เมื่อถึงนอกด่าน เหยาอี้เหยารีบจัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ของตนเอง รวมทั้งขอให้ผู้ดูแลจิ่ง จากกรมสำรวจสำมโนครัวตรอกซ้ายโอนย้ายชื่อของนางกลับเข้าเมือง ตามที่ฉู่ซีเย่ได้อนุญาตเป็นรายลักษณ์อักษร
เหยาอี้เหยาบอกลาฟั่นฟั่นแล้วจึงเดินทางไปอยู่กับเมียนเมี่ยน จี๋เฉวียน และอามู่อีกหนึ่งวัน เมื่อได้ร่ำลาทุกคนแล้ว นางจึงเดินทางเข้าเมือง โดยมีผู้อาวุโสฉู่ไปส่งที่ประตูเมือง ใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดสามวัน “ฉู่เซียนเซิง ข้าน้อยขออนุญาตจอดรถม้าตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของท่านตา นางจึงตั้งใจนำสุรามาเซ่นไหว้ แต่นางมีพลังหยินมาก ทำให้เข้าใกล้สุสานซึ่งมีแต่พลังหยินของศพไร้ญาติไม่ได้ ตลอดหกปีมานี้ จึงไม่ได้มาเลย “ข้าน้อยไม่เข้าใกล้หรอกเจ้าค่ะ แค่อยากอยู่ตรงนี้สักครู่” “จอด” ฉู่ซวิ่นส่งเสียงขึ้นโดยที่ไม่ลืมตา “ใช้เวลาตามสบายเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลงจากรถม้า เหนือเนินเขาอันขาวโพลนมีกิ่งก้านต้นไม้แห้งแล้งยืนต้นอย่างเดียวดาย ส่วนอีกฟากมีที่รกร้างสำหรับฝังศพอนาถาและนักโทษ… สายลมหนาวพัดโชยจนเสื้อคลุมปลิว เตาอุ่นในมือดับลง กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังเดินต่อไป จนแรงต้านของพลังงานผลักออกจนนางต้องหยุดเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่ยังไกลลิบจากท่านตา “ท่านตา ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาคุกเข่าทางทิศใต้ อันเป็นทิศบ้านเกิดของท่านตา นางไม่เคยเข้าใกล้สุสานท่านตามากเท่านี้ นางจึงไม่รู้ว่าท่านตาของนาง แท้จริงแล้วถูกฝังอยู่ ณ ที่ใด ทุกอย่างเงียบลง มีเพียงเสียงเทสุราและสายลมดังอยู่ข้างหู ภาพในวันวานเหมือนหวนคืนกลับมา ทุกเรื่องราวยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ เก้าปีก่อนนางยังเด็กมากจึงจดจำเรื่องราวไม่ค่อยได้ รวมทั้งเหตุการณ์สะเทือนใจทำให้หลงลืมไปบางส่วน ทว่าหลายปีมานี้ นางพยายามสืบเรื่องในปีนั้นมาตลอด นางจึงพบว่าที่แท้แล้วปีนั้นมีใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่อยู่ในความทรงจำ เพียงแต่รางเลือนเกินกว่าจะรู้ว่าเป็นผู้ใด แต่คนผู้นั้นคือคนสังหารท่านตา… หากในอนาคตนางได้พบเขา นางต้องจำได้แน่ “ท่านตา…อี้เหยาจะพาท่านกลับบ้านให้ได้” ยามเซิน… เหยาอี้เหยานั่งรถม้าพร้อมผู้อาวุโสฉู่มาถึงเมืองโจวอี้ ทีแรกนางคิดว่าเขาจะพานางไปส่งถึงจวน แต่เขาบอกว่าไม่สะดวก ให้นางเรียกรถม้าไปที่จวนสกุลฉู่ต่อเอง “รับสิ่งนี้ไป” “อันใดรึเจ้าคะ” นางถาม แต่ยื่นมือออกไปรับป้ายหยกจากผู้อาวุโสฉู่มาแล้ว “ป้ายหยก พกติดตัวไว้” ฉู่ซวิ่นบอกลา “จากกันตรงนี้เถิด รีบไปให้ทันเวลาที่นัดหมาย" “เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยไปก่อนนะเจ้าค่ะ ขอบคุณสำหรับป้ายหยกและความกรุณามาส่งข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลงจากรถม้า นางยอบกายคารวะให้ผู้อาวุโสฉู่ ก่อนจะเดินห่างออกไป เป็นการจากลาอย่างเรียบง่ายเพียงเท่านี้ เหยาอี้เหยามองป้ายหยกในมือ นางคิดว่าเป็นสิ่งของอำลาจึงเก็บใส่อกเสื้อ ไม่คิดอะไร หน้าประตูเมืองมีจุดพักรถม้าคอยบริการ นางไหว้วานให้ท่านลุงคนหนึ่งช่วยพาไปส่งต่อ เนื่องจากไม่อยากรบกวนแม่ทัพซ่างหรือคนอื่นๆ ที่คงยุ่งกับงานจนมือพันกันแน่ ไม่เกินสองเค่อรถม้าก็พามาถึงตรอกด้านใน “ถึงแล้วแม่นางน้อย” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาหอบหิ้วสิ่งของจำเป็นของตนเองลงจากรถม้าเมื่อถึงตรอกใกล้จวนสกุลฉู่ เนื่องจากบริเวณจวนของฉู่อ๋องเป็นเขตรักษาการณ์พิเศษ ทำให้รถม้าของบุคคลทั่วไป ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ต้องจอดห่างออกไปประมาณสามลี้ “ท่านลุง เงินค่ารถเจ้าค่ะ” นางหยิบเงินจากถุงให้คนขับรถม้า ก่อนที่เขาจะขับรถจากไป ตรอกในช่วงนี้ผู้คนบางตา พ่อค้าแม่ค้าจึงจับเข่านั่งสัปหงกบ้าง ไม่ก็นั่งแทะเมล็ดทานแตงโมอยู่หน้าเตาผิง แสงแดดยามเย็นเริ่มทอแสงเป็นครั้งแรกของวัน แต่ไม่อบอุ่นแม้แต่น้อย เหยาอี้เหยาสะพายย่ามบนไหล่ เดินย้ำไปบนทางหินของเมือง กลิ่นหอมกรุ่นของซาลาเปาเนื้อลอยมาเข้าจมูกนาง ท่ามกลางอากาศเย็นๆ จมูกนางชักนำให้เดินตามกลิ่นไปทันที “อยู่ตรงนี้นี่เอง” นางเดินมาถึงร้านซาลาเปาน้อยๆ ที่ขายบนรถเข็น เมื่ออยู่ใกล้ขึ้น กลิ่นก็ยิ่งชัดเจน น้ำย่อยในกะเพราเริ่มทำงานอย่างแข็งขัน “รับอะไรดีแม่นางน้อย” “ซาลาเปาเนื้อสามลูกเจ้าค่ะท่านป้า” เหยาอี้เหยาตอบ พลางหันไปยิ้มให้หลานสาวเถ้าแก่ร้านซาลาเปา แต่อีกฝ่ายวิ่งหนี เนื่องจากเตาอุ่นรูปฟักทองปีศาจซึ่งจี๋เฉวียนปั้นให้ รูปร่างของเตาน่ากลัวยิ่ง ทำเด็กตกใจจนหนีแล้ว “ไม่ต้องกลัว นี่ไม่ทำร้ายเจ้า” นางยิ้มให้แล้วรีบใช้แขนเสื้อซ่อนไว้ก่อนที่เด็กน้อยจะร้องไห้เพราะตกใจ “เตาเจ้าช่าง…มีเอกลักษณ์ยิ่ง” เถ้าแก่ว่ายิ้มๆ ก่อนจะยื่นซาลาเปาให้ “ซาลาเปาเนื้อของเจ้า” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางจ่ายเงินแล้วรับซาลาเปาในกระดาษมากิน สองเท้าเดินต่อ มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลฉู่ อารมณ์ของนางแจ่มใสยิ่ง เดินครวญเพลงไปด้วยเดินเลียบกำแพงไปด้วย จนกระทั่งเดินมาถึงจุดแขวนโคม บริเวณใกล้ถึงจวนสกุลฉู่มีกำแพงยาวจรดทางเดิน ปกติบนนั้นจะห้ามติดป้ายประกาศใดๆ แต่วันนี้มีคนนำถ้อยคำอาลัยรวมทั้งคำสรรเสริญมาติดไว้ เหยาอี้เหยาอ่านไปบางส่วน ทุกคำบนป้ายไผ่ล้วนเป็นอักษรที่ดียิ่ง ผิดกับอีกฟากฝั่งของถนน เต็มไปด้วยถ้อยคำสาปแช่งของท่านตา บนนั้นมีคำแช่งมากมายเหลือเกิน มากจนนางไม่สามารถปลดลงมาได้หมด อีกทั้งตอนนั้นเอง ยังมีชาวบ้านนำคำแช่งมาแขวน กระทั่งขอทานแถวนั้นยังมองเหยียดด้วยความดูแคลน เหยาอี้เหยารู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีกำลังพอที่จะต้านกลุ่มคนเหล่านี้ นางจึงกำมือให้แน่นแล้วหันหลังเตรียมเดินหนี “คนถ่อยสกุลหลิน ถุย!” คนแขวนป้ายแช่งถ่มถุย เหยาอี้เหยากล้ำกลืน นางได้แต่ปล่อยให้คนเหยียดย่ำท่านตา สาปแช่งท่านตาด้วยความเคียดแค้นต่อไป “สุนัขแซ่หลิน! ข้าจะเผาเจ้าให้ตาย เป็นผีก็ขอให้หมกไหม้” รูปวาดของแม่ทัพหลินถูกวางในเตาพก ก่อนที่จะมีคนโยนกลักไม้ขีดไฟลงไปพร้อมพ่นคำแช่ง เหยาอี้เหยางงงันยิ่ง คนพวกนี้สาปแช่งท่านตาหมายจะให้วิญญาณแตกดับสิ้นสุด ความอดทนของนางหมดแล้ว ยิ่งเมื่อได้เห็นอีกฟากของกำแพงที่เต็มไปด้วยคำสรรเสริญ นางก็ได้แต่คิดว่าทำไมท่านตานางต้องถูกคนล่วงเกินปานนี้ ที่ผ่านมาท่านตาถูกสาปแช่งทุกปีเช่นนี้ตลอดเลยหรือ “ท่านน้า ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาอดทนยิ่ง นางไม่ว่าอันใดคนเหล่านั้นที่จะโกรธแค้นท่านตา แต่เห็นชัดๆ ว่าคนพวกนี้ทำเกินไป ในใจล้วนมีแต่อคติ “อันใดไม่ถูกต้อง ข้ามาสาปแช่งคนสกุลหลิน ขอให้ลูกหลานพวกมันประสบเรื่องชั่วช้าดั่งที่บรรพบุรุษของมันทำ” เมื่อคนหนึ่งเริ่ม ย่อมมีคนตาม “ข้าก็มาแช่งคนแซ่หลิน ขอให้มันอย่าได้ผุดได้เกิด” “แม่ทัพหลินไม่ได้ถูกตัดสินว่าเป็นคนผิด เรื่องในปีนั้นหาชัดเจนไม่” เหยาอี้เหยาเอ่ย “อันใดไม่ชัดเจน ผู้ใดก็รู้ว่าคนแซ่หลินรับงานมาสังหารเจ้าเมืองฉู่!” “แม่ทัพหลินไม่ได้ตั้งใจสังหารเจ้าเมืองฉู่ ต้องมีเรื่องอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่” เหยาอี้เหยาเชื่อมั่นว่าคนอย่างท่านตา หากไม่มีความจำเป็น ไม่ทำร้ายใครแน่ “เจ้ารู้ได้อย่างไร เอาอันใดมาเป็นหลักฐาน” เหยาอี้เหยาไม่กล้าพูด นางไม่กล้าบอกว่านางคือหลานสาวของท่านตา “เจ้าเป็นผู้ใด ไม่ใช่คนเมืองโจวอี้?!” หากเป็นคนเมืองโจวอี้ ย่อมโกรธแค้นด้วยกัน คนผู้หนึ่งพูดขึ้น “ข้ารู้แล้ว นางต้องเป็นลูกหลานของคนแซ่หลินแน่!” “ใช่ ข้าได้ยินว่าคนแซ่หลินมีหลานสาว” “เจ้าต้องเป็นหลานสาวของเขาแน่ๆ” “ข้า…” สองเท้านางก้าวถอยหลัง ไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธ “ใช่หรือไม่ เจ้าเป็นหล่นของคนแซ่หลิน!” ขาดคำนั้น ผู้คนแถวนั้นจึงเข้ามาล้อมนาง “พวกท่านทำเช่นนี้ต่อผู้อื่นไม่ได้นะ” เหยาอี้เหยาถอยหนี แต่คนล้อมนางไว้หมดแล้ว ผู้คนมากมายจดจ้องเป็นตาเดียว “เจ้าใช่แน่ๆ เป็นหลานคนแซ่หลิน!” “ใช่ ข้าเป็นหลานท่านตา” ทันทีที่พูดออกไปหมึกสีก็ถูกสาดใส่นาง ไข่ไก่ในตะกร้าถูกจับโยนใส่อย่างมันมือ หลบอย่างไรก็ไม่พ้น การโจมตีทุกทิศทางทำนางต้องยกมือกันศีรษะ “เมืองโจวอี้ไม่ต้อนรับคนแซ่หลินหรือเหยา!” “เชื้อสายคนทรยศ! เชื้อสายสกปรก!” มือกระด้างข้างหนึ่งยื่นมาผลักเหยาอี้เหยาลงไปบนพื้น ทุกคนจึงถอยห่างโดยพลัน เพราะตอนนางล้มลง ป้ายคำสั่งของฉู่ซวิ่นก็ตกด้วย “เจ้าผลักนางทำไม!” “ข้าไม่ได้ผลัก นางล้มเอง!” ป้าสวมผ้าโพกรีบหยิบตะกร้าแล้วหนี นางเป็นคนแรกที่เขวี้ยงไข่ไก่ใส่นาง “ข้าไปล่ะ ลืมว่าที่บ้านต้มชาไว้” “ข้าก็เหมือนกัน” สุ่มเสียงนั้นพูดคุยกัน ทุ่มเถียงกัน เหยาอี้เหยาไม่เงยหน้า นางนั่งอยู่อย่างนั้นให้ผู้คนถอยกลับไปเองจนหมดถึงได้ลุกขึ้นมาเก็บป้ายหยกที่หล่นอยู่ข้างๆ รอยยิ้มบางๆ ยังอยู่บนหน้านาง “เกือบทำของที่ฉู่เซียนเซิงให้แตกแล้ว…” นางไม่ได้อยากจะร้องไห้จึงเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งมืดลงอย่างรวดเร็ว ความอัดอั้นถูกกลืนลงท้อง แต่นางนั่งต่อไปไม่ได้จึงลุกขึ้น ก่อนจะเดินลากเท้าไปยังลำธารสายหนึ่ง “ข้าจะไปจวนสกุลฉู่ด้วยสภาพเช่นนี้ไม่ได้…” คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเทศกาลฤดูหนาว อีกทั้งเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้าเมืองฉู่คนก่อน ภายในเมืองจึงมีการลดธงลงพร้อมทั้งเซ่นไหว้ที่สุสานบรรพชนตั้งแต่เช้า พิธีการต่างๆ จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ก็ยังมีพิธีซึ่งกินเวลาไปทั้งครึ่งเช้าและตอนบ่าย วันนี้ฉู่ซีเย่ยุ่งมากแต่ยังปลีกตัวกลับมาที่จวนเพื่อรอพบนางด้วยตนเอง ทว่าเลยยามเซินจนฟ้ามืดแล้ว นางก็ยังมาไม่ถึง ฉู่ซีเย่ดูเวลา เขาเห็นว่าเลยเวลาแล้วจึงบอกให้จินเฟยเตรียมรถม้า เวลานั้นที่จินเฟยเข้ามาเรียนว่าเหยาอี้เหยามาถึงแล้ว “ซื่อจื่อ คุณหนูเหยามาถึงจวนแล้วขอรับ” “ให้นางมาหาข้าก่อน” “ขอรับ” จินเฟยไป ไม่นานก็พาเหยาอี้เหยามาหาเขา สภาพนางมองอย่างไรก็เหมือนคนพึ่งผ่านการถูกรุมปาข้าวของใส่ หัวคิ้วของฉู่ซีเย่ขยับคล้ายไม่พอใจ “ขออภัยที่ข้าน้อยมาช้าเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยายอบกายคารวะ ไม่กล้ายืนขึ้นทั้งๆ ที่ขาปวดแปลบ “เหตุใดจึงมาช้า” เหยาอี้เหยาไม่กล้าพูดเท็จหรือเลี่ยงไม่ตอบ “มีเรื่องเล็กน้อยที่กำแพงเจ้าค่ะ” ฉู่ซีเย่เข้าใจในทันที ตั้งแต่อดีตเจ้าเมืองฉู่หลินจากไป บริเวณกำแพงตรอกจะมีการแขวนป้ายสรรเสริญเจ้าเมืองทุกปี ส่วนอีกฟากเป็นกำแพงแขวนป้ายสาปแช่งแม่ทัพหลิน “ลุกขึ้น” “เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลุกขึ้นช้าๆ ข้อเท้าของนางบาดเจ็บจากการล้มเมื่อครู่ ทว่านางแข็งใจอยู่ อย่างไรบาดแผลภายนอกก็ไม่เจ็บเท่าใจนาง “บาดเจ็บหรือไม่” “ไม่เจ้าค่ะ” ฉู่ซีเย่ดีดเมล็ดถั่วออกไปโดนขานาง เพียงเท่านี้ เหยาอี้เหยาก็ล้มลงแล้ว “ท่านทำร้ายข้าทำไมเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาล้มแล้วลุกไม่ขึ้นง่ายๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจนั่งเสีย พร้อมทั้งใช้มือนวดข้อเท้าที่ถูกดีดถั่วใส่ “ที่เป็นอยู่ก็เจ็บมากแล้วนะเจ้าค่ะ” “ใครทำขาเจ้าเจ็บ” “ท่านอย่างไรละเจ้าค่ะ” ฉู่ซีเย่ดีดถั่วใส่นางอีก คราวนี้เบามือมาก นางจึงรับได้ “ก็ท่านดีดถั่วใส่ข้านี่นา” “คุณหนูเหยา” “คนมากเกินไป ยากจะระบุตัวผู้ลงมือได้เจ้าค่ะ อีกอย่างข้าน้อยกลัวจะถูกตีหนัก เลยยกมือกันไว้” เหยาอี้เหยาล้วงป้ายคำสั่งของฉู่ซวิ่นออกมา “โชคดีได้ป้ายหยกของฉู่เซียนเซิงช่วยไว้ พวกเขาเลยรีบเผ่นไปทันที” “ท่านลุงให้เจ้า?” “เจ้าค่ะ” นัยน์ตาฉู่ซีเย่มีความคลุมเครือเลือนผ่าน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าป้ายหยกชิ้นนั้นมีความสำคัญอย่างไร” เหยาอี้เหยาใคร่รู้ขึ้นมาทันที “ข้าน้อยไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ” นางคิดว่าเป็นป้ายหยกธรรมดา “ป้ายหยกชิ้นนี้ท่านปู่ให้ท่านลุงไว้ ไม่ว่าใครที่เห็นป้ายหยกนี้ เสมือนเห็นท่านปู่” เสมือนเห็นฉู่อ๋อง! “เช่นนี้แล้วฉู่เซียนเซิงกล้ามอบให้ข้าน้อยได้อย่างไร” เหยาอี้เหยามือร้อนขึ้นมาทันที จะทิ้งก็ไม่กล้า จะเก็บลงไปก็ยิ่งไม่กล้า “ซื่อจื่อ ข้าไม่กล้ารับไว้ ฝากไว้ที่ท่านได้หรือไม่เจ้าค่ะ วันหน้าข้าน้อยจะคืนฉู่เซียนเซิง” “ท่านลุงให้เจ้าคือให้เจ้า ข้าไม่รับฝาก” ฉู่ซีเย่เอ่ยปาก “เจ้าไปได้แล้ว ก่อนที่จะทำพื้นสกปรกไปมากกว่านี้” “เจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัว” เมื่อฉู่ซีเย่เอ่ยปากเช่นนี้ เหยาอี้เหยาก็ไม่กล้ารั้งรอต่ออีก นางประสานมือคารวะแล้วรีบถอยออกไป ครั้นเดินลงส้นเท้า นางถึงพึ่งรู้สึกว่าเท้าที่เจ็บหายแล้ว เหยาอี้เหยากางมือออก เมื่อครู่ที่ฉู่ซีเย่ดีดเมล็ดถั่วใส่นาง คือเขารักษานางหรือ? เหยาอี้เหยางงยิ่ง มองเมล็ดถั่วแดงในมืออยู่ครู่หนึ่งเมืองหลวง ต้าหย่งปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุเจ็ดสิบปีทางด้านบุตรชายคนโตอย่างเหยาซือหม่าจึงตั้งใจจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้มารดา แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โต แต่ก็มีหน้าตาในระดับหนึ่งหลายปีมานี้สกุลเหยาได้รับการพระราชทานตำแหน่งจากฝ่าบาทจนมีหน้ามีตาขึ้น เช่น หลานสาวคนที่ห้า ได้เป็นถึงท่านหญิงแห่งต้าหย่ง หรือหลานชายคนรองซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพจากผลงานการปราบจลาจลที่ท่าเรือสินค้า และคุณหนูสามยังได้ออกเรือนไปกับคุณชายกง ทำให้เวลานี้ สกุลเหยา นับว่าสามารถกู้ชื่อเสียงในอดีตได้บ้างบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมีแขกระดับสูง ห้าสกุลใหญ่แห่งเจียงหนานยังเดินทางมาร่วมงานด้วย พร้อมทั้งมีการทาบทามเพื่อเจรจาเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ที่ยังไม่ออกเรือนคุณหนูสี่ เหยาหลิงหว่าน อายุสิบหกปี เป็นสาวงามผุดผาดที่สะพรั่งพร้อม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชื่อเสียงความงดงามของนางเลื่องลือยิ่ง อีกทั้งนางยังบรรเลงเพลงพิณได้ไร้ที่ติ ความสามารถยิ่งเสริมความงามของนางให้เจิดจรัสฮูหยินผู้เฒ่าจึงเชิดหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเวลาคนเอ่ยชมหลานสาวคนนี้ของนางไหนจะมีคุณชายรองอย่างแม่ทัพเหยาอี้ร่างอีก คืนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้ม
เลยยามเว่ยแล้วเมื่อฉู่ซีเย่กลับมาที่จวนด้วยรถม้าเสียงฝีเท้าของบ่าวรับใช้ทำนางตื่น ทุกคนในจวนเริ่มงานเพื่อรับรองฉู่ซีเย่อย่างเป็นระบบและชำนาญการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง“เขากลับมาแล้ว”เหยาอี้เหยาหยิกเนื้อตัวเองให้ตื่นเต็มตา จัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พร้อมแล้วรีบถือโคมไฟออกมารอเขาที่ประตูด้านนอกจวน ระหว่างนั้นนางปั้นหน้ายิ้มแย้ม จัดระเบียบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน ไม่นานฉู่ซีเย่ก็เดินผ่านเงาพระจันทร์มาให้เห็น กลิ่นหอมของสมุนไพรและสุราโชยมากับสายลมไอความแข็งกร้าวที่อาบไล้ตัวเขาพาลให้นางรู้สึกหวั่นกลัวอยู่บ้าง“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาเก็บอาการสีหน้าไม่อยู่ ราวกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาเมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน แต่ในนั้นก็เจือความกลัวไว้ชั้นหนึ่ง“อืม” ฉู่ซีเย่รับรู้ถึงนางก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร ในมือเขาถือขวดสุรา พอเห็นนางก็โยนให้ถือโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหยาอี้เหยาผวารับขวดสุราจนตัวเซ“ห้ามทำตก ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าชดใช้”“เจ้าค่ะ” นางกอดขวดสุราแนบอกในทันที สุราชนิดนี้แพงมาก ขืนตกไปคงชดใช้ไม่ไหว“เจ้ามาทำอันใดตรงนี้”“ข้าน้อยมารอท่าน”“รอ? ท
เสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนร้องบอกให้นางตื่นได้แล้ว เหยาอี้เหยาไม่อยากตื่น นางจึงพลิกตัวไปด้านข้างแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว ทว่าสาวรับใช้ได้เปิดประตูเข้ามาดึงนางลุกขึ้นจากเตียง‘ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ’‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย’ เหยาอี้เหยาเอนตัวนอนลงอีกรอบอย่างง่วงงุน‘ไม่ได้นะเจ้าค่ะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์’ สาวรับใช้ดันหลังเหยาอี้เหยาขึ้นจากเตียง พวกนางหิ้วปีกนางออกไปยังนอกเรือน‘เดี๋ยวก่อน นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด’ เหยาอี้เหยาเอ่ยถาม พวกนางส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะผลักนางเข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเรือนของฉู่ซีเย่ไม่มีผิด‘ที่นี่คือ…’‘คุณหนู ได้เวลานอนกับซื่อจื่อเป็นคืนแรกแล้วเจ้าค่ะ’ ทั้งสองปิดประตูใส่นางที่กำลังยืนมึนงง สภาพแวดล้อมเหมือนหมุนได้ พริบตาเดียวนางก็มาอยู่ในห้องนอนแล้ว‘ไม่นะ ให้ข้าออกไป’ เหยาอี้เหยารีบพุ่งตัวไปที่ประตู ทว่าไม่สามารถเปิดได้ นางจึงงัดอย่างแรง ใช้สองมือระดมทุบเพื่อให้ประตูเปิด ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตสายหนึ่ง ครั้นนางหันมามอง ก็เห็นฉู่ซีเย่ที่ยืนอยู่ห่างจากนาง
ประตูปิดลง ลมหนาวด้านนอกถูกประตูต้านเอาไว้ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ตามใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนางเลย” เจ้าเมืองฉู่นั่งลงข้างเตาผิง มือหยิบถ่านเข้าเตาผิง “นางจะเสียใจได้”“ท่านเอ็นดูนางมากหรือ” ฉู่ซีเย่หยักไหล่ไม่ใส่ใจ จิบสุราอุ่นของอำเภอหงชุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด“เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” หาไม่แล้ว คนอย่างฉู่ซีเย่จะมอบเสื้อคลุมกันหนาวขนมิงค์ให้นางหรือ แม้จะใช้วิธีซับซ้อนอย่างการให้เขามอบต่อให้กงจิ้งแต่ก็เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด เสื้อตัวนี้จะต้องกลับมาหานางแน่ไม่ใช่หรือฉู่ซีเย่เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไม่เช้าแล้ว ไปวัดกันเถอะท่านพี่”“จุดประสงค์คือไปวัดแน่หรือ”“ย่อมไม่ใช่”“วัดนั้นมีปัญหา”ฉู่ซีเย่ตอบ “ข้าหวังว่าจะไม่มี”เหยาอี้เหยาถูกฉู่ซีเย่ไล่ออกมาจากห้องโถงด้วยความเย็นชา นางจึงต้องมายืนหนาวรออยู่ด้านนอกตรงลานจอดรถม้า ยังดีที่คนของเจ้าเมืองฉู่นำเตาอุ่นมาให้นางกอด อีกทั้งเสื้อคลุมขนมิงค์ยังกันลมได้ดี นางจึงนั่งรอได้ไม่เดือดร้อนกับความหนาวแต่รอไปรอมานางก็หิว ความจริงเวลานี้นางยังไม่ทานอาหารเช้าหรอก ทว่าเมื่อวานนางทานข้าวเย็นเสียที่ไหน ตอนนี้จมูกได้กลิ่นขนมแป้งเคลือบน้ำผึ้ง น้ำย่อยใน
เหยาอี้เหยากลับมาที่จวนกับจินเฟยก่อนเพื่อรักษาจางลี่ท่านหมอให้ความเห็นว่าบาดแผลตรงศีรษะของจางลี่สาหัสยิ่ง อีกทั้งนางยังเสียเลือดมากจนร่างกายช็อก ไม่มีวิธีการเพื่อยื้อชีวิตนางได้แล้ว ท่านหมอจึงออกมาบอกกับเหยาอี้เหยาว่าจางลี่คงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ หากมีเรื่องใดก็ให้นางเข้าไปพูดตอนนี้เสียเหยาอี้เหยาจึงเข้าไปหาจางลี่ ในชั่วขณะหนึ่งนางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงขณะนี้ คือจางลี่หลายวันก่อนนางยังสบายดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้วใครกันที่ทารุณกับนางขนาดนี้“หนาวหรือไม่” นางหยิบที่คีบเพื่อส่งถ่านเข้าไปในเตา ให้ห้องพักรักษาตัวอันเย็นจัดได้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง“คุณหนูเหยา…ท่านชิงชังข้าบ้างหรือไม่” สายตาจางลี่อยู่ที่นาง เคลือบทับไว้ด้วยความรู้สึกผิดชั้นหนึ่ง“ไม่เลย แค่โกรธนิดหน่อย” เหยาอี้เหยานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปซับน้ำตาให้จางลี่อย่างอ่อนโยน“ข้าน้อยผิดต่อท่าน…” ความทรงจำเลวร้ายที่ตนทำกับนาง ไหลวนกลับมาเหมือนกระแสน้ำ น้ำตาจึงไหลออกมามากกว่าเดิม “ข้าน้อยไม่เคยดีกับท่านเลย แต่ท่านดีกับข้าเสมอ…”“ข้าอยากดีกับเจ้าให้มากกว่านี้” เหยาอี้เหยาจับมือนาง ยิ่งสัมผัสได้ถึงชีพจรอันเ
พิธีศพของจางลี่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเหยาอี้เหยาสวมชุดป่านสีขาว ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพจางลี่ รอบข้างมีคณะทูตจากต้าหย่ง รวมทั้งจิ่งเถียนและพ่อบ้านซุนประจำสกุลฉู่มาร่วมงาน เนื่องจากจางลี่เป็นลูกกำพร้า ไม่มีครอบครัวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นางจึงขอให้ทางการอนุญาตให้ฝั่งร่างของจางลี่ในสุสานชาวเมืองโจวอี้ภายในวันนั้นเนื่องจากอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซีเย่ คนทั้งเมืองจะจัดงานรื่นเริงงดเว้นงานสีดำ ดังนั้นนางจึงต้องรีบฝั่งจางลี่ก่อนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินกลับจวนสกุลฉู่พร้อมกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยและลู่หมิง ส่วนพ่อบ้านซุนและจิ่งเถียนตามอยู่ข้างหลังไกลๆเหยาอี้เหยาเร่งฝีเท้าเพื่อเดินข้างกงจิ้ง นางมีเรื่องจะพูดกับเขา“แม่ทัพกง ท่านรู้จักคนที่ชื่อฟู่เจิ้งชิวมากแค่ไหน” ในอดีตกงจิ้งเคยสังกัดกองทหารของท่านตา อีกทั้งเขายังเป็นคนของราชวงศ์ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้เรื่องฟู่เจิ้งชิวมากกว่านางแน่“รู้จักเพียงผิวเผิน ไม่เคยพบหน้าเขา” เรื่องเล่าของฟู่เจิ้งชิวนั้นเขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง“ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังได้หรือไม่”“อืม ได้ยินว่าฟู่เจิ้งชิวเป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากศา
“อื้อ! ปล่อยข้า” เหยาอี้เหยาประท้วง แต่ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านต่อเรี่ยวแรงของนาง ยิ่งเมื่อพบว่าปากนางหวานล้ำจึงอยากชิมให้มากขึ้น หนทางที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ยิ่งน้อยลง ทว่าร่างกายของนางสั่นเทายิ่งจุมพิตของฉู่ซีเย่เนิ่นนานและทรมานนางอย่างยิ่ง เรียวปากบางถูกเขาดูดดึงจนบวมช้ำ ข้อมือบางถูกกุมจนขึ้นรอยนิ้วสีแดง ในสถานการณ์ที่นางต่อต้านไม่ได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าวเวลานั้นฉู่ซีเย่มองเห็นหยาดน้ำตาชุ่มขนตางอนยาวก็คิดจะหยุด...แต่ไม่ได้หยุดทันทีเพราะเขาแค่คิดที่จะหยุดเท่านั้น“ข้าร้อนยิ่ง” ฉู่ซีเย่ถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากบางอย่างอ้อยอิ่ง นิ้วมือเรียวที่ราวกับไฟเกลี่ยไล่ปอยผมให้พ้นกรอบหน้า จมูกที่แดงจัดเพราะความหนาวทำให้นางยิ่งน่าทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือจนเขาปวดใจที่เผลอลงมือหนักเมื่อครู่“ซื่อจื่อ...” เหยาอี้เหยาเบือนหน้าหนีริมฝีปากร้อนจัดของเขาเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าปอด แผ่นหลังของนางติดกับขอบบ่อ สองมือที่พึ่งเป็นอิสระดันแผ่นอกที่แข็งดั่งกับก้อนหิน อีกทั้งยังร้อนลวกมือจนนางไม่กล้าแตะต้องมาก“กลัวข้าหรือ...”จมูกโด่งยังคงคลอเคลียแก้มนางไม่ห่าง พร้อมกอดรัดนางไว้อย่างแนบชิด เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายตนเอง
หลังลงจากเขาแล้ว ฉู่ซีเย่สั่งให้คนพาตัวเหยาอี้เหยากลับจวนและหากไม่มีคำสั่งของเขา ห้ามนางออกจากจวนแม้ครึ่งก้าว ส่วนเขาเดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อสอบสวนฟู่เจิ้งชิวด้วยตัวเองฉู่ซีห่าวคอยอยู่แล้วเมื่อเขาไปถึง ทั้งยังสละเสื้อคลุมให้เขาอีกตัว แต่ตอนนี้ฉู่ซีเย่ร่างกายอบอุ่นยิ่ง ไม่ต้องการเสื้อคลุมใดๆ“ข้าไม่หนาว”“เจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” ฉู่ซีห่าวอดพูดไม่ได้“ข้าสบายดี” ฉู่ซีเย่แย้มยิ้ม กลิ่นกายหอมกรุ่นของนางยังคงติดจมูก น่าเสียดายที่เขากอดนางได้ไม่นานเท่าที่ใจปรารถนา “ท่านพี่ คนแซ่ฟู่ล่ะ”“อยู่ในคุกรอเจ้าแล้ว” ฉู่ซีห่าวพาเขาลงไปใต้ดิน ภายในคุกคุมกันแน่นหนาเพื่อไม่ให้ใครมาชิงฆ่านักโทษไปได้ รวมทั้งยังวางกำลังไว้จำนวนหนึ่งเพื่อจับตาดู จะได้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายก่อนการสอบสวนทันทีที่ฉู่ซีเย่ปรากฏตัวขึ้น ฟู่เจิ้งชิวในชุดไต้ซือก็แสดงท่าทีตื่นตระหนกฉู่ซีเย่ไม่ได้เริ่มการสืบสวนทันที แต่เขาหันมาพูดกับฉู่ซีห่าวก่อน “จริงสิท่านพี่ ท่านเขียนจดหมายให้ท่านปู่ทราบแล้วหรือยัง”“ยังเลย”“เช่นนั้นระหว่างที่ข้าสอบสวนคนแซ่ฟู่ ท่านช่วยเขียนจดหมายถึงท่านปู่ได้หรือไม่”ฉู่ซีห่าวไม่ปฏิเสธ เขาคิดจะเขีย
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม