“ดื่มซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะควักเครื่องในเจ้ามาตุ๋นน้ำแกงกิน”
ฉู่ซีเย่พูดอย่างเย็นยะเยือก ไม่มีวี่เเววล้อเล่น “ข้าดื่มแล้วเจ้าค่ะ กินบัดเดี๋ยวนี้” เหยาอี้เหยายกจอกเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก กลิ่นเฉพาะของสุรารสเลิศแทรกผ่านอากาศเข้าสู่จมูก ทว่าในตอนนั้นเอง นางกลับพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายาพิษที่ไท่จื่อหย่งสวินให้นางกินนั้น ต้องหลีกเลี่ยงสุราช่วงระยะแรก ไม่เช่นนั้นอาการจะกำเริบขึ้นมาได้จนตาย “เหตุใดไม่กิน” ฉู่ซีเย่ถามเสียงเรียบ “หรือเจ้าแอบใส่ยาพิษให้ข้าจริงๆ” เหยาอี้เหยาคุกเข่าโดยพลัน นางสั่นสะท้านทั้งจากความหนาวเย็นและสายตาของฉู่ซีเย่ที่ทิ่มแทงยิ่ง “ไม่มีทางเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้นกับท่านแน่นอน เพียงแต่ข้าน้อยไม่เคยดื่มสุรา อีกทั้งสุราของท่านยังเป็นสุราชั้นเลิศ ข้าน้อยเลยไม่กล้าแตะต้อง” ไท่จื่อหย่งสวินให้นางกินยาพิษเพื่อป้องกันนางหลบหนีหรือหักหลังพระองค์ในภายหลัง ยาพิษนั้นเป็นแมลงคุณไสยที่มีชีวิต พระองค์จึงสั่งไว้ว่าในช่วงระยะแรกของการย้ายแมลงเข้ามาในตัวนาง นางต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางจำพวกและสุรา ไม่เช่นนั้นยาระงับแมลงคุณไสยจะไม่ได้ผล เนื่องจากตัวแมลงไม่คุ้นชินกับร่างใหม่ รอจนพ้นเดือนเก้า นางถึงจะสามารถทานทุกอย่างได้ตามปกติ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้กิน กล้าหรือไม่ก็เป็นคำสั่งของข้า” ทีแรกที่ฉู่ซีเย่ให้นางดื่มสุราก็เพียงเพราะต้องการให้ร่างกายของนางอบอุ่นขึ้น แต่ไม่คิดว่าท่าทีของนางจะดูไม่กล้าแตะต้องสุราเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่านางหวาดกลัวเขา แต่ก็ไม่ยอมดื่มสุรา หรือนางจะวางยาพิษไว้ในกาสุรา? “ซื่อจื่อ ข้าน้อยไม่ดื่มสุราเจ้าค่ะ” ไท่จื่อบอกชัดเจนว่าหากนางแพร่งพรายเรื่องยาพิษให้ผู้อื่นรู้ นางจะต้องชดใช้ความผิดด้วยชีวิตของคนในสกุลเหยา นางจึงไม่อาจให้ฉู่ซีเย่รู้ “ดื่ม อย่าให้ข้าต้องกรอกใส่ปากให้เจ้าด้วยตนเอง” สีหน้าฉู่ซีเย่อึมครึมยิ่ง เขาไม่สามารถจับรังสีอำมหิตหรือเจตนาชั่วร้ายจากนางได้ ทว่าท่าทีของนางน่าสงสัย กอปรกับนางเป็นสายให้หย่งสวิน ฉู่ซีเย่มีเหตุผลมากมายที่จะสงสัยนาง เหยาอี้เหยาไร้หนทาง ฉู่ซีเย่ขยับเท้ามาใกล้มากเหลือเกิน นางจึงคว่ำกาสุราและจอกเหล้าทิ้งเสีย ดีกว่านางกินเข้าไปแล้วอาการกำเริบ ถึงเวลานั้นฉู่ซีเย่ที่เป็นลูกหลานผู้อาวุโสฉู่ ย่อมต้องมองออกแน่ว่านางถูกพิษแมลงคุณไสย “ดียิ่ง เจ้ากล้าคว่ำกาสุราเช่นนี้เชียว” ฉู่ซีเย่ดวงตามืดครึ้ม สกุลฉู่เป็นสกุลผู้เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์หลายแขนง ดังนั้นจึงมีความสามารถในการจำแนกแยกแยะพิษมากกว่าคนธรรมดา ในสุราไม่มียาพิษ เขามั่นใจจากกลิ่นที่ไม่ได้เปลี่ยนไป ทว่านางคว่ำกาสุราทิ้ง บ่งบอกความไม่บริสุทธิ์ใจบางอย่างของนางที่มีต่อเขา “ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาสะดุ้ง นางลอยขึ้นจากพื้นเมื่อฉู่ซีเย่ใช้กำลังมือบีบคอนางไว้ด้วยข้อนิ้วที่เย็นเฉียบของเขา “เมื่อครู่ข้าบอกชัดแล้วว่าถ้าเจ้าไม่ดื่มสุรา ข้าจะควักเครื่องในเจ้ามาตุ๋นน้ำแกง” “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเพียงแค่ไม่อยากดื่มสุรา...” “หย่งสวินวางแผนอะไรให้เจ้า เจ้าคิดจะทำอันใดกับข้า” ฉู่ซีเย่ตัดสินใจให้นางอาศัยอยู่ในจวนได้แม้จะรู้ว่านางเป็นคนของหย่งสวินด้วยเหตุผลประการเดียว คือเขาเบื่อหน่ายที่จัดการกับคนที่หย่งสวินส่งมาแล้ว เขาจึงรับนางไว้ หย่งสวินจะได้เลิกส่งคนมาล่วงข้อมูลเสียที “หะ...หายใจไม่ออก...เจ้าค่ะ” สองเท้าของเหยาอี้เหยาเตะอากาศ ฉู่ซีเย่สูงเพียงใดนางไม่เคยคิดคะเนมาก่อน จนวันนี้ วันที่นางถูกเขาบีบคอจนลอยสูง นางใกล้จะขาดอากาศหายใจ กระนั้นมือแข็งกระด้างที่บีบลำคอนาง ไม่มีความผ่อนปรนใดๆ “ซะ...ซื่อจื่อ...ปล่อยข้า” นางใช้กำลังทั้งหมดเพื่อดิ้นรนหาอิสรภาพ ฉู่ซีเย่จึงตัดกำลังนางด้วยการผลักนางให้ติดก้อนศิลา ทำเช่นนี้เขายิ่งออกแรงบีบคอนางได้ดียิ่งขึ้น ใต้ฝ่ามือของฉู่ซีเย่รับรู้ได้ถึงชีพจรที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง รวมทั้งลมหายใจแต่ละเฮือกของนาง แววตาของนางสุกใสเอ่อคลอเป็นม่านน้ำตก ภายในนั้นสะท้านภาพใบหน้าของเขา ฉู่ซีเย่เห็นตนเองจากนัยน์ตาของนาง อารมณ์เขาพลันอ่อนลง “คิดจะทำร้ายข้ารึเปล่า” “ไม่...ไม่เจ้าค่ะ...” นางอ้อนวอนจากสายตา พยายามใช้มือแกะนิ้วของเขา ความรู้สึกว่าอากาศกำลังจะหมดลงช่างเป็นความรู้สึกทรมานจนอยากจะเอื้อนเอ่ย กำลังดิ้นรนของนางหมดลงในเวลาสั้นๆ ความทรมานส่งผลให้น้ำตาของนางเอ่อคลอจนไหลลงมาต้องหลังมือของฉู่ซีเย่ มือที่บีบคอนางปล่อย ร่างเล็กร่วงลงพื้นหิมะ นางไอด้วยความทุกข์ทรมานพร้อมซุกตัวอยู่ใต้ก้อนหิน ฉู่ซีเย่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของนางที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน ทว่ายังไม่พอ ฉู่ซีเย่ต้องการให้นางหวาดกลัวเขาเข้ากระดูกดำ ให้นางต้องรู้สึกว่าการคิดร้ายต่อเขาตามคำสั่งของหย่งสวิน เป็นเรื่องอันตรายต่อชีวิตมากกว่าที่คิด “ที่ข้าปล่อยเจ้า ไม่ใช่เพราะข้ามีเมตตา แต่เป็นเพราะข้าเบื่อหน่ายกับคนที่หย่งสวินส่งมานัก หากวันนี้เจ้าตายไป เขาก็ส่งคนใหม่มา แล้วข้าก็ต้องสิ้นเปลืองสมองจัดการเหลือบไรเช่นเจ้าอีก” ฉู่ซีเย่ดับโคมไฟตามทางเดินรวมทั้งตะเกียงของนาง ความมืออันเยียบเย็นโอบล้อมจนสะท้าน “คุณหนูเหยา จดจำรสชาตินี้ไว้ให้ดี เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าเห็นว่าเจ้ามีพฤติกรรมเข้าข่ายจะทำร้ายข้า วันนั้นข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายคามือ” เหยาอี้เหยาไม่กล้าส่งเสียง รอให้ฉู่ซีเย่จากไปแล้ว นางถึงได้กล้าร้องไห้ออกมา กลิ่นสุราที่นางสูดเข้าไปกระตุ้นแมลงคุณไสยในเวลาต่อมา เหยาอี้เหยาจับไข้หนาวสั่นทั้งคืน จางลี่จึงถูกกงจิ้งเรียกตัวมาดูแลนางอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่ครั้นจะไม่ทำก็ไม่ได้ เนื่องจากแม่ทัพกง คอยจับตามองนางว่าทำหน้าที่สาวรับใช้ดีหรือไม่ ไข้ของนางไม่ลดลงเลย รุ่งสางกงจิ้งจึงให้ซ่างเจวี๋ยไปเรียกท่านหมอมา ทว่าลู่หมิงหยุดซ่างเจวี๋ยไว้ แล้วตามหมอหลวงที่ติดตามไท่จื่อหย่งสวินมาจากเมืองหลวง โดยสาเหตุที่ไม่กล้าให้คนไปเรียกท่านหมอผู้อื่น เพราะเกรงว่าแมลงคุณไสยที่อยู่ในตัวเหยาอี้เหยาอาจถูกเปิดโปงได้ ยุคสมัยนี้เป็นยุคสงครามบ้านเมืองไม่สงบ การเข่นฆ่ามีอยู่ดาษดื่น ทว่าการใช้แมลงคุณไสยถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงอันดับหนึ่ง วิชาแมลงคุณไสยจึงหายไปจากแผ่นดินนับสิบปีแล้ว หากวันนี้ปรากฏขึ้นมาด้วยฝีมือของไท่จื่อ ลู่หมิงเกรงว่าพระองค์อาจถูกโจมตีว่าฝักใฝ่วิชาต่ำทราม ขาดคุณสมบัติขึ้นปกครอง อีกอย่างนอกจากลู่หมิงแล้ว กงจิ้งและซ่างเจวี๋ยไม่รู้ว่าเหยาอี้เหยาถูกพิษ ทราบเพียงแต่ว่านางถูกไท่จื่อบีบให้ทำงานให้ ลู่หมิงเชื่อว่าด้วยคุณธรรมของกงจิ้งและซ่างเจวี๋ย หากพวกเขารู้เรื่อง คงเปลี่ยนใจไม่มากก็น้อย “หากอี้เหยาไม่ดีขึ้น ข้าจะไปเอาเรื่องฉู่ซื่อจื่อ” ซ่างเจวี๋ยร้อนใจแต่เช้า เขาเคยเห็นคนป่วยมามาก แต่คนป่วยที่ล้มหมอนนอนเสื่อในฉับพลันมีไม่มาก นี้ล้วนต้องเป็นเพราะฉู่ซีเย่ รอยแดงช้ำบนคอนางคือฝีมือคนแซ่ฉู่ “มีปากใช้ว่าจะพูดจาส่งเดชอันใดก็ได้ ระวังหัวจะหลุดจากบ่า” “ฉู่ซื่อจื่อชาติสุนัข เขากล้าทำร้ายอี้เหยา” ซ่างเจวี๋ยเดือดดาลแต่ก็ทำอะไรฉู่ซีเย่ไม่ได้ “ท่านหมอก็ไร้สามารถยิ่ง ทั้งวันแล้วอี้เหยายังไม่ดีขึ้นแม้สักนิด” “ยาปรุงไม่ใช่ยาวิเศษ กินแล้วหายวับในทันตา” หากเวลาปกติเหยาอี้เหยาคงไม่ทรุดเร็วเพียงนี้ แต่ร่างกายนางอ่อนแอฉับพลันเพราะแมลงคุณไสย วิธีแก้คือให้กินยาระงับ ทว่าลู่หมิงหาจังหวะป้อนยาระงับแมลงคุณไสยให้นางไม่ได้ “อย่างน้อยก็ควรต้องดีขึ้นบ้างกระมัง” “จะทะเลาะไปข้างนอก ข้าต้องการความสงบ” กงจิ้งกล่าวเสียงขรึม ลู่หมิงมองตะเกียงพลางใช้ความคิด เขาต้องหาวิธิให้กงจิ้งและซ่างเจวี๋ยจากไปชั่วครู่ ไม่เช่นนั้นก็ป้อนยาให้เหยาอี้เหยาไม่ได้ “ข้าจะไปเรียกหมอมาดูอาการอี้เหยาอีกรอบ” ซ่างเจวี๋ยยกขาขัดไว้ เขามั่นใจว่าวิ่งเร็วกว่าลู่หมิงที่เดินช้าพิรี้พิไร “ข้าเอง ขืนให้เจ้าเดินไปเรียกท่านหมอ ต้นข้าวคงออกรวงได้เวลาเก็บเกี่ยว” “เช่นนั้นรบกวนแม่ทัพซ่างแล้ว” “ไม่ต้อง ข้าทำเพื่ออี้เหยา” ซ่างเจวี๋ยพูดจบก็รีบไป เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายลม กงจิ้งที่เฝ้าเหยาอี้เหยามาทั้งวันทั้งคืนรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง จึงขอตัวไปอาบน้ำพักสายตาสักครู่ แล้วจะมาผลัดลู่หมิงอีกที “เจ้าออกไปก่อน ไม่มีคำสั่งข้าไม่ต้องเข้ามา” ลู่หมิงสั่งจางลี่ เขาคอยเวลาที่ปลอดผู้คนเช่นนี้มาทั้งวันแล้ว ลู่หมิงกวาดตามองรอบด้าน จนมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดแล้ว เขาจึงหยิบยาลูกกลอนออกมาจากอกเสื้อ ป้อนใส่ปากเหยาอี้เหยาหนึ่งเม็ด เหตุการณ์ทั้งหมดที่ลู่หมิงคิดว่าไม่มีผู้ใดเห็น ล้วนตกอยู่ในสายตาของฉู่ซีเย่ ท่านหมอหลวงมาตรวจอาการเหยาอี้เหยาอีกรอบในช่วงค่ำ เขาจัดเทียบยาชุดใหม่พร้อมกล่าวเช่นเดิมว่าเหยาอี้เหยาต้องความหนาวเย็นจนล้มป่วย ยามนี้อาการยังไม่ดีขึ้น ทว่ายาเริ่มได้ผลแล้ว ชีพจรเริ่มคงที่ ไม่สับสนเช่นวันนี้ คาดว่าอีกไม่นานไข้นางน่าจะลดลง “อีกนานนี่นานเพียงใด” แม้เหยาอี้เหยาจะยังไม่ฟื้นทว่าสีหน้าของนางดีขึ้นมากแล้ว “แม่ทัพซ่าง ข้าน้อยคาดว่านางจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในวันพรุ่งนี้” หมอหลวงตอบอย่างนอบน้อม “ท่านหมอนี่คือยาเทียบใหม่รึ” กงจิ้งมองกากยาที่ถูกเทไว้ด้านข้างและยาเทียบใหม่ด้วยความสงสัย “เทียบยาไม่ได้เปลี่ยนอันใดมากมาย แล้วเหตุใดอาการนางจึงดีขึ้น” “แต่เดิมร่างกายนางไม่ได้มีปัญหาอันใด เพียงต้องความเย็นจนจับไข้ ทว่าเหตุใดจึงล้มป่วยอย่างรวดเร็วและฉับพลันปานนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบ” “มันต้องมีปัญหาสิ นางทรุดลงภายในชั่วข้ามคืน” กงจิ้งกังวลว่าฉู่ซีเย่อาจทำร้ายนางมากกว่าที่ตาเห็น “บางทีนางอาจจะมีโรคซ่อนเร้น เมื่อนางฟื้น ข้าจะตรวจให้ละเอียดอีกรอบ” หมอหลวงตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เขาไม่ทราบว่านางถูกวางยาพิษแมลงคุณไสย ด้วยในตำราแพทย์ ไม่สอนวิชานี้ ลู่หมิงคลี่คลายสถานการณ์ “ตอนนี้อี้เหยาดีขึ้นแล้ว ท่านหมอ ขอบคุณท่านมากที่พยายามเต็มที่ ข้าน้อยจะให้แม่ทัพซ่างไปส่งท่าน” ซ่างเจวี๋ยไม่ได้อยากไปส่งท่านหมอหลวง แต่ในเมื่อลู่หมิงพูดออกมาแล้ว เขาจะพูดปฏิเสธผู้มีพระคุณที่ช่วยเหยาอี้เหยาไว้ก็ไม่ได้ จึงไปส่งท่านหมอหลวงตามนั้น ภายในห้องจึงเหลือเพียงกงจิ้งและลู่หมิง “เมื่อคืนแม่ทัพกงเฝ้าอี้เหยาแล้ว คืนนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด” กงจิ้งสีหน้าเรียบนิ่ง กริชคมวาวอยู่ห่างจากหลอดอาหารราชทูตหนุ่มเพียงเส้นผม “ลู่หมิง ข้าเชื่อว่าเจ้ามีเรื่องปิดบังข้าไม่มากก็น้อย” “มีเรื่องข้องใจค่อยๆ พูดเถอะ ทำเช่นนี้ข้าเองก็กลัวนะ” สายตามกริบของกงจิ้งทำให้ลู่หมิงต้องพูดความจริงออกไป “แมลงคุณไสย” “ยาพิษชั่วร้ายพรรค์นั้น” กงจิ้งลดกริชในมือลงเงียบๆ “...นางยังเด็ก” “อาจจะไม่สบายใจที่ได้ยินเช่นนี้ แต่นางจะไม่เป็นอะไร ตราบใดที่ยังกินยาระงับพิษทุกๆ สิบห้าวัน” ลู่หมิงพูด ภายในห้องเงียบลง ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้นเหยาอี้เหยาฟื้นจากพิษไข้ในวันถัดไป ซึ่งเป็นวันกำหนดการเดินทางของฉู่ซีเย่พอดี นางร้อนใจเพราะก่อนหน้านี้ไท่จื่อหย่งสวินบอกนางไว้ว่าให้นางติดตามฉู่ซีเย่ ทำให้เขาโปรดปรานนางให้ได้ แต่ถ้าหากฉู่ซีเย่ลงใต้ไปเมืองหลวง นางก็จะเสียโอกาสในการใกล้ชิดเขานางจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนแต่รุ่งสาง แต่งตัวแล้วรีบไปพบเขาแม้จะยังไม่หายดีเรือนของฉู่ซีเย่แยกตัวห่างจากทุกเรือน นางใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเดินถึงเรือนบูรพา แจ้งเจตนากับจินเฟยว่านางต้องการพบฉู่ซีเย่ จินเฟยบอกให้นางรออยู่ด้านนอกก่อน เขาจะไปเรียนนายท่านเหยาอี้เหยารอ นางรู้สึกยังอ่อนล้าอยู่บ้างจึงนั่งลงบนพื้นหิมะ ลานโดยรอบของเรือนฉู่ซีเย่ขาวโพลน ต้นไม้ซึ่งนางเดาไม่ออกว่าคือต้นอะไรยืนไร้ใบอยู่กลางลาน ภายในไม่มีสาวรับใช้ประจำเรือน จะว่าไปนางก็ไม่เคยเห็นสาวรับใช้ของฉู่ซีเย่ หรือเขาไม่มีกันนะ“คุณหนูเหยา ซื่อจื่ออนุญาตให้ท่านเข้าพบได้”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”จินเฟยเปิดประตูให้นางเข้าไป เขารอจนนางข้ามธรณีประตูไปแล้วจึงปิดบานประตู ส่วนตนเองเฝ้าอยู่ด้านนอก ขณะนั้นฟ้ายังไม่สว่างดี ทุกอย่างยังขมุกขมัวไม่สดใสเหยาอี้เหยาเดินเข้าไปในเรือนผ่านประตูโค้งพระจันทร์ ทางเดินย
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทเมื่อเหยาอี้เหยาตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่นางเผชิญได้หายไปแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนล้าและกระหายน้ำ นอกจากนั้นร่างกายก็ไม่ได้เจ็บปวดที่ตรงไหนอีกจางลี่คล้ายจะได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงยกศีรษะขึ้นมาจากที่นอนบนพื้นแล้วมองหา ก่อนจะพบว่าเหยาอี้เหยากำลังลุกจากตั่งเตียงด้วยความทุลักทุเลจึงเข้าประคอง“คุณหนูเหยา ท่านตื่นแล้วหรือ” หลายวันมานี้จางลี่ถูกกงจิ้งคาดโทษไว้ ฐานที่ไม่ดูแลคุณหนูเหยาให้ได้ดี นางกลัวจะถูกลงโทษส่งตัวกลับบ้านเกิด จึงได้เริ่มทำตัวเหมือนสาวใช้มากขึ้น“อืม ข้าหิวน้ำ” เหยาอี้เหยานั่งหอบ นางรู้สึกราวกับได้สูญเสียกำลังจำนวนมากไป“รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปต้มน้ำชามาให้ท่าน”“ไม่เอาน้ำชา ข้าอยากได้น้ำเย็นๆ” เหยาอี้เหยาไม่รู้สึกอยากน้ำชา หรือของร้อน อาจจะเพราะร่างกายภายในยังรู้สึกร้อนผ่าวนางอยากดื่มน้ำเย็นเพื่อดับกระหาย จางลี่จึงไปรินน้ำมาให้นางดื่ม สีหน้าของนางจึงสดชื่นขึ้น“จางลี่ ช่วยเปิดหน้าต่างให้ข้าได้สูดอากาศหน่อย”“หนาวนะเจ้าคะ สองสามวันมานี้อากาศเย็นลงมาก”“ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือ” เหยาอี้เหยามองออกไปยังหน้าต่าง ละอองหิมะปลิดปลิวเข้ามาจาก
เพื่อให้เหยาอี้เหยาได้มีเวลาส่วนตัว ฉู่ซีเย่จึงได้สั่งการกงซุนหลางเอาไว้ว่าให้มอบหมายงานให้คณะราชทูตจากต้าหย่งอย่างไรบ้าง โดยจัดให้กงจิ้งและลู่หมิงทำงานเอกสารอยู่ในกรมราชทูต ส่วนซ่างเจวี๋ยถูกย้ายให้ไปประจำที่กองทหารตระเวนเมืองสำหรับเหยาอี้เหยา เพื่อให้นางสะดวกมากขึ้นในการทำงานต่างๆ ให้ฉู่ซีเย่ กงซุนหลางจึงออกหนังสือและป้ายประจำตัวให้นางเป็นราชทูตเพื่อดูงานด้านสำรวจในกรมสำรวจสำมโนครัวรถม้าจอดลงเมื่อถึงทางเข้าตรอก ถนนคับแคบจึงไม่สามารถนำรถม้าเข้าไปได้ จากนี้จึงต้องเดินเท้าอย่างเดียวเหยาอี้เหยาเดินไม่นานก็ถึงสำนักงานสำรวจสำมโนครัวของตรอกซ้าย ซึ่งเป็นหน่วยงานเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน แต่ละคนเป็นคนขยันตั้งใจทำงานทว่าเดือนก่อนเจ้าหน้าที่ประจำกรมสำรวจสำมโนครัวได้ลาออกไปคนหนึ่ง ทำให้ตำแหน่งงานของเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หายไป กงซุนหลางเห็นว่าเหยาอี้เหยาต้องการอยู่ใกล้ตรอกขวาจึงให้นางมาลงงานในส่วนนี้ แม้จะอันตรายอยู่สักหน่อย“เรียนเชิญขอรับ”ผู้ดูแลจิ่งออกมาต้อนรับ เขาได้รับจดหมายจากกงซุนหลางแล้วว่านางจะมา จึงต้อนรับนางเข้าไปด้านในกรมสำรวจสำมโนครัวอย่างนอบน้อม ตระเตรียมห้องทำงานให้นางโดย
ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายพายุหิมะกำลังก่อตัวอยู่อีกฟากของขอบฟ้านางรู้สึกตัวเพราะแรงกระแทก สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกเมื่อลืมตา คือด้านหลังของม้าที่ฉู่กวงหลินกำลังควบขี่ ความหนาวเย็นเสียดกระดูกทำให้เหยาอี้เหยาไอ ตอนนี้นางอยู่ในกรงขังโลหะที่ลากไปบนพื้นด้วยความเร็วสมองของนางประมวลผลเชื่องช้าด้วยผลกระทบจากการขาดยาทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน ถึงอย่างนั้นนางก็ยังจำได้ว่าตนเองถูกพาตัวออกมาจากคุกเพื่อเป็นตัวประกันฉากหลังของเส้นทางอันขรุขระคือกงจิ้ง เขากำลังไล่กวดฉู่กวงหลินมาในระยะกระชั้นชิด ส่วนซ่างเจวี๋ยแยกตัวไปขนาบข้าง พวกเขาไม่กล้ายิงธนูส่งเดช ด้วยกลัวจะถูกนางทว่าฉู่กวงหลินและคนของเขาไม่ใช่ ธนูนับสิบพุ่งเฉี่ยวร่างกายกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยรับมือกับคนของฉู่กวงหลินที่ดาหน้าเข้าใส่ในระยะประชิด“อี้เหยา! อดทนเอาไว้!”ซ่างเจวี๋ยส่งเสียงก้องกังวาน เนื้อตัวเปอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พยายามทุ่มเทกำลังเพื่อช่วยนางเต็มที่ทว่าเหยาอี้เหยาอ่อนแอนัก ลมหายใจนางแผ่วลงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหนาวที่พัดวูบเข้ามาในร่างไม่รู้เพราะเหตุใด แต่นางหนาวยิ่งหนาวจนเหมือนกำลังอยู่ในกองหิมะเย็นเฉียบ…“ไอ้พวกบัดซบ ฆ่าให้หมด!” ฉู่กวง
เมืองโจวอี้กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเมื่อฉู่ซีเย่กลับมา เขาปราบปรามคนของฉู่กวงหลินหมดสิ้นภายในคืนเดียว พร้อมส่งสองพี่น้องสกุลหยางกลับเมืองชงอีกทั้งประกาศออกหมายจับกบฏโทษตายของฉู่กวงหลินทำให้เจ้าเมืองชงต้องนั่งรถม้ามาขอร้องให้ฉู่ซีเย่อภัยพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวแผนการที่หย่งสวินสั่งให้ทำฉู่ซีเย่รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแผนการเพื่อโค่นอำนาจของไท่จื่อ ทำให้เขาต้องสูญเสียอำนาจในแดนเหนือ ลี้ภัยไปเมืองหลวง ทว่าแผนการของหย่งสวินไม่ได้สั่นคลอนฉู่ซีเย่อย่างที่คิด เขาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้“ซื่อจื่อ อภัยให้บุตรชายของอาสักครั้งเถิด จากนี้ไปเขาไม่กล้าอีกแล้ว” ฉู่กวงเยี่ยนคุกเข่า ร้องขอความเมตตา“เจ้าเมืองชง พูดว่าไม่กล้าแล้วช่างง่ายดาย แต่การกระทำล้วนสวนทางเช่นนี้ ข้าคงให้อภัยได้ยาก” ฉู่ซีเย่มองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย แม้จะมีสายเลือดส่วนหนึ่งจากบรรพบุรุษที่เหมือนกัน ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันใดต่อญาติผู้นี้ ความจริงเขาอยากจะส่งคนไปลากตัวฉู่กวงหลินมาสั่งสอน แต่ทำอย่างไรได้ มารดาของอีกฝ่ายเป็นคนของราชวงศ์ ไม่ว่ายังไงก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง“ถ้าหากลุงสัญญาว่าจะสนับสนุนให้แม่ทัพฉู่ขึ้นเป็นเจ้าเมื
เจ้าเมืองจะมีจวนของตนเอง เขาจึงพักอยู่ที่นั่น โดยแวะเวียนกลับมาหาน้องชายอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทันทีที่กลับเข้าเมืองมา สิ่งแรกที่ฉู่ซีห่าวทำคือกลับมาหาน้องชายทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันนานจึงชวนร่ำสุราด้วยกัน ฉู่ซีเย่นำสุราชั้นดีที่บ่มไว้ออกมาฉลองล่วงหน้าให้กับฉู่ซีห่าว พูดคุยรำลึกความหลังหนเก่า จนพูดมาถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อสามปีก่อน ในฤดูหนาวที่จะถึงในเดือนหน้าใกล้จะถึงวันล่วงลับของเจ้าเมืองฉู่คนก่อนแล้ว...“อิ่นจื่อ เรื่องเมื่อสามปีก่อนเจ้าได้บอกนางหรือเปล่า” นางในความหมายของฉู่ซีห่าวคือเหยาอี้เหยา ส่วนเรื่องเมื่อสามปีก่อน คือเรื่องเหตุการณ์ลอบสังหารที่ทำให้ฉู่หลินเสียชีวิต เขาในตอนนั้นอยู่ชายแดนกับท่านปู่ กว่าจะกลับมาได้ ท่านพ่อก็ไม่อยู่แล้ว“ต้องบอกด้วยหรือ”“วันนี้นางมองข้าด้วยความรู้สึกผิด” เมื่อครู่ฉู่ซีห่าวพบนางที่ตรอกในเมือง “ทั้งๆ ที่คนที่ควรรู้สึกผิดต่อนางควรเป็นพวกเรา”“ชาวฮั่นเป็นคนลงมือ ชาวฮั่นเป็นคนสร้างข่าวลือกลบความจริง เช่นนี้ย่อมต้องให้ชาวฮั่นรับผิดชอบ” เพราะเหตุการณ์ในอดีตทำให้สกุลเหยาต้องแบกรับความผิด ถูกตัดขาดจากสังคมและกีดกัน ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องก
แผนการทุกอย่างได้ตระเตรียมไว้แล้ว เหยาอี้เหยาระมัดระวังทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้ใครจับได้ โชคดีที่เมื่อวานมีคนก่อความวุ่นวายจึงทำให้ฉู่ซีเย่หันเหความสนใจไปจากนาง นางจึงฉวยโอกาสในเวลานั้นเพื่อหาทางติดต่อกับจี๋เฉวียน เพื่อขอความช่วยเหลือฝ่ายจี๋เฉวียนหลบเลี่ยงทหารตระเวนเมืองจนมาพบนางได้ที่ท้ายตรอก เขาไม่เอ่ยถามว่าใครกันคือคนที่นางต้องการให้อารักขาไปยังจวนว่าการประจำเมืองในวันแต่งตั้งของฉู่ซีห่าวหรือนางต้องการทำอันใด เพราะเขาเคยบอกแล้ว ไม่ว่าเรื่องใด ขอแค่นางขอร้อง เขาจะทำให้ยามอิ๋นท้องฟ้ายังมืดสนิท เหยาอี้เหยาลุกจากเตียงนอนก่อนจางลี่ นางผลัดเปลี่ยนชุดพิธีการตามที่ได้รับมอบมา ก่อนจะออกเดินทางไปสมทบกับคณะราชทูต นางนั่งบีบมือตนเองเพื่อระงับความตื่นเต้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสงบใจลงได้จิตใจนางหวั่นกลัว ยิ่งใกล้จวนว่าการเจ้าเมืองเท่าไหร่ นางก็ยิ่งกลัวขบวนของนางไปถึงจวนว่าการในลำดับแรกๆ ที่นั่งของนางอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานที่ประดับประดาไว้ด้วยธงปลิวไสว ตรงกลางมียกพื้นสำหรับวางกลองประจำเมือง ผู้คนคลาคล่ำมากมายอยู่ภายในบริเวณงาน นอกจากนี้ บริเวณกำแพงด้านนอกยังเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มารอสนับสนุนแม
หิมะตกหนักจนทั่วทุกแห่งหนขาวโพลนอาณาเขตกางกั้นระหว่างรัฐหลู่และนอกด่านมีกำแพงขวางกั้นสองชั้น แบ่งเป็นชั้นนอกและชั้นใน จินเฟยจอดรถม้าเมื่อถึงที่หมาย เขาห่อตัวเหยาอี้เหยาเอาไว้ในเสื่อเก่าๆ จึงดูไม่ต่างอะไรกับศพ อีกทั้งร่างกายของนางยังแผ่พลังหยินอันมหาศาล จนคนทั่วไปรู้สึกได้สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าให้อารมณ์เฉกเช่นศพผู้อาวุโสฉู่ยืนอยู่หลังกำแพงชั้นใน หลุบตามองม้วนเสื่อเก่าๆ อย่างเงียบๆ เขาได้รับจดหมายจากฉู่ซีเย่ว่าวันนี้จะนำตัวสายของไท่จื่อหย่งสวินมาฝากไว้ ในความหมายเหมือนจะบอกให้เขาคุมขังนางไว้ในนอกด่านตลอดชีวิตนางทว่าด้วยสภาพของนางในตอนนี้ อาจจะไม่ใช้เวลานานก็เป็นไป ไม่แน่วันนี้มะรืนนี้ นางอาจจะจากไป เพราะพลังหยินของนางไม่สมดุล สายตาของผู้อาวุโสเฉียบคม วิชาแพทย์ขั้นสูงของเขาทำให้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางถูกพิษแมลงคุณไสย ซึ่งไม่มียาถอนชีวิตนางคงอยู่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา“เรียนผู้อาวุโสฉู่ ซื่อจื่อให้บอกท่านว่านางเป็นของท่านแล้ว ท่านจะทำอย่างไรกับนางก็ถือเป็นสิทธิ์ขาดของท่าน ขอเพียงไม่ให้นางออกนอกด่านอีกเป็นพอขอรับ”“นางเป็นลูกหลานสกุลใด” อย่างน้อย หากนางตายไป เขาจะได้เขียนป้ายให้สักคำ“สกุ
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม