ต้าหย่ง...
ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพอง หย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัว หลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพช ข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขา หย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ “ขันทีโม่...” โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู่บนมือจับเปล่งประกายในแสงสลัว ว่ากันว่าโม่หานหวงแหนพวงแส้อย่างยิ่ง ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมให้ห่างมือสักชุ่นเดียว หมวกสูงบนศีรษะตั้งตรงโม่หาน ครั้นได้ยินเสียงเรียกที่ราวกับลอดรูเข็มออกมาก็รีบเงยหน้า “ฝะ...ฝ่าบาท” หลายสิบปีที่โม่หานไม่เคยทิ้งพวงแส้หางม้า จนกระทั่งวันนี้ “ตามหมอหลวงมาบัดเดี๋ยวนี้!!!” โม่หานส่งเสียงตะคอกที่เล็กแหลม เขาไม่กล้ายื่นมือเข้าไปแตะต้องพระวรกายของหย่งฉีโดยส่งเดช ได้แต่นั่งคุกเข่า น้ำตาหลั่งริน ไม่รู้ด้วยเหตุใด โม่หานรู้สึกว่าครานี้พระองค์จะทรงแย่แน่แล้ว หย่งฉีนอนคว่ำหน้า เขายกศีรษะขึ้นมามองด้านข้างโม่หานครู่เดียวก่อนจะเอ่ยออกมา “บังอาจ เจ้ากล้าทิ้งสิ่งที่เจินมอบให้ได้อย่างไร...” “ฝ่าบาท...อดทนไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” โม่หานกล้ำกลืนน้ำตา “ขันทีโม่ จงฟังข้า ฟังข้าให้ดี” หย่งฉีเค้นพลังชีวิตที่มีออกมา มือคว้าเสื้อด้านหน้าของโม่หานแล้วกำแน่น ก่อนจะพูดให้ได้ยินเพียงผู้เดียว “ฉู่ซีเย่ ตามเขามา...” สิ้นประโยคนี้ แสงบนเชิงตะเกียงก็ดับวูบ เหล่าองครักษ์วิ่งเข้ามาคุมกันฝ่าบาท หมอหลวงวิ่งตัวปลิวเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หนึ่งชั่วยามต่อมา เหนือหลังคาท้องกระโรง โม่หานโบกสะบัดฉลองพรองค์ปักลายมังกรสีแดงดิ้นทอง น้ำตานองหน้าราวกับแม่น้ำสายใหญ่ น้ำเสียงแหบแห้งส่งเสียงด้วยความโศกศัลย์ “ฝ่าบาททรงสวรรคตแล้ว” ยังไม่รุ่งสางดี ข่าวได้เริ่มแพร่กระจายข่าวออกไปสู่คนภายนอก วังหลวงต้าหย่งกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวง ไท่จื่อหย่งหยวนหยวนเร่งรีบเดินทางไปหาเสด็จพ่อ ไม่อาจซ่อนสีหน้าบิดเบี้ยว กระนั้นเขาก็ยังคงมีความมั่นใจว่าตนเองย่อมจะได้เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไป และเขาจำเป็นต้องจำกัดทุกเสี้ยนหนามออกไป ถึงอย่างนั้นฉากหน้าก็ยังต้องแสดงละครบุตรชายยอดกตัญญู “คนสุดท้ายที่พบเสด็จพ่อคือผู้ใด เขาคนนั้นต้องสงสัยว่าเป็นผู้วางยาพิษเสด็จพ่อ” โม่หานตอบ “ต้าเป่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” หย่งสวินอยู่ในวังหลวงมาตลอดฤดูหนาว ด้วยหลังจากเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน เสด็จพ่อได้เห็นความดีความชอบในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงตัว รวมทั้งยังช่วยแก้หน้าไม่ให้ทางต้าหย่งถูกลากลงไปรับผิด ด้วยการโยนความผิดให้สกุลหลี่ อีกทั้งก่อนหน้านี้ต้าหย่งถูกสกุลหลี่บงการจิกกัดมาตลอด จึงอยากให้อำนาจกลับเข้ามาอยู่ในมือดังเช่นในอดีต ทำให้เขาได้โอกาสกลับเข้ามารับใช้ ซึ่งราวกับหย่งสวินรู้ดี จึงทำงานดีอย่างยิ่ง หนักเบาไม่เกี่ยงงาน นอกจากนี้ ตลอดสามปี หย่งสวินยังสานสัมพันธ์กับฉู่ซีเย่ จนใครๆ ก็เข้าใจว่าต้าเป่ยอ๋องผู้นี้ ได้เลือกข้างสนับสนุนอดีตไท่จื่อแล้ว ทำให้ลึกๆ ในใจนั้น หย่งหยวนหยวนระสับระส่ายมาตลอด เพราะการได้รับการสนับสนุนจากฉู่ซีเย่ เหมือนเขาชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงอยากหาโอกาสเล่นงานเสด็จพี่ผู้นี้ให้ตายคาส้นเท้า ไม่กลับฟื้นขึ้นมาอีก และเวลานี้โอกาสมาถึงแล้ว ประตูวังด้านหน้าถูกล้อมในชั่วอึดใจ หย่งสวินพึ่งได้ข่าวการจากไปของเสด็จพ่อ ครั้นเขาลุกขึ้นมา ไท่จื่อก็นำกำลังมาจับกุมตัวเขาแล้ว “เจ้ามีหลักฐานอะไรว่าข้าเป็นคนทำ” ไท่จื่อเพียงยิ้มให้อดีตไท่จื่อ “เสด็จพี่ ได้โปรดตามข้ามาแต่โดยดีเถอะ” “เช่นนั้นข้าขอเวลาสักครู่” หย่งสวินไม่โต้แย้ง เขายอมตามไปเงียบๆ พร้อมกับเหยียดยิ้มมองแผ่นหลังของไท่จื่อ ข่าวสารได้ส่งไปหาหาฉู่ซีเย่แล้ว เบื้องบนประสบปัญหาใหญ่หลวง เบื้องล่างย่อมไม่อาจนิ่งเฉย เสนาบดีฝ่ายขวารวมตัวกับกลุ่มสกุลผู้สนับสนุนไท่จื่อเพื่อการนี้ เพราะอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือไท่จื่อแน่ใช่หรือไม่ ทว่าไม่มีคำตอบ เพราะเมื่อพูดถึงบัลลังก์แล้ว ความชั่วช้าต่ำทรามใดๆ ย่อมทำได้ ใครบ้างที่กว่าจะขึ้นมายืนถึงจุดนี้ได้ โดยกล้าสาบานว่าไม่เคยสังเวยด้วยคุณธรรม อีกทั้งเรื่องผู้สังหารฝ่าบาทยังไม่สำคัญนักเมื่อเทียบกับสิ่งสุดท้ายที่ฝ่าบาททรงรับสั่ง “พระองค์ตรัสให้ตามต้าเป่ยอ๋องเข้ามาในวัง” “แต่ต้าเป่ยอ๋องเป็นผู้ต้องสงสัยว่าวางยาพิษฝ่าบาทมิใช่หรือ” “ผู้ใดจะรู้ แต่ข้าว่าต้าเป่ยอ๋องคงไม่โง่งมถึงขนาดทำอันใดโจ้งแจ้งเช่นนี้” สนามรบในเวลาเริ่มแล้ว ผู้แพ้จะต้องตาย ผู้ชนะจะได้อยู่ต่อ.... เลยยามอิ๋นของอีกวันไปแล้วเมื่อสาสน์สำคัญเดินทางมาถึง เหยาอี้เหยาเป็นคนเชิญทหารเข้ามาหาฉู่ซีเย่ ซึ่งไม่แสดงท่าทีใดใด ราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า สาสน์จากหย่งสวินมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกับพระราชสาสน์จากฝ่าบาท แต่เขาไม่แม้แต่จะแยแส ปล่อยให้เหยาอี้เหยาเป็นคนเปิดอ่าน ‘ต้าเป่ยอ๋อง รีบกลับมาช่วยข้า’ คำว่ากลับมาช่วยข้า ย่อมหมายถึง ‘มาช่วยข้าชิงบัลลังก์’ ภายในวันนั้นก่อนรุ่งสางจะมาเยือน ฉู่ซีเย่จึงเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวง โดยไม่รีบเร่งเลยแม้แต่น้อย แม่ทัพผู้นำขบวนครั้งนี้อยากเร่งรีบออกเดินทางก็ไม่กล้าสอดปาก ด้วยเขาไม่รู้ว่าทิศทางการเมืองเอนเอียงไปในทางใด ผู้สืบบัลลังก์อาจจะเปลี่ยนมือหรือมีผู้อื่นมาชิงบัลลังก์ไปก็ย่อมได้ ในช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้ ต้องรู้จักทิศทางลม ไม่เช่นนั้นย่อมถูกม้วนเข้าไปในเสื่อด้วยกันทั้งหมด ต้าเป่ยอ๋องฉู่ซีเย่เองก็เป็นผู้ที่มีสิทธิในบัลลังก์…เขาต้องปฏิบัติอย่างนอบน้อม ทหารทั้งหมดยืนห่างออกไปสามลี้ ไม่รบกวนเวลาและรอคอยจนกว่าฉู่ซีเย่จะพร้อมเดินทาง ฉู่ซีเย่หยิบเสื้อคลุมมาสวมลวกๆ เขากางมือออก ขณะที่ปล่อยให้เหยาอี้เหยารวบสาบเสื้อเข้าหากัน “อี้เหยา เจ้าอยากให้ข้าไปไหม” “ท่านไม่ไปได้หรือ” เหยาอี้เหยารัดสายคาดเอว แต่มือเขาคว้ามือนางไว้ “ข้าไม่อยากห่างเจ้า” เขาแนบใบหน้ากับมือนาง ความรักงอกงามอยู่ในดวงตา “ท่านนี่ชักจะเอาใหญ่แล้ว” นางถูกขโมยจูบไปง่ายๆ หลายคราที่หลังมือ แก้มนวลจึงซับสีชมพูระเรื่อ “อี้เหยา ข้ามีเหตุจำเป็นต้องห่างเจ้าหลายวัน ในใจรันทดยิ่ง” “ท่านอ๋อง อย่ากอดเช่นนี้ ผู้อื่นจะเห็นได้” เหยาอี้เหยาดันตัวเขาออก ใบหน้าฉู่ซีเย่บูดบึ้งเหมือนถูกห้ามกินลูกกวาด แต่นางต้องห้ามเขา เพราะฉู่ซีเย่อาจไม่หยุดเพียงเท่านี้ หลายวันนี้นางเหน็ดเหนื่อยจนขอบตาดำคล่ำไม่น้อย… “เจ้าไม่รักข้า?” “ข้ารักท่าน” “เจ้าไม่ให้ข้ากอด” เหยาอี้เหยาพ่นลมหายใจอย่างอ่อนใจ “ท่านอ๋อง ที่แท้ท่านเป็นเด็กสามขวบรึ” ฉู่ซีเย่พูดจริงจัง “ข้าเป็นเด็กทารก” “งั้นท่านคงเป็นเด็กทารกที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่มีแล้ว แถมยังเอาแต่ใจ ไม่สนว่ามีผู้อื่นรอท่านอยู่ เสียมารยาทยิ่ง” ฉู่ซีเย่ฟังนางสั่งสอนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาชอบมองใบหน้านางเสมอ ไม่ว่าเวลาไหน จะน่าเกลียด หรือน่ารัก นางก็งดงามในใจเขา “แน่นอน เพราะคนพวกนั้นไม่ใช่เจ้า” ถึงยังงั้นเขาก็ต้องไปแล้ว “อี้เหยา ข้าจะรีบจัดการเรื่องที่วังแล้วมาหาเจ้า” เหยาอี้เหยากอดเขา สองมือโอบเขาแล้วแนบใบหน้าชิดอกแกร่ง “ข้าจะรอท่านกลับมาหา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ท่านต้องกลับมาหาข้านะเจ้าคะ" ฉู่ซีเย่จุมพิตรับปากนาง “ข้ารักเจ้านะอี้เหยา ความรักของข้ามีให้เจ้าคนเดียว” ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ เมืองหลวงต้าหย่งได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้บ้านเรือน วัดวาจะยังคงเหมือนเดิม แต่ความระสับระส่ายจากในวัง ส่งผลกระทบถึงชาวบ้านนอกกำแพง จนไม่อาจใช้ชีวิตเหมือนวันวาน ชนชั้นสูง สกุลขุนนางต่างนัดพบปะเป็นการส่วนตัวเงียบๆ เพื่อพูดคุยและเฝ้าจับตาดูทุกการเคลื่อนไหว หากว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็พร้อมเตรียมรับมือ อีกทั้งผู้นำสกุลใหญ่ต่างๆ ให้การสนับสนุนโดยออกหน้าและไม่ออกหน้าองค์รัชทายาทและองค์ชายซึ่งมีสิทธิ์ในการชิงบัลลังก์ ด้วยฝ่าบาทหย่งฉี ไม่ได้เลือกผู้สืบทอดบัลลังก์โดยชัดเจนไว้ ขณะนี้จึงอาจพูดได้ว่ามีการแบ่งฝักฝ่ายออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ คนส่วนมากให้การสนับสนุนไท่จื่อหย่งหยวนหยวน เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ใกล้เคียงราชบัลลังก์ที่สุด กระนั้นก็มีคนไม่น้อยรู้สึกว่า หย่งสวินซึ่งได้รับการสนับสนุนจากต้าเป่ยอ๋องต่างหากที่เหมาะสม ถึงอย่างนั้นก็มีคนไม่น้อยที่ให้การส่งเสริมและอยากให้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไปเป็นองค์ชายสิบหกหย่งมู่ แม้ที่ผ่านมาองค์ชายหย่งมู่จะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่พระองค์เป็นองค์ชายซึ่งทั้งฝ่าบาทและไท่เฮาเอ็นดูมากที่สุด ทั้งหากพูดกันแล้ว หย่งมู่มีเชื้อสายจากสกุลเก่าแก่ มารดายังเป็นสนมรัก แต่นอกจากทั้งสามกลุ่ม วันนี้มีกลุ่มที่สี่เพิ่มขึ้นมาใหม่ และแม้จะพึ่งมาใหม่แต่ไม่น้อยหน้า ถึงจะมีคำกล่าวอย่างดูแคลนว่าช่างเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่น่าขบขัน แต่หลังโหรหลวงได้เผาทำนายเจี๋ยกู่เหวิน (การทำนายโดยใช้กระดองเต่า) ว่าผู้สืบทอดราชบัลลังก์จะเป็นจักรพรรดินี คนมากมายเลยเริ่มมองหาตัวจักพรรดินีองค์แรก ว่าจะเป็นผู้ใดกัน กระนั้นคนส่วนมากมองว่าคำทำนายจากเจี๋ยกู่เหวินช่างดูเลื่อนลอยและเป็นไปไม่ได้ จึงไม่มีผู้ใดสนใจ มากสุดก็พูดขบขันในวงน้ำชา คลายความตึงเครียด “ถ้าต้าหย่งมีจักพรรดินีจริง ข้าจะโกนหัวออกบวช” ฉู่ซีเย่ฟังอยู่ในรถม้า เขาซ่อนใบหน้าไว้ใต้จอกสุรา ก่อนจะกล่าวขึ้น “งั้นเจ้าก็รอบวชเถอะ เพราะโหรหลวงผู้นี้ ไม่เคยทำนายผิดพลาดมาก่อน…” กลางดึกสงัดฉู่ซีเย่จึงพึ่งถึงวังด้านใน