“ใครให้เจ้าไป”
สองเท้าของเหยาอี้เหยาหยุดโดยพลัน แต่ครั้นจะหันกลับมาอีกก็กลัวเหลือเกินว่าจะถูกเขาจับได้ นางกลัดกลุ้ม ไม่รู้ควรทำอย่างไร “รินสุราให้ข้า” เขาสั่ง ภายในห้องมีกาสุราอยู่ใกล้อ่างไม้ ขอเพียงฉู่ซีเย่เอื้อมมือไปหยิบเท่านั้น ทว่าเขาเหมือนเกียจคร้านเกินกว่าที่จะทำเอง “ไม่ได้ยินรึ ข้าสั่งเจ้าให้รินสุรา” น้ำเสียงเขาเริ่มเข้มขึ้น นางจึงต้องค้อมตัวอ้อมหลังเขาไปรินสุราให้อย่างระมัดระวัง พยายามก้มหน้าก้มหน้าไม่เปิดเผยพิรุธ เมื่อรินสุราให้แล้ว นางก็ค่อมกายคารวะถอยห่างออกไปยืนข้างๆ ฉากกั้น ใช้สมองคิดว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อหลบออกไปจากสถานการณ์ในตอนนี้ โดยไม่รู้เลยว่านางตกอยู่ในสายตาของฉู่ซีเย่ผ่านกระจกทองเหลือง นัยน์ตาเขามองนางอย่างจับจ้องทุกสัดส่วน ขณะใช้นิ้วเรียวจับจอกสุรา มองวิเคราะห์ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือตั้งแต่หัวคิ้วลงมาถึงริมฝีปาก หกปีก่อนนางเป็นเพียงเด็กหญิง ทว่าบัดนี้เริ่มเผยเค้าโครงของหญิงสาวในคราบเด็กหนุ่มหน้าดำ ฉู่ซีเย่ยอมรับว่านางไม่เหมือนเดิม พูดให้ถูกคือเขาคงจำนางไม่ได้หากพบกันตามถนนหนทาง แต่บนร่างนางมีพลังหยินเย็นยะเยือก เขารู้สึกถึงนาง ก่อนที่นางจะปรากฏตัวขึ้นเสียอีก เหยาอี้เหยาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของฉู่ซีเย่ นางจึงเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อพบว่าเขามองนางอยู่ตลอด ราวกับเขารู้ดีว่านางคือใคร “สุนัขย่อมเป็นสุนัข ยากจะถอดหนังเป็นเสือ” สายตาของเขาเหมือนจะบอกว่า ตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร จะเผยตัวตนหรือจะให้เขากระชากหน้ากากออกมา “ซื่อจื่อ…” เมื่อถูกจับได้นางก็ไม่ดันทุรัง ยอมรับง่ายๆ โทษหนักอาจจะเบาลง นางคิดเพียงว่าเมื่อหกปีก่อนเขาไม่ฆ่านาง ตอนนี้ก็คงไม่ฆ่า อีกอย่างนางไม่ใช่สายของไท่จื่อแล้ว ระหว่างนางและเขาไม่มีเรื่องให้ต้องทำร้ายกัน “เจ้าออกมาจากนอกด่าน ขัดคำสั่งข้า” สุ้มเสียงเขาเรียบๆ ฟังไม่ออกว่าอารมณ์เป็นเช่นไร “ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” “ผิดที่ใด” ก่อนหน้านี้ฉู่ซีเย่ไม่ให้นางออกมาจากนอกด่านเพราะเกรงว่าจะติดต่อกับผู้อื่นได้ รวมทั้งอาจจะถูกไท่จื่อเก็บเงียบๆ แม้ตอนนี้อำนาจของไท่จื่ออ่อนลงมากแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี อีกอย่างนอกด่านแม้จะโหดร้ายป่าเถื่อน แต่ที่นั่นมีอาจารย์ เขาจึงโยนนางที่ใกล้จะสิ้นชีวิตไปที่นั่น “ข้าน้อย...” “ความผิดของเจ้าคือขัดคำสั่งข้า” น้ำอุ่นกระฉอกออกมาจากอ่างน้ำตามการเคลื่อนไหวของฉู่ซีเย่ เทียนไขในห้องดับสนิท เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวม ทั้งห้องเงียบงันเหลือเพียงเสียงน้ำหยดจากขอบอ่าง “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่งของท่าน แต่ข้าน้อยจำเป็นต้องออกมา” ปีนั้นที่ฉู่ซีเย่อยากกำจัดนางเป็นเพราะนางคือคนของไท่จื่อ คิดหักหลังเขา แต่ตอนนี้วันเวลาผ่านไปแล้ว เขาไม่ใช่คนใจแคบที่จะกำจัดนางอีก แต่กระนั้นการปล่อยนางไปก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำ ฉู่ซีเย่เกิดความรู้สึกสับสนครู่หนึ่ง เขาไม่อยากปล่อยนางไปรึ? “เจ้าหนีมาทำไม” “ท่านเมตตาข้าเถอะเจ้าคะ ข้าน้อยออกมาเพราะเป็นห่วงจางลี่” “แล้วอย่างไร คนที่เจ้าเป็นห่วงนักหนา ตอบแทนเจ้าอย่างเจ็บแสบเช่นนี้” “นางคงจะโกรธ เพราะข้านางจึงถูกท่านขายให้หอโคมเขียว” เหยาอี้เหยาเห็นนัยน์ตาเขาวาววับก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ข้าน้อยไม่ได้กล่าวโทษท่านนะเจ้าคะ ท่านเป็นนาย สิทธิใดๆ ล้วนเป็นของท่าน” ฉู่ซีเย่เอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าข้าขายนางให้หอนางโลมทำไม” เพราะท่านอำมหิตอย่างไรล่ะ? ในใจนางคิดเช่นนี้ แต่ไม่ได้พูดออกไป “ข้าน้อยไม่ทราบเจ้าค่ะ” “คุณหนูเหยา ในสายตาเจ้า จางลี่เป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์รึ” “ไม่เจ้าค่ะ” ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ จางลี่ก็ไม่เคยซื่อสัตย์ นางขโมยเงินทอง ขายนางให้ผู้อื่น “งั้นมีเหตุผลอันใดให้เจ้าเก็บคนเช่นนั้นไว้” เหยาอี้เหยาไม่เคยคิดถึงเหตุผลข้อนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาถาม นางถึงได้คิด ความจริงตอนนั้นนางโดดเดี่ยวและหวาดกลัว รอบข้างไม่มีใครสักคน มีแต่จางลี่ที่ถึงแม้จะไม่จริงใจต่อนาง แต่ก็อยู่กับนาง คงเพราะอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรนางถึงมองข้ามไป “โง่เขลายิ่ง” ฉู่ซีเย่พูดไม่ผิด นางเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ “ซื่อจื่อ ข้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าท่านจะปล่อยคนโง่เขลาอย่างข้าน้อยไปสักครั้งได้หรือไม่ แม้ข้าน้อยจะทำผิด แต่ก็เป็นความผิดครั้งแรก อีกทั้งข้าน้อยยังมีชีวิตได้อีกไม่นาน ท่านเมตตาปล่อยข้าน้อยไปสักหนเถอะนะเจ้าคะ” หากเขาอยากฆ่านาง ย่อมง่ายดายราวถอนขนทิ้ง แต่หกปีมานี้เขาไม่ได้ทำอันใด “ข้าล่ามโซ่เจ้าไว้รึ อยากไปไยต้องถามข้า” คำตอบของเขาเหนือความคาดหมายของนางอยู่บ้าง จึงพยายามทำความเข้าใจคำพูดของเขาอย่างละเอียด แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก เขาอนุญาตให้นางไปได้ ดียิ่ง! “ไม่มีคำสั่งของท่าน ข้าน้อยจะไม่ออกมาอีก” นางให้คำมั่นเอาไว้ก่อนจะออกไปทางประตูหลัง ปล่อยให้ฉู่ซีเย่อยู่ภายในห้องเพียงลำพัง เปลวไฟจากเทียนไขกลับมาส่องสว่างอีกหน แสงนวลทาบบนซีกหน้าของเขา เผยให้เห็นเค้าโครงใบหน้าอันคลุมเครือยิ่ง ทั้งสามตามรอยเข็มทิศของลู่หมิงมาถึงที่หมาย บริเวณหน้าหอโคมเขียวและหอข้างเคียงอย่างหอสราญรมย์ไม่สงบ กงจิ้งสอบถามชาวบ้านแถวนั้นได้ความว่าเมื่อครึ่งชั่วยามมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังเรื่องราวอย่างออกรสชาติ จับใจความได้ว่า ก่อนหน้านี้หวงมามาให้คนจับตัวคุณชายยาจกมารับแขก แต่ฝ่ายเจ้าตัวหลบหนีไปหอสราญรมย์ อันหอสราญรมย์นั้น แต่เดิมก็เป็นหอชั้นยอดของสกุลเหมา จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน หวงมามาจึงทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้คุณชายน้อยหนีไปอย่างนั้น “เป็นคุณชายน้อยรึ หน้าตาเขาเป็นอย่างไร” กงจิ้งเอ่ยถาม “หน้าตาประมาณนี้หรือไม่” ซ่างเจวี๋ยล้วงภาพเหมือนของเหยาอี้เหยาออกมาให้กลุ่มผู้ให้เบาะแสดู เขามั่นใจว่าเข็มทิศของลู่หมิงใช้การได้ คนทั้งหมดรุมดูภาพก่อนจะตอบอย่างพร้อมเพรียง “ไม่ๆ หน้าตาเด็กคนนั้นขี้ริ้วขี้เหร่ยิ่ง” “ใบหน้าดำคล้ำไม่เหมือนคนในภาพหรอก ใช่มั้ย เจ้าก็เห็น” “ไม่มีอันใดน่าดึงดูดใจใดๆ เหมือนเด็กขายถ่านเสียมากกว่า” ลู่หมิงยิ้มรับเงียบๆ ก่อนจะหันมองทั้งกงจิ้งและซ่างเจวี๋ย หากคุณชายน้อยผู้นั้นมีใบหน้าขี้เหร่ ไม่มีทางที่หวงมามาจะอยากได้ตัวมา กระนั้นเข็มทิศก็ไม่ขยับแล้ว... “ขอบคุณท่านป้าทั้งหลายที่ให้ข้อมูล พวกข้าน้อยขอตัวก่อน” แม้เหน็ดเหนื่อยเพียงใดแต่เหยาอี้เหยาไม่กล้าหย่อนยานรั้งตัวอยู่ต่อ นางรีบโดยสารรถขนสินค้าเที่ยวแรกจากเมืองโจวอี้กลับนอกด่านโดยเร็ว แต่ด้วยความเหนื่อยล้า ทำให้นางเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ต้องเปลี่ยนรถม้าเป็นรถเลื่อน น้ำแข็งของทะเลสาบแข็งตัวอย่างดี ทำให้สามารถลากรถเลื่อนผ่านไปได้ในฤดูหนาว ระหว่างข้ามหุบเขาจะมีเนินราบๆ อยู่อย่างโดดเดี่ยว ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่าที่นั้นคือหลุมศพเอาไว้ฝังนักโทษหรือศพไร้นาม จนกระทั่งเมียนเมี่ยนบอกว่าแม่ทัพหลิน ท่านตาของนางเองก็ถูกฝังอยู่ที่นั้น ปีนั้นเพื่อลดทอนความโกรธแค้นของชาวแดนเหนือ ราชวงศ์จึงไม่ได้พยายามนำร่างท่านตากลับไป แปดปีหลังจากนั้น ท่านตาจึงยังอยู่ที่นอกด่าน ในฐานะของนักโทษกบฏ เหยาอี้เหยาคุกเข่าคารวะท่านตาจากบนรถขนของ นางไม่สามารถเข้าใกล้ไปได้มากกว่านี้ หรือทำอะไรให้ท่านตาเช่นกัน แต่นางสัญญา นางจะทำให้ท่านตากลับบ้านอย่างสมเกียรติให้ได้ เพราะฉะนั้นนางจะตายไปก่อนไม่ได้ นางต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพาท่านตากลับบ้าน รวมทั้งลบล้างคำครหาที่กล่าวว่าท่านตาเป็นกบฏ นางไม่เชื่อว่าท่านตาจะเป็นคนอย่างนั้น “นายน้อย! ท่านกลับมาก่อนเวลารึ” ฟั่นฟั่นเที่ยวตระเวนหาข่าวสารอยู่ทั่วทุกมุมของนอกด่านเป็นงานรอง แต่งานหลักคือรับจ้างปัดกวาดเช็ดถูในกรมสำมโนครัว “อัยย่า! ทำไมท่านมีสภาพเช่นนี้ได้ ถูกคนไล่ตีมารึ” โดยทั่วไปคนในเมืองโจวอี้บางกลุ่มไม่ต้อนรับชาวนอกด่าน บางรายถึงขั้นลงมือทุบตีจนตายก็มี ในทางกลับกัน ชาวนอกด่านก็ไม่ชอบชาวเมือง เหยาอี้เหยาจึงมีชีวิตอย่างยากลำบาก นางไม่เป็นที่ต้อนรับของที่ใดเลย “เปล่า แต่ก็ใกล้เคียง ฟั่นฟั่น ฉู่เซียนเซิงกลับมาแล้วหรือยัง” ผู้อาวุโสไม่ค่อยอยู่กับที่ เขาชอบไปที่นู่นมาที่นี่ตลอดเวลาแต่อีกสองวันจะเป็นวันกินยา เขาน่าจะกลับมาวันนี้ไม่ก็พรุ่งนี้ “กลับมาแล้วขอรับ” “งั้นรึ” ฟั่นฟั่นเอ่ยถามพร้อมมองนาง “นายน้อย ท่านคงไม่ได้ลืมคำพูดก่อนจะไปเมืองหรอกใช่ไหมขอรับ ที่บอกว่าจะให้เงินข้าสี่อีแปะน่ะ” “ไม่ลืม นี่เงินของเจ้าเอาไปสิ” เหยาอี้เหยาเก็บสะสมเงินทองเอาไว้จำนวนหนึ่งเพื่อใช้จ่าย หกปีมานี้นางจึงกระเบียดกระเสียด เงินก้อนใหญ่ที่สุดที่ใช้ไปก็คือเงินไถ่ตัวจางลี่ ซึ่งแม้จะถูกหักหลัง แต่นางก็ไม่เสียใจ “ขอบคุณนายน้อย ท่านดีที่สุดเลย” ฟั่นฟั่นเก็บเงินไว้ในอกเสื้ออย่างสุขใจ “ถามหน่อยสิ เจ้าจะเก็บเงินไปทำอันใดรึ” ตั้งแต่พึ่งหัดคลานได้ ฟั่นฟั่นก็หาเงินตัวเป็นเกลียว ทำตั้งแต่ขอทานยันส่งของ เรียกว่าอะไรได้เงินก็ทำหมด “ข้าน้อยมีความฝัน” “อะไรรึ” “อยากย้ายท่านแม่ไปอยู่ในเมืองโจวอี้” สำหรับคนที่เกิดในนอกด่านแล้ว ความฝันเดียวของคนที่นี่คือโอกาส...ที่จะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ “นายน้อย แล้วท่านล่ะ ท่านก็เก็บเงินมากมาย คิดจะเอาไปทำอันใดรึ” “ข้าตั้งใจว่าใครทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็จะเอาเงินให้คนนั้น” สถานที่นัดหมายของนางกับเมียนเมี่ยนคือโรงน้ำชาป้าจาง นางต้องการข้อมูลของราชาพิษนามเลื่องชื่อที่พเนจรอยู่ทั่วแดนเหนือในตอนนี้จากเมียนเมี่ยน “คนผู้นั้นชื่อว่า ไป๋เซียนหลาง เป็นผู้แตกฉานด้านยาพิษ ว่ากันว่าวิชาของเขาร้ายกาจมาก ทั้งยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนัก เป็นนักปรุงพิษแมลงคุณไสยคนสุดท้ายของเจียงหนาน” “พบที่อยู่เขาแล้วหรือยัง” “แน่นอน รอเจ้ารับยาจากผู้อาวุโสฉู่ ข้าจะพาเจ้าไป” “ได้ รบกวนเจ้าแล้วเมียนเมี่ยน” ความหวังของนางลุกโชน เฝ้ารอคอยรุ่งเช้าด้วยความจดจ่อ ก่อนหน้านี้เหยาอี้เหยาต้องรับยาจากไท่จื่อเดือนละสองหน แต่ตำรับยาของผู้อาวุโสฉู่กินเพียงเดือนละครั้ง ทุกครั้งผู้อาวุโสฉู่จะนำยามาให้นางด้วยตนเอง ไม่เกินยามซื่อของวันนั้นๆ เหยาอี้เหยารอไม่นาน ผู้อาวุโสฉู่และคนติดตามก็เดินเข้ามาจากประตูรั้ว นางรีบให้การต้อนรับ จัดเตรียมน้ำชาที่อีกฝ่ายไม่เคยแตะต้อง “ฉู่เซียนเซิง อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” ผู้อาวุโสฉู่ไม่กล่าวอันใด หยิบยาออกมาจากแขนเสื้อเพื่อมอบให้นาง เหยาอี้เหยาเปิดตลับมากินยาลูกกลอน กลืนลงคอให้ผู้อาวุโสฉู่สบายใจ “เดินกลับอย่างระมัดระวังนะเจ้าคะ เดือนหน้าเชิญใหม่” คำกล่าวนี้เหยาอี้เหยากล่าวส่งผู้อาวุโสฉู่ทุกครั้ง ทว่าเขาไม่เคยตอบรับ ทุกทีจะทำเพียงเดินจากไป แต่หนนี้ผู้อาวุโสฉู่กลับเอ่ยคำ “ข้าเคยบอกเจ้าไหมว่ายานี้เป็นซื่อจื่อปรุงขึ้น” “ไม่ใช่ท่านเป็นคนทำหรือเจ้าคะ” ตลอดหกปีมานี้ นางคิดมาตลอดว่าผู้อาวุโสฉู่ เป็นคนทำ ที่แท้ไม่ใช่รึ? “เดิมพิษแมลงคุณไสยก็ไม่มียาถอน ยาระงับพิษที่เจ้ากิน เกิดขึ้นจากกระบวนการระหว่างเลี้ยงแมลงพิษ ซึ่งจำกัดอยู่เพียงสองชั่ง แบ่งเป็นยาระงับพิษได้เพียงยี่สิบสี่ครั้ง คราวนั้นไท่จื่อไม่ได้จะไม่มอบยาให้เจ้า แต่พระองค์ไม่มียาอีกแล้ว ไม่ว่าเจ้าทำงานสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่มียาให้เจ้า” “เช่นนั้นซื่อจื่อปรุงยาขึ้นมาเองหรือเจ้าคะ ทำได้อย่างไร” “ไม่ได้ฟังรึ ข้าบอกแล้วว่ายาระงับพิษเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเลี้ยงแมลงคุณไสย” หมายความว่าฉู่ซีเย่เลี้ยงแมลงคุณไสยมาหกปีแล้ว “ฉู่เซียนเซิง เลี้ยงแมลงคุณไสย ยากหรือไม่เจ้าคะ” “บนโลกนี้มีคนเพียงไป๋เซียนหลางและซื่อจื่อที่ทำได้ เจ้าว่ายากหรือไม่ล่ะ” ผู้อาวุโสฉู่มองนาง ไม่มีอารมณ์เจือปน “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะไปหาไป๋เซียนหลางเพื่อให้เขาหายาถอนพิษให้ แต่ก็อย่างที่ข้าบอก เขาคิดยาถอนพิษให้เจ้าไม่ได้หรอก อย่างมาก ก็ได้แค่ยาระงับพิษเท่านั้น” ไม่มีเหตุผลที่ผู้อาวุโสฉู่จะโกหก เหยาอี้เหยารู้สึกเหมือนเทียนไขที่ถูกดับ หากไม่มียาถอนพิษ อีกไม่กี่เดือนให้หลังจากนี้ นางก็จะตาย “คุณหนูเหยา เจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่” “เจ้าค่ะ ข้าน้อยอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป” “เช่นนั้นลองทำตามวิธีการของข้าดีหรือไม่ ข้าศึกษาพิษแมลงคุณไสยมาหกปี คิดวิธีการหนึ่งมาได้” ความจริงผู้อาวุโสคิดวิธีนี้ได้นานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางยังเด็ก เขาจึงรอให้นางโตก่อน...จะได้ทำได้อย่างไม่ผิดศีลธรรม “วิธีอะไรหรือเจ้าคะ” “ตอนกลางคืน หาโอกาสนอนกับซื่อจื่อบนเตียง” ผู้อาวุโสฉู่พูดเรียบๆ เขาพยายามสื่อให้นางเข้าใจถึงความนัยแล้ว เนื่องจากกระดากปากเกินกว่าจะพูดออกไปอย่างโจ่งแจ้ง “เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดใช่หรือไม่” เหยาอี้เหยาพยักหน้ารัวๆ นางเข้าใจทุกอย่างที่ผู้อาวุโสฉู่พูด เขาบอกให้นางนอนหลับกับซื่อจื่อ แต่มันจะง่ายเช่นนี้เลยรึ “ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือเจ้าคะ อะไรทำให้พิษถอนไปได้” “ซื่อจื่อมีพลังหยางมากว่าคนทั่วไป อาจจะปรับสมดุลให้เจ้าได้ ยิ่งนอนด้วยกันบ่อยๆ พิษจะถูกถอนไปเอง” เหยาอี้เหยาคิดตาม แต่คิดภาพนางนอนหลับกับฉู่ซีเย่ไม่ออก นางไม่กล้าจะนอนกับเขา “ถ้าเช่นนั้นนอนกับผู้อื่นไม่ได้หรือเจ้าคะ” “ไม่ได้ ต้องเป็นฉู่ซื่อจื่อ ผู้อื่นไม่มีผล” พลังหยินของนางไม่ตอบสนองต่อพลังหยางในตัวเขา อาจจะเพราะก่อนหน้านี้แมลงคุณไสยเคยกินพลังหยางของฉู่ซีเย่แล้ว ผู้อาวุโสมองนางที่ไร้เดียงสาแล้วถาม “เจ้าเข้าใจคำพูดของข้าว่าอย่างไรแน่” “หากอยากถอนพิษแมลงคุณไสยต้องนอนหลับกับซื่อจื่อเท่านั้น" ผู้อาวุโสฉู่ไม่กล่าวคำ นางไม่เข้าใจคำว่า'นอน' ของเขาแม้แต่น้อยท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัว อากาศเย็นทำให้เหยาอี้เหยาต้องพกเตาอุ่นสองตัว นางเดินกับเมียนเมี่ยนไปบนทางสายหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาป้าจางนางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่กล่าว ทั้งยังเชื่อในสิ่งที่เขาพูดทุกคำ ทว่านางได้นัดหมายไว้แล้ว อีกทั้งท่านไป๋เซียนหลางเป็นผู้แตกฉานในเรื่องพิษยิ่งกว่าผู้ใดจากเจียงหนาน ชาตินี้นางอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกเลยก็ได้ ดังนั้นแม้นางจะรู้แล้วว่าพบท่านไป๋เซียนหลางก็อาจจะไม่สามารถหายาถอนพิษได้ แต่นางอาจจะได้เรียนรู้เรื่องดีๆ จากเขาก็ได้เหยาอี้เหยาคิดว่าการขอร้องให้ฉู่ซีเย่นอนข้างนางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นางจึงอยากลองหาวิธีอื่นๆ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินผู้อาวุโสฉู่ไม่ได้ห้ามนางมาพบท่านไป๋เซียนหลาง เขาเพียงบอกว่าให้นางรีบกลับไปในวันสองวันนี้ เขาจะได้ฝากนางกลับเข้าไปในจวนสกุลฉู่หิมะตกหนาหลายชุ่นปกคลุมอยู่เหนือหลังคาทรงสูง บริเวณชั้นสองของระเบียงที่ยื่นออกมามีชายผู้หนึ่งนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนนั้น ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้หมวกสีขาว สีเดียวกับชุดที่สวมอยู่บนร่าง ท่วงท่าสง่างามเรียบง่ายของเขาทำให้ผู้พบเห็นไม่อยากเสียมารยาทด้วย“ผู้นั้นแหละ ไป๋เซียนหลาง เขาไม่อนุญาตให้
บทสนทนาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องรับรองอยู่ในการรับรู้ของเหยาอี้เหยา กระนั้นนางก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าผู้อาวุโสกับฉู่ซีเย่พูดเรื่องอันใดกันอยู่ฉู่เซียนเซิงบอกว่าข้าไม่เข้าใจรึ?ไม่สิ นางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่พูดแน่นอน การนอนกับซื่อจื่อ ก็คือการร่วมเตียงนอนหลับด้วยกันมิใช่หรือ?หรือว่านางจะฟังผิดไปกันแน่ บางที อาจจะไม่ง่ายเช่นนั้นก็ได้ คิดได้อย่างนั้นนางจึงแนบหูฟังอย่างจดจ่อ จะได้ไม่ตีความอันใดผิด ระหว่างนี้นางก็คิดทบทวน เมื่อครู่ตอนผู้อาวุโสขอร้องให้นาง ฉู่ซีเย่ไม่ได้ปฏิเสธอันใดนี่แสดงว่าซื่อจื่อรับนางกลับไปแล้วใช่หรือไม่?แต่ในห้องไม่พูดอันใดแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นางรออยู่ประมาณครึ่งถ้วยชา ถึงได้ยินฉู่ซีเย่กล่าวลาผู้อาวุโสฉู่“ข้างนอกอากาศเย็น ข้าจะให้จินเฟยไปส่งท่าน”เขาจะไปแล้วรึ?นางเล่า?เท้าของนางรวดเร็วกว่าสมองอยู่บ้าง เมื่อได้ยิน เส้นชีพจรเท้าก็รีบออกเดินไปก่อน แม้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างว่าคงต้องอยู่กับฉู่ซีเย่ แต่ผู้อาวุโสฉู่จะทิ้งนางได้อย่างไรกันอย่างน้อยนางก็อยากจะให้เขาอยู่กับนางด้วย ระหว่างที่ต้องนอนหลับกับฉู่ซีเย่ แต่จะว่าไปนางก็ไม่ได้ถามผู้อาวุโสเ
เมื่อถึงนอกด่าน เหยาอี้เหยารีบจัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ของตนเอง รวมทั้งขอให้ผู้ดูแลจิ่ง จากกรมสำรวจสำมโนครัวตรอกซ้ายโอนย้ายชื่อของนางกลับเข้าเมือง ตามที่ฉู่ซีเย่ได้อนุญาตเป็นรายลักษณ์อักษร เหยาอี้เหยาบอกลาฟั่นฟั่นแล้วจึงเดินทางไปอยู่กับเมียนเมี่ยน จี๋เฉวียน และอามู่อีกหนึ่งวัน เมื่อได้ร่ำลาทุกคนแล้ว นางจึงเดินทางเข้าเมือง โดยมีผู้อาวุโสฉู่ไปส่งที่ประตูเมือง ใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดสามวัน “ฉู่เซียนเซิง ข้าน้อยขออนุญาตจอดรถม้าตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของท่านตา นางจึงตั้งใจนำสุรามาเซ่นไหว้ แต่นางมีพลังหยินมาก ทำให้เข้าใกล้สุสานซึ่งมีแต่พลังหยินของศพไร้ญาติไม่ได้ ตลอดหกปีมานี้ จึงไม่ได้มาเลย “ข้าน้อยไม่เข้าใกล้หรอกเจ้าค่ะ แค่อยากอยู่ตรงนี้สักครู่” “จอด” ฉู่ซวิ่นส่งเสียงขึ้นโดยที่ไม่ลืมตา “ใช้เวลาตามสบายเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลงจากรถม้า เหนือเนินเขาอันขาวโพลนมีกิ่งก้านต้นไม้แห้งแล้งยืนต้นอย่างเดียวดาย ส่วนอีกฟากมีที่รกร้างสำหรับฝังศพอนาถาและนักโทษ… สายลมหนาวพัดโชยจนเสื้อคลุมปลิว เตาอุ่นในมือดับลง กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังเดินต่อไป จนแรงต้านของพล
เมืองหลวง ต้าหย่งปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุเจ็ดสิบปีทางด้านบุตรชายคนโตอย่างเหยาซือหม่าจึงตั้งใจจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้มารดา แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โต แต่ก็มีหน้าตาในระดับหนึ่งหลายปีมานี้สกุลเหยาได้รับการพระราชทานตำแหน่งจากฝ่าบาทจนมีหน้ามีตาขึ้น เช่น หลานสาวคนที่ห้า ได้เป็นถึงท่านหญิงแห่งต้าหย่ง หรือหลานชายคนรองซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพจากผลงานการปราบจลาจลที่ท่าเรือสินค้า และคุณหนูสามยังได้ออกเรือนไปกับคุณชายกง ทำให้เวลานี้ สกุลเหยา นับว่าสามารถกู้ชื่อเสียงในอดีตได้บ้างบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมีแขกระดับสูง ห้าสกุลใหญ่แห่งเจียงหนานยังเดินทางมาร่วมงานด้วย พร้อมทั้งมีการทาบทามเพื่อเจรจาเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ที่ยังไม่ออกเรือนคุณหนูสี่ เหยาหลิงหว่าน อายุสิบหกปี เป็นสาวงามผุดผาดที่สะพรั่งพร้อม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชื่อเสียงความงดงามของนางเลื่องลือยิ่ง อีกทั้งนางยังบรรเลงเพลงพิณได้ไร้ที่ติ ความสามารถยิ่งเสริมความงามของนางให้เจิดจรัสฮูหยินผู้เฒ่าจึงเชิดหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเวลาคนเอ่ยชมหลานสาวคนนี้ของนางไหนจะมีคุณชายรองอย่างแม่ทัพเหยาอี้ร่างอีก คืนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้ม
เลยยามเว่ยแล้วเมื่อฉู่ซีเย่กลับมาที่จวนด้วยรถม้าเสียงฝีเท้าของบ่าวรับใช้ทำนางตื่น ทุกคนในจวนเริ่มงานเพื่อรับรองฉู่ซีเย่อย่างเป็นระบบและชำนาญการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง“เขากลับมาแล้ว”เหยาอี้เหยาหยิกเนื้อตัวเองให้ตื่นเต็มตา จัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พร้อมแล้วรีบถือโคมไฟออกมารอเขาที่ประตูด้านนอกจวน ระหว่างนั้นนางปั้นหน้ายิ้มแย้ม จัดระเบียบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน ไม่นานฉู่ซีเย่ก็เดินผ่านเงาพระจันทร์มาให้เห็น กลิ่นหอมของสมุนไพรและสุราโชยมากับสายลมไอความแข็งกร้าวที่อาบไล้ตัวเขาพาลให้นางรู้สึกหวั่นกลัวอยู่บ้าง“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาเก็บอาการสีหน้าไม่อยู่ ราวกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาเมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน แต่ในนั้นก็เจือความกลัวไว้ชั้นหนึ่ง“อืม” ฉู่ซีเย่รับรู้ถึงนางก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร ในมือเขาถือขวดสุรา พอเห็นนางก็โยนให้ถือโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหยาอี้เหยาผวารับขวดสุราจนตัวเซ“ห้ามทำตก ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าชดใช้”“เจ้าค่ะ” นางกอดขวดสุราแนบอกในทันที สุราชนิดนี้แพงมาก ขืนตกไปคงชดใช้ไม่ไหว“เจ้ามาทำอันใดตรงนี้”“ข้าน้อยมารอท่าน”“รอ? ท
เสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนร้องบอกให้นางตื่นได้แล้ว เหยาอี้เหยาไม่อยากตื่น นางจึงพลิกตัวไปด้านข้างแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว ทว่าสาวรับใช้ได้เปิดประตูเข้ามาดึงนางลุกขึ้นจากเตียง‘ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ’‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย’ เหยาอี้เหยาเอนตัวนอนลงอีกรอบอย่างง่วงงุน‘ไม่ได้นะเจ้าค่ะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์’ สาวรับใช้ดันหลังเหยาอี้เหยาขึ้นจากเตียง พวกนางหิ้วปีกนางออกไปยังนอกเรือน‘เดี๋ยวก่อน นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด’ เหยาอี้เหยาเอ่ยถาม พวกนางส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะผลักนางเข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเรือนของฉู่ซีเย่ไม่มีผิด‘ที่นี่คือ…’‘คุณหนู ได้เวลานอนกับซื่อจื่อเป็นคืนแรกแล้วเจ้าค่ะ’ ทั้งสองปิดประตูใส่นางที่กำลังยืนมึนงง สภาพแวดล้อมเหมือนหมุนได้ พริบตาเดียวนางก็มาอยู่ในห้องนอนแล้ว‘ไม่นะ ให้ข้าออกไป’ เหยาอี้เหยารีบพุ่งตัวไปที่ประตู ทว่าไม่สามารถเปิดได้ นางจึงงัดอย่างแรง ใช้สองมือระดมทุบเพื่อให้ประตูเปิด ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตสายหนึ่ง ครั้นนางหันมามอง ก็เห็นฉู่ซีเย่ที่ยืนอยู่ห่างจากนาง
ประตูปิดลง ลมหนาวด้านนอกถูกประตูต้านเอาไว้ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ตามใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนางเลย” เจ้าเมืองฉู่นั่งลงข้างเตาผิง มือหยิบถ่านเข้าเตาผิง “นางจะเสียใจได้”“ท่านเอ็นดูนางมากหรือ” ฉู่ซีเย่หยักไหล่ไม่ใส่ใจ จิบสุราอุ่นของอำเภอหงชุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด“เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” หาไม่แล้ว คนอย่างฉู่ซีเย่จะมอบเสื้อคลุมกันหนาวขนมิงค์ให้นางหรือ แม้จะใช้วิธีซับซ้อนอย่างการให้เขามอบต่อให้กงจิ้งแต่ก็เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด เสื้อตัวนี้จะต้องกลับมาหานางแน่ไม่ใช่หรือฉู่ซีเย่เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไม่เช้าแล้ว ไปวัดกันเถอะท่านพี่”“จุดประสงค์คือไปวัดแน่หรือ”“ย่อมไม่ใช่”“วัดนั้นมีปัญหา”ฉู่ซีเย่ตอบ “ข้าหวังว่าจะไม่มี”เหยาอี้เหยาถูกฉู่ซีเย่ไล่ออกมาจากห้องโถงด้วยความเย็นชา นางจึงต้องมายืนหนาวรออยู่ด้านนอกตรงลานจอดรถม้า ยังดีที่คนของเจ้าเมืองฉู่นำเตาอุ่นมาให้นางกอด อีกทั้งเสื้อคลุมขนมิงค์ยังกันลมได้ดี นางจึงนั่งรอได้ไม่เดือดร้อนกับความหนาวแต่รอไปรอมานางก็หิว ความจริงเวลานี้นางยังไม่ทานอาหารเช้าหรอก ทว่าเมื่อวานนางทานข้าวเย็นเสียที่ไหน ตอนนี้จมูกได้กลิ่นขนมแป้งเคลือบน้ำผึ้ง น้ำย่อยใน
เหยาอี้เหยากลับมาที่จวนกับจินเฟยก่อนเพื่อรักษาจางลี่ท่านหมอให้ความเห็นว่าบาดแผลตรงศีรษะของจางลี่สาหัสยิ่ง อีกทั้งนางยังเสียเลือดมากจนร่างกายช็อก ไม่มีวิธีการเพื่อยื้อชีวิตนางได้แล้ว ท่านหมอจึงออกมาบอกกับเหยาอี้เหยาว่าจางลี่คงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ หากมีเรื่องใดก็ให้นางเข้าไปพูดตอนนี้เสียเหยาอี้เหยาจึงเข้าไปหาจางลี่ ในชั่วขณะหนึ่งนางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงขณะนี้ คือจางลี่หลายวันก่อนนางยังสบายดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้วใครกันที่ทารุณกับนางขนาดนี้“หนาวหรือไม่” นางหยิบที่คีบเพื่อส่งถ่านเข้าไปในเตา ให้ห้องพักรักษาตัวอันเย็นจัดได้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง“คุณหนูเหยา…ท่านชิงชังข้าบ้างหรือไม่” สายตาจางลี่อยู่ที่นาง เคลือบทับไว้ด้วยความรู้สึกผิดชั้นหนึ่ง“ไม่เลย แค่โกรธนิดหน่อย” เหยาอี้เหยานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปซับน้ำตาให้จางลี่อย่างอ่อนโยน“ข้าน้อยผิดต่อท่าน…” ความทรงจำเลวร้ายที่ตนทำกับนาง ไหลวนกลับมาเหมือนกระแสน้ำ น้ำตาจึงไหลออกมามากกว่าเดิม “ข้าน้อยไม่เคยดีกับท่านเลย แต่ท่านดีกับข้าเสมอ…”“ข้าอยากดีกับเจ้าให้มากกว่านี้” เหยาอี้เหยาจับมือนาง ยิ่งสัมผัสได้ถึงชีพจรอันเ
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม