พูดคุยกันมาได้สักพัก เยี่ยนเฟยหยางจึงตัดสินใจเอ่ยขอเรื่องที่เขาจะเดินทางไปที่หนานไห่“เอ่อ ลูกมีเรื่องอยากจะขอเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”“เรื่องอันใด ว่ามาเถิด”“ลูกอยากจะขอพระราชทานอนุญาต เดินทางไปหนานไห่พ่ะย่ะค่ะ” มือที่กำลังยกน้ำชาขึ้นดื่มหยุดชะงักทันที พร้อมทั้งมองบุตรชายอย่างแปลกใจ“เจ้ารู้หรือว่าที่หนานไห่เกิดเรื่องอันใด” เยี่ยนเฟยหยางจึงบอกเล่าเรื่องระหว่างเดินทางมาวังหลวงแล้วพบกับขบวนเดินทางของใต้เท้าหาน“หึ เจ้ารู้หรือไม่ ว่าการเดินทางไปหนานไห่ครั้งนี้ต้องใช้เวลานานเพียงใด อาหยางเจ้าอย่าได้ลืมว่าเจ้ายังต้องเดินทางกลับชายแดนเหนือตามกำหนดเดิม” เรื่องทางชายแดนก็ยังไม่อาจวางใจทั้งชนเผ่านอกด่านและแคว้นต้าฉีล้วนแต่จ้องหัวเมืองเหนือตาเป็นมัน หลังจากที่โจวเป่ยมีพื้นที่เพาะปลูก ยังเจอทุ่งข้าวสาลีอีกหลายพันหมู่ จึงมีแต่ผู้ที่คิดอยากจะแย่งชิง“ลูกเข้าใจขอรับ รับรองว่าจะเดินทางกลับชายแดนเหนือตามกำหนดเดิม” ฮ่องเต้จ้องมองบุตรชายอย่างสงบ เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเขา หาใช่ความดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นเดิม จึงได้พยักหน้าอนุญาตเป็นการตอบรับไทเฮากับฮองเฮามองเยี่ยนเฟยหยางอย่างไม่เชื่อสายตา เขาเพิ่งจะเ
ในคำพูดของเยี่ยนเฟยหยางย่อมต้องแฝงความหมายเอาไว้ด้วย แต่ซูเจินดันคิดเรื่องนี้ไม่ทัน เรื่องอื่นนางล้วนแต่ฉลาดนัก“ท่านพูดแล้วนะ” นางยิ้มอย่างยินดี คิดว่าจะได้เงินจากการขายแร่เหล็กมากมาย“เปิ่นหวางเคยพูดปดกับเจ้ารึ” เขากุมมือของนางแน่น ราวกับว่านางได้รับปากจะแต่งเข้าตำหนักของเขาแล้ว“ท่านกลับไปได้แล้ว ข้าจะนอน” นางดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา“ให้เปิ่นหวางพักอีกครู่เถิด” เขาซุกหน้าลงกับหมอนแล้วหลับตาลง“ข้าจะนอนแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ“เจ้านอนเลย เปิ่นหวางจะกลับไปเอง” เขาช่วยห่มผ้าให้นางอย่างเอาใจ“อย่าลืมออกไปเล่า ประเดี๋ยวสาวใช้ของข้าเข้ามาพบท่าน ข้าไม่รู้จะตอบเช่นไร” และนางยังกลัวท่านพ่อและขุนนางคนอื่นจะรู้เรื่องที่เยี่ยนเฟยหยางเข้ามาในห้องของนางด้วยแต่เยี่ยนเฟยหยางมิได้ออกไปอย่างที่ซูเจินนางคิด เขาเองก็เผลอหลับลึกเพราะความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการเร่งเดินทางตลอดหลายวัน“นายหญิง ตื่นเร็วเจ้าค่ะ เสี่ยวผิงนางจะเข้ามาในห้องแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่ร้องเรียกอยู่ข้างหูของซูเจิน“ก็ให้เข้ามาเลย” นางเอ่ยพึมพำเบาๆ พร้อมทั้งขยับตัวเพราะรู้สึกอึดอัด“มิได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยเอ่ยอย
เยี่ยนเฟยหยางนั่งลงหยิบตำราขึ้นมาอ่านหนึ่งเล่ม ก็พบว่าด้านในเอ่ยเรื่องการดึงพลังปราณที่อยู่ในร่างกายออกมาใช้ ทั้งยังเรื่องของจุดตันเถียน ที่มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ใช้ฝึกกันแต่เขาเพียงเรียนฝึกวรยุทธ์ เพื่อใช้ในการออกรบและปกกันตัว ไม่เคยได้รับการฝึกลมปราณเลยสักครั้ง อาจารย์ที่จะสอนเรื่องนี้ก็หาแทบจะไม่ได้ในแคว้นต้าเยี่ยนที่เคยได้ยินคงจะมีเพียงจากตำราเท่านั้น เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็อดที่จะมองหลันฮวาอย่างตกตะลึงได้“เจ้ามีตำราฝึกลมปราณด้วยรึ”“มากกว่านี้ก็มีเจ้าค่ะ เพียงแต่นายหญิงไม่สนใจ มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงอยู่ในขั้นเซียนไปเสียแล้ว” หลันฮวาถอนหายใจออกมาซูเจินนางไม่ชอบฝึกวรยุทธ์ หรือจะให้นางมานั่งเดินลมปราณนางก็ไม่อยากทำ นางบอกว่านางมิได้อยากจะเซียน หลันฮวาจึงต้องยอมแพ้ไปในที่สุดกว่าซูเจินนางจะเข้ามา เยี่ยนเฟยหยางก็อ่านตำราในมือเล่มแรกจบไปแล้ว เวลาด้านนอกกลับด้านในไม่ตรงกัน เรื่องนี้ซูเจินนางก็รู้ จึงเป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะถูกเหล่าหู่รังแกหรือไม่แต่เมื่อเข้ามาจึงได้รู้จากเหล่าหู่ว่า เยี่ยนเฟยหยางอยู่ที่ห้องตำรากับหลันฮวา นางก็อดที่จะส่ายหัวออกมาไม่ได้“ทำอันใดกันอยู่” น
ซูเจินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เพื่อหาความจริงที่ในแววตา นางรู้ว่าเยี่ยนเฟยหยางคิดสิ่งใดกับนาง แต่เพราะนางไม่เคยคิดจะแต่งเข้าราชวงศ์ ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้มีนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว“องค์ชายห้า ข้าขอพูดกับท่านตามตรง ข้ามิเคยคิดจะแต่งเข้าราชวงศ์” คำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทำให้เยี่ยนเฟยหยางแววตาวูบไหวทันที“เพราะเหตุใด” เขาเอ่ยถามเสียงเบา“ท่านกับข้าต่างกันเกินไป ข้ามิต้องการอยู่ในกรงทอง ท่านก็เห็นว่าข้ามีสิ่งใดที่ต้องทำมากมาย ทั้งยังเรื่องพระชายาเอก พระชายารองอนุอีกสี่ สาวใช้ข้างห้องอีกนับไม่ถ้วน เรื่องนี้ข้ามิอาจทนได้”นางพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมด เพราะคิดว่าหากเขาคิดที่จะทำตามธรรมเนียม เรื่องระหว่างนางและเขาก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้“เจ้าคิดว่าบุรุษทุกคนต้องมีสามภรรยาสี่อนุอย่างนั้นรึ” เอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวดสิ่งที่เขาทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งจดหมายที่เขียนหาไม่ขาด หรือข้าวของที่แปลกตาที่ส่งกลับมาให้นาง หรือแม้แต่ครั้งนี้ที่ยอมตามนางมาที่ทางใต้ของแคว้น ความจริงใจที่เขามีให้ยังไม่มากพออีกรึ“ผู้ใดจะรู้เล่า ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เรื่องเช่นนี้นับว่าปกติ” นางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจยิ่งเห็นท่าทางที่
เมื่อเข้ามาอยู่ในจวนของท่านเจ้าเมือง ซูเจินนางถูกสาวใช้พาไปที่เรือนรับรองด้านหลัง“ไกลถึงเพียงนี้เลยรึ” เสี่ยวผิงอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้สาวใช้มองเสี่ยวผิงอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตอบซูเจินอย่างนอบน้อม“เรือนพักของสตรีในจวนเจ้าเมือง ส่วนหน้าเต็มแล้วเจ้าค่ะ เหลือเพียงแต่เรือนส่วนด้านหลัง หากคุณหนูไม่พอใจ บ่าวจะไปแจ้งฮูหยินให้เจ้าค่ะ”“มิต้อง นำทางต่อเถิด” ซูเจินโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ นางคิดไว้แล้วว่าคงจะโดนกลั่นแกล้งอยู่ไม่น้อย เพราะคำพูดของเยี่ยนเฟยหยางแท้ๆเรือนพักของซูเจินแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหลังสุดท้าย นางต้องเดินถึงจิบถ้วยชา (15นาที) กว่าจะถึง ข้าวของภายในเรือนเรียกได้ว่าธรรมดากว่าในโรงเตี๊ยมห้องไม่กี่สิบอิแปะเท่านั้นคนที่โกรธจนหน้าแดงคงไม่พ้นเสี่ยวผิงสาวใช้ของนาง และสหายทั้งสามที่อยู่บนไหลของซูเจิน“เอาเถอะ หากอยู่ไม่ได้จริงๆ ข้าจะออกไปเช่าเรือนด้านนอกอยู่ พวกเจ้าก็อย่าได้โมโหไปเลย” นางต้องปลอบพวกเขาอยู่นาน เพื่อให้คล้ายโทสะ เสี่ยวมี่เกือบจะออกไปจัดการกับคนจวนท่านเจ้าเมืองแล้วเรื่องที่พักของซูเจินไม่มีผู้ใดระแคะระคาย เพราะส่วนของสตรีบุรุษเช่นพวกเขาก็ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปตรวจสอบความเป็
สวีกงกงไปจัดการเรื่องที่พักให้ทุกคนตั้งแต่ที่รู้ว่าเยี่ยนเฟยหยางไม่ต้องการพักในจวนท่านเจ้าเมืองแล้วเมื่อทั้งหมดมาถึงโรงเตี๊ยมก็สามารถเข้าพักได้ทันที แต่เมื่อครู่พวกเขายังไม่ได้ทานมื้อเย็นกันเลย ยังดีที่สวีกงกงเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้วใต้เท้าหานมองเยี่ยนเฟยหยางที่ยังคงคีบอาหารให้ซูเจินเป็นระยะ แต่เพราะยามกินไม่พูดยามนอนไม่คุย เขาจึงต้องรอให้เยี่ยนเฟยหยางกินให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยถามเรื่องที่เขาเอ่ยขึ้นมาก่อนหน้านี้ภายในจวนตระกูลจั่วก็เกิดความวุ่นวายยกใหญ่ เมื่อทุกคนต้องมารองรับโทสะของท่านเจ้าเมืองฮูหยินเอกที่ถูกกล่าวถึง โดนตบหน้าเสียฉาดใหญ่ แม้นางจะปฏิเสธว่าไม่ใช่คนจัดการเรื่องนี้ แต่ยามนี้ผู้ใดจะฟังนาง ส่วนจั่วเยว่ซินถูกส่งตัวไปบ้านท่านตาของนางในเย็นวันนั้นเลย เพราะกลัวว่าหากยังอยู่ก่อนเรื่องคำขู่ที่เยี่ยนเฟยหยางทิ้งไว้จะเป็นจริงตอนนี้ขุนนางท้องถิ่นที่มาร่วมกินมื้อเย็นต้อนรับผู้แทนพระองค์จากเมืองหลวงด้วย ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคิดจะพาตัวบุตรสาวมาออกหน้าอีกเลยยามค่ำคืน เยี่ยนเฟยหยางยังคงเข้าไปอยู่ในมิติของซูเจินเพื่อฝึกลมปราณเช่นเดิม ทั้งสองคนต่างนั่งกันคนละมุมเพื่อเดินลมปราณ
หลันฮวาที่เห็นเสี่ยวอี่เปลี่ยนไปก็กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเขาร้องห้ามไว้เสียก่อน“ไปดูนายหญิงก่อนเร็วเข้า”“นายหญิงเป็นอันใด”“นางลงไปแช่น้ำในถ้ำของเหล่าหู่ ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวด” หลันฮวาไม่ทันได้แจ้งคนอื่นนางรีบบินตามเสี่ยวมี่ไปที่ถ้ำของเหล่าหู่ทันทีใต้เท้าหานกับซูเต๋อก็รีบตามไปอย่างร้อนใจ เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังช่วยจ้าวลู่เทียนฝึกเดินลมปราณก็พบความผิดปกติ จึงได้พากันติดตามไปด้วยเมื่อเข้าใกล้ถ้ำของเหล่าหู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เกือบจะทำให้ทั้งสี่เสียสติ ซูเต๋อที่ใกล้ชิดบุตรสาวมากที่สุด เขายังไม่เคยเห็นนางร้องเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเฟยหยางมิอาจทนได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอันใดกับนางกันแน่ แต่เมื่อถึงปากถ้ำทั้งสี่ก็ถูกเหล่าหู่และเสี่ยวอี่ขวางเอาไว้“ตอนนี้นายหญิงอยู่ในน้ำ พวกท่านมิอาจเข้าไปได้ขอรับ” เสี่ยวอี่เอ่ยขึ้นมา เขาจะปล่อยให้บุรุษทั้งสี่เห็นสภาพที่เปลือยเปล่าของนายหญิงได้อย่างไร“เหตุใดนางถึงได้ดูเจ็บปวดเช่นนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่รอให้หลันฮวาออกมาหรือไม่ก็รอให้ซูเจินนางออก
พอรุ่งเช้ามาเยือน เมื่อไม่เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องพัก ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ในมิติ จึงได้ออกไปจัดการเรื่องสร้างเขื่อนแทนซูเจินนางออกมาจากมิติ เมื่อด้านนอกผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว นางรีบให้สวีกงกงจัดหาจวนหลังใหญ่ให้ทันที เพราะต้องนำเสบียงอาหารออกมาให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตสวีกงกงก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังจัดหาคน เพื่อจัดการเรื่องนำเสบียงออกไปแจกจ่าย โดยมีเขาคอยควบคุมเรื่องนี้ด้วยตนเองอยู่ทุกขั้นตอนเจ้าเมืองจั่วที่ไม่เห็นหน้าเยี่ยนเฟยหยางเลยสักวัน จะเอ่ยถามก็ไม่กล้า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจคิดว่าเขาเดินทางกลับไปแล้ว จึงคิดที่พาให้คนไปรับตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ที่จวนเช่นเดิมซูเจินนางออกไปตรวจสอบความเสียหายรอบๆ เมืองกับสหายทั้งสามของนางที่กลับมามีรูปลักษณ์เช่นเดิมเมื่ออยู่ด้านนอก และในอ้อมแขนของนางยังมีเหล่าหู่ที่ดูเหมือนลูกแมวน้อยด้วยอีกตัวรอบเมืองที่โดนน้ำท่วมมีความเสียหายมากนัก นางจึงคิดที่จะให้ชาวบ้านปลูกพืชที่สามารถเติบโตในน้ำได้ดี นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวใต้เท้าหานให้ช่วยจัดการหากให้นางบอกกล่าวขุนนางกรมเกษตรที่อยู่ในเมืองหนานไห่พวกเขาคงมิ
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู
แต่เยี่ยนเฟยหยางก็อาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก กลายเป็นว่าแทนที่เขาจะทุ่มเทเอาเวลาไปฝึก กลับไล่จ้าวลู่เทียนออกไปด้านนอกมิติ แล้วอยู่ด้านในมิติกับซูเจินแทน“ท่านไล่พี่เทียนไปแล้ว หากท่านพ่อมิเห็นท่านอยู่ด้านนอกจะคิดเช่นไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ“ไม่เห็นจะเป็นอันใด ดีเสียอีกที่เปิ่นหวางจะได้แต่งเจ้าเข้าตำหนักเสียเลย ทั้งยังพาเจ้าไปที่ชายแดนเหนือพร้อมกันได้อีกด้วย” เขากุมมือของนางไว้แน่น พร้อมทั้งจ้องมองนางอย่างหลงใหล“เพ้ย ภายในหัวของท่านมีแต่เรื่องใดกันแน่ข้าอยากจะรู้นัก”“อยากรู้จริงหรือไม่” เสียงกระซิบของเยี่ยนเฟยหยางที่ดังข้างหูของนาง ทำให้ขนหัวของซูเจินลุกขึ้นทันทีนางรีบชักเท้าถอยหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเยี่ยนเฟยหยางรั้งคอของนางไว้ พร้อมทั้งก้มลงมาประกบริมฝีปากของเขากับของนางทันที“อย่าดื้อ เปิ่นหวางจะออกเดินทางแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางขบที่ริมฝีปากของซูเจินเบาๆ เพื่อให้นางเปิดช่องทางให้เรียวลิ้นของเขาแทรกเข้าไปได้ซูเจินนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรอีกไม่กี่วันเขาก็จะออกเดินทางแล้วฝ่ามือของเยี่ยนเฟยหยางลูบคลำไปตามแผ่นหลังของซูเจิน “อื้ออ” นา
พอรุ่งเช้ามาเยือน เมื่อไม่เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องพัก ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ในมิติ จึงได้ออกไปจัดการเรื่องสร้างเขื่อนแทนซูเจินนางออกมาจากมิติ เมื่อด้านนอกผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว นางรีบให้สวีกงกงจัดหาจวนหลังใหญ่ให้ทันที เพราะต้องนำเสบียงอาหารออกมาให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตสวีกงกงก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังจัดหาคน เพื่อจัดการเรื่องนำเสบียงออกไปแจกจ่าย โดยมีเขาคอยควบคุมเรื่องนี้ด้วยตนเองอยู่ทุกขั้นตอนเจ้าเมืองจั่วที่ไม่เห็นหน้าเยี่ยนเฟยหยางเลยสักวัน จะเอ่ยถามก็ไม่กล้า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจคิดว่าเขาเดินทางกลับไปแล้ว จึงคิดที่พาให้คนไปรับตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ที่จวนเช่นเดิมซูเจินนางออกไปตรวจสอบความเสียหายรอบๆ เมืองกับสหายทั้งสามของนางที่กลับมามีรูปลักษณ์เช่นเดิมเมื่ออยู่ด้านนอก และในอ้อมแขนของนางยังมีเหล่าหู่ที่ดูเหมือนลูกแมวน้อยด้วยอีกตัวรอบเมืองที่โดนน้ำท่วมมีความเสียหายมากนัก นางจึงคิดที่จะให้ชาวบ้านปลูกพืชที่สามารถเติบโตในน้ำได้ดี นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวใต้เท้าหานให้ช่วยจัดการหากให้นางบอกกล่าวขุนนางกรมเกษตรที่อยู่ในเมืองหนานไห่พวกเขาคงมิ
หลันฮวาที่เห็นเสี่ยวอี่เปลี่ยนไปก็กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเขาร้องห้ามไว้เสียก่อน“ไปดูนายหญิงก่อนเร็วเข้า”“นายหญิงเป็นอันใด”“นางลงไปแช่น้ำในถ้ำของเหล่าหู่ ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวด” หลันฮวาไม่ทันได้แจ้งคนอื่นนางรีบบินตามเสี่ยวมี่ไปที่ถ้ำของเหล่าหู่ทันทีใต้เท้าหานกับซูเต๋อก็รีบตามไปอย่างร้อนใจ เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังช่วยจ้าวลู่เทียนฝึกเดินลมปราณก็พบความผิดปกติ จึงได้พากันติดตามไปด้วยเมื่อเข้าใกล้ถ้ำของเหล่าหู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เกือบจะทำให้ทั้งสี่เสียสติ ซูเต๋อที่ใกล้ชิดบุตรสาวมากที่สุด เขายังไม่เคยเห็นนางร้องเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเฟยหยางมิอาจทนได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอันใดกับนางกันแน่ แต่เมื่อถึงปากถ้ำทั้งสี่ก็ถูกเหล่าหู่และเสี่ยวอี่ขวางเอาไว้“ตอนนี้นายหญิงอยู่ในน้ำ พวกท่านมิอาจเข้าไปได้ขอรับ” เสี่ยวอี่เอ่ยขึ้นมา เขาจะปล่อยให้บุรุษทั้งสี่เห็นสภาพที่เปลือยเปล่าของนายหญิงได้อย่างไร“เหตุใดนางถึงได้ดูเจ็บปวดเช่นนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่รอให้หลันฮวาออกมาหรือไม่ก็รอให้ซูเจินนางออก