เฉินฝาน ผู้ชายขึ้นคานในยุคปัจจุบันซึ่งทะลุมิติไปยังยุคโบราณ ในขณะที่ราชวงศ์กำลังขาดแคลนผู้ชายอย่างรุนแรง ไร้คนปกป้องบ้านเมือง สู้ศึกสงคราม กระทั่งทำไร่ไถนา เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนที่มิอาจอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ราชสำนักจึงได้จัดสรรการแต่งงานขึ้น ผู้ที่ยินดีรับภรรยามากกว่าสามคน รับรางวัล! ผู้ที่ให้กำเนิดลูกชาย รับรางวัลเพิ่มขึ้นอีก! เฉินฝานได้รับภรรยาแสนงดงามถึงสี่คน ซึ่งภรรยาแต่ละคนมีข้อดีต่างกันไป ปีต่อมาภรรยาให้กำเนิดลูกแฝดสี่ และทุกคนเป็นเด็กผู้ชาย ครั้นข่าวนี้กระจายออกมา ทั่วทั้งราชสำนักต่างตกใจ!
View Moreวินาทีที่เห็นสตรีนางนั้น หลี่อวี้ไห่ตาเบิกกว้าง องครักษ์หญิงด้านหลังเขาเหล่านั้นก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน ตกตะลึงเหลือเชื่อ และหวาดกลัว!สตรีผู้นั้นหยุดฝีเท้าตรงหน้าหลี่อวี้ไห่ กะพริบตาเล็กน้อย น้ำเสียงเนิบนาบ “พวกเราโรงมหรสพเซียนยินทำการค้า ขอเพียงมิฝ่าฝืนกฎหมายต้าชิ่ง ก็ต้องเติมเต็มความต้องการของแขกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”หลี่อวี้ไห่ยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ทั้ง ๆ ที่เป็นคนวัยกลางคนผ่านโลกมามากมายแล้ว บัดนี้กลับทำอันใดมิถูก“หืม?” สตรีนางนั้นเลิกคิ้วขึ้นเลิกเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงเนิบนาบ ทว่ากลับแฝงด้วยรังสีเย็นยะเยือกที่ทำให้คนอกสั่นขวัญผวา นางยกมือเรียวยาวของนางขึ้น ปัดไรผมบนหน้าผากตนเองเบา ๆ กำไลข้อมือรูปงูสีทองเปล่งประกายสะท้อนแสง “หูใช้การมิได้แล้วงั้นรึ?”เหงื่อเย็นหลายเม็ดผุดขึ้นหน้าผากหลี่อวี้ไห่ทันที “เร็วเข้าสิ รีบนำสุรามาให้ท่านอ๋อง”ตอนที่หลี่อวี้ไห่เหงื่อเย็นไหลออกมา อ๋องตวนก็เริ่มสงบสติอารมณ์มิได้ นับตั้งแต่วินาทีที่สตรีนางนั้นออกมา เขาก็เริ่มสงบสติอารมณ์มิอยู่แล้ว ทว่าเฉินฝานห้ามเขาไว้ตอนที่สาวใช้ยกสุราผ่านหน้าสตรีไป สตรีนางนั้นก็ยื่นมือเรียวยาวออกมาอีกครั้ง “เอาม
“นายท่าน ที่แห่งนี้คือโรงมหรสพเซียนยิน แขกที่มาล้วนมาดื่มชาฟังมโหรี ปกติแล้วล้วนมิ...”“เจ้าพูดพล่ามมากมายไปทำไมกัน?” อ๋องตวนพูดตัดบทสาวใช้อย่างรุนแรง “เปิ่นหวังจะดื่มสุรา รีบเอาสุรามาให้เปิ่นหวัง หากเจ้ามัวชักช้า เปิ่นหวังจะทำลายโรงมหรสพเซียนยินของเจ้า”เสียงของอ๋องตวนมิเข้ากับโรงมหรสพเซียนยินที่เงียบสงบและหรูหราแม้แต่น้อยผู้ฟังทั่วบริเวณพากันตำหนิอ๋องตวน“คนผู้นี้รู้จักกาลเทศะหรือไม่? หากต้องการร่ำสุราก็ไปสถานที่แบบหอนางโลมสิ ไฉนจึงมาที่นี่”“มิรู้จักกาลเทศะเสียจริง คงจะมิมีผู้ใดอบรมสั่งสอน”“ชู่ว พูดเบาหน่อยๆจะดีกว่า เมื่อครู่เขาแทนตัวเองว่าเปิ่นหวัง”“อ๋องอันใดกัน คนที่มาที่นี่ล้วนเป็นขุนนางหรือไม่ก็ผู้สูงศักดิ์มิใช่รึ อ๋องอันเล่อก็มาฟังมโหรีที่นี้เป็นประจำ อ๋องอันเล่อยังต้องเคารพกฎเกณฑ์ เขาตำแหน่งใหญ่กว่าอ๋องอันเล่องั้นรึ?”“เจ้าพูดถูก!” อ๋องตวนจ้องเขม็งไปที่คนที่กล่าวถึงอ๋องอันเล่อ “เปิ่นหวังตำแหน่งใหญ่กว่าอ๋องอันเล่อ อ๋องอันเล่อมิคู่ควรมารับใช้ข้าเสียด้วยซ้ำ”อ๋องอันเล่อและอ๋องตวนเป็นพี่น้องกัน ทว่าพวกเขาอยู่ตำแหน่งคนละลำดับชั้นจริง ๆอ๋องอันเล่อเป็นเพียงอ๋องธรรมดา อ๋
“โรงมหรสพเซียนยินรึ?”โรงมหรสพเซียนยินเป็นที่ของคนมีการศึกษา ร่ำสุราย่อมมิสามารถส่งเสียงดังได้ หากไปแล้วคงจะเล่นเป่ายิ้งฉุบมิได้อย่างแน่นอน เป็นธรรมดาที่อ๋องตวนจะมิอยากไป หากร่ำสุราแล้วมิเล่นเป่ายิ้งฉุบจะร่ำสุราไปทำไมกัน“ลูกเขยที่แสนดีของข้า พวกเราไปที่หอนางโลมกันดีกว่า” อ๋องตวนขอร้องเฉินฝานด้วยเสียงแผ่วเบาอีกหนึ่งสาเหตุที่อ๋องตวนมิอยากไปโรงมหรสพเซียนยินคืออ๋องอันเล่ออ๋องตวนจะมิไปสถานที่อ๋องอันเล่อชอบไปเด็ดขาดเขากับอ๋องอันเล่อมิลงรอยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว อ๋องอันเลอคิดว่าอ๋องตวนเป็นคนโง่ที่ดีแต่ใช้กำลัง อ๋องตวนคิดว่าอ๋องอันเล่อเป็นคนที่ชอบร้องรำทำเพลงไปวัน ๆเฉินฝานเหลือบมองอ๋องตวนเล็กน้อย “ท่านไม่ไปรึ เช่นนั้นข้าไปเองก็ได้”พูดจบก็หันกายออกไปทันที“นี้ ๆ ลูกเขยแสนดีรอข้าด้วยสิ” อ๋องตวนรีบตามทันที“เสี่ยวฝาน ลูกเขยที่แสนดีของข้า พวกเราไปหอนางโลม ดีกว่า ไปโรงมหรสพเซียนยินเล่นเป่ายิ้งฉุบมิได้” แม้ขึ้นรถม้ามาแล้ว อ๋องตวนก็ยังอ้อนวอนเฉินฝานด้วยความทุกข์ใจ“ที่โรงมหรสพเซียนยินมีกฎมิให้แขกเล่นเป่ายิ้งฉุบงั้นรึ?” เฉินฝานกล่าวถามอ๋องตวนครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง จึงส่ายหน้า “เหมือนว่าจะ
เฉินฝานมึนงงทันที “งูงั้นรึ?”“ถูกต้อง และยังมีหลายตัวอีกด้วย” อ๋องอันเล่อหยุดบรรเลงพิณโบราณ เอียงศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อว่า “ข้าเห็นงูหลายตัว ช่างงดงามยิ่งนัก เหล่าองครักษ์กลับบอกว่างูเหล่านั้นคืองูทองเงิน มิยอมให้ข้าเข้าไปใกล้”“งูทองเงินมีพิษแรงร้ายจริง ๆ ต่อจากนี้ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใกล้” เฉินฝานกล่าว“แม้กระทั่งอัครเสนาบดียังกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นต่อจากนี้หากข้าเจออีก ข้าจะอยู่ให้ห่างไว้”หลังจากที่เฉินฝานกราบลาอ๋องอันเล่อแล้ว ก็กลับไปส่งลู่ซืออี๋ที่สวนหม่อนทันที ยังมิทันได้รับประทานอาหารค่ำก็เดินทางออกไปเสียแล้ว“นายท่าน รับประทานค่ำแล้วค่อยเดินทางเถอะ มีไก่ฝูงหนึ่งในสวนหม่อนที่เติบโตเต็มวัยแล้ว เมื่อก่อนท่านเคยบอกว่าชอบรับประทานไก่ของสวนหม่อนที่สุดมิใช่หรือ?”ลู่ซืออี๋มองเฉินฝานด้วยสีหน้าสงสารจับใจเฉินฝานยังมิทันได้ตอบกลับ ลู่ชุนเยี่ยนกลับชิงพูดออกมาเสียก่อน “วันนี้หลี่หมัวหมัวในสวนหม่อมขอลาหยุด บัดนี้มิมีผู้เชือดไก่เป็น รออีกสองสาม รอให้หลี่หมัวมัวกลับมาเสียก่อน นายท่านค่อยกลับมาแล้วกัน”“ท่านแม่!” ลู่ซืออี๋ถลึงตาโตมองไปที่ลู่ชุนเยี่ยน “หลี่หมัวมัว...”ลู่ชุนเ
ขณะที่เฉินฝานอุ้มลู่ซืออี๋ออกจากรถม้า ก็มีเสียงโต้เถียงกันดังมาจากด้านนอก“ใครกัน ไม่เห็นพวกเราหรือไร? ถึงได้ชนเข้ามา?”“นี่เจ้าพูดอะไรกัน พวกเราแล่นตรงมาตลอด พวกเจ้าหักเลี้ยวเข้ามา ผู้ที่หักเลี้ยวต้องหลีกทางให้คนที่เดินทางตรง เจ้าขับรถม้ามาหลายปี ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือไร? เจ้าชนเข้ามาเองยังจะโทษพวกเราอีกหรือ?”“เหตุใดผู้หักเลี้ยวต้องหลีกทางให้ผู้ที่เดินทางตรง? พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่ารถม้าของพวกเราเป็นม้าหกตัว? รู้หรือไม่ว่าคนบนรถม้าคือผู้ใด?” “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนบนรถม้าของเราเป็นผู้ใด?” “อ้อ คนบนรถม้าของพวกเจ้าคือฝ่าบาทหรือไร?”“พวกเรา...” “คนที่อยู่บนรถม้าของพวกเราคืออ๋องอันเล่อ พวกเจ้าให้ท่านอ๋องของเราตกใจ ยังไม่ให้เจ้านายของพวกเจ้ารีบคลานออกมาจากในรถม้าแล้วคุกเข่าขอขมาอ๋องอันเล่ออีก!” เฉินฝานที่กำลังอุ้มลู่ซืออี๋มุดออกมาจากรถม้าได้ครึ่งตัวก็ชะงักไปครู่หนึ่งอ๋องอันเล่อ?อ๋องอันเล่อเป็นพระอนุชาแท้ ๆ ของอดีตฮ่องเต้ รองจากอ๋องตวนอ๋องอันเล่อไม่ได้โด่งดังเหมือนอ๋องตวน เขาค่อนข้างทำตัวไม่เป็นจุดสนใจ และไม่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก เขาชอบดนตรีมาตั้งแต่
“ซืออี๋ ยังมัวอึ้งอยู่ทำไม นั่งลงเถิด หนึ่งปีครึ่งไม่ได้ไปที่อุทยาน เป็นความผิดของข้าเอง”ลู่ซืออี๋ที่ได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยว่า “นายท่าน ตอนนี้ท่านมีงานสำคัญรัดตัว เวลานี้ยังตั้งใจเจียดเวลาไปที่อุทยานหม่อนอีก” เฉินฝานเงยหน้ามองลู่ซืออี๋ไม่เจอกันหนึ่งปีครั้ง ลู่ซืออี๋เติบโตขึ้นมาจริง ๆ ตอนนั้นยังมีใบหน้ากลมเล็กจ้ำม่ำเหมือนเด็กทารกเล็กน้อย บัดนี้ไม่เห็นร่องรอยโดยสิ้นเชิง ใบหน้ารูปเมล็ดแตงที่ได้มาตรฐานทำให้นางดูงดงามขึ้นมาก แน่นอนว่าย่อมงดงามกว่าเมื่อก่อน แต่เฉินฝานกลับรู้สึกเสียดาย ลู่ซืออี๋ในตอนนี้ไม่ได้ดูสดใสและมีชีวิตชีวาเหมือนในตอนนั้นแล้วพูดแบบไม่น่าฟังก็คือดูหม่นหมอง รู้สึกอัดอั้นตันใจมากไม่ได้เจอเขาหนึ่งปีครึ่ง เห็นได้ชัดว่าคิดถึงเขาแทบขาดใจ แต่ยังคงแสร้งทำเป็นรู้ความแล้วผลักไสเขาออกไปอย่างใจกว้าง “พอได้แล้ว!”เฉินฝานดึงลู่ซืออี๋เข้ามาในอ้อมแขนของตนเอง“หากคิดถึงข้าก็แสดงออกมาตามตรงก็ได้ ไม่ต้องแสร้งทำเป็นใจกว้าง” เฉินฝานรู้สุขภาพของลู่ชุนเยี่ยนดี นางป่วยจนทำเสื้อผ้าไม่ได้ที่ไหนกัน นางแค่จงใจให้ลู่ซืออี๋มาแทนนางพูดตามตรงก็คือกลัวเขาลืมลู่ซืออี๋“นายท่าน!” ลู่ซือ
เฉินฝานมองฉินเย่ว์เจียวที่เปล่งประกายเย้ายวนน่าหลงใหล ในใจอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าล่ะตอนที่เจี้ยนหวงเอ่ยถึงธิดาเทพของตำหนักเซียวเหยา ดวงตาพลันฉายแววจินตนาการไปไกลอย่างไร้ที่สิ้นสุดหากการแต่งตัวเช่นนี้ของฉินเย่ว์เจียวก็คือการแต่งตัวของธิดาเทพของตำหนักเซียวเหยารุ่นก่อน ๆ เช่นนั้นจะมีบุรุษสักกี่คนที่ไม่หลงใหล“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ฉินเย่ว์เจียวกับสตรีข้างกายนางต่างก็ทำความเคารพฉินเย่ว์เหมยเวลานี้เอง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยสังเกตเห็นว่าคนที่เข้ามามีสองคน เมื่อครู่นี้มัวแต่มองฉินเย่ว์เจียว ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างกายนาง“เจ้าคือ?” ฉินเย่ว์เหมยมองสตรีข้างกายฉินเย่ว์เจียวด้วยความสงสัยเล็กน้อย นางเรียกตนเองว่าหม่อมฉันเหมือนฉินเย่ว์เจียว นางเป็นภรรยาของขุนนางบ้านใดกัน ฉินเย่ว์เหมยไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่เคยเรียกนางเข้าวังด้วย“ฝ่าบาท หม่อมฉันคือนางลู่เพคะ ฝ่าบาทส่งคนมาที่อุทยานหม่อน วันนี้มารดาไม่สบาย หม่อมฉันจึงเข้าวังทำชุดแทนมารดาเพคะ” “ลู่ซืออี๋?” ฉินเย่ว์เหมยอึ้งไป ขณะที่พูดก็ยังหันหน้าไปขอคำยืนยันกับเฉินฝาน“เจ้าคือซืออี๋?” เฉินฝาน
เซียนเจี้ยนหวงเซียนเปลี่ยนท่าทีจากหัวเราะเฮฮา เขาโค้มกายให้ฉินเย่ว์เหมยเล็กน้อย “ฝ่าบาท ขออภัยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยไปแค่ที่ตั้งเก่าของตำหนักเซียวเหยาเท่านั้น หลังจากที่ตำหนักเซียวเหยาย้ายไปที่ตั้งใหม่ กระหม่อมก็ยังไม่เคยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นก็โทษท่านไม่ได้” ฉินเย่ว์เหมยยากจะปกปิดสีหน้าผิดหวังเอาไว้ได้ตำหนักเซียวเหยาหาเจอยากจริง ๆ หลังจากที่เฉินฝานกลับมาจากเมืองเซียนตูครั้งก่อน นางก็ส่งหงอิงไปตามหาตำหนักเซียวเหยาด้วยตนเอง แต่ก็หาไม่เจอ หวงหวั่นเอ๋อร์ถลึงตาใส่เซียนเจี้ยนหวง “เช่นนั้นข้าไปตามท่านมาก็ไม่มีประโยชน์สักนิดเลยไม่ใช่หรือ ไร้ค่านัก!” เซียนเจี้ยนหวงไม่กล้าโต้แย้งหวงหวั่นเอ๋อร์ ใครใช้ให้เขาติดหนี้นางเล่าเมื่อเห็นเซียนเจี้ยนหวงโดนหวงหวั่นเอ๋อร์ดุจนไม่กล้าเงยหน้า ฉินเย่ว์เหมยก็ตกใจมาก นางก้มหน้าถามเฉินฝานว่า “พวกเขาเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ หรือ?” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นบุตรสาวด่าทอบิดา และบิดาเอาแต่รับคำเหมือนเด็กที่กระทำความผิด ไม่กล้าเอ่ยปากพูดสักคำเฉินฝานพยักหน้า หากฉินเย่ว์เหมยรู้พวกเรื่องชั่วช้าที่เซียนเจี้ยนหวงทำไว้ นางคงไม่รู้สึกแปลกใจเลย“พอได้แ
ฉินเย่ว์เหมยหันหน้าไปถามเฉินฝานด้วยความสงสัย “ขุนนางเฉิน พวกเขาคือ...”“พวกเขา ฝ่าบาทโปรดทรงรอสักครู่” เฉินฝานกล่าวกับฉินเย่ว์เหมยจบ ก็เงยหน้าไปพูดกับพ่อลูกที่อยู่ด้านนอกคู่นั้นว่า “ตาเฒ่าหวง หวั่นเอ๋อร์เลิกตีกันได้แล้ว รีบมาคารวะฝ่าบาทเร็วเข้า” “ได้ยินหรือไม่ ยังไม่หยุดมืออีก นายท่านของเจ้าให้พวกเราเข้าไปแล้วนะ”เซียนเจี้ยนหวงเซียนตะโกน หวงหวั่นเอ๋อร์ยอมหยุดมือแล้วจริง ๆ“มีสามีแล้วลืมบิดาจริง ๆ!” เซียนเจี้ยนหวงบ่นพึมพำ ในใจรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยหวงหวั่นเอ๋อร์ไม่เชื่อฟังเขามาตั้งแต่เด็ก เซียนเจี้ยนหวงยังนึกว่าหวงหวั่นเอ๋อร์มีนิสัยเหมือนมารดาของนาง ก้าวร้าวไม่เคารพผู้อื่น ดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตอนนี้เฉินฝานพูดแค่คำเดียว หวงหวั่นเอ๋อร์ก็เชื่อฟังทันที เขารู้สึกขุ่นเคืองใจมาก “ท่านยัดเยียดบุรุษผู้นี้ให้ข้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้มาพูดจาไร้สาระอันใด” หวงหวั่นเอ๋อร์ถลึงตาใส่เซียนเจี้ยนหวง ก่อนจะสลัดเขาทิ้งแล้วเดินไปหาเฉินฝาน “นี่ ข้าเป็นบิดาของเจ้านะ เจ้าถลึงตาใส่ข้าหรือ รอข้าด้วยสิ”หวงหวั่นเอ๋อร์จะรอเขาได้อย่างไร เซียนเจี้ยนหวงก็ได้แต่เดินตามไปแต่โดยดีเช่นกัน
“ฝ่าบาท ในรัชสมัยนี้ขาดแคลนชายหนุ่มอย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ!”“ร้ายแรงถึงขั้นไหน”“ในหนึ่งร้อยคน มีชายหนุ่มไม่ถึงยี่สิบคน หลายปีมานี้ มีหญิงสาววัยเหมาะสมจำนวนมากจบชีวิตตนเองเพราะไม่มีใครแต่งงานด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ารากฐานของแผ่นดินอาจสั่นคลอนได้พ่ะย่ะค่ะ”“จงประกาศราชโองการลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกเขตการปกครอง เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองให้ดำเนินการจัดสรรการแต่งงาน ผู้ใดยินดีรับมากกว่าสามคน มอบรางวัล!”“ผู้ใดให้กำเนิดบุตรชาย มอบรางวัลใหญ่!”“ภายในสามปี ต้องพลิกปรากฏการณ์หญิงมากชายน้อยของแผ่นดินให้จงได้!”-เฉินฝานตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องไห้รบกวนเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ตนไม่รู้จักมีหญิงสาวนั่งปิดหน้าร้องไห้เสียงเบานั่งอยู่ข้างกาย“หยุดร้องได้แล้ว ข้ารำคาญ!”เมื่อได้ยินเสียงของเฉินฝาน หญิงสาวปาดน้ำตาและมองเขาทันที “นายท่าน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!”เฉินฝากเงยหน้ามองหญิงสาว……ผมเผ้าดำเงาวับ ผิวขาวนวลผุดผ่องดังหยก ดวงตาคู่งามแลมองหมุนรอบเป็นพันครั้ง ทุกการขมวดคิ้วคือการตีความคำว่าสง่างามน่าประทับใจผ้าดิบหยาบกระด้าง ก็ไม่อาจปกปิดรูปร่างน่าเอ็นดูของนางเฮ้ย...
Comments