“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที
“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน “แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้ แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวง ความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมด สองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว “ท่าน…อื้อ!” “อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว “ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา “อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางหายใจแผ่ว “อะ…อื้อ” เข้ามาแล้ว…ความอุ่นร้อนที่น่าเกรงขามได้สอดเข้ามาในตัวนางจนสุด เหยาอี้เหยาหดเกร็งทั้งตัว ยิ่งเมื่อเขาเริ่มขยับเคลื่อนไหนด้วยจังหวะเชื่องช้าแต่กดเน้น หัวใจนางก็พุ่งกระโจน “อา…” จุมพิตปลุกระดมไม่ห่างไปจากกลีบปากหวาน มือแกร่งโอบตัวนางให้แนบชิด ระหว่างที่เอวขยับหานางอย่างหนักแน่น เสียงลมหายใจร้อนระอุเป่ารดอบอุ่น เหยาอี้เหยาเริ่มไม่รู้สึกถึงความเจ็บแล้ว มีแค่ความอึดอัดเล็กน้อยที่ยังคงอยู่ ทว่าความอึดอัดที่ว่าไม่ได้กวนใจนางเลยแม้แต่น้อย หากเทียบกับความสุขที่กำลังพร่างพรายดั่งดวงดารา ความร้อนแรงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แผ่นหลังอาบไล้ไปด้วยหยาดเหงื่อ ลมหายใจที่สอดประสานในจังหวะรัวเร็วยังคงดำเนินอย่างลื่นไหล “…นี่ออกจะเร็วไป” นางร้องเสียงโหย ลำคอแห้งผากเมื่อถูกเขาแผดเผาด้วยไฟปรารถนา “เช่นนี้กำลังดี” ฉู่ซีเย่สอดมือตรึงตัวนางให้อยู่กับเตียง ร่างบางถูกเขากดจมเตียง อารมณ์ดิบเถื่อนซึ่งถูกนางล่อลวงออกมากำลังเริงร่า “ท่านอ๋อง…” ลมหายใจนางถี่กระชั้น สัมผัสจากเขาร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ “อี้เหยา ให้ข้าเถอะ” เขาวอนขอ ขบเม้มผิวกายนางจนทั่ว ปลายจมูกยังถูไถหลังกกหู “ข้าต้องการเจ้ามาก” เหยาอี้เหยาไม่ได้เอ่ยตอบ ริมฝีปากที่ประกบลงกลืนกินทุกคำพูดลงท้อง เขาขยับเอวสอบให้รัวเร็ว ทุกท่วงท่าหนักหน่วงและกดเน้น นางรู้สึกว่ากำลังจะขาดใจตาย แต่ชั่ววินาทีที่ทุกอย่างประเดประดังเข้ามา สายน้ำอุ่นชื้นก็หลั่งไหล ในท้องนางมีอะไรบางอย่างที่อุ่นวาบ ครั้นจะขยับตัว ฉู่ซีเย่ก็กอดนางไว้แน่น ราวกับเป็นสิ่งของล้ำค่า จุมพิตที่เขามอบให้อีกครั้งอย่างปลอบประโลมทำหัวใจนางเต้นกระหน่ำ รู้สึกว่าได้รับความรักอย่างทะนุถนอมจากเขา “ข้ารักเจ้า…” "ข้าก็รักท่าน" ฉู่ซีเย่กอดนาง กระชับเนื้อตัวเข้าหา ความรักที่มีต่อนางซึมลึกถึงกระดูก ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนือไม่มีหิมะ พืชพันธุ์ต่างๆ ออกดอกผลิใบ ซ่างเจวี๋ยมาถึงเมื่อสองสามวันก่อน ฉู่ซีห่าวจึงจัดให้นางพักอาศัยในจวนเจ้าเมือง แรกทีเดียว เขาไม่อยากให้นางพักอยู่ในจวนด้วยกัน แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องความปลอดภัย จึงให้นางพักในจวน ส่วนเขาก็ไม่กลับเลย อ้างว่ามีกิจการงานให้ต้องดูแลแล้วพักที่จวนว่าการ แต่หลายครั้งที่ฉู่ซีห่าวจรดพู่กันเขียนฎีกา เขาพบว่าตนเองกำลังเขียนชื่อนาง กระดาษหลายแผ่นจึงถูกขยำทิ้ง ผิดวิสัยเขามาก ช่วงนี้จึงมีข่าวลือจากในจวนว่าการว่าเจ้าเมืองฉู่มีเรื่องกลุ้มใจ เกรงว่าจะเกี่ยวกับฮูหยินน้อยเสิน ใครมีเรื่องไม่ดีให้หลบเลี่ยงจะดีกว่า ฉู่ซีห่าวได้ยินเรื่องข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง จึงกลับจวนในวันต่อมาเพื่อสยบข่าวลือ เมื่อกลับถึงจวน เสินหลานก็มาหา นางยิ้มแย้มพร้อมตุ๋นน้ำแกงเนื้อมาด้วย “ท่านพี่ ช่วงนี้ท่านคงทำงานหนักหน่วงมาก เสินหลานเลยเตรียมอาหารบำรุงร่างกายมาให้” ฉู่ซีห่าวยิ้มให้นาง ความสุภาพอบอุ่นเจือความเย็นชาโดยไม่ตั้งใจ “ขอบใจมาก” “ท่านทานเยอะๆ นะ เสินหลานตุ๋นไว้เยอะเลย” นางหยิบช้อนให้เขา ฉู่ซีห่าวรักษาน้ำใจด้วยการตักดื่มหลายคำ “รสชาติดีมาก แต่วันหลังเจ้าอย่าลำบอกเลย เรื่องพวกนี้ให้บ่าวไพร่จัดการย่อมดีกว่า” เสินหลานรับคำเสียงอ่อน “ได้เจ้าค่ะ” “เสินหลาน อย่าเข้าใจข้าผิด” ฉู่ซีห่าวเห็นท่าทางนางเศร้าลง “ที่ไม่อยากให้เจ้าทำเพราะงานครัวต้องหยิบจับมีดและใกล้ฟืนไฟ ไม่ระวังเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อเจ้า ข้าเป็นห่วง” ความเป็นห่วงเขาทำนางยิ้มได้ “เสินหลานเชื่อฟัง วันหน้าจะไม่ทำแล้ว” ฉู่ซีห่าวยิ้ม “ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อน เจ้ากลับเรือนดีๆ นะ” “เจ้าค่ะท่านพี่” หลังนางกลับฉู่ไปแล้ว ฉู่ซีห่าวคลึงหัวคิ้ว เขาย้ำเตือนกับตนเองว่าเขาแต่งงานแล้ว ต้องซื่อสัตย์ต่อฮูหยินของเขา กระทั่งบ่าวรับใช้นอกเรือนบอกว่าซ่างเจวี๋ยมาขอพบ ใจที่นิ่งสงบกลับไหวเอน “ให้เข้ามาได้” ฉู่ซีห่าวได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา แต่เขาไม่ได้มอง แสร้งว่าตั้งใจจดจ่ออยู่กับม้วนหนังสือตรงหน้า “คำนับเจ้าเมืองฉู่” ซ่างเจวี๋ยย่อตัวลงคำนับแล้วลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาจ้องแต่หนังสือ “เออนี่ ท่านยุ่งมากหรือ” “พอสมควร” “เช่นนั้นเข้าเรื่องแล้วกัน” ซ่างเจวี๋ยกระแอมกระไอ “คือว่า ตอนนี้ข้าก็หายดีแล้ว เลยอยากจะมาขอออกไปอยู่ข้างนอกด้วยตัวเองนะ” นัยน์ตาสีนิลไหววูบ แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน “อะไรนะ” “ข้าพูดว่าจะขอออกไปอยู่ข้างนอก ได้โปรดอนุญาตด้วย” “ตามใจเจ้า” ฉู่ซีเย่เงยหน้าขึ้นมองนางเป็นครั้งแรกเพื่ออนุญาต ก่อนจะพบว่าการมองนางในครั้งนี้ เป็นเรื่องผิดพลาดเพียงใด “ท่านอนุญาตแล้วนะ” ฉู่ซีห่าวพลิกลิ้น “ข้าอนุญาตเมื่อไหร่” ซ่างเจวี๋ยหุบยิ้ม “อ้าว เมื่อครู่ไง” “เจ้าฟังผิดแล้ว” “แต่…” “ข้ามีงานต้องสะสางอีกมาก เชิญเจ้าออกไปก่อน” “ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่” ซ่างเจวี๋ยพูดด้วยเหตุผล “ท่านแต่งงานแล้ว ในจวนมีฮูหยินอยู่ทั้งคน กลับพาข้ามาอยู่ด้วย คนจะครหาท่านเอาได้” ฉู่ซีห่าวคาดว่านางคงได้ยินข่าวลือแล้วคิดว่าเขากับเสินหลานมีปัญหากันเพราะนาง "ข้างนอกไม่ปลอดภัย" อีกอย่างเขาไม่สนใจข่าวลือ "ใครจะกล้าทำอะไรข้า ที่นี่เมืองโจวอี้นะ" แค่รู้ว่านางเกี่ยวข้องกับคนสกุลฉู่ ไม่คนคนบ้ากล้าตายที่ไหนมายุ่งแล้ว “ซ่างเจวี๋ย” "ให้ข้าออกไปเถอะ ท่านต้องนึกถึงใจฮูหยินน้อยเสินด้วยนะ นางจะต้องคิดมากแน่ที่มีข้าในจวน" ฉู่ซีห่าวเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าหน้า เขามองตานางก็พบว่านางไม่ได้คิดอย่างที่ใจเขาคิดไม่ดีต่อนาง ซ่างเจวี๋ยเป็นสตรีที่ดีพร้อม เขาจะไม่ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวของเขาทำลายนาง "เข้าใจแล้ว ไปเถอะ" ซ่างเจวี๋ยคำนับขอบคุณแล้วหันหลังจากไป ปล่อยให้ฉู่ซีห่าวมองตามหลังนางอย่างอาวรณ์ แววตาที่เผยออกมาช่างลึกซึ้งเกินกว่าจะปฏิเสธว่าไม่ได้คิดอะไร บางที...เขาก็อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวแล้วครอบครองในสิ่งที่ต้องการโดยไม่สนถูกผิดสักครั้ง ฉู่ซีเย่ไม่ค้างคืน เขาบอกว่าต้องรีบกลับไปจัดการธุระที่ค้างคา แต่เดี๋ยวไม่นานเขาจะมาหานางอีก เหยาอี้เหยาเกรงว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเลยเตรียมอาหารให้เขาพกไปกินระหว่างทาง แม้เขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่นางก็ยินดีทำให้ “ข้าไปไม่นานก็กลับมา” ฉู่ซีเย่สวมกอดนาง สูดกลิ่นกายของนางจนชุ่มปอด “เข้าใจแล้ว เดินทางปลอดภัยนะ” “อี้เหยา” เขาจับมือนาง ก่อนดึงให้นางมารับจุมพิตจากเขาอย่างอ่อนโยน “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าจะคิดถึงข้าไหม” “ต้องคิดถึงอยู่แล้ว” นางมองเห็นประกายตาที่แสนดีใจ รอยยิ้มยโสที่มักประดับอยู่บนใบหน้าเผยความลำพอง “ข้าจะรีบกลับมาทันที ไม่ปล่อยให้เจ้าคิดถึงนาน” เหยาอี้เหยาเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตเขา “รีบกลับมานะเจ้าคะ” ฉู่ซีเย่ไม่น้อยหน้า รวบนางเข้ามาจุมพิตเนิ่นนานจึงยอมปล่อย ปลายจมูกเขาแตะปลายจมูกมน พร่างพรมความรู้สึกให้นางรับรู้ “ข้าไปก่อนนะ” “เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาปล่อยมือ ฉู่ซีเย่จำต้องหยุดอ้อยอิ่งแล้วขึ้นม้า เขาหันมายิ้มให้นางแล้วกระทุ้งม้าจากไป แผ่นหลังแกร่งกลืนหายไปกับความมืดยามรุ่งสาง ต้นข้าวในนาร้องเพลงร่วมส่งเขา แต่กลิ่นดอกไม้กลางคืนโชยผ่านเป็นการเว้าวอนให้เขากลับมาเร็วๆ เหยาอี้เหยากลับมานอนบนเตียง นางนอนไม่หลับ ความหนาวในเวลากลางคืนทำให้ใช้ผ้าห่มผืนใดก็ไม่อบอุ่นเท่าอ้อมกอดเขา “ท่านพึ่งไปแท้ๆ แต่ข้าก็คิดถึงท่านเหลือเกิน…” กรุ่นกลิ่นไอเขายังคงตกค้างอยู่บนผ้าห่ม นางสูดดมด้วยความคิดถึง เมื่อท้องฟ้าสว่างจึงได้หลับไป ท่านอ๋อง เมื่อไหร่ท่านจะกลับมา… เวลานี้ทุ่งนากำลังกำลังตั้งต้นเขียวขจี เหยาอี้เหยาเดินเลียบไปตามคันนาโดยหิวตะกร้าผักเพื่อทำมื้อเย็น ตรงหัวมุมไกลลิบๆ มีกงจิ้งคอยกำจัดต้นหญ้าในนาข้าว ส่วนลุงกู่ต้อนวัวเข้าคอก ช่วงนี้ยามเย็นพระอาทิตย์วาดสีสันให้ขอบฟ้าจนไม่อาจละสายตา ท้องฟ้าไล่เฉดสีกับผืนนาที่ทอบรรจบกัน เป็นทิวทัศน์ที่มองได้ไม่รู้จักเบื่อหน่าย แต่จะนั่งมองตลอดไม่ได้ ประเดี๋ยวจะได้อดข้าวเย็นกันพอดี เหยาอี้เหยาเดินกลับครัว นางวางตะกร้าผักแล้วเปิดฝาหม้อ ครั้นเห็นว่าซี่โครงนุ่มได้ที่ก็กำผักที่ล้างมาจากลำธารมาบิดใส่หม้อเป็นกำๆ ผักที่ปลูกเองมีรสชาติหวานกรอบและอร่อยมาก ยังมีเนื้อหมูป่าที่กงจิ้งล่ามา บอกได้คำเดียวว่ากลมกล่อมจนต้องเพิ่มข้าว เหยาอี้เหยาตระเตรียมกับข้าวเรียบร้อย นางจึงออกไปตะโกนบอกให้กงจิ้งและลุงกู่กลับมากินข้าว ทั้งสองโบกมือตอบกลับมาว่าจะไปเดี๋ยวนี้ “รีบๆ มานะเจ้าคะ” นางย้ำอีกรอบก่อนจะกลับเข้าไปในครัว ระหว่างตระเตรียมจานชามให้เรียบร้อย