจูงมือมารอรับท่านพ่อของนางที่หน้าหมู่บ้านด้วย“ตาเฒ่ามาแล้ว” ป้าหวงร้องลั่นอย่างยินดี“เพ้ย ยายแก่ ข้าได้ยินเสียงของเจ้ามาแต่ไกล” ลุงหวงอดจะหยอกเมียของเขาไม่ได้เมื่อซูเต๋อเดินลงมาจากรถม้าก็รีบเดินเข้ามาอุ้มซูเจินน้อยไปกอดทันที“เพราะเจ้า พ่อถึงมีวาสนาเช่นนี้” ซูเต๋อหอมแก้มบุตรสาวฟอดใหญ่“มีเรื่องดีอันใดเจ้าคะ” จิ่วเม่ยอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้“ข้ากับอาเต๋อ ได้รับพระราชทานตำแหน่งขุนนางขั้นแปด” ลุงหวงเป็นผู้ที่ไขข้อสงสัย เขายืดอกขึ้นอย่างภูมิใจเสียงฮือฮาจากชาวบ้านดังไม่ขาดสาย พวกเขาต่างเข้ามาแสดงความยินดี แม้ไม่เข้าใจว่าขุนนางขั้นแปดคืออันใด แต่ก็พอจะรู้ว่าการเป็นขุนนางนั่นมีอำนาจอยู่ไม่น้อย“อาจือเล่า เขาอยู่ที่ใด” ป้าหวงเมื่อยินดีกับตำแหน่งใหม่ของสามีแล้วก็อดจะมองหาหลานชายไม่ได้“อาจืออยู่ที่เมืองหลวงต่อ ใต้เท้าหานจัดการเรื่องเรียนของเขาให้เรียบร้อยแล้ว ที่อยู่ของเขาข้ากับอาเต๋อก็ซื้อเรือนและบ่าวให้เขาแล้ว เจ้าอย่าได้กังวลใจ” เพราะหลานชายก็อายุสิบหกหนาวแล้ว เข
ซูเต๋อและลุงหวงจำต้องยืนรออยู่ที่หน้าท้องพระโรงเพราะยังไม่มีคำสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้า เหงื่อของทั้งคู่ซึมออกมาตามแผ่นหลังอย่างกระวนกระวายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกสอบถามด้วยเรื่องอันใดแม้จะพอรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับกังหันลมที่เขาได้ส่งแบบร่างให้กับใต้เท้าหาน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็กังวลใจอยู่ไม่น้อย“ซูเต๋อ หวงกุ้ยถัง ฝ่าบาทเรียกตัวให้เข้าเฝ้า” กงกงร้องเรียกทั้งสองที่หน้าท้องพระโรงซูเต๋อหันไปมองลุงหวงที่ตัวเริ่มจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด จนเขาต้องบีบที่ไหล่เพื่อให้กำลังใจ“ท่านลุงหวง ท่านมิต้องกังวล ข้าจะเป็นผู้เอ่ยตอบสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสถามเองขอรับ”“ข้าเข้าใจแล้ว” ลุงหวงพยักหน้าราวกับไก่จิก ก่อนที่จะเดินตามกงกง ที่มาพาทั้งคู่เข้าไปหยุดอยู่ที่กลางท้องพระโรงท่ามกลางขุนนางนับร้อยที่มองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว“กระหม่อมซูเต๋อ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมหวงกุ้ยถัง ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ตามที่ท่านใต้เท้าหานได้สอนมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้านในมีท่านเจ้าเมืองอยู่กลางท้องพระโรงด้วยอีกคน“เจิ้นเรียกตัวพวกเจ้าทั้งสองเข้าวัง คงตกใจไม่น้อย” ฮ่องเต้เยี่ยนเฟยฉีตรัสอย่างเป็
ซูเจินอาสาไปที่เรือนของป้าหวง เพื่อขอให้เขาช่วยเรื่องนี้ และบอกข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ของมารดาด้วย“เพ้ย จะหาคนไปไย ยายจะไปช่วยเอง”“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่อยากให้ท่านยายเหนื่อย” ซูเจินถูหน้าน้อยๆ กับแขนของป้าหวง ทำให้นางหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“ได้ ได้ ยายไม่ไปทำแล้ว มีแม่หม้ายฉู่ นางอยู่กับบุตรชายวัยสิบสามหนาว ยายจะไปถามนางให้ว่าอยากทำงานที่เรือนของเจ้าหรือไม่”“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หวงหลินอดจะส่ายหัวไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางเอาอกเอาใจท่านย่าของนางจากซูเจินน้อยทั้งสามออกจากเรือนตระกูลหวงไปที่เรือนของแม่หม้าย แม้จะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยจะดี แต่สองแม่ลูกก็เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ลานเรือนก็เป็นระเบียบเรียบร้อย“อาฉู่ อาเม่ยนางตั้งครรภ์ในเรือนก็มีเพียงเจินเออร์ห้าหนาวเท่านั้น อยากจะหาคนไปช่วยทำงานเรือน เจ้าอยากจะทำหรือไม่”“อยากเจ้าค่ะ” นางฉู่เอ่ยออกมาอย่างยินดี นาง ทุกวันนี้สองแม่ลูกรับจ้างทำงานในไร่กับหาของป่าไปขายเพื่อประทังชีพเท่านั้น“เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปที่เรือนตระกูลซูได้เลย” ป้าหวงพูดคุยอีกไม่กี่ประโยคจึงจะขอตัวกลับเพื่อไปดูจิ่วเม่ยที่เรือน“พี่จิ้ง ท่านก็ไปด้วย ข้าจะจ้างท่านอีกคน” ซูเจิ
เรื่องที่ชาวบ้านตงหยานแจกจ่ายข้าว และนำข้าวออกมาขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดถูกเลื่องลือออกไปหลายหัวเมือง จนถึงเมืองหลวง ทำให้ฮ่องเต้ยกย่องชาวบ้านหูหนานทั้งเจ้าเมืองที่จัดการเรื่องนี้อย่างดีแม้จะไม่ได้รับรางวัล เพราะเป็นช่วงที่ท้องพระคลังใช้เงินมากเพื่อเยียวยาชาวบ้านหลายหัวเมือง ถึงจะเป็นเพียงคำชมจากฮ่องเต้ก็นับว่าสร้างความปลาบปลื้มให้ทุกคนได้มากมายแล้วซูเจินให้หลันฮวาใช้พื้นที่ทั้งหมดในมิติ เพื่อปลูกข้าว นางต้องการที่จะกักตุนให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าในปีต่อไปผลกระทบจะร้ายแรงหรือไม่ใต้เท้าหานเมื่อเดินทางกลับถึงเมืองหลวงก็รีบนำแบบจำลองกังหันวิดน้ำขึ้นทูลถวายให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรทันที“ตระกูลซูที่หมู่บ้านหูหนาน เป็นเพียงชาวบ้านเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้อดจะแปลกพระทัยไม่ได้“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ทั้งยังเห็นการทำงานของกังหันลมกับตาตนเอง น่าอัศจรรย์นักพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นหรือ” ใต้เท้าหานทดลองให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรทันที ทั้งยังบอกว่ากังหันลมวิดน้ำที่หมู่บ้านตงหยานมีขนาดใหญ่กว่าแบบจำลองมากเพียงใด“ใต้เท้าหาน เจ้าเร่งจัดการเรื่องนี้เสีย หากผ่านพ้นภัยแล้งไปได้ เจิ้นจะตกรางวัลให้เจ้าก
เมื่อเห็นผักที่ปลูกอยู่ข้างเรือนของซูเต๋อก็ยิ่งแปลกใจ เพราะแทบไม่มีร่องรอยจากการถูกแมลงกัดกิน และยังอวบอิ่มราวกับได้น้ำอย่างมากมายซูเต๋อมิได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เขาจะบอกได้อย่างไรว่ามีพวกแมลงสหายของบุตรสาวคอยช่วยดูแลแปลงผักของเขา“นี่คือสิ่งใด” ใต้เท้าหานอดที่จะเอ่ยถามถึงโรงเก็บของขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายหลังมิได้“ข้าน้อยกังวลเรื่องภัยแล้ง ตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วขอรับ จึงได้สร้างโรงเก็บข้าวเปลือกขึ้น โดยให้ชาวบ้านนำมาฝากเก็บไว้ เผื่อยามฉุกเฉินขอรับ” เป็นลุงหวงที่เอ่ยตอบเรื่องนี้ก็เป็นความคิดของซูเจิน ที่ให้สร้างโกดังทั้งยังใช้หลักการเดียวกับโรงรับฝากเงิน ข้าวที่ชาวบ้านนำมาฝาก ถูกเขียนสัญญาอย่างชัดเจน หากคิดจะขายทางซูเต๋อก็รับซื้อไว้ในราคาที่พวกเขาขาย หรือจะฝากไว้ยามฉุกเฉินก็จะเสียค่าฝากเพียงไม่กี่สิบอิแปะเท่านั้นน่าแปลกที่เก็บไว้ที่เรือนของตนย่อมถูกแมลงกัดกิน แต่เมื่อเทียบกับข้าวเปลือก ธัญพืชที่นำมาฝากที่โรงเก็บของส่วนกลางของหมู่บ้าน แทบจะไม่มีร่องรอยของแมลง นก หนู มาทำให้ข้าวของเสียหายเลยชาวบ้านจำนวนไม่น้อย เมื่อมีข้าวเปลือก ธัญพืชเหลือกินและเหลือจากขายแล้ว พวกเขาส่
พอเขานำไปใช้ที่สำนักศึกษา ท่านอาจารย์ก็อดที่จะสอบถามเรื่องนี้ไม่ได้“เอ่อ เจ้าว่าเป็นเด็กน้อยนางหนึ่งอย่างนั้นรึ” ท่านอาจารย์เฉียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“ขอรับ” หวงฉือในวัยสิบห้าหนาวเอ่ยตอบอย่างภูมิใจ เขาไม่อายผู้ใดหากจะบอกว่าความรู้ของเขากว่าครึ่งเป็นนางที่สอนเขาเพราะเขาฟังสิ่งที่อาจารย์ในสำนักศึกษาสั่งสอนไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อนำไปให้ซูเจินนางสอน นางอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างง่ายดาย“เช่นนั้นหรือ หากข้าต้องการจะพบนาง เจ้าช่วยจัดการให้ได้หรือไม่”“เรื่องนี้ศิษย์จะไปสอบถามนางให้ขอรับ” วันนั้นหวงฉือจึงต้องเดินทางกลับหมู่บ้าน เมื่อมาถึงคนตระกูลหวงต่างตกใจไม่น้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดของเขา“เกิดเรื่องใดที่สำนักศึกษาหรือไม่” หวงไฉเอ่ยถามบุตรชายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด“ไม่ขอรับ ท่านอาจารย์เพียงอยากพบเจินเออร์จึงให้ข้ามาสอบถามนาง”“เพราะอันใด เจ้าพูดเรื่องใดของนางออกไป” ลุงหวงเอ่ยถามเสียงดัง“ปะ เปล่าขอรับ” หวงฉือไม่เห็นท่าทีที่โกรธเกรี้ยวของท่านปู่เช่นนี้มาก่อน จึงอดที่จะตกใจไม่ได้เขาเล่าเรื่องที่เขานำการคำนวณที่ซูเจินสอนไปใช้ที่สำนักศึกษา ท่านอาจารย์เฉียวเห็นเข้าจึงได้เรียกตัวเขาไปสอบถาม“เช
ซูเจินนางไม่คิดจะปิดบังเรื่องมิติของนางกับบิดามารดาตั้งแต่แรก เมื่อคิดอยากจะเข้าหรือออก นางก็มักจะหายตัวเข้าไปต่อหน้าทั้งสองอยู่ตลอด ในช่วงแรกซูเต๋อและจิ่วเม่ยก็ตกใจไม่น้อย หลังๆ จึงได้เลิกกังวล เพราะรู้ว่านางเข้าไปไม่นานก็กลับออกมาเช่นเดิมซูเต๋อมาซูเจินเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อตำราตามที่นางต้องการ ภายในร้านเขาปล่อยให้บุตรสาวเดินเลือกตามความสนใจของนาง เจ้าของร้านมองมาที่สองพ่อลูกอย่างสนใจ เพราะไม่เคยเห็นสตรีที่เข้ามาในร้านตำราและยังมีอายุเพียงสองหนาวเท่านั้นซูเจินนางพอจะเข้าใจตัวอักษรโบราณอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ถามมาจากหวงฉือ เรื่องการเลือกซื้อตำราของนางจึงไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านคงจะมีเพียงแค่ขอให้ท่านพ่อช่วยหยิบเล่มที่นางเอื้อมไม่ถึงเท่านั้น“เจ้าจะซื้อทั้งหมดเลยรึ” ซูเต๋อมองกองตำราที่บุตรสาวเลือกซื้ออย่างตกใจในตอนแรกเขาคิดว่านางจะหาซื้อเพียงไม่กี่เล่ม ตอนนี้ด้านหน้าของเขามีหลายสิบเล่มเลยทีเดียว“จะได้ไม่ต้องหาซื้อบ่อยๆ เจ้าค่ะ ท่านพ่อซื้อกระดาษ พู่กัน หมึกให้ลูกด้วย”“ได้” ซูเต๋อต้องนำตำราไปให้เจ้าของร้านห่อให้ถึงสามรอบกว่าจะแล้วเสร็จ“เอ่อ นังหนูเจ้าจะอ่านเองรึ” เจ้าของร