ผ่านมาเกือบเดือนผลผลิตในนาข้าวของจิ่วเม่ยก็ดูจะงอกงามกว่าของผู้อื่นมากนัก ของชาวบ้านที่มาช่วยนางทำนาก็ดีไม่แพ้ของนาง
มีเพียงซูเจินที่รู้ว่า แมลงต่างๆ ทั้งหนู มิได้กินผลผลิตในนาข้าวของเรือนนาง แม้แต่ของชาวบ้านที่ช่วยเหลือจิ่วเม่ยก็ได้รับการละเว้น
คงมีแต่ของตระกูลชุยที่ปีนี้แทบจะไม่เหลือผลผลิตให้เก็บเกี่ยว หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวก็คงได้แต่เก็บไว้กิน มิอาจจะนำไปขายแลกเงินได้
ผ่านมาอีกสองเดือนซูเจินน้อยที่ถูกนำไปที่นาด้วยก็ถูกจับให้นั่งรอที่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม ตอนนี้ไม่ใครกังวลเป็นห่วงนางมากแล้ว เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้รู้ว่านางเป็นเด็กที่รู้เรื่องเพียงใด
ซูเจินนางจะคลานไปรอบๆ อย่างสนใจ และหยุดมองพวกเขาทำงาน เด็กน้อยจะคลานอยู่ไม่ห่างทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างเต็มที่
แต่แปลกที่เด็กคนอื่นมาเล่นกับนาง นางจะไม่ค่อยเล่นด้วย ได้แต่มองพวกเขาเล่นเท่านั้น แต่หากมีเด็กคนใดที่รังแกนาง ไม่ต้องให้ซูเจินนางลงมือ เสี่ยวอี่ก็สั่งให้พวกมดไปกัดเด็กคนนั้นแล้ว ยังดีที่มดเพียงสองสามตัวเท่านั้นที่กัด
พอซูเจินนางอายุได้เกือบขวบ ข่าวของชูเต๋อก็ส่งมาถึงหมู่บ้าน สงครามสิ้นสุดลงแล้ว และเขากำลังเดินทางกลับมา ลุงหวงกับป้าหวงที่นำจดหมายมาส่งเมื่อรู้เรื่องก็ได้แต่ยินดีกับจิ่วเม่ยด้วย
ซูเจินในตอนนี้นางเริ่มจะสื่อสารเล็กน้อยตอบโต้ได้เป็นคำแล้ว นางก็อดที่จะตั้งตารอท่านพ่อคนใหม่ของนางไม่ได้
“แม่ หิว” ซูเจินลูบท้องที่กลมของนาง บอกจิ่วเม่ยที่กำลังล้างมือ เพื่อจะพานางไปกินข้าวพอดี
“ได้ ได้ เจินเออร์ น้อยของแม่หิวเสียแล้ว” นางอุ้มบุตรสาวขึ้นแล้วพาไปที่ห้องโถง
แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในห้องโถง ซูเจินก็ดึงสาบเสื้อของมารดาไว้ แล้วชี้มือไปที่กวางตัวใหญ่ที่อยู่นอกกำแพงด้านหลังเรือน
“สวรรค์” จิ่วเม่ยร้องเสียงดัง นางไม่เคยเห็นกวางเดินเข้ามาในหมู่บ้านมาก่อน
เมื่อกวางที่อยู่ด้านหลังเรือนเห็นซูเจินมันก็ก้มหัวลง ก่อนจะล้มลงที่พื้น จิ่วเม่ยที่อุ้มบุตรสาวอยู่ก็รีบเดินไปดูอย่างรวดเร็ว
พอไปถึงจึงได้รู้ว่า กวางตัวนั่นตายเสียแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมื่อเดือนก่อน ที่บุตรสาวเริ่มจะกินข้าวและเนื้อคำโตได้ ไก่ป่าก็เดินเข้ามาตายในลานเรือนของนาง
จิ่วเม่ยจึงได้ทำอาหารให้ซูเจินได้กิน เมื่อคืนซูเจินบ่นอยากกินเนื้อ เสี่ยวเตี๋ยจึงได้เข้าป่าไปดูว่ามีสัตว์ตัวใดที่ใกล้สิ้นอายุขั้นแล้ว ก็พบว่ากวางตัวหนึ่งที่อายุมากเต็มทีใกล้จะตาย จึงได้ยินยอมยกเนื้อของตนเองให้ซูเจินกินแทน
หากไม่มีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน ชาวบ้านและที่เรือนของนางจะมีเพียงเนื้อแห้งที่ทำเก็บไว้กิน หรือไม่ก็หากไม่ฝากซื้อเนื้อหมูในเมืองนางก็แทบจะไม่ได้กินเนื้อเลย
จิ่วเม่ยวางตัวซูเจินลงกับพื้นให้บุตรสาวนั่งรอนาง ก่อนที่จะเปิดประตูด้านหลังเรือนออกไปดู เห็นว่ากวางตายลงแล้ว จึงได้ลากเขามาในเรือน
นางอุ้มบุตรสาวไปที่บ้านของลุงหวง เพื่อให้เขาจัดการเนื้อกวางให้นาง
“ท่านลุงหวง ท่านป้าหวง อยู่หรือไม่เจ้าคะ” นางร้องเรียนอยู่ด้านหน้า
ไม่นานป้าหวงก็เดินออกมาเปิดประตูเรือนให้นาง “อาเม่ยมีเรื่องอันใด แล้วพวกเจ้าสองแม่ลูกกินข้าวมาแล้วหรือยัง” ตระกูลหวงกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่
“ทำไว้แล้วเจ้าค่ะ แต่ยังไม่ได้กิน ข้าจะรบกวนให้ พี่ไฉ ไปจัดการกวางให้ข้าที” หวงไฉบุตรชายคนโตของป้าหวง เขาทำงานอยู่ที่ร้านขายหมูในเมือง เรื่องชำแหละ นางจึงต้องนึกถึงเขาคนแรก
“โอ้ กวางอย่างนั้นหรือ เจ้าไปได้มาได้อย่างไร” ป้าหวงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เพราะไม่เคยได้ยินว่าจิ่วเม่ยนางล่าสัตว์ได้ หรือเคยเห็นนางขึ้นไปวางกับดักสักครั้ง
“ท่านไปที่เรือนของข้า แล้วข้าจะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยไม่กล้าเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นที่เรือนของนางให้ป้าหวงฟังที่หน้าเรือน เพราะยังมีชาวบ้านไม่น้อยที่เดินผ่านไปผ่านมา
หากพวกเขารู้เรื่องไม่รู้จะคิดว่านางและบุตรสาวเป็นพวกปีศาจหรือไม่ เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก ตอนนี้นางเริ่มเชื่อแล้วว่าบุตรสาวของนางต้องมีอะไรที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป
“ได้ๆ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรีบตามไป”
จิ่วเม่ยเดินกลับเรือน เพื่อมากินข้าวกับบุตรสาว ในตอนนี้ซูเจินไม่ให้มารดาป้อนข้าวอีกแล้ว นางพยายามใช้มือน้อยๆ ของนางตักข้าวเข้าปาก แม้จะหกบ้าง แต่จิ่วเม่ยก็ไม่เคยบ่น ยอมให้บุตรสาวได้ทำทุกสิ่งที่นางต้องการด้วยตนเอง
พอสองแม่ลูกกินข้าวเสร็จ ลุงหวง ป้าหวงก็พาหวงไฉมาที่เรือนพอดี เมื่อทั้งสามเห็นกวางก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ลุงหวงเอ่ยถามเสียงดัง
“มันเดินมาตายเองเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยยิ้มแห้งให้พวกเขา ก็มันเดินมาเองจริงๆ จะให้นางบอกเช่นไร
“สวรรค์ ประหลาดนัก เพิ่งต่ายไม่นานจริงด้วย” หวงไฉเดินเข้ามาจับที่ตัวกวางมันยังอุ่นๆ อยู่ ทั้งยังไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย
“แล้วเจ้าจะให้ข้าจัดการเช่นไร” หวงไฉเงยหน้าขึ้นมาถามจิ่วเม่ย
“ข้าจะเก็บไว้บางส่วน และจะแบ่งให้พวกท่านกับชาวบ้านที่ช่วยเหลือข้า ที่เหลือขายได้หรือไม่เจ้าคะ”
เงินในมือของนางตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว แต่ข้าวที่เก็บเกี่ยวไว้มากก็ยังไม่ได้คิดที่จะเอาออกไปขาย รอให้สามีกลับมาจัดการเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นนางก็ต้องรบกวนชาวบ้านอีก
“ได้เรื่องนี้ไม่อยาก ขายในหมู่บ้านก็พอ แต่ราคาคงได้ไม่ดีเท่าในเมือง”
“เท่านั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
แต่ป้าหวงไม่เห็นด้วยที่นางจะแบ่งเนื้อให้พวกเขา เปล่าๆ ทั้งยังจะแจกจ่ายผู้อื่นอีก
“อาเม่ยมิใช่ว่าข้าไม่อยากได้เนื้อ แต่เจ้าเก็บไว้กินมากเสียหน่อย เจินเออร์กำลังโต หากเจ้าแจกและขายหมด นางจะกินอันใด” ป้าหวงที่อุ้มซูเจินอยู่ก็เอ่ยขึ้น
ซูเจินรู้ดีว่าสิ่งที่ป้าหวงเอ่ย ก็เพราะเป็นห่วงพวกนางสองแม่ลูก นางยังหอมแก้มเขาไปหนึ่งที
“ฮ่า ฮ่า เจินเออร์ เจ้าเห็นด้วยกับยายใช่หรือไม่” นางบีบจมูกของซูเจินอย่างรักใคร่ หลานนางก็มีหลายคนแล้ว แต่ไม่มีคนใดที่รู้ความเช่นซูเจินสักคน
“เช่นนั้นข้าก็จะเก็บไว้มากเสียหน่อย แต่ส่วนของพวกท่านที่ข้าให้ก็อย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ”
ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอ
ซูเจินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย สัตว์ป่าที่สิ้นอายุขัยยังมีอีกไม่น้อย หากนางอยากกินเนื้อก็แค่บอกเสี่ยวเตี๋ยก็พอหวงไฉเมื่อเห็นว่าตกลงกันได้แล้ว เขาก็ลงมือชำแหละเนื้อกวางทันที ฝีมือของหวงไฉทำให้ซูเจินจ้องมองอย่างสนใจ แม้แต่เลือดกวางก็ถูกเก็บเอาไว้ เนื้อถูกส่วนเขาชำแหละออกมาแทบไม่เหลือติดกระดูกเลยเขากวางหวงไฉก็รับปากว่าจะนำไปขายที่ร้านยาให้นาง เพราะเขากวางที่สมบูรณ์เช่นนี้ได้ราคาไม่น้อยเลยทีเดียว หนังกวางก็ถูกถลกออกมาได้ไร้ที่ติในตอนแรกหวงไฉก็คิดจะนำไปขายให้จิ่วเม่ย แต่นางจะเก็บไว้ทำรองเท้าให้สองพ่อลูกมากกว่า เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดนางเนื้อกวางถูกชำแหละออกมาได้มากถึงเกือบหนึ่งร้อยชั่ง (1ชั่ง=500กรัม) จิ่วเม่ยให้ป้าหวงเลือกไปสิบชั่ง ส่วนเรือนอื่นนางเก็บไว้ให้เรือนละสองชั่ง ก็อีกสิบชั่ง ตัวนางที่อยู่เพียงสองคนแม่ลูกเก็บไว้สิบชั่งเช่นกัน ก่อนจะให้หวงไฉออกหน้านำที่เหลือไปขายให้นาง“ขายชั่งละหกสิบอิแปะเจ้าเห็นเป็นเช่นไร” หากขายในเมืองเนื้อที่สดใหม่อย่างน้อยต้องได้ชั่งละหนึ่งร้อยอิแปะแต่เพราะนางไม่อาจจะเดินทางไปขายได้ อีกทั้งก็อยากจะแบ่งให้ชาวบ้านในราคาที่ไม่แพง ราคาหกสิบอิแปะจึงนับว่าเหมาะสม
ป้าหวงที่เห็นหวงฉืออุ้มซูเจินที่ตัวอวบอ้วนมาอย่างลำบากก็รีบเดินเข้ามารับนางไปอุ้มไว้แทนนางไม่ได้พาซูเจินเดินเข้าไปด้านใน แต่พาออกมายืนมองอยู่ห่างๆ“ท่านพ่อ ท่านทำกับลูกเมียของข้าเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ” ซูเต๋อเออ่ยถามอย่างเจ็บปวดเขารู้ว่าท่านพ่อเข้าข้างนางไห่ซื่อมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่รับปากเขาเอาไว้จะช่วยดูแลลูกเมีย กลับไล่นางสองแม่ลูกให้ไปอยู่ที่เรือนท้ายหมู่บ้านเขารีบเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน คิดถึงลูกเมียใจแทบขาด ทั้งยังกังวลว่าทั้งคู่มีความเป็นอยู่เช่นไร แม้จะเห็นสีหน้าที่มองเขาอย่างเห็นใจจากชาวบ้าน แต่ไม่คิดจะหยุดถาม เมื่อมาถึงเรือนตระกูลชุยจึงได้รู้เรื่องทั้งหมด“หึ ข้าทำอันใด เป็นนางที่ขี้เกียจไม่อยากทำงานในเรือนจึงได้หอบลูกไปฟ้องผู้นำหมู่บ้านหวงให้มาทำเรื่องตัดขาด” นางไห่ซื่อโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยจิ่วเม่ยที่มาได้ยินพอดี ก็รีบเข้ามากอดแขนสามีแล้วโต้แย้งออกมา“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจินเออร์นางป่วยหนักเกือบรักษาชีวิตไม่ได้ ข้าไปขอสินเดิมที่ท่านแม่ยึดไว้ เพื่อพานางไปหาหมอ แต่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้า” จิ่วเม่ยเห็นหน้าสามี และเอ่ยถึงเรื่องในหนเก่าก็อดที่จะร้องไห้ออกไม่ได้“เจ้
บิดาของนางฉลาดไม่น้อย เพียงแค่ฟังเรื่องที่มารดาเล่าก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ผิดกับมารดาเป็นเวลานานกว่านางจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าคิดว่าใช่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเล่าเรื่องที่ไห่กวงจะลอบเข้ามาในเรือน แต่โดนผึ้งต่อยเสียก่อน จนตอนนี้ใบหน้าบางส่วนของเขายังไม่สามารถนำเหล็กในของผึ้งออกได้เลย“ช่างกล้านัก” ซูเต๋อถึงกับคำรามออกมา ความคิดเช่นนี้คงเป็นของนางไห่ซื่ออย่างแน่นอนหากไม่ได้สหายของบุตรสาวเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่านางแม่ลูกจะมีชะตาชีวิตเช่นไร“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะ อย่างที่ท่านเห็น หากนางไห่ซื่อมาหาเรื่องอีก ข้าคิดว่าสหายของเจินเออร์คงไม่ปล่อยนางไว้แน่” จิ่วเม่ยบีบมือสามีเพื่อให้เขาคลายโทสะ“หากมีอีกครั้งก็ลองดู ว่าข้าจะจัดการนางเช่นไร” เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากมีคนคิดจะรังแกครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องจัดการอย่างเด็ดขาดแน่นอน“ข้าว่าท่านลองไปดูโรงเก็บข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ซูเต๋ออุ้มซูเจิน เดินตามจิ่วเม่ยไปโรงเก็บข้าวเปลือกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นข้าวที่เต็มโรงเก็บไปหมด เขาก็ไม่อยากเชื่อสายตา หากไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหายของบุตรสาว คงได้คิดว่าจิ่ว
ซูเจินนางนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่จะปิดลงมาให้ได้อยู่ตลอด จิ่วเม่ยหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะอุ้มนางไปล้างหน้าแล้วพาเข้านอน“นอน” ซูเจินนางชี้มือไปที่ห้องข้างที่อยู่ติดกับห้องของบิดามารดา“เจินเออร์ จะนอนห้องข้างหรือลูก”“อืม” นางพยักหน้าอย่างงัวเงีย“ไม่ได้ เจ้ายังเล็กนัก”“นอน นอน” ครั้งนี้ซูเจินงอแงอย่างเห็นได้น้อย ป้าหวงที่ได้ยินเสียงของนางโวยวายจึงได้เดินเข้ามาดู“เกิดอันใดขึ้น”“เจินเออร์ นางจะนอนห้องนี้ผู้เดียวเจ้าค่ะ”“เพ้ย เจ้าเด็กดื้อ เหตุใดถึงได้งอแงในวันที่บิดาเจ้ากลับมาเล่า” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก“น้อง” นางตบไปที่ท้องของมารดาแล้วพูดออกมา“ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กแสบ” ป้าหวงหัวเราะลั่นลุงหวงกับซูเต๋อต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็เห็นป้าหวงที่หัวเราะไม่หยุด และจิ่วเม่ยที่ยืนอุ้มซูเจินที่ใกล้จะหลับหน้าแดงก่ำ“เกิดอันใดขึ้นขอรับ”“เจินเออร์ เจ้าเด็กแสบ จะไปนอนห้องข้าง นางอยากจะมีน้อง ฮ่า ฮ่า” ป้าหวงหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจกลายเป็นซูเต๋ออีกคนที่หน้าแดง ลุงหวงก็หัวเราะไปด้วยกับภรรยา เขาอดที่จะมองซูเจินอย่างชื่นชมในความรู้งานของนาง
ภาพตรงหน้าของซูเจินแปลกไป นางมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก แต่ตัวนางยังเป็นเด็กอยู่เช่นเดิม เพียงแต่นางสามารถเดินไปอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังพูดได้ชัดเจนแต่ก่อนที่นางจะสงสัยไปมากกว่านี้ ก็มีทูตตัวน้อยปรากฏตรงหน้านาง“คารวะนายหญิงแห่งมิติ”“ข้ารึ” ซูเจินชี้ไปที่ตัวนาง“เจ้าค่ะ ข้าคือทูตที่ดึงตัวท่านมาที่มิตินี่”“เจ้าจะบอกว่า เจ้าคือดอกไม้ดอกนั้นรึ”“เจ้าค่ะ”“แล้วเจ้าพาข้ามาเพื่ออันใด”“อีกไม่กี่ปีข้างหน้า แคว้นต้าเยี่ยนจะเกิดภัยแล้ง ต้นไม้เกือบทั้งหมดจะตายลง สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่อาศัย ต่างล้มตาย สูญพันธุ์ จนสิ้น มีเพียงท่านที่มองเห็นข้า ข้าจึงได้พาท่านมาช่วยเจ้าค่ะ”“แล้ว แล้วข้าจะทำได้หรือ”“มือของท่านมีความลับมากกว่าที่ท่านรู้ ท่านไม่เพียงสื่อสารกับสัตว์ทุกชนิดได้ แต่มือของท่านจะช่วยฟื้นต้นไม้ที่ตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”“สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซูเจินก้มลงมองมือของนาง“ท่านมี เสี่ยวเตี๋ย เสี่ยวมี่ เสี่ยวอี่อยู่ข้างกายท่าน ข้าจะอยู่ดูแลมิติของท่านให้เจ้าค่ะ”“แล้วในมิติ คือสิ่งใด” ซูเจินยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทูตน้อยบอกนาง“ด้านในจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่เข
ทั้งสามกลับลงมาจากป่าในเวลาไม่นาน ทั้งยังได้ไก่ป่ากับกระต่ายป่าที่สิ้นอายุขัยแล้วเดินมาตายก่อนที่ซูเจินนางจะออกจากป่าอีกสามตัวชาวบ้านเมื่อเห็นว่าซูเต๋อเข้าไปในป่าไม่นานก็ได้สัตว์ป่าออกมาด้วย ต่างก็อดจะชื่นชมเขาไม่ได้ ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้งให้พวกเขา เพราะเขายังไม่ได้ลงมือทำอันใดสักอย่างซูเจินเมื่อกลับมาถึงเรือนนางก็นำเห็ดทั้งหมดออกมาให้บิดามารดาของนาง“ข้าจะนำไปขายเพียงสามดอกเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าใด เจินเออร์ เจ้าเก็บไว้เสียก่อน” ซูเจินนางจึงเก็บทั้งหมดเข้าไปในมิติตอนนี้นางอ่อนเพลียยิ่งนัก ปกติมารดาจะให้นางนอนพักในตอนกลางวัน แต่เพราะขึ้นเขาวันนี้นางจึงไม่ได้นอนกลางวัน“เจินเออร์คงง่วงแล้ว ท่านพี่ข้าพานางไปพักก่อนนะเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเห็นเปลือกตาบุตรสาวที่ใกล้จะปิดลง จึงได้พานางไปนอนพักเสียก่อนสองสามีภรรยาช่วยกันจัดการเห็ดและสัตว์ป่าที่ได้กลับมา ซูเต๋อยังนำไก่ป่าไปแบ่งให้เรือนตระกูลหวงอีกหนึ่งตัว ป้าหวงในตอนแรกก็จะไม่รับ แต่เมื่อรู้ว่าที่เรือนของซูเต๋อยังมีไก่ป่ากับกระต่ายป่าอีกก็ยินยอมรับมาแต่โดยดีก่อนที่ซูเต๋อจะกลับมาซูเจินนางก็ตื่นขึ้นมาเพราะท้องของนางส่งเสียงร้องประท้ว
อยู่มาจนจะห้าสิบหนาวแล้วยังไม่เคยพบเห็นเห็ดหลินจือที่สมบูรณ์และใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ซูเจินเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และเอ่ยพูดกับนางอย่างเมตตาจึงได้ส่งยิ้มหวานให้เขาไปหนึ่งที ในตอนแรกสหายทั้งสามของซูเจินตื่นตัวขึ้นมาทันที คิดว่าจะเกิดอันตรายกับนาง แต่พอเห็นซูเจินนางยิ้มออกมาจึงได้กลับไปอยู่ที่ไหล่ของนางเช่นเดิม“เห็ดหลินจือพันปี” เขาพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอย“เอ่อ ท่านหมอ ท่านจะซื้อหรือไม่ขอรับ” ซูเต๋อทนรอไม่ไหว เพราะหมอกู้ลูบคลำเห็นหลินจือ ของเขามาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว“ซื้อ ซื้อ เจ้าใจร้อนเสียจริง” เขามองค้อนซูเต๋อที่ขัดขวางช่วงเวลาที่เขาชื่นชมเห็ดหลินจืออยู่“หิว” ซูเจินลูบท้องน้อยๆ ของนาง นางอยากจะเร่งให้เขารีบจ่ายเงินจะได้ไปหาของอร่อยกินเสียที“โอ้ เด็กน้อยหิวเสียแล้ว” เขามองซูเจินอย่างชื่นชม เด็กน้อยตรงหน้าคงไม่เกินหนึ่งขวบปีอย่างแน่นอน กลับพูดออกมาตอนที่บิดาของนางกำลังลำบากใจได้หมอกู้ให้หลงจู๊อู๋ไปจัดการหาอาหารมาให้ทั้งสามคนได้กิน เพราะเขาคิดว่าคงอีกนานที่จะพูดคุยเรื่องราคากันเรียบร้อยรอไม่นานหลงจู๊อู๋ก็ยกอาหารเข้ามาด้านใน ซูเต๋อให้จิ่วเม่ยพาบุตรสาวไปนั่งก
นางรู้มาจากเสี่ยวเตี๋ยว่าม้าตัวเมียที่นอนอยู่ในคอกกำลังตั้งท้อง และม้าสองตัวยังเป็นม้าที่เกิดในทุ่งหญ้าแข็งแรงไม่น้อย คงเพราะถูกจับมาตอนที่แม่ม้ากำลังตั้งท้อง จึงทำให้พ่อม้าถูกจับมาด้วย“นายท่าน ม้าสองตัวนี้พยศนัก ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้เลยขอรับ” เขาเอ่ยออกมาอย่างกังวลที่เห็นเด็กน้อยต้องการไปดูใกล้ๆ ด้วยกลัวว่านางจะเกิดอันตรายได้แต่ซูเจินนางไม่ยอม ซูเต๋อจำต้องพานางเดินเข้าไปใกล้ เพราะรู้เรื่องความลับของบุตรสาวดี นายหน้าค้าสัตว์อยากจะเอ่ยห้าม แต่เมื่อเห็นบิดาของนางตามใจเช่นนี้ เขาจึงได้ถอยห่างออกมา เพื่อรอดูเรื่องสนุกแทนม้าทั้งสองตัว เมื่อเห็นซูเต๋ออุ้มซูเจินเดินเข้ามาทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินมาหานางอย่างช้าๆ ทั้งยังยอมให้นางจับตัวอย่างว่าง่ายอีก“คิก คิก” ซูเจินหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อม้าตัวเมียดันจมูกของมันกับแก้มของนางนายหน้าค้าสัตว์อ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เขาพบเจอ เสียงสัตว์ที่อยู่ในความดูแลทั้งหมดของเขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความอิจฉา เมื่อเห็นม้าทั้งสองตัวได้คลอเคลียกับนายหญิงแห่งมิติพฤกษาซูเจินนางไม่รู้เลยว่าการที่นางซื้อม้าทั้งสองตัวและวัวอีกสอ
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู
แต่เยี่ยนเฟยหยางก็อาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก กลายเป็นว่าแทนที่เขาจะทุ่มเทเอาเวลาไปฝึก กลับไล่จ้าวลู่เทียนออกไปด้านนอกมิติ แล้วอยู่ด้านในมิติกับซูเจินแทน“ท่านไล่พี่เทียนไปแล้ว หากท่านพ่อมิเห็นท่านอยู่ด้านนอกจะคิดเช่นไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ“ไม่เห็นจะเป็นอันใด ดีเสียอีกที่เปิ่นหวางจะได้แต่งเจ้าเข้าตำหนักเสียเลย ทั้งยังพาเจ้าไปที่ชายแดนเหนือพร้อมกันได้อีกด้วย” เขากุมมือของนางไว้แน่น พร้อมทั้งจ้องมองนางอย่างหลงใหล“เพ้ย ภายในหัวของท่านมีแต่เรื่องใดกันแน่ข้าอยากจะรู้นัก”“อยากรู้จริงหรือไม่” เสียงกระซิบของเยี่ยนเฟยหยางที่ดังข้างหูของนาง ทำให้ขนหัวของซูเจินลุกขึ้นทันทีนางรีบชักเท้าถอยหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเยี่ยนเฟยหยางรั้งคอของนางไว้ พร้อมทั้งก้มลงมาประกบริมฝีปากของเขากับของนางทันที“อย่าดื้อ เปิ่นหวางจะออกเดินทางแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางขบที่ริมฝีปากของซูเจินเบาๆ เพื่อให้นางเปิดช่องทางให้เรียวลิ้นของเขาแทรกเข้าไปได้ซูเจินนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรอีกไม่กี่วันเขาก็จะออกเดินทางแล้วฝ่ามือของเยี่ยนเฟยหยางลูบคลำไปตามแผ่นหลังของซูเจิน “อื้ออ” นา
พอรุ่งเช้ามาเยือน เมื่อไม่เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องพัก ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ในมิติ จึงได้ออกไปจัดการเรื่องสร้างเขื่อนแทนซูเจินนางออกมาจากมิติ เมื่อด้านนอกผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว นางรีบให้สวีกงกงจัดหาจวนหลังใหญ่ให้ทันที เพราะต้องนำเสบียงอาหารออกมาให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตสวีกงกงก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังจัดหาคน เพื่อจัดการเรื่องนำเสบียงออกไปแจกจ่าย โดยมีเขาคอยควบคุมเรื่องนี้ด้วยตนเองอยู่ทุกขั้นตอนเจ้าเมืองจั่วที่ไม่เห็นหน้าเยี่ยนเฟยหยางเลยสักวัน จะเอ่ยถามก็ไม่กล้า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจคิดว่าเขาเดินทางกลับไปแล้ว จึงคิดที่พาให้คนไปรับตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ที่จวนเช่นเดิมซูเจินนางออกไปตรวจสอบความเสียหายรอบๆ เมืองกับสหายทั้งสามของนางที่กลับมามีรูปลักษณ์เช่นเดิมเมื่ออยู่ด้านนอก และในอ้อมแขนของนางยังมีเหล่าหู่ที่ดูเหมือนลูกแมวน้อยด้วยอีกตัวรอบเมืองที่โดนน้ำท่วมมีความเสียหายมากนัก นางจึงคิดที่จะให้ชาวบ้านปลูกพืชที่สามารถเติบโตในน้ำได้ดี นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวใต้เท้าหานให้ช่วยจัดการหากให้นางบอกกล่าวขุนนางกรมเกษตรที่อยู่ในเมืองหนานไห่พวกเขาคงมิ
หลันฮวาที่เห็นเสี่ยวอี่เปลี่ยนไปก็กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเขาร้องห้ามไว้เสียก่อน“ไปดูนายหญิงก่อนเร็วเข้า”“นายหญิงเป็นอันใด”“นางลงไปแช่น้ำในถ้ำของเหล่าหู่ ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวด” หลันฮวาไม่ทันได้แจ้งคนอื่นนางรีบบินตามเสี่ยวมี่ไปที่ถ้ำของเหล่าหู่ทันทีใต้เท้าหานกับซูเต๋อก็รีบตามไปอย่างร้อนใจ เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังช่วยจ้าวลู่เทียนฝึกเดินลมปราณก็พบความผิดปกติ จึงได้พากันติดตามไปด้วยเมื่อเข้าใกล้ถ้ำของเหล่าหู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เกือบจะทำให้ทั้งสี่เสียสติ ซูเต๋อที่ใกล้ชิดบุตรสาวมากที่สุด เขายังไม่เคยเห็นนางร้องเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเฟยหยางมิอาจทนได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอันใดกับนางกันแน่ แต่เมื่อถึงปากถ้ำทั้งสี่ก็ถูกเหล่าหู่และเสี่ยวอี่ขวางเอาไว้“ตอนนี้นายหญิงอยู่ในน้ำ พวกท่านมิอาจเข้าไปได้ขอรับ” เสี่ยวอี่เอ่ยขึ้นมา เขาจะปล่อยให้บุรุษทั้งสี่เห็นสภาพที่เปลือยเปล่าของนายหญิงได้อย่างไร“เหตุใดนางถึงได้ดูเจ็บปวดเช่นนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่รอให้หลันฮวาออกมาหรือไม่ก็รอให้ซูเจินนางออก