นางก็รู้สึกว่ามีสายตาของคนผู้หนึ่งมองนางจากด้านหลังจึงหันกลับไปมอง สตรีในเครื่องแต่งกายผ้าไหมประณีตยืนอยู่ตรงประตู ใบหน้านางมีร่องรอยของความเจ็บแค้นกระจายอยู่ ถึงยังงั้นก็ไม่สามารถปิดบังความงดงามอันยากจะหาที่ติ “ท่านคือ?” “ข้าคือองค์หญิงสิบเอ็ด” นางกล่าวเพียงเท่านี้ เหยาอี้เหยาคำนับ แม้จะงุนงงว่าเหตุใดองค์หญิงถึงมายืนอยู่ตรงประตูห้องครัวที่แสนซ่อมซ่อของนาง แต่นางก็ไม่ได้ถามออกไป “คำนับองค์หญิงสิบเอ็ด” “ไม่ต้อง” น้ำเสียงนางฉายแววหยิ่งทะนง “ข้ามาที่นี่เพื่อมาดูหน้าเจ้าเท่านั้น ไม่คิดว่าหน้าตาจะธรรมดาเพียงนี้ แล้วท่านอ๋องหลงใหลอะไรในตัวเจ้านักหนา" เหยาอี้เหยาลุกขึ้น “องค์หญิง ท่านรู้จักข้าหรือ” “รู้ซิ” นางเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นนางอุ่นเตียงของฉู่อ๋อง ว่าที่พระสวามีของข้า” ชามในมือนางหล่น เหยาอี้เหยาชาหนึบ ใช้เวลานานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ “ท่านว่าอะไรนะ” องค์หญิงสิบเอ็ดยิ้มเหยียด “ตกใจจนหน้าซีดเลยหรือ ตอนนอนกับว่าที่พระสวามีข้ามีความละอายใจสักนิดไหม” เหยาอี้เหยาโต้เสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ “ข้าไม่รู้ว่าท่านอ๋อง...มีท่าน” นางไม่รู้เลยว่าฉู่ซีเย่จะมีคู่หมายและนางเป็นแค่นางอุ่นเตียงของเขา หัวใจในตอนนั้นกำลังเผชิญหน้ากับความแหลกลานการมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
“ขอให้ฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี”สิ้นเสียงกล่าว ม้าเร็วพร้อมกงกงผู้เดินทางมามอบราชโองการแต่งตั้ง ‘ท่านหญิงแห่งต้าหย่ง’ ถึงหน้าสกุลเหยาก็จากไปอย่างเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าหยัดกายลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า ต้องพึ่งแรงพยุงจากบุตรชายของนาง แต่นางก็ยังทรงตัวไม่ได้เนื่องจากจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงฮูหยินผู้เฒ่าสูดลมหายใจเคล้าความเย็นเข้าปอด ราชโองการแต่งตั้งหลานสาวอยู่ในมืออันเหี่ยวย่น แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาหญิงชราจะไม่โปรดปรานเหยาอี้เหยา แต่ก็ไม่เคยคิดจะส่งหลานสาวให้ไปเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย อย่างไรเหยาอี้เหยาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนสกุลเหยาแต่ทำอย่างไรได้ ราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ในมือแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ตัดสินให้รอบคอบรัดกุม สกุลเหยาคงจะประสบเคราะห์ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย“ท่านแม่ ท่านไหวหรือไม่”“ข้าไหว” ฮูหยินผู้เฒ่าคว้ามือบุตรชายไว้ สมองที่ยังแหลมคมอยู่ครุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุด นางไม่สนใจจะมองผู้ใดที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางโถง “พาข้ากลับไปที่เรือน”เมื่อถึงเรือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารับชาจากสาวใช้คนสนิทมาจิบคำหนึ่ง ดวงตาสีจางหลุบต่ำมองม้วนอักษรวิจิตรสีทองซึ่งเสียดแทงใจนางยิ่งนัก การแ
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม