แชร์

ความรักที่เปลื่ยนแปลง

  ต่อกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เพื่อที่จะกลับบ้านของเขา แต่ต่อใส่เสื้อผ้าลงกระเป๋ายังไม่หมด เสียงโทรศัพท์ภายในห้องก็ดังขี้น ต่อจึงเดินไปรับด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใคร

  “ฮัลโหล”

  “ไอ้ต่อ มึงเรียนเป็นไงบ้าง”กำนันบุญมีถามไถ่

  “ผมจะกลับบ้านแล้วไม่อยากเรียน”

  “ไอ้ต่อ ถ้ามึงจะกลับมาบ้านไม่ต้องกลับมา มึงไปอยู่ที่อื่นเลยกูหมดเงินหมดทองกับมึงไปตั้งเท่าไร”

  “ผมไม่อยากเรียนนี่”

  “ถ้ามึงไม่อยากเรียนแล้วไปสมัครสอบทำไม”

  “ผมไม่ได้ไปสอบใครก็ไม่รู้ที่ไปสอบ”

  “ไอ้ต่อมึงอย่ามาแก้ตัวหน้าด้านๆก็มึงนั่นแหละ เอาล่ะมึงอยู่ที่นั่นไม่ต้องกลับมาจนกว่าจะปิดเทอม ถ้ามึงกลับมาไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ ตัดขาดกันตั้งแต่วันนี้มึงจะเลือกเอาอะไร”

  “พ่อ บังคับผมอีกแล้ว”

  “กูไมได้บังคับกูหวังดีกับมึง”

  “ก็ได้”ต่อรับปากส่งๆไปอย่างนั้น

  “ดีมาก เดี๋ยวพ่อจะโทรมาหาเป็นระยะๆแค่นี้แหละ”

  ต่อนั่งลงอย่างหงุดหงิด เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรตามใจตัวเองได้อีกแล้ว เพราะถ้าเขาไม่เรียนก็ไม่สามารถที่จะกลับไปบ้านของเขาได้ ต่อจึงนั่งนิ่งด้วยความสงสัยว่า ทำไมเขาจึงไม่รู้เลยว่ามาสอบมาเรียนที่นี่ และก่อนหน้านี้เขาไปอยู่ไหนมา ต่อยิ่งคิดยิ่งมึนงงสับสนหาความจริงข้อนี้ก็ไม่เจอ

  แต่มีอยู่สิ่งหนี่งที่ต่อได้ค้นพบและได้เจอ นั่นก็คือความสัมพันธ์ของเขากับเกรท เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกรทจะเป็นแบบนั้น และตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่ร่างกายของเขาตกเป็นของเกรท ถึงเขาจะเกลียดและไม่ชอบเกรทขึ้นมากะทันหัน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะลืมความรู้สึกที่เกรทมอบให้เขาในเช้านั้นได้

  ต่อนั่งอยู่พักหนึ่งและพลันเห็นนาฬิกาที่ใกล้เวลาที่จะเข้าเรียน เขาจึงจำใจไปใส่ชุดนักศึกษาเพื่อที่จะไปเรียน ทั้งๆที่เขาไม่อยากจะเรียนไม่ชอบเรียนแม้แต่น้อย แต่ก็จำใจที่ต้องไปเรียนด้วยความมึนงงว่ามาเรียนที่นี้ได้อย่างไร

  ในช่วงเวลาเดียวกันที่สุชาดาดึงมือของหน่อยร่างใหม่เดินตามมา จนถึงหน้าคณะนิเทศศาสตร์ ในระหว่างทางหน่อยร่างใหม่ที่เดินตามสุชาดามา เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากความมึนงง ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในเมื่อครู่ที่เขาลืมคิดเพราะเจอหนุ่มหล่อสองคนต่อกับเกรท ความรู้สึกสงสัยเลยหยุดนิ่งไป

  “ที่นี่ที่ไหนทำไมมหาวิทยาลัยดูเก่ามาก เหมือนสักยี่สิบปีที่แล้ว”

  “เป็นบ้าอะไรหน่อย”สุชาดายืนเท้าเอวมองด้วยความคลางแคลงใจ

  “เธอนั่นแหละเป็นใคร จูจู่ก็มาดึงมือเรามาที่คณะนิเทศ”

  “นี่เธอ ถ้าไม่มาคณะนิเทศแล้วจะไปคณะไหน”

  “วิทยาการการจัดการ ฉันเรียนที่นั่น”สุกี้หนุ่มมั่นเชิดหน้าขึ้น

  “อีบ้า จะไปกันใหญ่ แหกตาดูซะบ้างที่นี่คณะไหน หนังสือที่เธอถืออยู่นะ มันตำราอะไร”

  “เธอนั่นแหละบ้า”สุกี้หยิบหนังสือมาดู

  “อ้าว หนังสือใครเอามายัดใส่มือเรา”สุกี้วางบนโต๊ะทันที

  “ก็หนังสือเธอนั่นแหละ ถ้าไม่ไหวกลับห้องไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ”

  “ไหว แต่เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วมาพักที่ห้องเช่าได้อย่างไง”สุกี้ยืนงงยังไม่หาย

  “อะไรของเธอ”

  “ถ้าฉันจำไม่ผิดฉันอยู่ที่บ้านกับแม่นะ”

  “แม่เธออยู่บ้านนอกไม่ใช่เหรอ “

  “แม่เรา เป็นคุณหญิงเชียวแหละ คุณหญิงโสภิตา ส่วนพ่อเราเป็นวิศวกรแท่นขุดเจาะน้ำมันนานๆกลับมาที โอ๊ยไม่อยากจะพูด พอมาทีพาเราไปเตะบอล ชกมวย ตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้เราก็ทะเลาะกับพ่อ แต่พ่อกับแม่เราเลิกกันแล้ว เพราะพ่อไม่มีเวลาให้แม่ และชอบบังคับเราให้ทำอะไรที่ผู้ชายเขาทำกัน”

  “เพ้ออะไรวะ”สุชาดาอ้าปากค้าง

  “ไม่ได้เพ้อเรื่องจริง”

  “เรื่องจริงแล้วพ่อแม่เธอที่ขายข้าวมันไก่อยู่ที่ตลาดล่ะ”

  “เธอเอาอะไรมาพูดมันเป็นไปไม่ได้หรอก เอ๊ะ แล้วฉันมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไรที่นี่มันที่ไหนกัน แต่มันมหาวิทยาลัยพิพัฒนเมธานี่”

  “ก็ใช่ไง”

  “ทำไมมันเก่าจังเลย”สุกี้ค่อยๆคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจำได้กำลังเล่นฟุตบอลกับพ่อของเขา ซึ่งสุกี้ได้เล่นเป็นผู้รักษาประตู แต่เนื่องจากลูกบอลมาเร็วมากจนเขารับไม่ทัน จึงโดนใบหน้าของสุกี้หลังจากนั้นเขาก็สลบไป ตื่นมาอีกที่ก็อยู่หน้าห้องเช่า

  “คิดอะไรของเธอ”

  สุกี้ยังไม่พูดอะไรได้แต่มองไปรอบๆมหาวิทยาลัย ซึ่งชุดที่นักศึกษาแต่ละคนใส่ก็ดูใหม่แต่รูปแบบนั้นดูเก่ามาก ยิ่งมองไปรอบๆยิ่งเห็นป้ายต่างๆบอก พ.ศ.2538 สุกี้ยิ่งงงไปกันใหญ่ ในตอนนี้จิตใจของเขาเริ่มตื่นตระหนกและตกใจอย่างมาก

  “ปีนี้ พ.ศ.อะไรเหรอ”สุกี้หันไปถามสุชาดา

  “2538 เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

  “38 เหรอ ที่เราอยู่67 หรือว่าเราย้อนเวลามา”สุกี้ยืนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ห้องเช่าจนมาถึงตรงนี้ ซึ่งเป็นภาพเก่าที่เขาเคยเห็นในอดีตทั้งนั้น ตึกคณะต่างๆ หรือแม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านมาผ่านไป ก็แต่งตัวไม่เหมือนในยุคที่เขามา”

  “กรุงเทพมีรถไฟฟ้า รถใต้ดินไหม”

  “มีแต่รถเมล์”

  “เหรอ”สุกี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าได้หลงมาในอดีต เขาจึงค่อยๆนั่งลงที่ม้านั่ง

  “อย่าพี่งนั่ง”สุชาดาพูดขึ้น

  “ทำไม มีอะไร”

  “ก็วันนี้เธอจะไปสมัครเข้าชมรมรำไทยไม่ใช่เหรอ”

  “ใครว่าเราจะเข้าชมรมเชียร์ เราจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์”

  “พูดผิดพูดใหม่นะ อย่างเธอนี่นะ เราไม่ได้ดูถูกเธอหรอก แต่เธอนะขี้อายจะทำได้เหรอ”

  “ใครว่าเราขึ้อาย”สุกี้คิดว่ามาในอดีตก็ดีเหมือนกัน เพราะในอนาคตที่ผ่านมาพ่อของเขาอยากให้เขาเป็นนักฟุตบอลในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้พ่อของเขาไม่อยู่แล้ว สุกี้เลยคิดว่าจะทำตามใจตัวเองสักครั้ง เพราะที่ผ่านมาคุณหญิงโสภิตาก็บังคับ พ่อของเขาก็บังคับ ให้ทำในสิ่งที่ทั้งสองคนต้องการ

  “ถ้างั้นไปกันเลย แล้วไปทางไหนล่ะ พาเราไปทีซิเราลืมไปแล้ว”สุกี้อมยิ้ม

  “อะไรของเธอนี่ ท่าจะประสาท ไปก็ไป”

  สุชาดาจึงพาสุกี้ไปที่ชมรมเชียร์ เพื่อที่จะให้สุกี้ได้สมัครเข้าเป็นลีดเดอร์ที่คณะนิเทศศาสตร์ ในระหว่างทางเดินได้ผ่านคณะอักษรศาสตร์ สุกี้จึงหันไปมองเพราะแม่ของเขาก็เรียนอยู่คณะนี้ และเป็นความบังเอิญที่โสภิตากำลังเดินเข้าไปในคณะพอดี พร้อมกับเพื่อนชายคนสนิท

  “เกรท”สุชาดาเรียก

  “อ้าวหน้าไปโดนอะไรมา”สุชาดามีสีหน้าที่ตกใจ

  “น่าจะมีเรื่องกับใครนะ หล่อๆน่ะอยู่ห้องเช่าเดียวกับพวกเรา”สุกี้พูดขึ้นมาเขาจำได้ทันที และคนที่เขาจำได้มากที่สุดก็คือต่อ ที่ยืนอยู่หน้าห้องในชุดผ้าเช็ดตัวพันกายผืนเดียว

  “ถ้าพูดไม่สร้างสรรค์ก็อย่าพูดดีกว่า”โสภิตาพูดขึ้นพร้อมมองหน้าสุกี้

  “หน้าเธอเหมือนแม่ผมเลย”สุกี้มองโสภิตาไม่กระพริบตา

  “พูดจาไม่น่าฟังเลย ไม่มีมารยาทและสมบัติของผู้ดี”โสภิตาเชิดหน้าขึ้น

  “คำนี้คุ้นจังเลย”

  “อย่ามาลามปาม”

  “เดี๋ยวก่อนนะเธอชื่ออะไร”สุกี้ถามด้วยความสงสัย เพราะเขายิ่งเพ็งพินิจหน้าตาของโสภิตา ยิ่งเหมือนแม่ของเขาในอนาคต หรือว่านี่คือแม่ของเขาในอดีต สุกี้เริ่มสงสัยจึงถามขึ้น

  “ไม่สนิทกันไม่ต้องมาถาม ไปกันเถอะเกรท แถวนี้กลิ่นไม่ค่อยไม่ดี”

  “แม่ผู้ดี”สุชาดาเผลอพูดขึ้นมา

  “แล้วไงผู้ดี”โสภิตามองสุชาดาอย่างหยามเหยียด

  ในระหว่างนั้นก็ได้มีหนุ่มวิศวะนามแทนเดินเข้ามาหาโสภิตา ซึ่งเขาคนนี้กำลังตามจีบโสภิตาอยู่ และขยันมาหาโสภิตาเกือบทุกวัน

  “โสภิตา”แทนหนุ่มวิศวะเรียกโสภิตาเพื่อจะให้หยุดรอ

  “แม่ โสภิตาจริงๆด้วย ตอนสาวสวยมากเลย”สุกี้พูดขี้น

  “มึงเป็นใคร มาพูดจาแบบนี้กับโสภิตา”แทนมองหน้าสุกี้ด้วยความไม่ชอบใจ แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดนิ่งเพราะหน้าตาของสุกี้มีความคล้ายคลึงเขาพอสมควร

  “พ่อ”สุกี้ตะโกนขึ้นอย่างดัง

  “ใครพ่อมึง”แทนอารมณ์ฉุนเฉียวอีกครั้ง

  “อ่อ เปล่า นายเรียนคณะอะไร”

  “วิศวะ ถามทำไม”

  “ใช่เลย พ่อจริงๆด้วย”สุกี้ยิ้ม

  “พ่อมึงเป็นใคร แต่ไม่ใช่กูหรอก”

  “ไปกันเหอะ ไปก่อนนะเกรทวันหลังค่อยเจอกัน”สุชาดาเห็นว่าถ้าอยู่ตรงนี้อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ เขาจึงรีบดึงสุกี้ที่อยู่ในร่างหน่อยไปสมัครเข้าชมรมเชียร์

  “เธอเป็นบ้าอะไรเที่ยวไปบอกคนโน้นคนนี่เป็นพ่อเป็นแม่ วันนี้เธอกลับไปนอนพักผ่อนก่อนไหม”สุชาดารู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสนิท

  “ไม่ วันนี้เราจะใช้ชีวิตที่อิสระให้เต็มที่เลย”

  “แค่นี้ยังไม่อิสระอีกเหรอแม่คุณ”สุชาดามองค้อน

  “เอาน่าเดี๋ยวันนี้เราเลี้ยงเอง ถ้าไปกับเราทั้งวัน”

  “อีหน่อย มึงจะเอาตังค์ที่ไหนมาเลี้ยงเรา ถ้าเป็นมิคกี้หรือพายัพก็ว่าไปอย่าง สองคนนั้นรวยมาก”

  “ทำไมจะไม่มีปัญญาเลี้ยงเธอ บ้านเราก็รวยเวอร์เชียวนะ พ่อเราทำงานแท่นขุดเจาะน้ำมันเงินเดือนหลายแสน แม่เราก็เป็นผู้ดีเก่าสมบัติมากมาย”

  “อีบ้า พูดกับเธอแล้วปวดหัว อยู่ในโลกความจริงได้แล้ว”

  “เอ่อ ใช่ว่ะ ตอนนี้เราอยู่ในอดีต เอ๊ะพ่อกับแม่เราทำงานอะไรนะ”สุกี้หันมาถามสุชดา

  “ขายข้าวมันไก่”สุชาดาอมยิ้ม

  “รายได้ก็น่าจะถูๆไถๆ ทำไมต้องมาอยู่ในร่างนี้ด้วย”สุกี้ถอนหายใจ และยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าหน่อยที่เขาอาศัยอยู่ร่าง ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน

  “เอ่อ รู้ตัวก็ดีแล้ว เอาแบบนี้ไหม เราไปคณะรัฐศาสตร์กัน”

  “ไป”

  “ไม่ปฏิเสธเลยนะแม่คุณ”

  “คณะนี้ผู้ชายเยอะนี่ อาหารตาทั้งนั้น จะปฏิเสธทำไม”

  “วันนี้เธอเป็นอะไรหน่อย รู้สึกจะระริกระรี้ผิดสังเกต ตั้งแต่เห็นมิคกี้ถอดเสื้อ”

  “อุ๊ย คนถอดเสื้อเรียนคณะนี้เหรอ ไปเลยรีบไป”

  “เป็นเอามาก แล้วไม่ไปสมัครเข้าชมรมเชียร์แล้วเหรอ”

  “เอาไว้ก่อนมีเวลาอีกหลายวัน เรื่องผู้ชายต้องมาก่อนซิเพื่อน”

  “อะไรของมันวะ เปลื่ยนตัวเองไวมาก”สุชาดาบ่นพึมพำ

ต่อเดินมาเรื่อยๆเพื่อที่จะไปเรียน ถึงแม้จะไม่คุ้นชินทางสักเท่าไร แต่ก็ยังดีที่มีป้ายบอกทางและชื่อคณะ เมื่อเขามาถึงที่คณะรัฐศาสตร์ ต่อก็ยืนงงอยู่ที่หน้าคณะว่าจะไปเข้าไปเรียนดีไหม แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ

  “ไอ้มิคกี้มายืนอะไรตรงนี้”พายัพเพื่อนร่วมชั้นพูดขึ้น

  “มึงเป็นใคร”ต่อมองหน้าพายัพ

  “เฮ้ย มิคกี้ทำไมมึงพูดไม่เพราะเลยวันนี้นายเป็นอะไร”

  “กูไม่ได้เป็นอะไร มึงยังไม่ได้บอกกูเลยว่ามึงเป็นใคร”

  “เรานี่แหละเพื่อนสนิทนาย ทำไมนายจำไม่ได้ นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ไปเรียนกันเร็ว”

  “เหรอ”ต่อยังงงอยู่ แต่เขาก็เดินตามพายัพเข้าไปที่คณะ

  “เราไม่ได้ชื่อมิคกี้นะ กูชื่อต่อ”

  “เรารู้แล้ว นายมีสองชี่อ อยู่บ้านนอนกชื่อต่อ พอเข้ามาในมหาวิทยาลัยชี่อมิคกี้”

  “ใครมิคกี้ กูไม่เคยใช้ชื่อมิคกี้”

  “รำคาญจริงโว้ย ต่อก็ได้ ต่อไปนี้เราจะไม่เรียกนายว่ามิคกี้เราจะเรียกนายว่าต่อ”

  “ฮือ”ต่อพยักหน้าและนั่งลงที่ซุ้ม

  ในระหว่างที่ต่อนั่งอยู่นั้นเขาก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เขาแสนคุ้นหน้า กำลังที่จะเดินมาหาเขาและพายัพ

  “วันนี้มาเรียนแต่เช้าเลยนะพายัพ”สุชาดาพูดขึ้นและนั่งลงใกล้ๆพายัพ ส่วนสุกี้นั่งใกล้ๆต่อตัวจริง

  “ก็มารอใครบางคนนั่นแหละ”พายัพอมยิ้ม

  “รอใครล่ะ”สุชาดาแกล้งไม่รู้

  “ก็รอเธอนั่นแหละ แหมทำเป็นไม่รู้”สุกี้พูดขึ้นด้วยความเป็นคนตรง

  “หน่อย”สุชาดามองตาขวาง

  “แล้วหน่อยมาหาใครล่ะ”พายัพแซวทันที เพราะเขาก็พอดูออกว่าหน่อยนั้นชอบมิคกี้อยู่เหมือนกัน แต่พายัพหารู้ไม่ว่าคนที่นั่งอยู่ไม่ใช่มิคกี้แต่เป็นต่อเจ้าของร่างตัวจริง

  “ก็มาหามิคกี้นั่นแหละ”สุกี้มองมาทางต่อ

  “เราไม่ได้ชื่อมิคกี้หาผิดคนแล้วมั้ง”

  “เล่นตัวด้วย”พายัพแซว

  “น่ารักดี ผู้ชายที่เล่นตัวแบบนี้เนี้ย”สุกี้พูดขึ้น

  “น่ารักหมดนั่นแหละ ขอให้เป็นผู้ชายความคิดของเธอใช่ไหมหน่อย”สุชาดาพูดขึ้น

  “เราชื่อสุกี้ไม่ใช่หน่อย”

  “เปลื่ยนตั้งแต่เมื่อไร”พายัพพูดขึ้น

  “ไม่ได้เปลื่ยนชื่อนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว”

  “ดูแล้วเหมาะสมกันดีนะ อีกคนเดี๋ยวต่อเดี๋ยวมิคกี้ ส่วนอีกคนเดี๋ยวหน่อยเดี๋ยวสุกี้”สุชาดาหัวเราะ

  “หัวเราะอะไรพวกเธอ”จรัญเพื่อนในวัยมัธยมของหน่อยและสุชาดา แต่มาเรียนที่คณะรัฐศาสตร์เข้ามาแจมด้วยอีกคน

  “คณะนี้มีแต่ผู้ชายหล่อๆ”สุกี้พูดขึ้นและมองจรัญ

  “มึงเป็นอะไรไอ้หน่อยมองกูซะตาเยิ้มเลย กูนี่เพื่อนมึงตั้งแต่มัธยมแล้วนะ แต่ทำไมวันนี้มึงแปลกๆวะ ไม่เห็นเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อน สุชาดามันเป็นอะไรของมัน”จรัญหันหน้ามามองสุชาดา

  “เราก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้าแล้วเพี้ยนหนักมาก”

  “โอ๊ยอย่ามาว่าเราเพี้ยนะ เราเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เอ่อไม่ใช่ วันนี้เราอยากเปลื่ยนแปลงตัวเองดูบ้าง”สุกี้คิดได้จึงเปลื่ยนแปลงคำพูดใหม่

  จรัญมองสุกี้ในร่างหน่อยด้วยความสงสัย เพราะท่าทีของหน่อยในวันนี้หน้าเป็นหลังมือเลยทีเดียว เขาจึงอยากรู้ว่าหน่อยเป็นอะไรกันแน่ เพราะจรัญอดเป็นห่วงหน่อยไม่ได้ เขาเลยคิดว่าต่อไปนี้ต้องใกล้ชิดหน่อยให้มากกว่านี้   

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status