ป้าหวงที่เห็นหวงฉืออุ้มซูเจินที่ตัวอวบอ้วนมาอย่างลำบากก็รีบเดินเข้ามารับนางไปอุ้มไว้แทน
นางไม่ได้พาซูเจินเดินเข้าไปด้านใน แต่พาออกมายืนมองอยู่ห่างๆ
“ท่านพ่อ ท่านทำกับลูกเมียของข้าเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ” ซูเต๋อเออ่ยถามอย่างเจ็บปวด
เขารู้ว่าท่านพ่อเข้าข้างนางไห่ซื่อมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่รับปากเขาเอาไว้จะช่วยดูแลลูกเมีย กลับไล่นางสองแม่ลูกให้ไปอยู่ที่เรือนท้ายหมู่บ้าน
เขารีบเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน คิดถึงลูกเมียใจแทบขาด ทั้งยังกังวลว่าทั้งคู่มีความเป็นอยู่เช่นไร แม้จะเห็นสีหน้าที่มองเขาอย่างเห็นใจจากชาวบ้าน แต่ไม่คิดจะหยุดถาม เมื่อมาถึงเรือนตระกูลชุยจึงได้รู้เรื่องทั้งหมด
“หึ ข้าทำอันใด เป็นนางที่ขี้เกียจไม่อยากทำงานในเรือนจึงได้หอบลูกไปฟ้องผู้นำหมู่บ้านหวงให้มาทำเรื่องตัดขาด” นางไห่ซื่อโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
จิ่วเม่ยที่มาได้ยินพอดี ก็รีบเข้ามากอดแขนสามีแล้วโต้แย้งออกมา
“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจินเออร์นางป่วยหนักเกือบรักษาชีวิตไม่ได้ ข้าไปขอสินเดิมที่ท่านแม่ยึดไว้ เพื่อพานางไปหาหมอ แต่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้า” จิ่วเม่ยเห็นหน้าสามี และเอ่ยถึงเรื่องในหนเก่าก็อดที่จะร้องไห้ออกไม่ได้
“เจ้าจะแสดงให้ผู้ใดดู แล้วมาที่เรือนของข้าเพื่ออันใด เจ้าจำในหนังสือตัดขาดมิได้หรือ หากเจ้ายังมาวุ่นวายข้าสามารถเรียกเงินจากเจ้าได้” นางไห่ซื่อชี้หน้าของจิ่วเม่ยและจ้องมองนางอย่างมุ่งร้าย
“เฮ้อออ ถ้าเสี่ยวมี่มาด้วย ข้าจะให้ต่อยปากนางอีกสักที” ซูเจินอดที่จะบ่นกับเสี่ยวเตี๋ยไม่ได้
“ไม่ใช่เรื่องยากเจ้าค่ะ” ซูเจินหันไปมองเสี่ยวเตี๋ยที่อยู่บนไหล่ของนางอย่างสงสัย
นางไห่ซื่อยังทวงเงินจากจิ่วเม่ยไม่หยุด ซูเต๋อก็ยังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดดี ได้แต่จ้องมองบิดาอย่างเสียใจ และมองนางไห่ซื่ออย่างโกรธแค้น
“หยุดได้แล้ว นางยังไม่ได้ทำเรื่องอันใดกับเจ้าอย่างที่ระบุในหนังสือตัดขาด เจ้าไม่อาจเรียกเงินจากนางได้” ลุงหวงทนฟังไม่ไหว จึงได้ออกหน้าช่วยสองสามีภรรยา
“เพ้ย ทั้งหมู่บ้านผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านเข้าข้างนาง ที่ไปเรือนนางอยู่บ่อยครั้งมิใช่ว่ามีอันใดกับนางหรอกรึ โอ๊ยยย” พอนางไห่ซื่อพูดจบ ผึ้งที่บินมาจากที่ใดไม่รู้ก็ต่อยเข้าที่ปากของนางสองสามที
คนทั้งหมดจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ แต่ซูเจินที่นังอยู่ในอ้อมกอดของป้าหวงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
เสียงหัวเราะของนาง เรียกให้ซูเต๋อหันมามอง ดวงตากลมโตที่งดงามของซูเจินก็มองเขาอย่างสำรวจ
“ท่านพี่ บุตรสาวของท่านเจ้าค่ะ”
“เจินเออร์หรือ” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา
ตอนนี้นางไห่ซื่อจะโดนอะไร หรือจะเป็นอะไร สองสามีภรรยาไม่สนใจอีกแล้ว ทั้งคู่เดินออกมาจากเรือน เพื่อไปหาซูเจินที่อยู่กับป้าหวง
“อาเต๋อ เจ้าอย่าได้เสียใจเลย ตอนนี้อาเม่ยกับเจินเออร์มีชีวิตที่ดีนัก เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” ป้าหวงส่งซูเจินให้ซูเต๋อ
เขารับบุตรสาวมาอุ้มไว้ เมื่อเห็นว่านางมิได้ซูบผอมอย่างที่คิด แต่เนื้อตัวอวบอ้วนไม่น้อย ใบหน้าที่กลมเกลี้ยง น่าเอ็นดูจนซูเต๋อหอมบุตรสาวฟอดใหญ่
ซูเจินถูกตอหนวดที่โกนไม่เกลี้ยงของซูเต๋อถูกที่แก้มของนางอยู่หลายทีก็หัวเราะเสียงใสออกมา ชาวบ้านต่างมองภาพตรงหน้าอย่างยินดี
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องที่นางไห่ซื่อเหตุใดถึงโดนผึ้งต่อยได้ จึงไม่มีผู้ใดสนใจนาง ต่างคิดว่าเพราะปากเน่าๆ ของนางทำให้ฟ้าดินลงโทษ
สามพ่อลูกบอกลาชาวบ้านก่อนจะพากันเดินกลับไปที่เรือน
“ท่านพี่ ข้าได้สินเดิมคืนมาจึงได้ซื้อที่ดินเพิ่ม เพราะกลัวว่านางไห่ซื่อจะตามมายึดเงินคืนไป ท่านคงไม่ว่าอันใดที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้”
“ข้าจะว่าอันใดเจ้าได้ ดีเสียอีก ข้ากลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าสองแม่ลูกได้” เมื่อนึกถึงเรื่องที่จิ่วเม่ยพูดว่าเกือบจะสูญเสียบุตรสาวในอ้อมกอดของตนไปแล้ว
ซูเต๋อก็กอดซูเจินแน่นขึ้น “พ่อจะไม่ให้ผู้ใดรังแกเจ้าได้อีก เจินเออร์”
ซูเจินจ้องมองแววตาของซูเต๋อที่มองนางอย่างรู้สึกผิด นางจึงโอบกอดรอบคอของซูเต๋อไว้ ในตอนแรกนางก็ยังกลัวว่าจะทำใจยอมรับบิดาคนใหม่ไม่ได้ แต่เขาห่วงใยนางและมารดามากเพียงนี้ ก็ไม่มีเรื่องอันใดที่นางจะไม่ยอมรับเขา
“ปีนี้ข้าปลูกข้าวได้มากนัก ข้าวยังเก็บไว้ที่ห้องเก็บด้านหลัง รอให้ท่านมาจัดการ”
“หนู แมลงไม่กินหมดแล้วหรือ” ซูเต๋อขมวดคิ้วถาม เพราะเมื่อก่อนเก็บเกี่ยวเรียบร้อยก็ขายออกไปทันที เก็บไว้กินพอครบปีเท่านั้น เพราะไม่อาจจะขับไล่หนูแมลงที่เข้ามากินได้หมด
“ถึงเรือนแล้วข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” ซูเต๋อมองหน้าเมียรักอย่างไม่เข้าใจ
ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าเพื่อกลับเรือน จิ่วเม่ยนำของที่ซูเต๋อนำกลับมาเข้าไปเก็บ และหาน้ำมาให้เขาดื่ม ออกมาก็เห็นสองพ่อลูกนั่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน นางยิ้มออกมาเต็มใบหน้าอย่างยินดี คิดว่าจะไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้อีกแล้ว
“มีเรื่องอันใดที่พูดด้านนอกไม่ได้ ก็พูดเถิด”
จิ่วเม่ยบอกบุตรสาวตัวน้อยในอ้อมแขนของสามีก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรียกสหายของเจ้ามาเถิด”
ซูเต๋อมองออกไปที่หน้าประตูเรือนอย่างแปลกใจ เขามองหาสหายของบุตรสาวที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดได้อย่างไร
“พ่อ” ซูเจินสะกิดเรียกซูเต๋อ เมื่อสหายทั้งสามของนางขึ้นมาอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางชี้ไปที่สหายของนางให้บิดาเห็น
“สหายของเจ้ารึ” ซูเต๋อขมวดคิ้วดูผีเสื้อ ผึ้งและมดตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ซูเจินพยักหน้าหงึก ๆ ให้เขาว่านี่แหละสหายของนาง
“ท่านพี่ ตอนที่ข้าออกมาจากเรือนตระกูลชุย ก็เกิดเรื่องประหลาดกับเจินเออร์”
นางเล่าเรื่องที่มีแมลง นก มด มากมายที่มักจะอยู่ข้างกายบุตรสาว ไม่ว่าจะในเรือนหรือนอกเรือน เรื่องที่สัตว์ทั้งสามตัวอยู่กับซูเจินตลอด ทั้งเรื่องที่มักมีสัตว์ป่าเดินเข้ามาตายในเรือน หรือไม่ก็นอกกำแพงเรือนด้านหลังบ่อยครั้งให้ซูเต๋อฟัง
“สวรรค์ จริงรึ” เขาอยู่ที่หมูบ้านมาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่สัตว์ป่าลงมาตาย เพื่อนำเนื้อมาให้ทำอาหารเลยสักครั้ง
ยิ่งเห็นสองแม่ลูกพยักหน้า ซูเต๋อก็อ้าปากค้างอย่างตกใจ “แล้วผึ้งที่ต่อยนางไห่ซื่อ หรือว่า” ซูเจินพยักหน้าอย่างชื่นชม
บิดาของนางฉลาดไม่น้อย เพียงแค่ฟังเรื่องที่มารดาเล่าก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ผิดกับมารดาเป็นเวลานานกว่านางจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าคิดว่าใช่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเล่าเรื่องที่ไห่กวงจะลอบเข้ามาในเรือน แต่โดนผึ้งต่อยเสียก่อน จนตอนนี้ใบหน้าบางส่วนของเขายังไม่สามารถนำเหล็กในของผึ้งออกได้เลย“ช่างกล้านัก” ซูเต๋อถึงกับคำรามออกมา ความคิดเช่นนี้คงเป็นของนางไห่ซื่ออย่างแน่นอนหากไม่ได้สหายของบุตรสาวเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่านางแม่ลูกจะมีชะตาชีวิตเช่นไร“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะ อย่างที่ท่านเห็น หากนางไห่ซื่อมาหาเรื่องอีก ข้าคิดว่าสหายของเจินเออร์คงไม่ปล่อยนางไว้แน่” จิ่วเม่ยบีบมือสามีเพื่อให้เขาคลายโทสะ“หากมีอีกครั้งก็ลองดู ว่าข้าจะจัดการนางเช่นไร” เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากมีคนคิดจะรังแกครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องจัดการอย่างเด็ดขาดแน่นอน“ข้าว่าท่านลองไปดูโรงเก็บข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ซูเต๋ออุ้มซูเจิน เดินตามจิ่วเม่ยไปโรงเก็บข้าวเปลือกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นข้าวที่เต็มโรงเก็บไปหมด เขาก็ไม่อยากเชื่อสายตา หากไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหายของบุตรสาว คงได้คิดว่าจิ่ว
ซูเจินนางนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่จะปิดลงมาให้ได้อยู่ตลอด จิ่วเม่ยหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะอุ้มนางไปล้างหน้าแล้วพาเข้านอน“นอน” ซูเจินนางชี้มือไปที่ห้องข้างที่อยู่ติดกับห้องของบิดามารดา“เจินเออร์ จะนอนห้องข้างหรือลูก”“อืม” นางพยักหน้าอย่างงัวเงีย“ไม่ได้ เจ้ายังเล็กนัก”“นอน นอน” ครั้งนี้ซูเจินงอแงอย่างเห็นได้น้อย ป้าหวงที่ได้ยินเสียงของนางโวยวายจึงได้เดินเข้ามาดู“เกิดอันใดขึ้น”“เจินเออร์ นางจะนอนห้องนี้ผู้เดียวเจ้าค่ะ”“เพ้ย เจ้าเด็กดื้อ เหตุใดถึงได้งอแงในวันที่บิดาเจ้ากลับมาเล่า” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก“น้อง” นางตบไปที่ท้องของมารดาแล้วพูดออกมา“ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กแสบ” ป้าหวงหัวเราะลั่นลุงหวงกับซูเต๋อต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็เห็นป้าหวงที่หัวเราะไม่หยุด และจิ่วเม่ยที่ยืนอุ้มซูเจินที่ใกล้จะหลับหน้าแดงก่ำ“เกิดอันใดขึ้นขอรับ”“เจินเออร์ เจ้าเด็กแสบ จะไปนอนห้องข้าง นางอยากจะมีน้อง ฮ่า ฮ่า” ป้าหวงหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจกลายเป็นซูเต๋ออีกคนที่หน้าแดง ลุงหวงก็หัวเราะไปด้วยกับภรรยา เขาอดที่จะมองซูเจินอย่างชื่นชมในความรู้งานของนาง
ภาพตรงหน้าของซูเจินแปลกไป นางมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก แต่ตัวนางยังเป็นเด็กอยู่เช่นเดิม เพียงแต่นางสามารถเดินไปอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังพูดได้ชัดเจนแต่ก่อนที่นางจะสงสัยไปมากกว่านี้ ก็มีทูตตัวน้อยปรากฏตรงหน้านาง“คารวะนายหญิงแห่งมิติ”“ข้ารึ” ซูเจินชี้ไปที่ตัวนาง“เจ้าค่ะ ข้าคือทูตที่ดึงตัวท่านมาที่มิตินี่”“เจ้าจะบอกว่า เจ้าคือดอกไม้ดอกนั้นรึ”“เจ้าค่ะ”“แล้วเจ้าพาข้ามาเพื่ออันใด”“อีกไม่กี่ปีข้างหน้า แคว้นต้าเยี่ยนจะเกิดภัยแล้ง ต้นไม้เกือบทั้งหมดจะตายลง สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่อาศัย ต่างล้มตาย สูญพันธุ์ จนสิ้น มีเพียงท่านที่มองเห็นข้า ข้าจึงได้พาท่านมาช่วยเจ้าค่ะ”“แล้ว แล้วข้าจะทำได้หรือ”“มือของท่านมีความลับมากกว่าที่ท่านรู้ ท่านไม่เพียงสื่อสารกับสัตว์ทุกชนิดได้ แต่มือของท่านจะช่วยฟื้นต้นไม้ที่ตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”“สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ซูเจินก้มลงมองมือของนาง“ท่านมี เสี่ยวเตี๋ย เสี่ยวมี่ เสี่ยวอี่อยู่ข้างกายท่าน ข้าจะอยู่ดูแลมิติของท่านให้เจ้าค่ะ”“แล้วในมิติ คือสิ่งใด” ซูเจินยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทูตน้อยบอกนาง“ด้านในจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะยังไม่เข
ทั้งสามกลับลงมาจากป่าในเวลาไม่นาน ทั้งยังได้ไก่ป่ากับกระต่ายป่าที่สิ้นอายุขัยแล้วเดินมาตายก่อนที่ซูเจินนางจะออกจากป่าอีกสามตัวชาวบ้านเมื่อเห็นว่าซูเต๋อเข้าไปในป่าไม่นานก็ได้สัตว์ป่าออกมาด้วย ต่างก็อดจะชื่นชมเขาไม่ได้ ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้งให้พวกเขา เพราะเขายังไม่ได้ลงมือทำอันใดสักอย่างซูเจินเมื่อกลับมาถึงเรือนนางก็นำเห็ดทั้งหมดออกมาให้บิดามารดาของนาง“ข้าจะนำไปขายเพียงสามดอกเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าใด เจินเออร์ เจ้าเก็บไว้เสียก่อน” ซูเจินนางจึงเก็บทั้งหมดเข้าไปในมิติตอนนี้นางอ่อนเพลียยิ่งนัก ปกติมารดาจะให้นางนอนพักในตอนกลางวัน แต่เพราะขึ้นเขาวันนี้นางจึงไม่ได้นอนกลางวัน“เจินเออร์คงง่วงแล้ว ท่านพี่ข้าพานางไปพักก่อนนะเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเห็นเปลือกตาบุตรสาวที่ใกล้จะปิดลง จึงได้พานางไปนอนพักเสียก่อนสองสามีภรรยาช่วยกันจัดการเห็ดและสัตว์ป่าที่ได้กลับมา ซูเต๋อยังนำไก่ป่าไปแบ่งให้เรือนตระกูลหวงอีกหนึ่งตัว ป้าหวงในตอนแรกก็จะไม่รับ แต่เมื่อรู้ว่าที่เรือนของซูเต๋อยังมีไก่ป่ากับกระต่ายป่าอีกก็ยินยอมรับมาแต่โดยดีก่อนที่ซูเต๋อจะกลับมาซูเจินนางก็ตื่นขึ้นมาเพราะท้องของนางส่งเสียงร้องประท้ว
อยู่มาจนจะห้าสิบหนาวแล้วยังไม่เคยพบเห็นเห็ดหลินจือที่สมบูรณ์และใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ซูเจินเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และเอ่ยพูดกับนางอย่างเมตตาจึงได้ส่งยิ้มหวานให้เขาไปหนึ่งที ในตอนแรกสหายทั้งสามของซูเจินตื่นตัวขึ้นมาทันที คิดว่าจะเกิดอันตรายกับนาง แต่พอเห็นซูเจินนางยิ้มออกมาจึงได้กลับไปอยู่ที่ไหล่ของนางเช่นเดิม“เห็ดหลินจือพันปี” เขาพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอย“เอ่อ ท่านหมอ ท่านจะซื้อหรือไม่ขอรับ” ซูเต๋อทนรอไม่ไหว เพราะหมอกู้ลูบคลำเห็นหลินจือ ของเขามาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว“ซื้อ ซื้อ เจ้าใจร้อนเสียจริง” เขามองค้อนซูเต๋อที่ขัดขวางช่วงเวลาที่เขาชื่นชมเห็ดหลินจืออยู่“หิว” ซูเจินลูบท้องน้อยๆ ของนาง นางอยากจะเร่งให้เขารีบจ่ายเงินจะได้ไปหาของอร่อยกินเสียที“โอ้ เด็กน้อยหิวเสียแล้ว” เขามองซูเจินอย่างชื่นชม เด็กน้อยตรงหน้าคงไม่เกินหนึ่งขวบปีอย่างแน่นอน กลับพูดออกมาตอนที่บิดาของนางกำลังลำบากใจได้หมอกู้ให้หลงจู๊อู๋ไปจัดการหาอาหารมาให้ทั้งสามคนได้กิน เพราะเขาคิดว่าคงอีกนานที่จะพูดคุยเรื่องราคากันเรียบร้อยรอไม่นานหลงจู๊อู๋ก็ยกอาหารเข้ามาด้านใน ซูเต๋อให้จิ่วเม่ยพาบุตรสาวไปนั่งก
นางรู้มาจากเสี่ยวเตี๋ยว่าม้าตัวเมียที่นอนอยู่ในคอกกำลังตั้งท้อง และม้าสองตัวยังเป็นม้าที่เกิดในทุ่งหญ้าแข็งแรงไม่น้อย คงเพราะถูกจับมาตอนที่แม่ม้ากำลังตั้งท้อง จึงทำให้พ่อม้าถูกจับมาด้วย“นายท่าน ม้าสองตัวนี้พยศนัก ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้เลยขอรับ” เขาเอ่ยออกมาอย่างกังวลที่เห็นเด็กน้อยต้องการไปดูใกล้ๆ ด้วยกลัวว่านางจะเกิดอันตรายได้แต่ซูเจินนางไม่ยอม ซูเต๋อจำต้องพานางเดินเข้าไปใกล้ เพราะรู้เรื่องความลับของบุตรสาวดี นายหน้าค้าสัตว์อยากจะเอ่ยห้าม แต่เมื่อเห็นบิดาของนางตามใจเช่นนี้ เขาจึงได้ถอยห่างออกมา เพื่อรอดูเรื่องสนุกแทนม้าทั้งสองตัว เมื่อเห็นซูเต๋ออุ้มซูเจินเดินเข้ามาทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินมาหานางอย่างช้าๆ ทั้งยังยอมให้นางจับตัวอย่างว่าง่ายอีก“คิก คิก” ซูเจินหัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อม้าตัวเมียดันจมูกของมันกับแก้มของนางนายหน้าค้าสัตว์อ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เขาพบเจอ เสียงสัตว์ที่อยู่ในความดูแลทั้งหมดของเขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความอิจฉา เมื่อเห็นม้าทั้งสองตัวได้คลอเคลียกับนายหญิงแห่งมิติพฤกษาซูเจินนางไม่รู้เลยว่าการที่นางซื้อม้าทั้งสองตัวและวัวอีกสอ
ซูเจินมองเห็นความหวังดีที่สื่อออกมาจากแววตาของคนทั้งคู่ นางดึงชายเสื้อของบิดา“ห้อง” “จะเข้าห้องอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยถามบุตรสาวอย่างไม่เข้าใจ หรือนางจะอ่อนเพลียจากการเดินทาง จึงได้อุ้มนาง พร้อมทั้งขอตัวให้ภรรยาอยู่รับฟังเสียงบ่นจากป้าหวงต่อไป“มีอันใดรึ” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างรู้ทัน เมื่อพาซูเจินน้อยเข้ามาในห้องแล้วนางยิ้มให้บิดาอย่างชื่นชมก่อนจะบอกให้หลันฮวาส่งเห็ดหลินจอที่ดอกเล็กที่สุดออกมาให้นาง“นี่” ซูเจินยื่นเห็ดหลินจือไปให้บิดา“ให้” นางชี้มือน้อยๆ ออกไปที่ด้านนอกห้อง“เข้าใจแล้ว” ซูเต๋อลูบหัวบุตรสาว พร้อมทั้งจูบที่หน้าผากของนางอย่างรักใคร่“เจินเออร์ของพ่อ รู้จักกตัญญูแล้ว” เขากอดนางไว้แนบอก ก่อนที่จะพากันเดินออกจากห้องไปหาทั้งสามที่ห้องโถงอีกครั้ง“อ้าว เจินเอออร์ มิได้เข้าไปนอนหรอกรึ” จิ่วเม่ยเมื่อเห็นซูเต๋ออุ้มบุตรสาวออกมาอีกครั้งก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ“ไม่ นางให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่านลุงหวงและท่านป้าหวง” ซูเต๋อวางเห็ดหลินจือลงบนโต๊ะต่อหน้าคนทั้งสาม“สวรรค์” ป้าหวงยกมือขึ้นปิดปาก“นี่ นี่” ลุงหวงตกตะลึงจนไม่อาจจะเอ่ยคำใดออกมาได้“เจินเออร์ นางให้พวกท่านขอรับ”“จะได้อย่างไร ของล
ในตอนแรกซูเต๋อคิดจะให้ลุงหวงยืมรถม้าของเขาไปจัดการเรื่องที่ดินในเมือง แต่พอรู้จากซูเจินว่าแม่ม้ากำลังตั้งท้องจึงไม่ได้เอ่ยปากให้ยืมไปจะให้ยืมเกวียนวัวที่เพิ่งนำมาส่งก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะเรือนของลุงหวงก็มีเกวียนวัวอยู่แล้วลุงหวงเมื่อออกจากเรือนตระกูลซูก็เดินทางเข้าเมืองทันที เขาแวะไปที่ว่าการเพื่อจัดการเรื่องโฉนดให้อาเต๋อก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นการขายที่ดินภูเขาก็ไม่คิดอันใด จัดการให้ลุงหวงทันที เพราะไม่ต้องเดินทางไปทำรังวัด แถมยังได้ค่านำชาจากท่านลุงหวงอีกสิบตำลึงเงินอีกด้วยลุงหวงเดินทางไปโรงหมอของหมอกู้ เพื่อนำเห็ดหลินจือไปขาย เมื่ออ้างชื่อของซูเต๋อตามที่เขาบอกไว้ ท่านหมอกู้ก็มอบเงินให้เขาถึงสองพันตำลึงทอง ลุงหวงเดินออกมาจากโรงหมอด้วยท่าทางที่ไร้สติหมอกู้ก็ถือว่าให้ราคาอย่างยุติธรรม เห็ดหลินจือที่ลุงหวงนำมามีขนาดเล็กกว่าของซูเต๋อมากนัก แต่ก็เป็นดอกที่สมบูรณ์เหมือนเพิ่งเก็บมาใหม่ เขาจึงไม่ได้สอบถามว่าเป็นของซูเต๋อหรือไม่ และมอบเงินให้ลุงหวงทันทียังดีที่หวงไฉเดินทางมากับบิดาด้วยไม่เช่นนั้นลุงหวงคงมิอาจบังคับเกวียนวัวเพื่อกลับเรือนได้“ท่านพ่อ ขายได้หรือไม่ ขอรับ” หวงไฉเด
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ซูเต๋อและหวงไฉก็พาชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปที่หมู่บ้านหูต้า เมื่อมาถึงที่ทางเข้าหมู่บ้านก็พบว่าท่านเจ้าเมืองมารอพวกเขาอยู่แล้ว“อาเต๋อเจ้ามาแล้ว” ท่านเจ้าเมืองเดินเข้ามารับซูเต๋อที่รถม้าอย่างยินดี“คารวะท่านเจ้าเมืองขอรับ” ซูเต๋อยังคงนอบน้อมเช่นเดิม“เพ้ย ไปไป เข้าไปในหมู่บ้านกันเถิด ข้าอยากจะเห็นแล้วว่าเจ้าหาตาน้ำเช่นไร” ซูเต๋อเดินตามท่านเจ้าเมืองเข้าไปในหมู่บ้าน เขาไม่ได้รีบไปที่ตาน้ำตามที่ซูเจินนางบอก เสี่ยวอี่ยังติดตามเขามาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นหัวหน้าหมู่บ้านลองทำตามวิธีของซูเต๋อก่อนที่เขาจะมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีไอน้ำขึ้นมาจากดินเช่นที่ดินของซูเต๋อเลยสักนิด“ข้าสำรวจแล้วหนึ่งรอบ แต่ไม่พบไอน้ำอย่างที่เจ้าว่า” เขาเอ่ยออกมาอย่างกังวลหากที่หมู่บ้านหูต้าไม่มีตาน้ำ ก็คงต้องรบกวนหมู่บ้านตงหยานต่อไป“เรื่องนี้ท่านอย่าเพิ่งกังวล ตอนที่ท่านสำรวจฟ้าคงยังมืดอยู่จึงไม่อาจเห็นได้ชัด” ซูเต๋อก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่เขาพูดจะถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้หัวหน้าหมู่บ้านกังวลใจพอฟ้าใกล้สาง ซูเต๋อก็เดินนำไปตามเส้นทางที่สอบถามซูเจินมาก่อนหน้านี้แล้วทันที เส
ห้าเดือนต่อมาจิ่วเม่ยก็คลอดบุตรชายอวบอ้วนออกมาให้ซูเต๋อได้เชยชม ซูเจินนางยังเฝ้าน้องชายของนางอยู่ไม่ห่างข่าวของหวงจือที่อยู่ในเมืองหลวงก็ถูกส่งกลับมาที่หมู่บ้าน เขาสอบซิ่วไฉผ่านในวัยเพียงสิบเจ็ดหนาว และปีหน้าจะสอบจวี่เหรินอีกด้วยคนตระกูลหวงจึงคิดจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปดูความเป็นอยู่ของเขา“เจินเออร์ เจ้าอยากไปกับยายหรือไม่” ป้าหวงเอ่ยถามซูเจิน“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ดูน้องชาย” นางไม่รู้ว่าจะไปทำอันใดที่เมืองหลวง อยากจะรอให้น้องชายโตเสียก่อนค่อยคิดจะเดินทางไปเที่ยวเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ป้าหวงจึงไม่คิดจะบังคับนางต่อ นางกลับเรือนของตนเพื่อไปจัดการเก็บข้าวของ ทั้งยังบอกจะซื้อของมาฝากซูเจินอีกด้วยลุงหวงมิได้ทำหน้าที่ผู้นำหมู่บ้านแล้ว เป็นหวงไฉที่ทำหน้าที่แทนเขา หวงไฉจึงไม่ได้ออกเดินทางไปด้วย เพราะเป็นห่วงทางหมู่บ้านที่ปีนี้ดูจะแล้งกว่าปีที่แล้วมากนักซูเจินเอ่ยถามเรื่องตาน้ำกับสหายทั้งสามของนาง ถึงแม้ในหมู่บ้านตงหยานจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่หมู่บ้านหูต้าที่อยู่ติดกันได้รับผลกระทบไม่น้อยผู้นำหมู่บ้านหูต้าต้องเดินทางมาคุยกับหวงไฉ เพื่อขอให้ชาวบ้านเดินทางมาตักน้ำที่ยังมีอีกมากในหมู่
สิบห้าวันให้หลังขบวนรถม้าที่ยาวถึงหกคันรถก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านตงหยาน ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างยินดีซูเจินก็ถูกจิ่วเม่ยจูงมือมารอรับท่านพ่อของนางที่หน้าหมู่บ้านด้วย“ตาเฒ่ามาแล้ว” ป้าหวงร้องลั่นอย่างยินดี“เพ้ย ยายแก่ ข้าได้ยินเสียงของเจ้ามาแต่ไกล” ลุงหวงอดจะหยอกเมียของเขาไม่ได้เมื่อซูเต๋อเดินลงมาจากรถม้าก็รีบเดินเข้ามาอุ้มซูเจินน้อยไปกอดทันที“เพราะเจ้า พ่อถึงมีวาสนาเช่นนี้” ซูเต๋อหอมแก้มบุตรสาวฟอดใหญ่“มีเรื่องดีอันใดเจ้าคะ” จิ่วเม่ยอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้“ข้ากับอาเต๋อ ได้รับพระราชทานตำแหน่งขุนนางขั้นแปด” ลุงหวงเป็นผู้ที่ไขข้อสงสัย เขายืดอกขึ้นอย่างภูมิใจเสียงฮือฮาจากชาวบ้านดังไม่ขาดสาย พวกเขาต่างเข้ามาแสดงความยินดี แม้ไม่เข้าใจว่าขุนนางขั้นแปดคืออันใด แต่ก็พอจะรู้ว่าการเป็นขุนนางนั่นมีอำนาจอยู่ไม่น้อย“อาจือเล่า เขาอยู่ที่ใด” ป้าหวงเมื่อยินดีกับตำแหน่งใหม่ของสามีแล้วก็อดจะมองหาหลานชายไม่ได้“อาจืออยู่ที่เมืองหลวงต่อ ใต้เท้าหานจัดการเรื่องเรียนของเขาให้เรียบร้อยแล้ว ที่อยู่ของเขาข้ากับอาเต๋อก็ซื้อเรือนและบ่าวให้เขาแล้ว เจ้าอย่าได้กังวลใจ” เพราะหลานชายก็อายุสิบหกหนาวแล้ว เข
ซูเต๋อและลุงหวงจำต้องยืนรออยู่ที่หน้าท้องพระโรงเพราะยังไม่มีคำสั่งเรียกตัวให้เข้าเฝ้า เหงื่อของทั้งคู่ซึมออกมาตามแผ่นหลังอย่างกระวนกระวายใจ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกสอบถามด้วยเรื่องอันใดแม้จะพอรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับกังหันลมที่เขาได้ส่งแบบร่างให้กับใต้เท้าหาน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็กังวลใจอยู่ไม่น้อย“ซูเต๋อ หวงกุ้ยถัง ฝ่าบาทเรียกตัวให้เข้าเฝ้า” กงกงร้องเรียกทั้งสองที่หน้าท้องพระโรงซูเต๋อหันไปมองลุงหวงที่ตัวเริ่มจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด จนเขาต้องบีบที่ไหล่เพื่อให้กำลังใจ“ท่านลุงหวง ท่านมิต้องกังวล ข้าจะเป็นผู้เอ่ยตอบสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสถามเองขอรับ”“ข้าเข้าใจแล้ว” ลุงหวงพยักหน้าราวกับไก่จิก ก่อนที่จะเดินตามกงกง ที่มาพาทั้งคู่เข้าไปหยุดอยู่ที่กลางท้องพระโรงท่ามกลางขุนนางนับร้อยที่มองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว“กระหม่อมซูเต๋อ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมหวงกุ้ยถัง ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสองคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ตามที่ท่านใต้เท้าหานได้สอนมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้านในมีท่านเจ้าเมืองอยู่กลางท้องพระโรงด้วยอีกคน“เจิ้นเรียกตัวพวกเจ้าทั้งสองเข้าวัง คงตกใจไม่น้อย” ฮ่องเต้เยี่ยนเฟยฉีตรัสอย่างเป็
ซูเจินอาสาไปที่เรือนของป้าหวง เพื่อขอให้เขาช่วยเรื่องนี้ และบอกข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ของมารดาด้วย“เพ้ย จะหาคนไปไย ยายจะไปช่วยเอง”“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่อยากให้ท่านยายเหนื่อย” ซูเจินถูหน้าน้อยๆ กับแขนของป้าหวง ทำให้นางหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ“ได้ ได้ ยายไม่ไปทำแล้ว มีแม่หม้ายฉู่ นางอยู่กับบุตรชายวัยสิบสามหนาว ยายจะไปถามนางให้ว่าอยากทำงานที่เรือนของเจ้าหรือไม่”“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หวงหลินอดจะส่ายหัวไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางเอาอกเอาใจท่านย่าของนางจากซูเจินน้อยทั้งสามออกจากเรือนตระกูลหวงไปที่เรือนของแม่หม้าย แม้จะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยจะดี แต่สองแม่ลูกก็เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ลานเรือนก็เป็นระเบียบเรียบร้อย“อาฉู่ อาเม่ยนางตั้งครรภ์ในเรือนก็มีเพียงเจินเออร์ห้าหนาวเท่านั้น อยากจะหาคนไปช่วยทำงานเรือน เจ้าอยากจะทำหรือไม่”“อยากเจ้าค่ะ” นางฉู่เอ่ยออกมาอย่างยินดี นาง ทุกวันนี้สองแม่ลูกรับจ้างทำงานในไร่กับหาของป่าไปขายเพื่อประทังชีพเท่านั้น“เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปที่เรือนตระกูลซูได้เลย” ป้าหวงพูดคุยอีกไม่กี่ประโยคจึงจะขอตัวกลับเพื่อไปดูจิ่วเม่ยที่เรือน“พี่จิ้ง ท่านก็ไปด้วย ข้าจะจ้างท่านอีกคน” ซูเจิ
เรื่องที่ชาวบ้านตงหยานแจกจ่ายข้าว และนำข้าวออกมาขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดถูกเลื่องลือออกไปหลายหัวเมือง จนถึงเมืองหลวง ทำให้ฮ่องเต้ยกย่องชาวบ้านหูหนานทั้งเจ้าเมืองที่จัดการเรื่องนี้อย่างดีแม้จะไม่ได้รับรางวัล เพราะเป็นช่วงที่ท้องพระคลังใช้เงินมากเพื่อเยียวยาชาวบ้านหลายหัวเมือง ถึงจะเป็นเพียงคำชมจากฮ่องเต้ก็นับว่าสร้างความปลาบปลื้มให้ทุกคนได้มากมายแล้วซูเจินให้หลันฮวาใช้พื้นที่ทั้งหมดในมิติ เพื่อปลูกข้าว นางต้องการที่จะกักตุนให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าในปีต่อไปผลกระทบจะร้ายแรงหรือไม่ใต้เท้าหานเมื่อเดินทางกลับถึงเมืองหลวงก็รีบนำแบบจำลองกังหันวิดน้ำขึ้นทูลถวายให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรทันที“ตระกูลซูที่หมู่บ้านหูหนาน เป็นเพียงชาวบ้านเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้อดจะแปลกพระทัยไม่ได้“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ทั้งยังเห็นการทำงานของกังหันลมกับตาตนเอง น่าอัศจรรย์นักพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นหรือ” ใต้เท้าหานทดลองให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรทันที ทั้งยังบอกว่ากังหันลมวิดน้ำที่หมู่บ้านตงหยานมีขนาดใหญ่กว่าแบบจำลองมากเพียงใด“ใต้เท้าหาน เจ้าเร่งจัดการเรื่องนี้เสีย หากผ่านพ้นภัยแล้งไปได้ เจิ้นจะตกรางวัลให้เจ้าก
เมื่อเห็นผักที่ปลูกอยู่ข้างเรือนของซูเต๋อก็ยิ่งแปลกใจ เพราะแทบไม่มีร่องรอยจากการถูกแมลงกัดกิน และยังอวบอิ่มราวกับได้น้ำอย่างมากมายซูเต๋อมิได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เขาจะบอกได้อย่างไรว่ามีพวกแมลงสหายของบุตรสาวคอยช่วยดูแลแปลงผักของเขา“นี่คือสิ่งใด” ใต้เท้าหานอดที่จะเอ่ยถามถึงโรงเก็บของขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายหลังมิได้“ข้าน้อยกังวลเรื่องภัยแล้ง ตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วขอรับ จึงได้สร้างโรงเก็บข้าวเปลือกขึ้น โดยให้ชาวบ้านนำมาฝากเก็บไว้ เผื่อยามฉุกเฉินขอรับ” เป็นลุงหวงที่เอ่ยตอบเรื่องนี้ก็เป็นความคิดของซูเจิน ที่ให้สร้างโกดังทั้งยังใช้หลักการเดียวกับโรงรับฝากเงิน ข้าวที่ชาวบ้านนำมาฝาก ถูกเขียนสัญญาอย่างชัดเจน หากคิดจะขายทางซูเต๋อก็รับซื้อไว้ในราคาที่พวกเขาขาย หรือจะฝากไว้ยามฉุกเฉินก็จะเสียค่าฝากเพียงไม่กี่สิบอิแปะเท่านั้นน่าแปลกที่เก็บไว้ที่เรือนของตนย่อมถูกแมลงกัดกิน แต่เมื่อเทียบกับข้าวเปลือก ธัญพืชที่นำมาฝากที่โรงเก็บของส่วนกลางของหมู่บ้าน แทบจะไม่มีร่องรอยของแมลง นก หนู มาทำให้ข้าวของเสียหายเลยชาวบ้านจำนวนไม่น้อย เมื่อมีข้าวเปลือก ธัญพืชเหลือกินและเหลือจากขายแล้ว พวกเขาส่
พอเขานำไปใช้ที่สำนักศึกษา ท่านอาจารย์ก็อดที่จะสอบถามเรื่องนี้ไม่ได้“เอ่อ เจ้าว่าเป็นเด็กน้อยนางหนึ่งอย่างนั้นรึ” ท่านอาจารย์เฉียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ“ขอรับ” หวงฉือในวัยสิบห้าหนาวเอ่ยตอบอย่างภูมิใจ เขาไม่อายผู้ใดหากจะบอกว่าความรู้ของเขากว่าครึ่งเป็นนางที่สอนเขาเพราะเขาฟังสิ่งที่อาจารย์ในสำนักศึกษาสั่งสอนไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อนำไปให้ซูเจินนางสอน นางอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างง่ายดาย“เช่นนั้นหรือ หากข้าต้องการจะพบนาง เจ้าช่วยจัดการให้ได้หรือไม่”“เรื่องนี้ศิษย์จะไปสอบถามนางให้ขอรับ” วันนั้นหวงฉือจึงต้องเดินทางกลับหมู่บ้าน เมื่อมาถึงคนตระกูลหวงต่างตกใจไม่น้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดของเขา“เกิดเรื่องใดที่สำนักศึกษาหรือไม่” หวงไฉเอ่ยถามบุตรชายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด“ไม่ขอรับ ท่านอาจารย์เพียงอยากพบเจินเออร์จึงให้ข้ามาสอบถามนาง”“เพราะอันใด เจ้าพูดเรื่องใดของนางออกไป” ลุงหวงเอ่ยถามเสียงดัง“ปะ เปล่าขอรับ” หวงฉือไม่เห็นท่าทีที่โกรธเกรี้ยวของท่านปู่เช่นนี้มาก่อน จึงอดที่จะตกใจไม่ได้เขาเล่าเรื่องที่เขานำการคำนวณที่ซูเจินสอนไปใช้ที่สำนักศึกษา ท่านอาจารย์เฉียวเห็นเข้าจึงได้เรียกตัวเขาไปสอบถาม“เช
ซูเจินนางไม่คิดจะปิดบังเรื่องมิติของนางกับบิดามารดาตั้งแต่แรก เมื่อคิดอยากจะเข้าหรือออก นางก็มักจะหายตัวเข้าไปต่อหน้าทั้งสองอยู่ตลอด ในช่วงแรกซูเต๋อและจิ่วเม่ยก็ตกใจไม่น้อย หลังๆ จึงได้เลิกกังวล เพราะรู้ว่านางเข้าไปไม่นานก็กลับออกมาเช่นเดิมซูเต๋อมาซูเจินเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อตำราตามที่นางต้องการ ภายในร้านเขาปล่อยให้บุตรสาวเดินเลือกตามความสนใจของนาง เจ้าของร้านมองมาที่สองพ่อลูกอย่างสนใจ เพราะไม่เคยเห็นสตรีที่เข้ามาในร้านตำราและยังมีอายุเพียงสองหนาวเท่านั้นซูเจินนางพอจะเข้าใจตัวอักษรโบราณอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ถามมาจากหวงฉือ เรื่องการเลือกซื้อตำราของนางจึงไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านคงจะมีเพียงแค่ขอให้ท่านพ่อช่วยหยิบเล่มที่นางเอื้อมไม่ถึงเท่านั้น“เจ้าจะซื้อทั้งหมดเลยรึ” ซูเต๋อมองกองตำราที่บุตรสาวเลือกซื้ออย่างตกใจในตอนแรกเขาคิดว่านางจะหาซื้อเพียงไม่กี่เล่ม ตอนนี้ด้านหน้าของเขามีหลายสิบเล่มเลยทีเดียว“จะได้ไม่ต้องหาซื้อบ่อยๆ เจ้าค่ะ ท่านพ่อซื้อกระดาษ พู่กัน หมึกให้ลูกด้วย”“ได้” ซูเต๋อต้องนำตำราไปให้เจ้าของร้านห่อให้ถึงสามรอบกว่าจะแล้วเสร็จ“เอ่อ นังหนูเจ้าจะอ่านเองรึ” เจ้าของร