ขันทีโม่หานเป็นธุระพาเขาไปยังห้องโถงท้องพระโรงอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้มาที่นี่ในฐานะผู้ต้องสงสัยวางยาพิษสังหารฝ่าบาท ด้วยมีหลักฐานมากมายว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ทำ ทั้งเขายังจากไปก่อนวันเกิดเหตุสองวัน ไท่จื่อไม่มีหลักฐานเอาผิด และไม่มีเวลามากพอใส่ใจเรื่องนี้ เนื่องจากต้องนำเวลาทั้งหมดไปแย่งชิงพรรคพวกกับองค์ชายหย่งสวินและองค์ชายหย่งมู่ “เชิญต้าเป่ยอ๋อง” โม่หานประคองพวงแส้ม้า เขาสั่งให้ขันทีรับใช้ท่านอื่นแหวกม่านพาฉู่ซีเย่เข้าไปด้านใน ในชั่วพริบตาโม่หานดูแก่ชราอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทิ้งไว้เช่นวันที่หย่งฉีจากไป ฉู่ซีเย่ไม่ยินดียินร้าย แต่ลึกๆ มีความพอใจซุกซ่อนอยู่มาก ตลอดสามปีมานี้ หย่งฉีทุกข์ทรมานจนตรอมตม เรียกได้ว่าจนตายก็คงไม่พบสิ่งที่เรียกว่าความสุข เขาเห็นด้วยตาเนื้อหลายครา ช่วยเสริมกำลังใจในการใช้ชีวิตอย่างยิ่ง “เขาต้องการให้ข้ามาดูอะไร ดูว่าใช้ชีวิตน่าสมเพชมาอย่างไรหรือ” ฉู่ซีเย่เข้าใจการกระทำของหย่งฉีอย่างปรุโปร่ง หย่งฉีให้ขันทีโม่หานเรียกเขากลับเข้ามาเพื่อสร้างความกังขา สร้างความสงสัย คลางแคลง เป็นแพะรับบาปให้กับคนลงมือที่แท้จริง รวมทั้งอยากขังเขาไว้ในนี้เพื่อป้องกันการก่อกบฏชิงบัลลังก์ คิดอย่างโง่เขลาว่าเขาจะกบฏไม่ได้ถ้าอยู่ในวัง โม่หานไม่อ้อมค้อม ครั้นไล่ขันทีท่านอื่นออกไปหมดก็พูดออกมา “ฝ่าบาทต้องการให้ท่านสืบหาผู้วางยาพิษที่แท้จริง” “ข้าหาใช่นักสืบ” “ได้ยินว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ หากสืบจากพิษในพระวรกายฝ่าบาท ไม่แน่อาจพบเบาะแส” “ขันทีโม่ สืบหาตัวคนลงมือ ไม่น่ายากสำหรับท่านกระมัง บอกความต้องการที่แท้จริงมาเถอะ ข้าจะกลับพรุ่งนี้แล้ว” โม่หานกล่าวเด็ดขาด “ไม่มีคำสั่ง…” “ข้าคือต้าเป่ยอ๋อง จะทำหรือไม่ทำอะไร ไม่ต้องให้ขันทีเช่นเจ้ามาสอด” ใบหน้าฉู่ซีเย่เยียบเย็น โม่หานถึงกับสะดุ้งไปหลายอึดใจ ก่อนจะได้สติรีบขออภัย “ขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าเสียมารยาทแล้ว” ฉู่ซีเย่เดินไปดูโต๊ะทรงอักษร เห็นรายงานความเคลื่อนไหวแดนเหนือเป็นปึกหนาใหญ่ “จนตายเขาก็ยังระแวงข้า ช่างสมกับเป็นหย่งฉี” เกิดมาถึงอายุปูนนี้ โม่หานพึ่งเคยได้ยินคนเรียกชื่อฝ่าบาทตรงๆ จึงตื่นตระหนกไปอีกหลายอึดใจ “ท่านไม่อาจเรียกพระนามฝ่าบาทตรงๆ เช่นนี้” ฉู่ซีเย่ไม่ใส่ใจ เหลือบมองพวงแส้หางม้าในมือโม่หาน “เอาล่ะ บอกความต้องการที่แท้จริงได้แล้ว หย่งฉีต้องการพบข้าทำไม” “บอกท่านไปแล้ว ฝ่าบาทต้องการให้หาผู้ลงมือ” “น่าขันที่เขาต้องการให้ข้าตามหาตัวฆาตกร ทั้งๆ ที่เขาเพียรพยายามที่จะสังหารข้ามาตลอด” ฉู่ซีเย่เผยนัยน์ตารังเกียจสถานที่แห่งนี้ “ต่อให้ข้ารู้ ข้าก็ขอไม่พูดดีกว่า สะใจกว่าเป็นไหนๆ” โม่หานคุกเข่าลง นัยน์ตาแดงก่ำ “ได้โปรด ได้โปรดคืนความยุติธรรมให้ฝ่าบาทด้วย” “อยากรู้จริงหรือ” “ต้าเป่ยอ๋อง ข้าคุกเข่าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว” “ข้าหาต้องการให้คนแก่มาคุกเข่าให้ไม่ เวลานี้ ผลชันสูตรคงออกแล้ว บอกผลการการชันสูตรให้ฟังที” ฉู่ซีเย่เดินขึ้นไปบนพระที่นั่ง ปรายสายตามองตะเกียงที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างเรียบๆ แต่แฝงความดุดันและสง่างาม ครู่เดียวก็หันกลับมามองโม่หาน “ยาพิษไร้สี ไร้กลิ่น ใช้เวลาออกฤทธิ์ครึ่งชั่วยาม หมอชันสูตรพบอวัยวะภายในล้มเหลว โดยเฉพาะหัวใจ…ส่วนพระองค์ได้รับอย่างไร ยังเป็นปริศนา แล้วก็…” โม่หานยังพูดไม่จบ ฉู่ซีเย่ก็พูดขึ้น “ตะเกียงได้มาจากที่ใด” “ตะเกียงรึ” โม่หานตอบ “อ่อ ได้มาจากไท่จื่อในงานฉลองคราวก่อน พระองค์ทรงโปรดมากเลยมาตั้งไว้” “ข้าว่าเจ้าต้องไปหาไท่จื่อแล้ว” “เพราะเหตุใด" ฉู่ซีเย่ขยับชายเสื้อ เข็มเงินเล็กเท่าเส้นผมพุ่งออกมาปักที่พื้น แล้วละลายในเวลาอันสั้น หากมีคนอยู่ด้านยังที่นั่ง ระยะเท่านี้น่าจะถูกศีรษะ ค้นหาบาดแผลไม่พบเพราะไร้อาวุธให้ตามสืบต่อ “ข้าจะไปหาพระองค์เดี๋ยวนี้” แต่เพียงพริบตาเดียวที่หันหลัง โม่หานถูกปาดคอทิ้งในฉับพลัน แต่ถึงตายแล้ว ก็ยังกอดพวงแส้หางม้าไว้แน่น “ต้าเป่ยอ๋อง เลื่อมใสมานาน ความเก่งกาจของท่านช่างสมคำร่ำลือ” ในมือหย่งหยวนหยวนถือมีดคมกริบอาบเลือด“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
“ขอให้ฝ่าบาททรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี”สิ้นเสียงกล่าว ม้าเร็วพร้อมกงกงผู้เดินทางมามอบราชโองการแต่งตั้ง ‘ท่านหญิงแห่งต้าหย่ง’ ถึงหน้าสกุลเหยาก็จากไปอย่างเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าหยัดกายลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า ต้องพึ่งแรงพยุงจากบุตรชายของนาง แต่นางก็ยังทรงตัวไม่ได้เนื่องจากจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงฮูหยินผู้เฒ่าสูดลมหายใจเคล้าความเย็นเข้าปอด ราชโองการแต่งตั้งหลานสาวอยู่ในมืออันเหี่ยวย่น แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาหญิงชราจะไม่โปรดปรานเหยาอี้เหยา แต่ก็ไม่เคยคิดจะส่งหลานสาวให้ไปเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย อย่างไรเหยาอี้เหยาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนสกุลเหยาแต่ทำอย่างไรได้ ราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ในมือแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ตัดสินให้รอบคอบรัดกุม สกุลเหยาคงจะประสบเคราะห์ร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย“ท่านแม่ ท่านไหวหรือไม่”“ข้าไหว” ฮูหยินผู้เฒ่าคว้ามือบุตรชายไว้ สมองที่ยังแหลมคมอยู่ครุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุด นางไม่สนใจจะมองผู้ใดที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางโถง “พาข้ากลับไปที่เรือน”เมื่อถึงเรือนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารับชาจากสาวใช้คนสนิทมาจิบคำหนึ่ง ดวงตาสีจางหลุบต่ำมองม้วนอักษรวิจิตรสีทองซึ่งเสียดแทงใจนางยิ่งนัก การแ
เหยาอี้เหยามีอายุน้อยที่สุดในคณะราชทูตแห่งต้าหย่งซึ่งประกอบไปด้วยองค์หญิงหย่งเยี่ยน แม่ทัพกงจิ้ง บุตรชายของแม่ทัพใหญ่ซ่าง ซ่างเจวี๋ย และราชทูตลู่หมิงทั้งหมดคือคณะราชทูตเพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรี ลดทอนความบาดหมางที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ทั้งหมดจึงต้องเดินทางไปยังเมืองโจวอี้ รัฐหลู่ปกติด้วยฐานะของเหยาอี้เหยา นางไม่มีทางได้เป็นหนึ่งในคณะทูต แต่ด้วยความหลังในอดีต ทำให้ฮ่องเต้ต้องการแสดงความจริงใจ ด้วยการส่งตัวคนที่สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ไปเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อบอกว่าทางราชสำนักไม่มีเจตนาให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น และหากมีอะไรที่จะสามารถชดเชยให้ชาวแดนเหนือ ทางราชสำนักจะพิจารณาให้เป็นอันดับแรกดังนั้นนางจะทำเรื่องพังไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้จะต้องตาย นางก็ต้องตายโดยไม่ให้กระทบกระเทือนต่อสกุลของนางหรือคนรอบข้างด้วยความกระชั้นชิดของเวลาทำให้การเดินทางเร่งเท้าทั้งวันทั้งคืน นางนั่งอยู่ภายในรถม้าขนาดกลางถัดจากรถม้าอีกสี่คันบนตักมีปิ่นปักผมของท่านแม่ ซึ่งถือเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านย่าอนุญาตให้นางพกติดตัวมา ตัวปิ่นเงินเกลี้ยงเกลาเหมือนสายใยอันอบอุ่น นางมักจะพกติดตัวไว้เสมอ ทำเช่นนี้ นางก็ไม่
กงจิ้งกลับมาตอนเย็น เหยาอี้เหยาทานข้าวกับแม่ทัพกงเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่เริ่มเดินทาง ส่วนองค์หญิงไม่รับอาหารเย็น แม่ทัพซ่างกับลู่หมิงฝึกวิชายุทธ์หลังเขา ระหว่างมื้ออาหารเหยาอี้เหยาไม่พูดอะไรมากนัก จนมองไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นหญิงสาวที่คอกม้าจึงเอ่ยถามไป“แม่ทัพกง หญิงสาวที่ถูกมัดอยู่ที่คอกม้าทำอันใดผิดไปหรือ”กงจิ้งตอบ “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”“อากาศหนาวเช่นนี้ นางน่าสงสารเหลือเกิน”กงจิ้งพูดสั้นๆ “ใช้ปากกินข้าว ไม่ต้องพูด”“เจ้าค่ะ”หลังจากนั้นไร้บทสนทนาใดๆ อีก เหยาอี้เหยาพักผ่อน นางหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจนถึงยามซวี ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวอย่างสุดขั้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเตาอุ่นในห้องไม่ได้เติมถ่านอย่างที่ควรเหยาอี้เหยารีบลุกไปที่หน้าต่าง เห็นหิมะสีเงินโปรยปรายลงมา ซึ่งหากเป็นที่เมืองหลวง ยามนี้คงไม่มีหิมะ แต่ทางเหนือไม่เหมือนกัน ยิ่งใกล้เมืองโจวอี้ อากาศจะยิ่งหนาว และจะเห็นหิมะบ่อยขึ้นเหยาอี้เหยาสวมเสื้อคลุมเพิ่มอีก ตอนที่มือกำลังรัดเชือกเข้าด้วยกันเพื่อกันความหนาว ก็นึกถึงทาสที่เห็นตอนมาถึงโรงเตี๊ยม นางถูกมัดอยู่ที่คอกม้าด้วยสภาพน่าสงสาร เมื่อเย็นเหยาอี้เหยาจึงเอ่ยถามเส
เรื่องที่องค์หญิงเป็นฉู่ซีเย่นั้นไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก เพราะตอนนี้อยู่ในระหว่างการถูกลักพาตัว โจรชุดดำควบรถม้าหนี ก่อนจะพุ่งลงเหวทิ้งตัวไปยังพื้นเนินเตี้ยๆ เหยาอี้เหยาเกาะพื้นแน่น แต่สุดท้ายก็กระแทกกับผนังจนมึนงงไปชั่วขณะ กระทั่งรถม้าหยุดลง นางถึงตั้งตัวได้สถานการณ์คับขัน เหยาอี้เหยาลุกขึ้นมาเห็นแสงสว่างวาบที่ท้องฟ้า คนร้ายพุ่งมาเปิดประตู"ซื่อจื่อ! เป็นท่านได้อย่างไร!” เพียงเห็นหน้าฉู่ซีเย่ คนร้ายก็พลันหน้าซีด ด้วยคิดจะมาปล้นรถม้าองค์หญิงจากเมืองหลวงไม่ใช่ฉู่ซื่อจื่อ!“เคราะห์ร้ายของเจ้าแล้ว” ฉู่ซีเย่ยิ้มนิดๆ มีดสั้นพุ่งออกไปปักใส่หลังคนร้ายที่วิ่งหนี ล้มหงายกลิ้งตกเขาไปในที่สุด ส่วนอีกสองคนรับใช้วิชาซ่อนเงาหนีไปเหยาอี้เหยาหยัดตัวลุกขึ้นจากพื้น ตอนนี้มั่นใจมากว่าเขาคือฉู่ซีเย่!“คุณหนูเหยา ดูเหมือนข้าจะไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวแล้ว เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่”“ซื่อจื่อ ท่านคือฉู่ซีเย่” เหยาอี้เหยามองเขาแวบเดียว ฉู่ซีเย่ไม่เหมือนผู้อื่นที่นางเคยพบเจอ เขาไม่ได้ดูน่ากลัว แต่เป็นคนที่ทำให้รู้สึกต้องเจียมตัว บนร่างของเขามีกลิ่นอายและความน่ายำเกรงที่ยากจะล่วงเกิน นางจึงไม่กล้าพูดหรื
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม