การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน
กงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ “...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆ เวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ “เจ้าหัวเราะอะไร” หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว? “ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี” กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้ว เหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้” กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร” “ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลังๆ ไปก็มีแต่ความรู้สึกจริงๆ “แล้วเจ้ารู้เรื่องนางได้ยังไง” คนอย่างฉู่ซีเย่ไม่มีทางบอกนางเองแน่ “แม่ทัพซ่างส่งข่าวมาเมื่อเดือนก่อนเจ้าค่ะ บอกว่าท่านอ๋องมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว ให้นางระวัง” วันที่นางได้จดหมาย เป็นวันเดียวกันกับที่ฉู่ซีเย่จากไป ดังนั้นนางจึงทำได้แต่เก็บงำความรู้สึกไว้ เพื่อถามเขาในครั้งหน้า ทั้งๆ ที่ในใจนางเหมือนมีกองไฟตลอดเวลา แต่นางผ่านอะไรมามากมาย ดังนั้นนางจะไม่ตีโพยตีพายและไม่ทำอะไรให้มันเอิกเกริก แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้สึกอะไรเลย ความจริงแล้วนางโกรธพอสมควร ทั้งยังอยากรู้ว่าเพราะเหตุใด ฉู่ซีเย่ที่บอกว่ารักนางนักหนา ถึงได้โกหกเรื่องนี้ เขาเห็นนางเป็นแค่นางอุ่นเตียงอย่างที่องค์หญิงตราหน้าหรืออย่างไร แต่ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องถามเขาให้แน่ชัดก่อน หากเขาให้คำตอบที่ดีในเรื่องนี้ไม่ได้ นางก็มั่นใจว่าฉู่ซีเย่ไม่คู่ควรจะเป็นคนที่นางรักอีกต่อไป เหยาอี้เหยาดูภายนอกคล้ายจะอ่อนแอบอบบาง แต่นางไม่อ่อนแอเลย ชั่วขณะนั้นกงจิ้งถึงพึ่งตระหนักได้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกสกุลเหยาขับไล่และได้รับความเกลียดชังมากมายได้เติบโตขึ้นมาเป็นดอกไม้งามซึ่งเข้มแข็งอย่างยิ่ง ในอนาคตไม่ว่าจะมีพายุฝนจะโหมกระหน่ำใส่นางเพียงใด เขามั่นใจว่านาง ต้องผ่านไปได้แน่ “อี้เหยา หากฉู่ซีเย่กล้ารังแกเจ้า ข้าจะไม่เอาเขาไว้แน่” เวลาต่อมากงจิ้งก็กระจ่างแจ้งว่าเหยาอี้เหยาไม่ใช่สตรีที่ต้องการการปกป้อง และฉู่ซีเย่ก็ไม่แม้แต่จะกล้ารังแกนาง ...ยกเว้นบนเตียง สายไปแล้วเมื่อฉู่ซีห่าวรับรู้ว่าซ่างเจวี๋ยส่งจดหมายไปบอกเหยาอี้เหยา เขาจึงทำได้แค่เรียกนางมาทำความเข้าใจว่าน้องชายยอมเกี่ยวข้องกับองค์หญิงสิบเอ็ดเพราะมีเหตุผล แต่นางไม่ยอมมาพบ อาจจะเพราะกลัวว่าจะโดนจับลงทัณฑ์ เขาจึงเดินทางไปพบนางที่โรงเตี๊ยมแทน เมื่อไปถึงที่หมาย เขาสั่งให้จ้าวสือไปตามนางมาพบที่ห้องรับรอง แต่คนที่เข้ามาไม่ใช่ซ่างเจวี๋ย “เจ้าเองหรือ” “เสินหลานเห็นท่านพี่ออกจากจวนเลยตามมาด้วย หากท่านพี่จะพบกับแขกคนสำคัญ น้องจะกลับก่อน” “ไม่ต้องหรอก ข้าแค่มาพบซ่างเจวี๋ยนะ” ฉู่ซีห่าวบอกอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นสามีที่ดีของนาง เขาจูงมือนางไปนั่งบนตั่งนุ่ม “เจ้าอยู่ด้วยได้” ใบหน้าเสินหลานค่อนข้างซีดขาว มือเย็นเฉียบ ฉู่ซีห่าวจึงเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า มือเย็นเชียว” เสินหลานส่ายหน้า ค่อยๆ พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ท่านพี่ ความจริงเสินหลานมีเรื่องจะสารภาพกับท่านมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่กล้าพูด” หลังม่านกั้นมีคนเดินเข้ามา กงซุนหลางเดินออกมาคุกเข่าต่อหน้าฉู่ซีห่าว ครู่ต่อมาเสินหลานก็คุกเข่าด้วยอีกคน แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉู่ซีห่าวจะไม่ได้รักนางดั่งคนรัก แต่เขาดูแลนางอย่างดี ให้เกียรติ ทะนุถนอมและไม่เคยนอกกายไปหาใคร ต่อให้ใจจะต้องการแค่ไหน แต่เสินหลานทำผิดต่อเขา... ฉู่ห่าวมองทั้งสองคนที่จับมือกันด้วยสายตาที่เข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว “ข้าจะส่งเสริมพวกเจ้าก็พูดไม่ออก แต่ก็ขอให้มีความสุข...” ก่อนจะจากไป เสินหลานหันมาคำนับเขาอย่างนอบน้อมเพื่อขออภัยที่หักหลังต่อคำสาบานในวันแต่งงาน รวมทั้งที่เขาไม่โกรธเคืองหรือต่อว่าสักคำ “ท่านพี่ ท่านน่ะ? เป็นคนดีเกินไป ไม่สู้เอาอย่างเสินหลานหรือท่านอ๋อง เห็นแก่ตัวบ้าง อยากได้อะไร ก็แย่งชิงมาเลย” กล่าวจบทั้งสองก็จูงมือออกไป ทั้งห้องเหลือเพียงฉู่ซีห่าว เขาหลุบตาลงต่ำ ราวกับกำลังครุ่นคิดอยู่ในโลกของตัวเอง กระทั่งประตูเลื่อนเปิด ซ่างเจวี๋ยยืนอยู่ตรงหหน้า คำพูดของเสินหลานกลับเข้ามาในหัว อยากได้อะไร ก็แย่งชิงมาเลย “เมื่อกี้ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังหรอกนะ แต่ยังไงก็เสียใจด้วย ท่านก็อย่าน้อยใจไป วันหน้าต้องมีสตรีที่รักท่านมาปรากฏตัว...” “ข้าพบแล้ว” ฉู่ซีห่าวลุกขึ้นด้วยนัยน์ตามั่นคง เขาก้าวฉับๆ ก็ถึงตัวนาง มือแกร่งผลักนางติดกับผนังและบดจูบอย่างรุนแรง ซ่างเจวี๋ยตกตะลึงพอสมควรจึงออกหมัดมวย แต่ฉู่ซีห่าวไม่ยอมให้นางขัดขืน เขารวบมือนางไว้แล้ว ริมฝีปากร้อนฉ่าเร้ารึงกลีบปากบางที่เขาไม่เคยคิดฝัน บางทีก็ละเมียดละไม บางคราวก็ดุเดือดเผ็ดร้อน “อื้ม!!!” ซ่างเจวี๋ยสู้ไม่ได้ นางถูกเขาปล้นจูบจนแทบหมดลมหายใจ ฉู่ซีห่าวจึงยอมปล่อย พร้อมกับพูดในสิ่งที่อยู่ในใจมาเนิ่นนาน “ซ่างเหวิน แต่งงานกับข้าได้ไหม...” นางตกใจไม่น้อยที่เขารู้ชื่อจริงและยังมาพูดอะไรบ้าๆ หลังทำตัวบ้าๆ ซ่างเจวี๋ยหรือชื่อจริงว่าซ่างเหวินจึงประเคนหมัดให้หนึ่งที ใบหน้าฉู่ซีห่าวหน้าหันตามแรงหมัด “ประสาทรึ! อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไม่งั้นจะต่อยให้ตายเลย” ซ่างเหวินพูดเสียงกร้าว ก่อนจะหันหลังจากไป ฉู่ซีห่าวตามไปรวบตัวนางติดผนัง ไม่สนว่านางจะโวยวายหรือด่าทอเขาแค่ไหน เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจากนี้จะเลิกทำตัวเป็นคนดี อยากได้อะไร เขาจะแย่งชิงมา! “บัดซบ! ปล่อยข้านะ” “ซ่างเหวิน แต่งงานกับข้าเถอะ” “ใครอนุญาตให้เรียกข้าว่าซ่างเหวิน!” “ไม่ให้เรียกซ่างเหวิน หรือจะให้เรียกฮูหยิน” "ท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ปล่อยข้า!" เมื่อก่อนนางคิดว่าเขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ไม่มีทางจะมารังแกสตรีโดยเด็ดขาด แต่ก้อนหินยังเปลี่ยนได้ แล้วนับประสาอะไรกับคน วันนี้นางประจักษ์แล้วว่าบทฉู่ซีห่าวจะเสียสติขึ้นมา เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม "ตะคอกใส่ข้าอีกคำเดียว ข้าจะปิดปากเจ้า" แรงเสียดสีจาการดิ้นรนขัดขืนของนางทำนัยน์ตาสีนิลเข้มขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนเขาจะหมดอยู่ร่อมร่อเพราะนาง "ฉู่ซีห่าวชาติสุนัข!" นี่อาจจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ซ่างเหวินได้พูด เพราะทันทีที่พูดจบ ฉู่ซีห่าวชาติสุนัขได้แสดงให้เห็นธาตุแท้ที่เก็บซ่อนไว้ตลอดหลายปี ใช่...ตลอดชีวิตมานี้เขาสวมบทบาทเป็นคนดีมาตลอด ไม่ว่าใครจะต้องการอะไร เขาไม่เคยปฏิเสธหรือพูดว่าไม่ได้ ครั้นวันนี้ได้ลิ้มลองรสชาติการเป็นกบฏ มารร้ายในใจเขาบอกว่าต้องการไปให้สุด ครอบครองนางซะ! เขาแนบริมฝีปากครอบครองพวงปากนางอย่างตะกละตะกลาม ดูดดึง ขบกัด เร้ารึง ลิ้นร้อนกวาดต้อนชกชิมไม่ให้นางได้มีโอกาสร้องทุกข์ มือแกร่งของเขาลูบไล้เครื่องแบบ คลายปม กระตุกเชือกจนเสื้อผ้าที่มิดชิดเริ่มคลายออก ผิวกายขาวเนียนกลมกลึงที่ปรากฏสู่สายตาทำให้ฉู่ซีเย่ต้องเลียริมฝีปาก เขาไม่เคยต้องการใครเท่านางมาก่อน "ปล่อยข้า! อื้ม!" ซ่างเหวินกรีดร้องในใจ เมื่อฉู่ซีห่าวรวบมือนางด้วยมือข้างเดียวก่อนจะก้มลงมาปิดปากนางอีกรอบ จุมพิตเขายัดเยียด ป่าเถื่อน และแฝงความดุดันที่ยากจะต่อต้าน ยิ่งเมื่อนางจะหันกรอบหน้าหนี เขาก็จับยึดกรอบหน้าไว้แล้วเชยขึ้นรับจุมพิตอย่างลึกซึ้ง "อือ!!!" เรี่ยวแรงมหาศาลทำให้เขาสามารถยกนางลงนอนบนโต๊ะได้อย่างง่ายดาย ข้าวของทุกอย่างถูกกวาดทิ้งอย่างไม่ไยดี เวลานั้นซ่างเหวินหมดแรงแล้ว ทั้งวิธีการอันป่าเถื่อนของเขาเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้น จุมพิตล่อลวงพร้อมมือหยาบกร้านซึ่งกำลังลูบไล้ทิ้งไอร้อนไปทั่วร่างกำลังทำให้ซ่างเหวินเคลิบเคล้ม เปลวไฟคล้ายติดพรึ่บ ทั้งสองผละห่างแล้วมองสบตากัน ฉู่ซีห่าวหายใจถี่ เขาจุมพิตเปลือกตานางแล้วพูดด้วยเสียงแหบพร่า "ซ่างเหวิน ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง" "ข้าไม่ต้องการการรับผิดชอบ..." "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าเอง" หากนางไม่ยอม เขาก็จะยัดเยียดตัวเองให้นาง อา...เป็นคนเลวมันดีเช่นนี้เอง "อะ...อื้ม" ซ่างเหวินไม่ได้ตอบ นางกำลังสับสนกับตัวเองพอสมควรว่าควรจะทำยังไง แต่จุมพิตแสนหวานที่เขาประกบลงมา ทำให้สมองว่างเปล่า รสชาติของการถูกสัมผัสอย่างรักใคร่เป็นอะไรที่นางไม่เคยประสบพบพานมาก่อน ครั้นถูกเขาล่อลวงด้วยใบหน้าสุภาพอบอุ่นและน้ำเสียงน่าฟัง นางก็ตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย อีกอย่างนางไม่ได้รังเกียจเขาด้วย ทั้งในใจลึกๆ ก็เฝ้ามองเขามาตลอดเช่นกัน เพียงแต่เห็นว่าเขามีครอบครัวแล้ว นางจึงตัดใจ "ท่าน..." มือใหญ่กอบกุมความนุ่มหยุ่น ซ่างเหวินลืมตาอีกหน ร่างกายนางก็เปลือยเปล่า ท่อนขาแข็งแกร่งแยกหัวเข่านางออกจากกัน เขาก้มลงมาจุมพิตแล้วดุนดันความฮึกเหิมเข้ามาช้าๆ "ไม่ต้องกลัว...ข้าอยู่นี่" ซ่างเหวินกระตุกเกร็ง ประสาทสัมผัสนางแตกซ่าน แต่เขากอดนางไว้แน่นและครอบครองอย่างนุ่มนวล "อา..." สัมผัสแสนอ่อนหวานเริ่มต้นได้ดี ก่อนจะพุ่งทะยานเป็นความเร้าร้อน ซ่างเหวินปราศจากความนึกคิด ได้แต่เดินทางตามการนำทางของฉู่ซีห่าวที่ไม่สามารถหยุดยั้งที่จะรักนางได้อีกต่อไป "ให้ข้า...ให้ข้าได้รักเจ้าแรงๆ" เขาพร่างพรมลมหายใจร้อนระอุใส่นาง "อะ...อ๊ะ!" "ซ่างเหวิน...อา...ซ่างเหวิน" สองขาแกร่งก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าฉู่ซีเย่ในเวลาไม่รับแขกแม้แต่น้อย หลังจากรู้ว่ามีคนไปรบกวนเหยาอี้เหยา เขาก็ละทิ้งการประชุมในท้องพระโรงโดยไม่สนสิ่งใด ความต้องการเดียวในตอนนี้คือไปพบนางให้เร็วที่สุด จินเฟยซึ่งรออยู่ด้านนอกเห็นท่านอ๋องเดินออกมาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ก็รีบเข้าไปรับไม้ป้านหยก จัดเตรียมม้าให้ขึ้นโดยสะดวก “ท่านอ๋องประเดี๋ยวก่อน!” องค์หญิงสิบเอ็ดไม่ได้มาแค่เสียง แต่ยังรวบกระโปร่งแล้ววิ่งลงขั้นบันไดมา นางเร่งรีบเพราะกลัวจะรั้งเขาไว้ไม่ทัน เวลานั้นฉู่ซีเย่มองนางอย่างเย็นชายิ่ง หากว่าไม่กลัวว่าม้าจะตกใจจนเตลิด เขาไม่มีทางรั้งรออีกแม้แต่อึดใจเดียว “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงรีบร้อนกลับไปปานนี้ ไม่ใช่ว่าคืนนี้ท่านต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงหรือ” องค์หญิงสิบเอ็ดเอ่ยถามเสียงนุ่ม นางไม่เคยมีโอกาสได้สนทนากับเขา หรือแม้กระทั่งเข้าใกล้ถึงขนาดนี้มาก่อน ใบหน้าของเขาทำให้หัวใจนางเต้นรัว ทว่าเมื่อสบนัยน์ตาคู่นั้นกลับแผ่ไอน่ากลัวจนนางผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่กระนั้นก็ยังพยายามใจดีสู้เสือ “ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้” ฉู่ซีเย่ปรายตามอง บอกให้ทุกคนหันหลังและถอยไปให้หมด “องค์หญิง เจ้าไปหาอี้เหยาทำไม” “ไม่ไปแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านแอบซ่อนหญิงอื่นไว้ ทั้งๆ ที่เสด็จพ่อให้เราหมั้นหมายกัน แม่นางนั่นไม่เห็นมีดีที่ตรงไหนด้วยซ้ำ แต่หากท่านชื่นชอบจริงๆ ข้าจะฝืนใจให้นางมาเป็นอนุก็ได้” นัยน์ตาฉู่ซีเย่กร้าว “อย่าได้ทึกทักเอาเองว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า และถ้าข้าได้ยินอีกครั้งว่าเจ้ากล้าไประรานนางอันเป็นที่รักของข้าอีก...” ฉู่ซีเย่มองนางด้วยหางตา แต่สร้างความหวาดหวั่นให้คนถูกมองจนตัวสั่น อานุภาพของความกดดันทางสายตารุนแรงอย่างยิ่ง “ข้าจะทำให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานจนตาย” ไม่ใช่คำขู่ ฉู่ซีเย่ทำแน่ องค์หญิงสิบเอ็ดตัวสั่น นางนิ่งงันอยู่ตรงนั้นหลายเค่อโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ขณะนั้นองค์หญิงหย่งเยี่ยนเดินผ่านมาพบเขาพอดี จึงกล่าวเตือนสตินางอย่างหวังดี “ดีที่เจ้าไม่แตะต้องแม่นางน้อยเหยา ไม่เช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงไม่ได้ยืนหายใจสบายๆ อยู่ตรงนี้แล้ว” ฉู่ซีเย่ควบม้าทั้งวันทั้งคืนจึงไปถึงอำเภอซานถงได้ เขาเร่งรีบอย่างยิ่งเพราะเกรงว่าเหยาอี้เหยาจะเข้าใจผิดเรื่องหมั้นหมายกับองค์หญิงสิบเอ็ดที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น ตลอดมาในใจเขามีแค่นางเท่านั้น ปกติเมื่อมาถึง ฉู่ซีเย่จะแวะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แต่วันนี้ไม่ เขามาถึงในเวลาค่ำก็รีบขึ้นเขา ใช้เวลาเดินทางอีกสองชั่วยามจึงถึงหน้าบ้าน แรกทีเดียวเขานึกว่าเมื่อมาถึงจะรีบเข้าไปหานางทันที แต่เมื่อได้มายืนอยู่หน้าบ้านแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ถูก จนต้องทบทวนว่าจะพูดอะไรก่อน ขณะนั้นประตูบ้านจากผืนนาตรงข้ามเปิดออก กงจิ้งยืนอยู่หน้าประตู แววตาของชายวัยกลางคนมีแววเย้ยหยันที่เขาดูเหมือนไม่กล้าเคาะประตู ฉู่ซีเย่พ่นลมหายใจทิ้ง ความยโสในตัวทำให้เขาต้องกระชับเสื้อ รักษาสีหน้าแล้วยกมือเคาะประตู ก่อนที่จะถูกกงจิ้งเย้ยหยันไปมากกว่านี้ ไม่นานหลังจากเคาะประตูไป ประตูก็เปิดออก ฉู่ซีเย่แย้มยิ้ม เขาพยายามทำให้นางประทับใจด้วยการอธิบายโดยทันที “อี้เหยา ข้า...” ใบหน้าเขาหันไปตามแรง กว่าเขาจะตั้งสติได้ เขาก็พบว่าเขาโดนเหยาอี้เหยาตบฉาดใหญ่ มีชีวิตมาเกือบสามสิบปี พึ่งเคยโดนตบ! “เจ้าตบข้า?” “แล้วตบไม่ได้หรือ” ฉู่ซีเย่ไม่ตอบโต้ ได้แต่ยกมือขึ้นกุมหน้า “แน่นอนว่าได้ ข้าสมควรโดนแล้ว” เหยาอี้เหยาพูดต่อแบบเย็นชา “เข้ามาได้เจ้าคะ แล้วอธิบายว่าสิ่งที่องค์หญิงสิบเอ็ดพูดหมายถึงอะไร เหตุใดท่านจึงจะหมั้นหมายกับนาง" ฉู่ซีเย่เดินตามนางเข้าบ้าน ตอนนี้เขาโดนนางข่มขู่จนตัวหดเท่าต้นไช่โป้วหน้าบ้านเหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
“ขอให้ฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี”สิ้นเสียงกล่าว ม้าเร็วพร้อมกงกงผู้เดินทางมามอบราชโองการแต่งตั้ง ‘ท่านหญิงแห่งต้าหย่ง’ ถึงหน้าสกุลเหยาก็จากไปอย่างเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าหยัดกายลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า ต้องพึ่งแรงพยุงจากบุตรชายของนาง แต่นางก็ยังทรงตัวไม่ได้เนื่องจากจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงฮูหยินผู้เฒ่าสูดลมหายใจเคล้าความเย็นเข้าปอด ราชโองการแต่งตั้งหลานสาวอยู่ในมืออันเหี่ยวย่น แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาหญิงชราจะไม่โปรดปรานเหยาอี้เหยา แต่ก็ไม่เคยคิดจะส่งหลานสาวให้ไปเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย อย่างไรเหยาอี้เหยาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนสกุลเหยาแต่ทำอย่างไรได้ ราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ในมือแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ตัดสินให้รอบคอบรัดกุม สกุลเหยาคงจะประสบเคราะห์ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย“ท่านแม่ ท่านไหวหรือไม่”“ข้าไหว” ฮูหยินผู้เฒ่าคว้ามือบุตรชายไว้ สมองที่ยังแหลมคมอยู่ครุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุด นางไม่สนใจจะมองผู้ใดที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางโถง “พาข้ากลับไปที่เรือน”เมื่อถึงเรือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารับชาจากสาวใช้คนสนิทมาจิบคำหนึ่ง ดวงตาสีจางหลุบต่ำมองม้วนอักษรวิจิตรสีทองซึ่งเสียดแทงใจนางยิ่งนัก การแ
เหยาอี้เหยามีอายุน้อยที่สุดในคณะราชทูตแห่งต้าหย่งซึ่งประกอบไปด้วยองค์หญิงหย่งเยี่ยน แม่ทัพกงจิ้ง บุตรชายของแม่ทัพใหญ่ซ่าง ซ่างเจวี๋ย และราชทูตลู่หมิงทั้งหมดคือคณะราชทูตเพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรี ลดทอนความบาดหมางที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ทั้งหมดจึงต้องเดินทางไปยังเมืองโจวอี้ รัฐหลู่ปกติด้วยฐานะของเหยาอี้เหยา นางไม่มีทางได้เป็นหนึ่งในคณะทูต แต่ด้วยความหลังในอดีต ทำให้ฮ่องเต้ต้องการแสดงความจริงใจ ด้วยการส่งตัวคนที่สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ไปเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อบอกว่าทางราชสำนักไม่มีเจตนาให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น และหากมีอะไรที่จะสามารถชดเชยให้ชาวแดนเหนือ ทางราชสำนักจะพิจารณาให้เป็นอันดับแรกดังนั้นนางจะทำเรื่องพังไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้จะต้องตาย นางก็ต้องตายโดยไม่ให้กระทบกระเทือนต่อสกุลของนางหรือคนรอบข้างด้วยความกระชั้นชิดของเวลาทำให้การเดินทางเร่งเท้าทั้งวันทั้งคืน นางนั่งอยู่ภายในรถม้าขนาดกลางถัดจากรถม้าอีกสี่คันบนตักมีปิ่นปักผมของท่านแม่ ซึ่งถือเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านย่าอนุญาตให้นางพกติดตัวมา ตัวปิ่นเงินเกลี้ยงเกลาเหมือนสายใยอันอบอุ่น นางมักจะพกติดตัวไว้เสมอ ทำเช่นนี้ นางก็ไม่
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม