เมืองโจวอี้กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเมื่อฉู่ซีเย่กลับมา เขาปราบปรามคนของฉู่กวงหลินหมดสิ้นภายในคืนเดียว พร้อมส่งสองพี่น้องสกุลหยางกลับเมืองชง
อีกทั้งประกาศออกหมายจับกบฏโทษตายของฉู่กวงหลินทำให้เจ้าเมืองชงต้องนั่งรถม้ามาขอร้องให้ฉู่ซีเย่อภัยพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวแผนการที่หย่งสวินสั่งให้ทำ ฉู่ซีเย่รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแผนการเพื่อโค่นอำนาจของไท่จื่อ ทำให้เขาต้องสูญเสียอำนาจในแดนเหนือ ลี้ภัยไปเมืองหลวง ทว่าแผนการของหย่งสวินไม่ได้สั่นคลอนฉู่ซีเย่อย่างที่คิด เขาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ “ซื่อจื่อ อภัยให้บุตรชายของอาสักครั้งเถิด จากนี้ไปเขาไม่กล้าอีกแล้ว” ฉู่กวงเยี่ยนคุกเข่า ร้องขอความเมตตา “เจ้าเมืองชง พูดว่าไม่กล้าแล้วช่างง่ายดาย แต่การกระทำล้วนสวนทางเช่นนี้ ข้าคงให้อภัยได้ยาก” ฉู่ซีเย่มองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย แม้จะมีสายเลือดส่วนหนึ่งจากบรรพบุรุษที่เหมือนกัน ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันใดต่อญาติผู้นี้ ความจริงเขาอยากจะส่งคนไปลากตัวฉู่กวงหลินมาสั่งสอน แต่ทำอย่างไรได้ มารดาของอีกฝ่ายเป็นคนของราชวงศ์ ไม่ว่ายังไงก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง “ถ้าหากลุงสัญญาว่าจะสนับสนุนให้แม่ทัพฉู่ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเล่า” ฉู่กวงเยี่ยนเอ่ยปาก “ในที่ประชุมลงมติครั้งหน้า อาจะสนับสนุนให้แม่ทัพฉู่สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองเอง” ฉู่ซีเย่ยิ้มนิดๆ “แลกกับอะไร” “ขอแค่เจ้าถอนประกาศจับ ไม่ลงโทษอาหลินก็พอ” เมื่อสามเดือนก่อนทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการของหย่งสวิน จนฉู่กวงเยี่ยนคิดว่าจะสามารถโค่นอำนาจฉู่ซีเย่ได้ แต่ฉู่ซีเย่ก็คือฉู่ซีเย่ เขารู้ว่าต้องถอยเพื่อตั้งหลัก จะได้ง้างมีด ถอนรากถอนโค่นในเวลาที่เหมาะสม “ซื่อจื่อ เจ้าก็รู้ว่าลุงกับอาหลินเป็นเพียงหมากของไท่จื่อ ครั้งนี้พวกเราพ่ายแพ้ เจ้ายอมลงให้สักหนเถอะนะ” ฉู่ซีเย่ไม่ได้คิดเอาความกับพวกเขาแต่แรก ที่ออกประกาศเช่นนั้นก็เพื่อบีบให้ฉู่กวงเยี่ยนให้การสนับสนุนท่านพี่เท่านั้น “คำสั่งของข้าคงไม่อาจถอนคืน รวมทั้งสิ่งที่พูดออกไปแล้วเรียกคืนกลับมาก็เหมือนถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า ทว่า หากท่านสัญญาว่าจะสนับสนุนพี่ข้าขึ้นเป็นเจ้าเมือง ข้าอาจจะแกล้งทำเป็นลืมเรื่องนี้ก็ได้” “ลุงสาบาน ครั้งหน้าจะสนับสนุนแม่ทัพฉู่แน่” “เจ้าเมืองชง คนเราพูดแล้วต้องรักษาคำพูด หากครั้งหน้า ท่านไม่ทำตามที่พูด ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว” ฉู่ซีเย่ลุกขึ้น เปลวเทียนสั่นไหวเมื่อเขาก้าวผ่านไป กลุ่มของคณะราชทูตรวมตัวอยู่ด้านนอก ในคณะราชทูตแห่งต้าหย่ง เป็นสายให้ไท่จื่อหนึ่งคน ส่วนอีกสองคนเป็นสายให้ฝ่าบาท และมีอีกหนึ่งคนเป็นนกสองหัวอยู่ระหว่างไท่จื่อและฉู่ซีเย่ด้วยความจำยอม กล่าวโดยสรุปคือคณะราชทูตแห่งต้าหย่งล้วนไม่น่าไว้ใจ แต่ทุกครั้งยามเกิดเรื่อง พวกเขาก็รวมตัวกันช่วยเหลือกันสุดกำลังจนเมื่อทุกอย่างสงบ ค่อยทำตัวเป็นสายลับต่อ ด้านนอกยังคงหนาวเย็น ท่านหมอประจำตระกูลซ่างเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าออกห้องของซ่างเจวี๋ยเพื่อยื้อชีวิตเขา จวบจนยามโฉ่ว หมอหญิงก็ออกมาเรียนกงจิ้งและลู่หมิงว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว “ในเมื่อเขาไม่เป็นไรแล้ว ข้าขอไปจวนสกุลฉู่ก่อน” กงจิ้งกล่าว ตอนนี้เหยาอี้เหยายังอยู่กับฉู่ซีเย่โดยไม่รู้ชะตากรรม “ทางนี้ข้าจัดการเอง แม่ทัพกง ฝากยาให้อี้เหยาด้วย” กงจิ้งรับมา ออกเดินทางไปจวนสกุลฉู่ทันที “ใคร” ซ่างเจวี๋ยลืมตาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาสวมเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบมีดสั้นขว้างออกไป เฉียดท่อนแขนบัณฑิตหนุ่มไปเพียงเล็กน้อย “ข้าเอง” “รู้ ถึงได้ลงมืออย่างไรล่ะ” ซ่างเจวี๋ยไม่อาจให้อภัยลู่หมิงที่ทารุณต่ออี้เหยาน้อยได้ “นี่ยังน้อยหากเทียบกับสิ่งที่เจ้าทำต่ออี้เหยา” “ข้าเป็นคนของไท่จื่อ ไม่ทำตามคำสั่งพระองค์ไม่ได้” “คำพูดของเจ้าแปลได้ว่าถ้าไท่จื่อสั่งให้เจ้าข้านาง เจ้าก็จะฆ่ารึ” ซ่างเจวี๋ยใบหน้าซีดเพราะเสียเลือด แต่แววตายังสุกใสดังเดิม “ลู่หมิง ที่แท้แล้วไท่จื่อใช้อะไรบีบเจ้ากัน เจ้าจึงยอมฟังคำสั่งเขาทุกอย่างเช่นนี้” ลู่หมิงไม่ได้พูดอะไร เขาวางถ้วยยาไว้บนโต๊ะ “ดื่มให้หมดด้วย แผลจะได้หายดี” จวนสกุลฉู่มีกลิ่นอายเฉพาะตัว เหยาอี้เหยาจึงมักจะได้กลิ่นสมุนไพรจากตัวฉู่ซีเย่ อีกทั้งตอนนี้เขายังแผ่ไออุ่นออกมาจนร่างกายของนางเหมือนถูกกระตุ้น นางจึงลืมตาขึ้นมาจากการหลับใหล “ซื่อจื่อ” เหยาอี้เหยาขยับตัวลุกขึ้นจากตั่งเตียง นางสังเกตว่าตอนนี้ได้ย้ายกลับมาเรือนเดิมที่เคยอยู่ แสดงว่าคุณหนูหยางน่าจะถูกไล่ออกไปแล้ว รวมทั้งเขาคงจัดการฉู่กวงหลินแล้วเช่นกัน “กงจิ้งฝากยาให้เจ้า” ฉู่ซีเย่ใช้สายตาบอกว่ายาระงับพิษถูกวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เหยาอี้เหยาหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะถามเขา “ท่านมาหาข้าเพียงเพื่อจะมอบยาหรือ” เขาไม่น่าจะมีเวลาว่างมากมาย ไหนจะต้องจัดการทางฝั่งสองพ่อลูกสกุลฉู่ รวมทั้งรับตัวแม่ทัพฉู่ที่บาดเจ็บกลับมา “แน่นอนว่าไม่” “ท่านพูดธุระมาเถิด” ฉู่ซีเย่มองนาง “เจ้าจะไปพบหย่งสวินเมื่อใด” “ไม่แน่ใจ ปกติพระองค์จะมาหาข้าเอง” ตอนนี้ไท่จื่อหย่งสวินพำนักอยู่เมืองหยงหยาง ครั้งสุดท้ายที่พบกันเป็นเมื่อสามเดือนก่อน ไม่แน่ว่าครั้งถัดไปที่พระองค์เรียกพบ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนางก็ได้ “หย่งสวินยังไม่ฆ่าเจ้าหรอก” “ท่านมั่นใจได้อย่างไร” “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ยามนี้หย่งสวินตกที่นั่งลำบาก จำต้องเก็บเนื้อเก็บตัว” หากหย่งสวินเคลื่อนไหวอะไรในตอนนี้ รั้งแต่จะทำให้ฝ่าบาทระแวงในตัวเขามากขึ้น “ซื่อจื่อ ท่านทำอย่างไรถึงได้รอดกลับมาได้โดยสวัสดิภาพเช่นนี้ หรือว่าท่าน ใช้เรื่องของ…” นางคิดว่าฉู่ซีเย่อาจจะเปิดโปงความชั่วร้ายของไท่จื่อให้ฝ่าบาททราบ แต่หากเป็นเช่นนั้น ทำไมเรื่องถึงเงียบนัก “ข้าไม่จำเป็นต้องใช้นาง” ฉู่ซีเย่ช่วยหย่งเยี่ยนเพราะแผนการในอนาคต ตอนนี้จึงไม่คิดจะหยิบนางออกมาใช้ “เช่นนั้นท่านทำอย่างไร” คราวก่อนเขาให้นางยุงยงไท่จื่อให้ทำลายพระศพขององค์หญิง ที่แท้แล้วแผนการของเขาคืออย่างไรกันแน่ “คนมีอำนาจกลัวอะไรที่สุดรู้หรือไม่” ฉู่ซีเย่พูดต่อ “กลัวเสียอำนาจในมืออย่างไรล่ะ หากฝ่าบาทฆ่าข้า ปล่อยให้หย่งสวินได้เป็นใหญ่ในแดนเหนือ วันหน้าวันใด อำนาจในมืออาจถูกสั่นคลอนได้” ต่อให้อาจจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่ความกลัวก็เหมือนพิษร้ายนับวันยิ่งกัดกินเนื้อหนังมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านยุให้ฝ่าบาทระแวงไท่จื่อ พระองค์จึงปล่อยให้ท่านกลับมาถ่วงสมดุล” หากเป็นคนธรรมดา ไม่มีทางถูกยุให้แตกคอได้ง่ายๆ แต่เพราะทั้งสองมีสถานะพิเศษ ไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใด ก็สั่นคลอนเสาวิหารได้ “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” นางหัวไวใช้ได้ แม้จะซื่อไปหน่อยก็ตาม “ซื่อจื่อ หากครั้งหน้าไท่จื่อเรียกพบข้า ข้าควรเอาตัวรอดอย่างไร” ก่อนหน้านี้นางขัดคำสั่งของหย่งสวิน ขนถ่ายยาให้กองทัพปกป้องดินแดน ทำให้แม่ทัพฉู่ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นการทำลายแผนการอันใหญ่หลวง พระองค์จึงลงโทษนาง ทั้งขังคุก ทั้งสั่งงดยาจนเกือบตาย “เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า เป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องคิดหาหนทางเอาเอง” "ข้าน้อยโง่เขลา ไม่รู้ควรต้องเอาตัวรอดอย่างไร" ฉู่ซีเย่มองนางด้วยนัยน์ตาชนิดหนึ่ง "คนที่รอดมาจากเงื้อมมือของจี๋เฉวียนได้เช่นเจ้า ยังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีก" "เรื่องจี๋เฉวียนก็เป็นเพราะท่านช่วยอีกแรง ถ้าเป็นข้าคนเดียวจะเอาตัวรอดได้อย่างไร" ที่แท้นางรู้แล้วว่าฉู่ซีเย่ช่วยนาง "คุณหนูเหยา หย่งสวินยังต้องการเจ้าอยู่ ไม่ว่ายังไง ช่วงนี้เขาไม่ฆ่าเจ้าหรอก" ฉู่ซีเย่ทำลายแผนการของหย่งสวินแล้ว ตอนนี้เหยาอี้เหยาจึงกลายเป็นหมากตัวสำคัญเพื่อสอดแนมหาข้อมูล "ก็อาจจะจริง แต่ท่านว่าจะดีกว่าไหม หากท่านสามารถถอนพิษให้ข้าได้ ไท่จื่อจะได้ไม่มีอะไรมาบีบข้าได้อีก" ความหวังของนางล้วนอยู่ที่เขา แต่ฉู่ซีเย่เหมือนไม่กระตือรือร้นที่จะหายาถอนพิษให้นางเลย "ข้าบอกแล้ว พิษแมลงคุณไสยไม่มียาถอน เจ้าคิดว่าคิดค้นยาถอนมันง่ายนักหรือ" "ข้าน้อยเพียงสอบถาม หวังว่าซื่อจื่อจะปรุงยาถอนพิษสำเร็จโดยเร็ววัน ข้าน้อยจะได้ไม่ต้องทรมานอีก" ความเจ็บปวดจากการขาดยาระงับพิษ ร้ายกาจจนยากจะพรรณนา ฉู่ซีเย่ลุกขึ้น "แม้ยาถอนพิษจะไม่คืบหน้า แต่ข้ารู้วิธีทำให้เจ้าดีขึ้น" "วิธีอะไรหรือ หรือแช่น้ำเหมือนเมื่อวาน" นางดีขึ้นหลังแช่น้ำในสระไป ฉู่ซีเย่ไม่ได้บอกวิธี "เอาเป็นว่าเมื่อใดที่เจ้าอาการกำเริบ ให้มาหาข้า" คำพูดคลุมเครือของเขาทำนางฉงน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะฉู่ซีเย่ออกไปแล้ว เหยาอี้เหยานิ่งคิด เขาทำอะไรนางถึงได้ดีขึ้นขนาดนี้ เมื่อเริ่มดีขึ้นแล้ว เหยาอี้เหยาจึงตื่นเช้าทำหน้าที่ของตนเอง หรือก็คือหาข้ออ้างนัดหมายจี๋เฉวียนให้พาอามู่มาพบกัน ครั้งก่อนนางเคยสัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงอาหารจี๋เฉวียน นางจึงเตรียมเงินมาจ่ายค่าอาหารด้วย แต่เพราะตรอกซ้ายเป็นถิ่นของผู้มีอิทธิพลมืด ไม่เหมาะจะกินเลี้ยง นางจึงพาจี๋เฉวียนและอามู่ไปกินข้าวในเมือง ระหว่างที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ในโรงน้ำชา โต๊ะข้างๆ พูดถึงคุณหนูหยาง “ได้ยินว่าคุณหนูหยางผู้งดงามยังอยู่ในเมืองโจวอี้ของเรา ไม่แน่นะ บางทีนางอาจกลายเป็นพระชายาของซื่อจื่อก็ได้” “ข้าก็ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้นางอยู่ในจวนสกุลฉู่ แต่เพื่อความเหมาะสมเลยย้ายที่พำนัก” “แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด” “จวนสกุลเฉา วันก่อนเมียข้าเห็นคุณหนูหยางในสวนดอกไม้ งดงามสมคำร่ำลือ” เหยาอี้เหยาคีบเนื้อผัดเปรี้ยวหวานเข้าปาก ที่แท้คุณหนูหยางยังไม่กลับเมืองชงอีกหรือ “คุณหนูเหยา ฉู่ซื่อจื่อจะแต่งนางเป็นเมียจริงรึ” จี๋เฉวียนเอ่ยถาม “ท่านถามทำไม คงไม่คิดจะไปลักพาตัวนางมาเป็นของตัวเองใช่ไหม” จี๋เฉวียนหัวเราะ “คุณหนูเหยา ข้าเปลี่ยนไปแล้ว เรื่องพรรค์นั้นจะทำได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ดี ท่านอย่าทำเรื่องไม่ดีอีกนะ” ช่วงนี้การปราบปรามของฉู่ซีเย่ยิ่งเข้มงวดขึ้น หากจี๋เฉวียนก่อเรื่องอีก คงเกิดการปะทะอีกแน่ “ได้ ข้าจะทำแต่เรื่องดีๆ” จี๋เฉวียนกวักมือเรียกเสี่ยวเอ๋อร์ให้เพิ่มกับข้าวอีกจาน เสียงอึกทึกนอกโรงน้ำชาก็ดังขึ้น ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะตะโกนขึ้นมา “แม่ทัพฉู่กลับมาแล้ว!” “แม่ทัพฉู่หรือ” จี๋เฉวียนพูด “ได้ยินว่าฉู่ซื่อจื่อบีบให้เจ้าเมืองชงลงนามเห็นชอบให้แม่ทัพฉู่กลับมาได้” “ข้าขอตัวสักครู่” เหยาอี้เหยาวางตะเกียบ ก่อนจะลุกไปที่ระเบียง ขบวนรถม้านำโดยแม่ทัพหนุ่มกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ผู้คนห้อมล้อมตลอดสองข้างทางเพื่อต้อนรับแม่ทัพฉู่ซีห่าว ใบหน้าของเขาคล้ำแดด หนวดเคราบางๆ เสริมให้ยิ่งดูดิบเถื่อน ทว่านัยน์ตาอบอุ่นลดทอนความแข็งกร้าวของเรือนร่างสูงใหญ่ราวหินผาของเขา เหยาอี้เหยามองเขาไม่วางตา ใบหน้าคมคร้ามมีความคล้ายคลึงกับฉู่ซีเย่ เพียงแต่ซื่อจื่อจะให้อารมณ์หยิ่งยโสและเย็นชามากกว่า ฉู่ซีห่าวอ่อนไหวต่อสายตาคนที่จดจ้องเขายิ่ง แม้ว่าในกระแสสายตาจะไม่มีไอสังหารมุ่งร้าย แต่การจ้องมองของเหยาอี้เหยาก็ทำให้แม่ทัพหนุ่มต้องมองหาว่าผู้ใดกันที่กำลังมองตน จนเงยหน้าขึ้นมองไปยังโรงน้ำชา เห็นเด็กหญิงวัยแปดขวบกำลังใช้สายตาเพ่งมองเขา แถมข้างๆ ยังมีจี๋เฉวียนอยู่ด้วย นางคือเหยาอี้เหยาที่อิ่นจื่อพูดถึงซินะ ฉู่ซีห่าวทักทายด้วยการยิ้มเล็กน้อยแล้วควบม้ากลับจวน ทิ้งให้เหยาอี้เหยายืนนิ่งอยู่อีกพักใหญ่เพื่อจัดการความรู้สึกตัวเอง “เป็นอะไร” อามู่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ทำยังไงดี บุตรชายของเจ้าเมืองโจวอี้กลับมาแล้ว” คนทั้งเมืองล้วนโกรธแค้นนางกับท่านตา ดังนั้นเมื่อออกจากจวนสกุลฉู่ เหยาอี้เหยาจะละทิ้งฐานะของตัวเองเสมอ เพื่อกันจะถูกรุมทำร้าย แม้เมื่อครู่แม่ทัพฉู่จะยิ้มให้นาง แต่ในใจเขาจะไม่โกรธเคืองนางเลยจริงหรือ ในเมื่อใครๆ ก็พูดกันว่าท่านตายิงธนูสังหารเจ้าเมืองฉู่เจ้าเมืองจะมีจวนของตนเอง เขาจึงพักอยู่ที่นั่น โดยแวะเวียนกลับมาหาน้องชายอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทันทีที่กลับเข้าเมืองมา สิ่งแรกที่ฉู่ซีห่าวทำคือกลับมาหาน้องชายทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันนานจึงชวนร่ำสุราด้วยกัน ฉู่ซีเย่นำสุราชั้นดีที่บ่มไว้ออกมาฉลองล่วงหน้าให้กับฉู่ซีห่าว พูดคุยรำลึกความหลังหนเก่า จนพูดมาถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อสามปีก่อน ในฤดูหนาวที่จะถึงในเดือนหน้าใกล้จะถึงวันล่วงลับของเจ้าเมืองฉู่คนก่อนแล้ว...“อิ่นจื่อ เรื่องเมื่อสามปีก่อนเจ้าได้บอกนางหรือเปล่า” นางในความหมายของฉู่ซีห่าวคือเหยาอี้เหยา ส่วนเรื่องเมื่อสามปีก่อน คือเรื่องเหตุการณ์ลอบสังหารที่ทำให้ฉู่หลินเสียชีวิต เขาในตอนนั้นอยู่ชายแดนกับท่านปู่ กว่าจะกลับมาได้ ท่านพ่อก็ไม่อยู่แล้ว“ต้องบอกด้วยหรือ”“วันนี้นางมองข้าด้วยความรู้สึกผิด” เมื่อครู่ฉู่ซีห่าวพบนางที่ตรอกในเมือง “ทั้งๆ ที่คนที่ควรรู้สึกผิดต่อนางควรเป็นพวกเรา”“ชาวฮั่นเป็นคนลงมือ ชาวฮั่นเป็นคนสร้างข่าวลือกลบความจริง เช่นนี้ย่อมต้องให้ชาวฮั่นรับผิดชอบ” เพราะเหตุการณ์ในอดีตทำให้สกุลเหยาต้องแบกรับความผิด ถูกตัดขาดจากสังคมและกีดกัน ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องก
แผนการทุกอย่างได้ตระเตรียมไว้แล้ว เหยาอี้เหยาระมัดระวังทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้ใครจับได้ โชคดีที่เมื่อวานมีคนก่อความวุ่นวายจึงทำให้ฉู่ซีเย่หันเหความสนใจไปจากนาง นางจึงฉวยโอกาสในเวลานั้นเพื่อหาทางติดต่อกับจี๋เฉวียน เพื่อขอความช่วยเหลือฝ่ายจี๋เฉวียนหลบเลี่ยงทหารตระเวนเมืองจนมาพบนางได้ที่ท้ายตรอก เขาไม่เอ่ยถามว่าใครกันคือคนที่นางต้องการให้อารักขาไปยังจวนว่าการประจำเมืองในวันแต่งตั้งของฉู่ซีห่าวหรือนางต้องการทำอันใด เพราะเขาเคยบอกแล้ว ไม่ว่าเรื่องใด ขอแค่นางขอร้อง เขาจะทำให้ยามอิ๋นท้องฟ้ายังมืดสนิท เหยาอี้เหยาลุกจากเตียงนอนก่อนจางลี่ นางผลัดเปลี่ยนชุดพิธีการตามที่ได้รับมอบมา ก่อนจะออกเดินทางไปสมทบกับคณะราชทูต นางนั่งบีบมือตนเองเพื่อระงับความตื่นเต้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสงบใจลงได้จิตใจนางหวั่นกลัว ยิ่งใกล้จวนว่าการเจ้าเมืองเท่าไหร่ นางก็ยิ่งกลัวขบวนของนางไปถึงจวนว่าการในลำดับแรกๆ ที่นั่งของนางอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานที่ประดับประดาไว้ด้วยธงปลิวไสว ตรงกลางมียกพื้นสำหรับวางกลองประจำเมือง ผู้คนคลาคล่ำมากมายอยู่ภายในบริเวณงาน นอกจากนี้ บริเวณกำแพงด้านนอกยังเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มารอสนับสนุนแม
หิมะตกหนักจนทั่วทุกแห่งหนขาวโพลนอาณาเขตกางกั้นระหว่างรัฐหลู่และนอกด่านมีกำแพงขวางกั้นสองชั้น แบ่งเป็นชั้นนอกและชั้นใน จินเฟยจอดรถม้าเมื่อถึงที่หมาย เขาห่อตัวเหยาอี้เหยาเอาไว้ในเสื่อเก่าๆ จึงดูไม่ต่างอะไรกับศพ อีกทั้งร่างกายของนางยังแผ่พลังหยินอันมหาศาล จนคนทั่วไปรู้สึกได้สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าให้อารมณ์เฉกเช่นศพผู้อาวุโสฉู่ยืนอยู่หลังกำแพงชั้นใน หลุบตามองม้วนเสื่อเก่าๆ อย่างเงียบๆ เขาได้รับจดหมายจากฉู่ซีเย่ว่าวันนี้จะนำตัวสายของไท่จื่อหย่งสวินมาฝากไว้ ในความหมายเหมือนจะบอกให้เขาคุมขังนางไว้ในนอกด่านตลอดชีวิตนางทว่าด้วยสภาพของนางในตอนนี้ อาจจะไม่ใช้เวลานานก็เป็นไป ไม่แน่วันนี้มะรืนนี้ นางอาจจะจากไป เพราะพลังหยินของนางไม่สมดุล สายตาของผู้อาวุโสเฉียบคม วิชาแพทย์ขั้นสูงของเขาทำให้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางถูกพิษแมลงคุณไสย ซึ่งไม่มียาถอนชีวิตนางคงอยู่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา“เรียนผู้อาวุโสฉู่ ซื่อจื่อให้บอกท่านว่านางเป็นของท่านแล้ว ท่านจะทำอย่างไรกับนางก็ถือเป็นสิทธิ์ขาดของท่าน ขอเพียงไม่ให้นางออกนอกด่านอีกเป็นพอขอรับ”“นางเป็นลูกหลานสกุลใด” อย่างน้อย หากนางตายไป เขาจะได้เขียนป้ายให้สักคำ“สกุ
หอสราญรมย์มีแขกผู้ไม่คาดฝันมาเยือนในยามวิกาล เจ้าของหอรีบลงมาต้อนรับโดยทันที ไม่กล้าชักช้า"หากผู้น้อยต้อนรับผิดพลาดประการใด ขอซื่อจื่อโปรดอภัย"หอสราญรมย์ขึ้นชื่อเรื่องอาหารและที่พัก แขกของหอเป็นคนชั้นสูงมีเงิน แต่ฉู่ซีเย่คือระดับสูงกว่านั้น จนทำให้หอเลื่องชื่อเป็นเพียงที่พักดาษดื่นเถ้าแก่ถึงกลับต้องตบหน้าตนเองสามครั้ง ถึงจะเชื่อว่าไม่ได้ฝันไป"ซื่อจื่อขอรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการห้องแบบใด ผู้น้อยจะจัดการหาให้ท่านโดยทันที"ฉู่ซีเย่กล่าวยิ้มๆ ไม่อยากให้ทำเป็นเรื่องใหญ่ "ขอทุกห้องที่ว่าง"รถม้าเคลื่อนที่ไปบนถนนหินของเมือง ผ่านร้านรวงสองข้างทาง จนออกมานอกงานเทศกาลฤดูหนาวอันครึกครื้นในเวลาต่อมากระแสอำมหิตที่นางเคยรู้สึกหายไปแล้ว จึงเตรียมตัวที่จะหลบหนีไปจากตรงนี้เหยาอี้เหยาแก้เชือกที่มัดมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะรั้งเชือกเอาไว้ในมือ ผูกเป็นปมให้คล้ายนางยังถูกมัดอยู่ แต่กระตุกนิดเดียวก็หลุดคนของแม่เล้าควบคุมรถม้าอยู่หนึ่งคน ส่วนที่เหลือขนาบข้างซ้ายขวา ดื่มสุราในขวดน้ำเต้าพร้อมพูดคุยอย่างออกรสชาติ มึนเมาพอสมควรถนนเส้นนี้เป็นถนนสายรอง ยามปกติก็ไม่ค่อยมีคน ยิ่งยามนี้มีงานเทศกาลฤดูหนาวพอดี จึ
