ช่วงเวลาที่เลวร้ายของมิคกี้นั้นกลับมาเยือนอีกครั้ง เขานั่งเฝ้าสุกี้อยู่ข้างเตียงที่ไม่แตกต่างกับหน่อยแม้แต่น้อย สุกี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและให้อาหารทางสายยาง ในห้องที่สุกี้พักนั้นเป็นห้องรวม ซึ่งมีพ่อแม่และพี่สาวของสุกี้มาอยู่ด้วยตลอด
“ขอบใจเรามากนะต่อ”พ่อของหน่อยพูดขึ้น ส่วนมิคกี้ในร่างต่อพยักหน้ารับคำ
“แล้วคุณอาคิดไว้ว่าจะทำอย่างไรกับหน่อยครับ”
“ทางเราตกลงกันไว้แล้วว่าจะปล่อยให้หน่อยไป เพราะยื้อไว้ก็ไม่มีทางรอดไม่ใช่ว่าอาไม่รักลูก ก็เพราะอารักลูกนี่แหละที่ต้องทำอย่างนี้”
มิคกี้ไม่สิทธิอะไรในตัวหน่อย เขาจึงไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมาได้ มิคกี้ได้แต่มองร่างของหน่อยที่มีสายระโยงระยาง แต่ภายในนั้นเป็นตัวตนของสุกี้ มิคกี้ไม่สามารถที่จะอดทนกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป เขาจึงรีบเข้าไปในห้องน้ำอย่างโดยเร็ว
มิคกี้ปิดประตูห้องน้ำและพิงประตู เขาค่อยๆเลื่อนตัวลงต่ำ จนก้นเกือบติดพื้นมิคกี้ใช้สองมือปิดหน้า น้ำตาของเขาได้หลั่งไหลพลั่งพลูออกมาอย่างไม่ขาดสาย มิคกี้ร้องไห้แท่บขาดใจ เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำใจได้
“มิคกี้อยู่ในนั้นหรือเปล่า”เสียงชายหนุ่มดังขึ้น มิคกี้จำได้ทันทีว่านั่นคือเกรท
มิคกี้เช็ดน้ำตาให้เหือดแห้งแล้วลุกขึ้นยืนทำใจอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาหาเกรท
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
“ไม่ว่าต่อหรือมิคกี้นายคือเพื่อนเรา จะชื่ออะไรก็ตาม”พายัพเพื่อนสนิทและพ่อในอนาคตเข้ามาตบบ่า
“ขอบใจมากนะ”มิคกี้พยักหน้า
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
ทั้งสามหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำไปยังเตียงของสุกี้ที่นอนนิ่ง ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆอีกต่อไป
“ต่อ หน่อยเป็นไงบ้าง”สุชาดาเดินเข้ามายืนข้างๆมิคกี้ เธอไม่สนใจพายัพที่ยืนข้างๆแม้แต่น้อย เพราะทั้งคู่นั้นได้เลิกกันตั้งแต่วันที่มีเรื่องชกต่อยกัน
มิคกี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะขืนพูดอีกน้ำตาของเขาก็จะไหลออกมา เขาจึงได้แต่ก้มหน้า สุชาดานั้นก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี เธอจึงหันไปตามผู้เป็นพ่อของหน่อยทื่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันนั้นจรัญเพื่อนร่วมชั้นมัธยมอีกคน ก็มาถึงด้วยใบหน้าที่เสียใจอย่างสุดซึ่ง
“สุชาดา มันเกิดอะไรขึ้น”จรัญมองสุกี้ด้วยใจที่สั่นระรัว
“หมอบอกว่าหน่อยน่าจะอยู่ได้ไม่เกินวันนี้หรอก”พ่อของหน่อยน้ำตาไหลพราก ยิ่งแม่ของหน่อยแท่บจะเป็นลมด้วยความร้าวรานใจ พี่สาวของหน่อยถึงกับก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียใจ จรัญนิ่งอึ่งน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว สุชาดาก็ไม่ต่างกันร้องฟูฟายอยู่ข้างเตียง
มิคกี้ยืนมองความดันของสุกี้ในร่างหน่อยที่ตกลงทีละน้อยละน้อย ยิ่งความดันลดลงเท่าไรใจมิคกี้แท่บขาดดิ้นในทันที มิคกี้มองคนความดันของหน่อยที่ต่ำกว่าสิบลงมาจนถึงหนึ่งและศูนย์
เสียงฟูมฟายดังลั่นอยู่เตียงเดียว มิคกี้เขย่าร่างของหน่อยด้วยใจจะขาด เขาไม่สามารถที่จะรักษาร่างของหน่อยไว้ได้ ถึงแม้เขาจะมีความหวังอันริบหรี่ที่หน่อยในอนาคตจะกลับมา แต่ตอนนี้เขาสูญสิ้นความหวัง
“ต่อ หน่อยไปสบายแล้วนายทำใจดีๆไว้นะ”
“เกรท นายก็รู้ว่าเราสัญญาอะไรไว้”
“นายทำดีที่สุดแล้ว”เกรทปลอบมิคกี้ด้วยใจที่ทุกข์เช่นกัน
ครอบครัวและเพื่อนฝูงหน่อยต่างร้องไห้อย่างเสียใจ จนไม่สามารถที่จะทำอะไรต่อจากนี้ได้ พยาบาลจึงต้องมาเรียกสติบรรดาญาติๆและเพื่อนของหน่อย ให้ทำใจกับเหตุการณ์ที่สูญเสียในครั้งนี้
“ต่อเรากลับกันเถอะ เพราะอยู่ไปก็เกะกะพยาบาล และอีกอย่างต่อนี้ไปเป็นหน้าที่ของครอบครัวหน่อยจะจัดการแล้ว เราเป็นคนนอกทำแค่นี้แหละ ตอนเย็นเราค่อยไปฟังสวดอภิธรรมกัน”เกรทพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ซึมเศร้า
“ใช่ เรากลับกันเถอะ”สุชาดาเอ่ยขึ้น
มิคกี้หันมองหน้าของหน่อยเป็นครั้งสุดท้าย เขาหลับตาสักพักแล้วตัดใจ เดินห่างจากเตียง แต่ก็ไม่วายหันหลังมามองสุกี้เป็นระยะ จนเกรทต้องจับหลังไว้ให้หันกลับ
“ถ้านายเสียใจอย่างนี้ จนไม่เป็นทำอะไร ทั้งหน่อยและสุกี้จะเป็นห่วงนายนะ”
“เราไม่อยากให้สุกี้กับหน่อยเป็นห่วง เราอยากไปอยู่กับหน่อยและสุกี้”
“มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว”เกรทพูดขึ้น
มิคกี้ เกรท สุชาดา จรัญ พายัพ เดินออกจากโรงพยาบาลเพื่อข้ามถนน ไปยังอีกฝั่งเพื่อรอขึ้นรถประจำทาง ทั้งห้าค่อยๆเดินข้ามทางมาลายจนถึงครึ่งกลางถนน เกรท สุชาดา จรัญ พายัพ หยุดอยู่ดูรถ เพราะเขาเห็นรถกระบะแล่นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่ลืมดึงร่างของมิคกี้ไว้ เพราะใจจดจ่ออยู่ที่รถถำลังแล่นมา
ด้วยความเสียใจและสติไม่อยู่กับตัวเท่าไร มิคกี้เผลอก้าวเท้าไปเพียงสองก้าวรถกระบะได้พุ่งชนกลางลำตัวของมิคกี้ กระเด็นไปไกลหลายเมตร
“ต่อ”สี่เสียงประสานกันดังสนั่น
ทั้งสี่ต้องกลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะพูดตอบโต้กลับมิคกี้ได้อีกแล้ว เพราะมิคกี้สิ้นลมหายใจคาที่ทันที ร่างของมิคกี้ได้อยู่ในห้องฉุกเฉิน หมอและพยาบาลได้แต่ปลอบใจทั้งสี่หนุ่มสาว
“ต่อ ทำไมนายทิ้งเราไป”เกรทนั่งร้องไห้อยู่ข้างร่างต่อแต่จิตวิญญาณมิคกี้ได้ดับสูญไปแล้ว
“ไม่ว่านายจะเป็นต่อหรือมิคกี้นายก็ยังเป็นเพื่อนเราเสมอ”พายัพพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
ทั้งสี่หนุ่มสาวได้แต่นั่งนิ่งๆด้วยความเสียใจ ที่เพื่อนสุดที่รักของพวกเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
ร่างหน่อย ตัวตนสุกี้ และร่างต่อตัวตนมิคกี้ได้เสียชีวิตในวันเดียวกัน บรรดาเพื่อนๆจึงต้องแยกกันไปตามงาน สุชาดากับจรัญไปงานศพของหน่อย ส่วนพายัพและเกรท รวมทั้งเพื่อนในคณะต่างมาร่วมงาน วันเผาศพของมิคกี้
“พ่อผิดเอง ถ้าพ่อไม่ให้เองไปเรียนที่กรุงเทพคงไม่เกิดเหตุการณ์นี้หรอก”กำนันบุญมีร้องฟูมฟายก่อนที่จะปิดโลงและเผาร่างของมิคกี้
“แม่ด้วย”จันทราพูดจบเป็นลมพับกับพื้น บรรดาญาติพี่น้องต้องประคองร่างไว้
“อามัวแต่ทำงานไม่ได้สนใจเองเลย”นกผู้เป็นอาพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไห้ไหลออกมา
“ลูกพี่ ถ้าให้ไก่ไปอยู่ด้วย ลูกพี่จะไม่ตายหรอก”
“ทุกคนถึงเวลาแล้วที่จะทำพิธีเผา”สัปเหร่อพูดขึ้น
บรรดาครอบครัวและญาติพี่น้องของต่อได้ลงมาจากเมรุ ทุกคนต่างเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ่ง โดยเฉพาะกำนันบุญมีต้องเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเขาไปอย่างไม่มีวันกลับมา บรรดาเพื่อนต่างน้ำตาซึมกันทุกคน โดยเฉพาะเกรทกับพายัพที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายผู้คนแต่อย่างใด
เมื่อพิธีกรรมทางศาสนาจบสิ้น เกรทได้ชวนพายัพมาลาพ่อกำนันกับจันทรา เพียงกำนันบุญมี และจันทราเห็นหน้าพายัพ ถึงกับนิ่งงันและอุทานออกมา
“ต่อ ลูกยังไม่ตายใช่ไหม”กำนันบุญมีโผเข้าไปกอดพายัพทันที เพราะพายัพนั้นหน้าตาเหมือนต่อและมิคกี้
“พ่อกำนันไม่ใช่ครับ นี่เพื่อนของต่อเรียนที่เดียวกัน”
“ไอ้เกรทมึงโกหกกูใช่ไหม นี่มันไอ้ต่อชัดๆ”
“ไม่ใช่หรอกครับพี่ เมื่อตอนที่เพื่อนต่อมาผมยังตกใจเลย นึกว่าต่อพอสังเกตดีๆแล้วไม่ใช่หรอกครับ แค่หน้าเหมือนเฉยๆ”นกอาของต่อพูดขึ้น
กำนันบุญมีและจันทรามองพายัพอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่งก็เป็นจริงดั่งที่น้องของของแกพูดไว้
“ต่อลูกพ่อ”กำนันบุญมีนั่งลงฟูมฟายร้องไห้อีกครั้ง
พายัพเห็นสายสัมพันธ์ครอบครัวของต่อ เขาถึงกับเศร้าใจเป็นทวีคูณ พายัพจึงคิดว่าเขาจำเป็นต้องไปจากที่นี้ทันที เพราะด้วยใบหน้าที่มีความคล้ายต่อ อาจจส่งผลกระทบจิตใจกำนันบุญมีและจันทรา
“คุณอาผมไปแล้วนะครับ”พายัพยกมือไหว้ทั้งสองและรีบไปทันที
“เองมาเป็นลูกข้าได้ไหม”กำนันบุญมีพูดขึ้น
พายัพอยากที่จะทำเช่นนั้น แต่เขาคิดอีกถ้าไปมาหาสู่กับครอบครัวต่อ มันก็จะเป็นแค่ความสุขชั่วคราว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกที่แท้จริง พายัพจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อไปไม่เหลียวหลังมามอง
ในส่วนของเกรทเมื่อพายัพได้กลับไปแล้ว เขาก็นั่งมองควันไฟจากเมรุด้วยใจที่ร้าวรานระทมทุกข์ ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามิคกี้ไม่ใช่ต่อ แต่ในเมื่อร่างของต่อดับสูญไปแล้ว เขาก็จะไม่ได้มีวันได้พบต่ออีกอย่างแน่นอน เพราะเขาอยู่ในอดีตและไม่รู้วิธีที่จะไปในอนาคต
ถึงแม้เกรทจะเรียนจบตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อย เพราะคนที่เขาผูกพันที่สุดนั้นได้เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ใจจริงต่อก็อยากที่จะไปเรียนที่ต่างประเทศกับบิว แต่เขาหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งมิคกี้ตัวจริงจะได้กลับมา และตัวของเขาจะได้กลับไปสู่อดีตที่จากมา ต่อนั่งครุ่นคิดนิ่งอยู่พักใหญ่ จนพายัพเดินมาเห็นลูกชายที่นั่งนิ่งเชย เหมือนมีอะไรคาใจอยู่มากมาย “ลูกพ่อเป็นอะไรคิดถึงบิวเหรอ บอกให้ไปเรียนต่อกับบิวก็ไม่ไปเองนี่” “เปล่าครับ ผมคิดอะไรไปเรื่อยๆครับ” “ลูกก็โตแล้วควรคิดได้แล้วว่าจะทำงานอะไร แต่พ่อก็ไม่ได้เร่งรีบให้ลูกทำงานหรอกนะพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยว่ากันก็ได้” “ครับพ่อ” “ทำไมลูกไม่ไปเที่ยวพักผ่อนสมองซะหน่อยล่ะ” “ไม่รู้จะไปเที่ยวไปหนครับ” “พอดีพ่อจะไปทำธุระที่ต่างจังหวัดไปกับพ่อไหม” “ไปก็ได้ครับ” “ถ้างั้นพรุ่งนี้ไปเลย” “ครับพ่อ”ต่อพยักหน้ารับคำอย่างยินดี ต่อรู้สึกแปลกใจว่าทำไมพ่อของเขาพามาที่วัด แต่ต่อก็ไม่ถามไถ่ผู้เป็นพ่อของเขาแต่อย่างใด จ
บ้านทรงไทยยกสูงในพื้นที่บริ เวณหลายสิบไร่ ภายในบ้านมีร่วมสิบห้องและหนึ่งในห้องนั้น ได้มีชายหนุ่มนอนหลับอย่างสบายกายและใจ จนจวบได้เวลายามเช้าตรู่ที่เขาต้องตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นและเขาก็พบกับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยพานพบได้เจอ เขารีบลุกขึ้นทันทีและมองไปรอบบริเวณห้อง ที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควรแต่ไม่ใช้ปูน ที่ชายหนุ่มเห็นนั้นเป็นไม้รอบห้องส่วนพื้นก็ไม่ต่างกัน ชาหนุ่มผู้นั้นรีบลุกยืนขึ้นและลงจากเตียง แต่เขากับต้องไปเหยียบเนื้อนุ่มๆ จนสร้างความตื่นตระหนกตกใจเขารีบกระโดดขึ้นตียงทันที “โอ๊ย ลูกพี่ มาเหยียบกันทำไม”ไก่หนุ่มน้อยรีบลุกขึ้นนั่งทันที เมื่ออเขารู้สึกเจ็บที่อก เพราะชายหนุ่มผู้นั้นได้เหยียบที่หน้าอกของเขา “นายเป็นใคร เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”มิคกี้มีสีหน้าตกใจ เพราะสิ่งที่เขาพบเจอและได้เห็นมันช่างแตกต่างจากห้องของเขาสิ้นเชิง “ลูกพี่ กินยาผิดสำแดงอะไรอีกล่ะ”ไก่เกาศีรษะแก๊กๆด้วยความมึนงง “นายจับเรามาเรียกค่าไถ่ใช่ไหม”มิคกี้มองหน้าไก่ที่กำลังมีสีหน้ามึนงง “เรียกค่าไถ่อะไรล่ะลูกพี่ ที่นี่มันบ้านของลูกพี่ บ้านกำนันบุญมี” “ใครกันกำนันบุญมี”มิคกี้มีสีหน้าที่สงสัย “ก็พ่อ
เมื่อมิคกี้กินข้าวไข่เจียวที่จันทราหญิงสาวที่อ้างเป็นแม่ทอดให้กินแล้ว เขาก็ได้ออกมานั่งนอกชานกับกำนันบุญมีและจันทรา หลังจากนั้นกำนันบุญมีจึงถามไถ่เรื่องเรียนให้คลายสงสัย “แล้วมึงจะไปสมัครเรียนเมื่อไร”กำนันบุญมีมองหน้ามิคกี้ด้วยความอิ่มเอม “อีกสองสามวันเดี๋ยวไปสมัครครับ” “มึงอยากได้อะไรบอกพ่อมา เดี๋ยวพ่อจัดหาให้ทุกอย่าง พ่อดีใจมากที่มึงคิดได้ซะที” “พ่อ”จันทราหยิกที่แขนเพื่อเตือนสติสามี เพราะจันทรากลัวว่าลูกชายจะขออะไรที่เกินไป “แม่จันทรานี่มาหยิกพ่อทำไม” “พ่อครับ ทุกอย่างที่จะหาให้ผมเลยใช่ไหม”มิคกี้ยิ้มในใจทันที “ใช่ซิว่ะพ่อจะโกหกมึงทำไม” “ถ้างั้นผมขอเลยนะ”มิคกี้ถึงจะไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใคร แต่ที่เขาเริ่มแน่ใจแล้วว่าสองคนนี้รักเขาเหมือนลูกแท้ๆแน่นอน มิคกี้จึงเริ่มสนิทใจที่จะขอสิ่งต่างๆ “ไอ้ไก่มึงไปเตรียมปากกากับสมุดมาจดเดี๋ยวนี้”เมื่อไก่ได้ยินคำสั่งของกำนัน เขาจึงรีบไปนำสมุดปากกามาเตรียมจดทันที “อย่างแรกในห้องนอนของผม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย ผมขอ ทีวีจอแบน จอตู้หนาๆโบราณๆ แบบที่ตั้งอยู่กลางบ้านนั่นไม่เอานะ แล้วก็แอร์ด้วยมันร้อนมาก ผมเป็นคนขี้ร้อน นอนไม่ค่อยหลับถ้
มิคกี้ชวนเกรทมาที่บ้าน ส่วนเกรทก็ตามมาอย่างง่ายดาย เพราะแต่ก่อนเกรทก็มาเป็นประจำ พึ่งหายไปช่วงที่เรียนจบ เพราะเกรทต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงที่บ้านของกำนัน เกรทก็ชวนมิคกี้เป็นเล่นน้ำที่แม่น้ำ ที่ทั้งสองเคยเล่นกันเป็นประจำ เมื่อมาถึงที่บ้านกำนันบุญมี มิคกี้ได้ให้ไก่เอาของที่ซื้อมา ไปเก็บไว้ที่ห้องของมิคกี้ หลังจากนั้นมิคกี้กลับเกรทก็เดินไปยังแม่น้ำ ซึ่งไม่ไกลจากบ้านกำนันบุญมีมากนัก “ตกลงนายจะเรียนไหม”เกรทเป็นฝ่ายถามก่อน พร้อมเดินนำทางไปยังแม่น้ำ ซึ่งเขาก็แปลกใจเหมือนกันที่มิคกี้บอกจำทางไปแม่น้ำไมได้“เรียนซิ อีกสองสามวันจะไปสมัครสอบ”“นายจะเรียนคณะอะไรล่ะ แล้วเรียนที่ไหน”“ที่มหาลัยพิพัฒนเมธา คณะ รัฐศาสตร์ ตอนแรกจะเรียนบริหาร พ่อไม่ให้เรียนอยากให้เราเรียนรัฐศาสตร์ “แปลก ปกติพ่อกำนันให้ไปซ้ายนายจะไปขวา จะทำอะไรตรงข้ามตลอด แต่อะไรดลใจนายให้ตามใจพ่อกำนัน”“ก็ท่านเป็นพ่อไง เราก็ตามใจท่านซักหน่อย นายล่ะเรียนคณะอะไร”“อักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับนายนั่นแหละ”“ว้าว สุดยอดไปเลย”“อะไรของนาย ว้าว ว้าว ว้าว เราล่ะปวดกับคำพูดของนายจังเลย”“อีกหน่อยเดี๋ยวก็ชิน”“คงน
“ไม่ลืมหรอก ว่าแต่นายจะมาจริงหรือเปล่าก็แค่นั้นแหละ” มิคกี้เปลื่ยนช่องไปเรื่อยๆก็ยังมีรายการเก่าๆละครโบราณ เขาเลยคิดว่าช่องต่างๆรีรันละครกันทุกช่อง จนมิคกี้ย้ายมาที่ช่อง15 เป็นรายการข่าวภาคเย็น “สวัสดีครับ วันนี้วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2538 เป็นวันหวยออก ผลรางวัลที่1 411454 ครับ”มิคกี้เริ่มงงและสับสนเพราะปีนี้มันปีที่2567 ทำไมข่าวรายงานหวยออกเป็นวันที่1มีนาคม 2538 มิคกี้หันไปหาเกรทที่เปลื่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังจะขึ้นไปนอนบนเตียง“ปีนี้ปี 2567ไม่ใช่เหรอ ทำไมนักข่าวบอกว่า 2538ว่ะ แค่วันเดือนปียังรายงงานผิดเลย”มิคกี้พูดขึ้น“นายนั่นแหละประสาทแดก นักข่าวเขาก็พูดถูกแล้วนี่ปีนี้ พ.ศ.2538”“ไม่ใช่ปีนี้ 67”“ยังจะมาเถียงนายดูปฏิทินโน้นปีนี้ 38”“นายนั่นแหละประสาทปีนี้67”มิคกี้เดินไปดูปฏิทินซึ่งก็เป็นปี2538 จริงๆ“เป็นไงเชื่อหรือยัง”“ไม่ใช่หรอก ปฏิทินปีนี้67ต่างหาก”ถึงมิคกี้จะเถียงเกรทคอเป็นเอ็น แต่เขาก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันมิคกี้จึงย้ายช่องทีวีใหม่ซึ่งก็มีแค่ 13 15 17 19 14 เขาย้ายวนมาวนไปก็มีแค่ห้าช่อง จนเขาเริ่มหงุดหงิดจนเหวี่ยงรีโมททิ้งบนที่นอน“ทำไมมีแค่ห้าช่องเอง เดี๋ยวนี้เป็
เมื่อมิคกี้มาถึงบ้านก็เห็นคุณหญิงโสภิตาแม่ของเขานั่งรอยอยู่ที่ห้องรับแขก พร้อมกับพายัพพ่อของเขาซึ่งเป็นรัฐมนตรี และอีกหนึ่งคนชายหนุ่มรุ่นเดียวกับพ่อแม่ของเขา “มิคกี้มานี่หน่อย”คุณหญิงโสภิตาปราดสายตามองมิคกี้ จนมิคกี้ไม่กล้าปฏิเสธที่จะเดินเข้ามา “มีอะไรเหรอครับแม่” “นั่งลงก่อนซิ ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่ได้” “ครับแม่”มิคกี้นั่งลงๆข้างๆพ่อของเขา “เดี๋ยวแม่จะแนะนำเพื่อนแม่ให้รู้จักนะ นี่อาเกรท เพื่อนร่วมรุ่นของแม่คณะอักษรศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยพิพัฒนเมธา” “หวัดดีครับอา”เพียงมิคกี้หันไปมองหน้าเกรทเขาถึงกับตกใจ เพราะทั้งชื่อและหน้าคุ้นมาก มิคกี้จึงคิดย้อนหลังก่อนหน้าที่เขาสลบไป ทั้งชื่อและหน้าตานั่นคือเกรทชัดๆ เพียงแต่ตอนนี้ดูมีอายุขึ้น แต่เค้าโครงหน้ายังเหมือนเกรทตอนหนุ่ม ที่เขาพึ่งได้พบเจอเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งมิคกี้คิดว่าเป็นความฝัน “หน้าตาเหมือน โสภิตา มากเลย ส่วนรูปร่างสูงใหญ่ได้พ่อแน่ๆ”เกรทยิ้มให้มิคกี้ ซึ่งมิคกี้ก็ยิ้มตอบ “ขอบคุณครับ แต่ผมคุ้นหน้าคุณอามากเลย” “อาจจะเห็นในรูปก็ได้นะ เพราะอากับคุณแม่มิคกี้ก็ถ่ายรูปด้วยกันบ่อยๆ” “ผมว่าเห็นในฝันตอนอาหนุ่มๆ” “มิคกี้”คุณหญิงโ
มิคกี้สะลืมสะลืออยู่บนหัวบันได้บ้านของกำนันบุญมี ตอนนี้เขารู้สึกมึนๆงงและสับสนเสียงของผู้คนบนบ้าน พอมิคกี้ลืมตาก็เห็นกำนันบุญมียืนอยู่ตรงหน้า “ไอ้ต่อมึงจะไปสอบไหม ถ้าไม่สอบสิ่งที่มึงขอกูจะยืดคืนให้หมด ไม่ต้องเอาสักอย่างกูอุตส่าห์ตามใจมึงทุกสิ่งที่มึงอยากได้” “สอบอะไร”มิคกี้มึนงงและเริ่มที่จะจำได้นิดหน่อย “สอบเข้ามหาวิทยาลัยไง มึงรับปากกูแล้วว่าจะสอบ แล้วมึงมาเปลื่ยนใจได้อย่างไง” “อ๋อ ก็ไปสอบไงไปเลย เดี๋ยวไปเก็บเสื้อผ้าก่อน”มิคกี้กำลังจะเดินเข้าห้อง เพราะเขาเริ่มที่จะจำความต่างๆได้แล้ว “ไม่ต้องไปเลย กูให้ไอ้ไก่เตรียมไว้มึงหมดแล้ว” “ถ้างั้นไปได้เลย แล้วไปอย่างไงล่ะพ่อ” “เดี๋ยวกูจะให้อามึงไปด้วย” “อาไหน”มิคกี้งง “ก็อานกของมึงไง ทำเป็นจำไม่ได้ไอ้นี่มันวอนซะแล้ว” “ถ้างั้นก็ไปเลย”มิคกี้เอ่ยขึ้นแบบงง “โชคดีนะต่อ” จันทราเดินเขามาใกล้ๆมิคกี้เพื่ออวยพร “ครับแม่”มิคกี้ยกมือไหว้จันทราและหันไปไหว้กำนันบุญมี “รีบไปอย่ามัวลีลากูเห็นแล้วรำคาญลูกตา”พ่อกำนันพูดขึ้น “ครับ กำนันบุญมี”เมื่อมิคกี้พูดจบเขาก็รีบลงบันได้ไปในทันที “ไอ้ต่อ ถึงกูจะเป็นกำนันกูก็เป็นพ่อมึงนะ”กำนันตะ
ด้วยความที่มิคกี้อยู่ในโลกของอนาคตมาก่อน จึงสามารถทำข้อสอบได้อย่างง่ายดาย ซึ่งส่งผลให้มิคกี้สอบติดอันดับหนึ่งของคณะรัฐศาสตร์ เป็นที่แน่นอนกำนันบุญมีดีใจยิ่งกว่าใดๆทั้งสิ้น ป่าวประกาศไปสิบตำบล จนไปถึงนายอำเภอที่กำนันบุญมีสังกัดอยู่ ในวันที่มิคกี้ในร่างต่อต้องไปเรียนที่กรุงเทพ เป็นวันที่กำนันดีใจอย่างสุดซึ้ง และในขณะเดียวกันก็เป็นวันที่กำนันเศร้าใจอย่างยวดยิ่ง เพราะต้องจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอันเป็นที่รัก ซึ่งแต่ก่อนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับลูกชายตัวจริง พอถึงวันที่ต้องจากกันกำนันอดคิดถึงลูกชายไม่ได้ ถึงแม้มิคกี้เข้ามาอยู่ในร่างต่อจะทำตัวเหยียบดินไม่ถึงพื้น แต่มีดีที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ กำนันยกทั้งใจให้ลูกชายไม่แท้อย่างหมดหน้าตัก “มึงไปเรียนก็ตั้งใจเรียนให้จบตามกำหนด ปิดเทอมก็กลับบ้านมาหาพ่อกับแม่บ้างนะ”กำนันมีสีหน้าที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “ครับพ่อกำนัน” “เอ็งไม่อยู่แม่คงคิดถึงเอ็งมากเลยไอ้ต่อ แม่ตำน้ำพริกแมงดาไปให้เอ็งด้วยนะ คราวนี้แม่ตำแบบไม่เผ็ด เพราะเอ็งไม่กินเผ็ดแล้วนี่”จันทรามีสีหน้าที่เศร้าลงไม่แพ้กำนันบุญมี “ครับแม่” “พ่อว่ามึงน่าจะอยู่หอในดีกว่าไหม”สาเหตุที่กำนันอย