“ใครให้เจ้าไป”สองเท้าของเหยาอี้เหยาหยุดโดยพลัน แต่ครั้นจะหันกลับมาอีกก็กลัวเหลือเกินว่าจะถูกเขาจับได้ นางกลัดกลุ้ม ไม่รู้ควรทำอย่างไร“รินสุราให้ข้า” เขาสั่งภายในห้องมีกาสุราอยู่ใกล้อ่างไม้ ขอเพียงฉู่ซีเย่เอื้อมมือไปหยิบเท่านั้น ทว่าเขาเหมือนเกียจคร้านเกินกว่าที่จะทำเอง“ไม่ได้ยินรึ ข้าสั่งเจ้าให้รินสุรา” น้ำเสียงเขาเริ่มเข้มขึ้น นางจึงต้องค้อมตัวอ้อมหลังเขาไปรินสุราให้อย่างระมัดระวัง พยายามก้มหน้าก้มหน้าไม่เปิดเผยพิรุธเมื่อรินสุราให้แล้ว นางก็ค่อมกายคารวะถอยห่างออกไปยืนข้างๆ ฉากกั้น ใช้สมองคิดว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อหลบออกไปจากสถานการณ์ในตอนนี้ โดยไม่รู้เลยว่านางตกอยู่ในสายตาของฉู่ซีเย่ผ่านกระจกทองเหลืองนัยน์ตาเขามองนางอย่างจับจ้องทุกสัดส่วน ขณะใช้นิ้วเรียวจับจอกสุรา มองวิเคราะห์ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือตั้งแต่หัวคิ้วลงมาถึงริมฝีปาก หกปีก่อนนางเป็นเพียงเด็กหญิง ทว่าบัดนี้เริ่มเผยเค้าโครงของหญิงสาวในคราบเด็กหนุ่มหน้าดำฉู่ซีเย่ยอมรับว่านางไม่เหมือนเดิม พูดให้ถูกคือเขาคงจำนางไม่ได้หากพบกันตามถนนหนทาง แต่บนร่างนางมีพลังหยินเย็นยะเยือก เขารู้สึกถึงนาง ก่อนที่นางจะปรากฏตัวขึ้นเสียอีกเหยาอี้เ
ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัว อากาศเย็นทำให้เหยาอี้เหยาต้องพกเตาอุ่นสองตัว นางเดินกับเมียนเมี่ยนไปบนทางสายหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาป้าจางนางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่กล่าว ทั้งยังเชื่อในสิ่งที่เขาพูดทุกคำ ทว่านางได้นัดหมายไว้แล้ว อีกทั้งท่านไป๋เซียนหลางเป็นผู้แตกฉานในเรื่องพิษยิ่งกว่าผู้ใดจากเจียงหนาน ชาตินี้นางอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกเลยก็ได้ ดังนั้นแม้นางจะรู้แล้วว่าพบท่านไป๋เซียนหลางก็อาจจะไม่สามารถหายาถอนพิษได้ แต่นางอาจจะได้เรียนรู้เรื่องดีๆ จากเขาก็ได้เหยาอี้เหยาคิดว่าการขอร้องให้ฉู่ซีเย่นอนข้างนางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นางจึงอยากลองหาวิธีอื่นๆ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินผู้อาวุโสฉู่ไม่ได้ห้ามนางมาพบท่านไป๋เซียนหลาง เขาเพียงบอกว่าให้นางรีบกลับไปในวันสองวันนี้ เขาจะได้ฝากนางกลับเข้าไปในจวนสกุลฉู่หิมะตกหนาหลายชุ่นปกคลุมอยู่เหนือหลังคาทรงสูง บริเวณชั้นสองของระเบียงที่ยื่นออกมามีชายผู้หนึ่งนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนนั้น ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้หมวกสีขาว สีเดียวกับชุดที่สวมอยู่บนร่าง ท่วงท่าสง่างามเรียบง่ายของเขาทำให้ผู้พบเห็นไม่อยากเสียมารยาทด้วย“ผู้นั้นแหละ ไป๋เซียนหลาง เขาไม่อนุญาตให้
บทสนทนาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องรับรองอยู่ในการรับรู้ของเหยาอี้เหยา กระนั้นนางก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าผู้อาวุโสกับฉู่ซีเย่พูดเรื่องอันใดกันอยู่ฉู่เซียนเซิงบอกว่าข้าไม่เข้าใจรึ?ไม่สิ นางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่พูดแน่นอน การนอนกับซื่อจื่อ ก็คือการร่วมเตียงนอนหลับด้วยกันมิใช่หรือ?หรือว่านางจะฟังผิดไปกันแน่ บางที อาจจะไม่ง่ายเช่นนั้นก็ได้ คิดได้อย่างนั้นนางจึงแนบหูฟังอย่างจดจ่อ จะได้ไม่ตีความอันใดผิด ระหว่างนี้นางก็คิดทบทวน เมื่อครู่ตอนผู้อาวุโสขอร้องให้นาง ฉู่ซีเย่ไม่ได้ปฏิเสธอันใดนี่แสดงว่าซื่อจื่อรับนางกลับไปแล้วใช่หรือไม่?แต่ในห้องไม่พูดอันใดแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นางรออยู่ประมาณครึ่งถ้วยชา ถึงได้ยินฉู่ซีเย่กล่าวลาผู้อาวุโสฉู่“ข้างนอกอากาศเย็น ข้าจะให้จินเฟยไปส่งท่าน”เขาจะไปแล้วรึ?นางเล่า?เท้าของนางรวดเร็วกว่าสมองอยู่บ้าง เมื่อได้ยิน เส้นชีพจรเท้าก็รีบออกเดินไปก่อน แม้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างว่าคงต้องอยู่กับฉู่ซีเย่ แต่ผู้อาวุโสฉู่จะทิ้งนางได้อย่างไรกันอย่างน้อยนางก็อยากจะให้เขาอยู่กับนางด้วย ระหว่างที่ต้องนอนหลับกับฉู่ซีเย่ แต่จะว่าไปนางก็ไม่ได้ถามผู้อาวุโสเ
เมื่อถึงนอกด่าน เหยาอี้เหยารีบจัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ของตนเอง รวมทั้งขอให้ผู้ดูแลจิ่ง จากกรมสำรวจสำมโนครัวตรอกซ้ายโอนย้ายชื่อของนางกลับเข้าเมือง ตามที่ฉู่ซีเย่ได้อนุญาตเป็นรายลักษณ์อักษร เหยาอี้เหยาบอกลาฟั่นฟั่นแล้วจึงเดินทางไปอยู่กับเมียนเมี่ยน จี๋เฉวียน และอามู่อีกหนึ่งวัน เมื่อได้ร่ำลาทุกคนแล้ว นางจึงเดินทางเข้าเมือง โดยมีผู้อาวุโสฉู่ไปส่งที่ประตูเมือง ใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดสามวัน “ฉู่เซียนเซิง ข้าน้อยขออนุญาตจอดรถม้าตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของท่านตา นางจึงตั้งใจนำสุรามาเซ่นไหว้ แต่นางมีพลังหยินมาก ทำให้เข้าใกล้สุสานซึ่งมีแต่พลังหยินของศพไร้ญาติไม่ได้ ตลอดหกปีมานี้ จึงไม่ได้มาเลย “ข้าน้อยไม่เข้าใกล้หรอกเจ้าค่ะ แค่อยากอยู่ตรงนี้สักครู่” “จอด” ฉู่ซวิ่นส่งเสียงขึ้นโดยที่ไม่ลืมตา “ใช้เวลาตามสบายเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลงจากรถม้า เหนือเนินเขาอันขาวโพลนมีกิ่งก้านต้นไม้แห้งแล้งยืนต้นอย่างเดียวดาย ส่วนอีกฟากมีที่รกร้างสำหรับฝังศพอนาถาและนักโทษ… สายลมหนาวพัดโชยจนเสื้อคลุมปลิว เตาอุ่นในมือดับลง กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังเดินต่อไป จนแรงต้านของพล
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม