“นายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”“……” เฉินฝานทำหน้ามึนงง นางมีความผิดอะไร!เขาโน้มตัวจะพยุงฉินเย่ว์โหรวให้ลุกขึ้น ปรากฏว่านางโขกศีรษะกับพื้นโป๊ก ๆ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสถึงตัว“ข้าน้อยรู้ว่านายท่านรังเกียจฝีมือของข้าน้อยเสมอมา ข้าน้อยจะไปร่ำเรียนกับกลุ่มสตรีในชุมชนเจ้าค่ะ”“ก่อนหน้านี้ ท่านลงโทษจนขาขวาของข้าน้อยหักแล้ว หากท่านลงโทษจนขาซ้ายของข้าหักอีก ข้าน้อยก็จะปรนนิบัติท่านไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”!!!แท้จริงแล้วเจ้าของร่างเดิมเป็นคนตีขานางหัก!!เมื่อมองขาขวาที่หักของฉินเย่ว์โหรว พลางมีเสียงหวีดดังขึ้นในหัวของเฉินฝานคนสวยขนาดนี้ทั้งคน ยังนอบน้อมอ่อนโยนเช่นนี้อีก มีแต่อยากเอ็นดู เจ้าของร่างเดิมคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงกล้าลงมือเช่นนี้!“เมื่อขาเจ้าไม่สะดวก งั้นก็ลุกขึ้นเถิด!”ฉินเย่ว์โหรวตัวสั่นและกลัวเฉินฝานมาก นางแทบไม่ได้รู้ว่าเฉินฝานพูดอะไร “ได้โปรดนายท่าน อย่าทุบตีข้าเลย อย่าทุบข้าเลย”ร่างกายที่สั่นจนควบคุมไม่ได้และสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นกลัวเห็นได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมทุบตีนางเป็นประจำจนนางกลัวเฉินฝานพูดสามครั้งติดต่อกันว่าจะไม่ทุบตี จากนั้นฉินเย่ว์โหรวก็หยุ
เฉินฝานพลันตะโกนเสียงแข็ง จูต้าอันกับผู้ชายอีกสองคนถึงกับสะดุ้งตกใจไอ้หมอนี่ กล้าพูดจาเสียงดังกับพวกเขา!ภายในห้องเงียบสงบในทันใด“เฉินฝาน!” จูต้าอันแสดงหน้าถมึงทึง “ตั้งแต่พวกเราเข้ามา เจ้าก็ทำกร่างตลอด เมื่อครู่นี้ข้าถือว่าเจ้าเพิ่งตกเขากลับมาร่างกายยังไม่หายดี แต่เจ้าอย่าทำตัวไว้หน้าแล้วไม่สนใจ ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ เมื่อเจ้ารับเงินไปแล้วก็ต้องทำตามที่ตกลงไว้”ตอนที่จูต้าอันกำลังพูด ผู้ชายสองคนด้านหลังยืนขึ้นแล้วผู้ชายสองคนนั้น ทั้งตัวสูงและบึกบึนหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริง ๆ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ เพียงแต่ว่า……เฉินฝานชำเลืองมองฉินเย่ว์โหรวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง“โหย ดูสมองข้าสิ!” เฉินฝานกุมหัวแสดงสีหน้าเหมือนเจ็บปวด “หลังจากตกเขาและฟื้นขึ้นมาข้าก็ไข้ขึ้นไม่หยุด จนป่านนี้หัวของข้าก็ยังเจ็บตื้อ ๆ ไม่หาย และลืมเรื่องต่าง ๆ ไปเยอะมาก ข้าขออภัยด้วย”เมื่อเห็นสีหน้าของชายสามคนผ่อนคลายลง เฉินฝานพลางรีบเอ่ยถามจูต้าอัน “พี่จู ก่อนหน้านี้ข้าตกลงกับพี่เรื่องอะไรนะ!”“หากเป็นเช่นนั้น……ก็ช่างเถอะ!” จูต้าอันส่งสัญญาณให้สองคนนั่งลง “ตกเขาฤดูหนาวแต่ไม่ถูกหมาป่าคาบ
“ขอร้องแม่เจ้าสิ!” เฉินฝานยกอีกถ้วยหนึ่งขึ้น“ปึก!”“ดูซิว่าข้าจะกล้าตีเจ้าหรือไม่ ?”“อ๊าก!” จูต้าอันที่ไม่ทันระวังตัวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ต่อมาเขาพยายามจะลุกขึ้น แต่เฉินฝานไม่ให้โอกาสเขาเลย“ปึก!”“กล้าไหม!”“ปึก!”“กล้าไหม!”เขาพูดคำว่ากล้าไหมหนึ่งครั้ง ก็ฟาดจูต้าอันหนึ่งครั้งกำลังมือที่เฉินฝานฟาดลงไปหนักขึ้นทุกครั้งศีรษะของจูต้าอันกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปากแข็งในตอนเริ่มต้น แต่ภายหลังส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังสนั่นและร้องขอความเมตตาไม่หยุดชายสองคนที่มาจากหอนางโลมอี๋ชุนย่วนวางมือลงและมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยจูต้าอันสักคนไอ้เฉินฝานนี่ เหตุใดถึงไม่เหมือนอย่างที่รู้จักเฉินฝานที่พวกเขารู้จัก นอกจากผู้หญิงในเรือนตนเองแล้วก็สู้ใครไม่ได้เลย คำว่าอันธพาลของหมู่บ้านล้วนได้มาเพราะอยู่กับจูต้าอันและล้วนเพราะมีจูต้าอันคอยหนุนหลังทำไมตอนนี้กลับ……“ปึกๆๆ!” เฉินฝานยังทุบไม่หยุด“นายท่านเจ้าคะ นายท่าน!” ฉินเย่ว์โหรวนั่งลงข้างเฉินฝาน “หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้ว ถ้ายังตีต่อไปเขาจะตายได้นะเจ้าคะ!”ครอบครัวไม่อาจไร้ผู้นำ หากเฉินฝานเข้า
“วืด”“ตุบ!” ธนูดอกหนึ่งเสียบตรงบานประตูเฉินฝานมองลูกธนูที่อยู่ห่างเขาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรอย่างตาโต เขามีความรู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์กรรม หากธนูลูกนี้เฉียงอีกเพียงเล็กน้อย……ใคร!ใครสามหาวถึงเพียงนี้!คนสูงโปร่งรูปสวยคนหนึ่งพลันแสดงตัวขึ้นตรงหน้าเฉินฝาน“พี่สาม!”เฉินฝานยังไม่ทันได้ตอบโต้ ฉินเย่ว์โหรวก็วิ่งไปพี่สาม!ฉินเย่ว์เจียว?ในความทรงจำ ฉินเย่ว์เจียวเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของฉินเย่ว์โหรว ภรรยาอีกคนของเขาเฉินฝานมองฉินเย่ว์โหรวอย่างละเอียดมองจากสายตาน่าจะสูงราว 170 เซนติเมตร ความสูงนี้ ในสมัยโบราณถือว่าสูงมากรูปหน้าคล้ายคลึงกับฉินเย่ว์โหรวแต่ก็มีความแตกต่างนางมีโครงหน้าชัดกว่า ร่างกายอวบอิ่มกว่าฉินเย่ว์โหรว สีผิวค่อนไปทางเหลืองข้าวสาลี ประกอบกับความสูงของนางแล้ว ช่างชวนให้รู้สึกมีความองอาจ เย้ายวนแทบทุกอิริยาบถอาจเป็นเพราะวิ่งเร็ว สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวจึงแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อหยดลงจากหน้าผาก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ……เห้อ!เฉินฝานหันหน้าหนีอย่างเร็วหากพูดว่าฉินเย่ว์โหรวที่อ่อนแอแต่อ่อนโยนทำให้รู้สึกอยากปกป้อง ถ้าเช่นนั้นฉินเย่ว์เจียวท
เมื่อมาถึงยามนี้ ฉินเย่ว์เจียวไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก นางถอดด้ามธนูออกจากคันธนู กำไว้ในมือแน่น ขณะที่จ้องเฉินฝานถมึงทึงเฉินฝานยังรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ว์เจียวเลย เขาฟังแล้วยังอยากบีบคอนายท่านคนเดิมให้ตายไปเสียฉินเย่ว์โหรวลดแขนที่กางออกลงอย่างช้า ๆ แสงในดวงตาหรี่ลงทีละน้อย ฉินเย่ว์เจียวพูดถูก ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้พวกนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ เลยสักวันหลายครั้งที่นางเองก็สงสัย ความตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตอยู่หรือไม่“น้องสี่ เจ้ามายืนข้างข้า” ฉินเย่ว์เจียวดันฉินเย่ว์โหรวไปด้านข้าง พลางชี้ด้ามธนูและคันธนูไปยังเฉินฝานอีกครั้ง“อา!” ฉินเย่ว์โหรวหลับตาไม่กล้ามองผ่านไปชั่วพริบตา“ท่าน......”ฉินเย่ว์เจียวจ้องมองเฉินฝานตรงหน้านางอย่างว่างเปล่า ในขณะนี้เฉินฝานกำลังจับมือของนางที่ถือคันธนูอยู่“เหตุใดท่านถึง ถึงได้...” ฉินเย่ว์เจียวเอ่ยขึ้นตะกุกตะกักเขาเข้ามาตรงหน้านางและจับมือนางได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เขาจะมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไรหากเขามีทักษะเช่นนี้ ฉินเย่ว์โหรวคงถูกขายไปนานแล้ว จะรอให้นางออกไปแล้วค่อยแอบขายฉินเย่ว์โหรวทำไมกัน“เย่ว์.
หลังจากที่ฉินเย่ว์เจียวออกไปข้างนอก ฉินเย่ว์โหรวก็ยกอาหารที่เฉินฝานกินไปได้ครึ่งหนึ่งออกไปขึ้นโต๊ะ“นายท่าน ข้าน้อยอุ่นข้าวแล้ว ท่านทานเถอะเจ้าค่ะ!”พูดจบก็วางอาหารแล้วหมุนตัวจะออกไปหลังออกจากห้องหลัก ฉินเย่ว์โหรวเรียกฉินเย่ว์เจียวให้ไปกินข้าวเย็นสองพี่น้องไม่ได้เข้าไปกินอาหารในห้องหลัก พวกนางเดินเข้าไปในครัว หนึ่งคนถือหนึ่งชามกินอาหารเฉินฝานนั่งลง มองชามข้าวใบเล็กตรงหน้าเขาแล้วยิ้มอย่างจนใจ ชามข้าวนี้ของเขา กินแล้วช่างเต็มไปด้วยความพลิกผันเหลือแสนเสียจริง กินตั้งแต่เที่ยงถึงเย็นก็ยังกินไม่หมดเลยในขณะที่ยิ้มอย่างขมขื่น เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้น อีกฟากหนึ่งของห้องครัว สีหน้าอันเจ็บปวดของสองพี่น้องฉินที่กลืนอาหารอย่างขมขื่นก็ตกอยู่ในสายตาของเขาเมื่อคิดว่าสิ่งที่อยู่ในชามของพวกนางไม่ใช่ข้าวขัดสีแต่คือผักป่า เขาก็กินไม่ลงเดิมทีเขาต้องการเรียกพวกนางมากินข้าวด้วยกัน แต่เมื่อมองดูชามข้าวขนาดเล็กบนโต๊ะแล้ว คิดอีกที ฉินเย่ว์โหรวคงกลัวว่าเขาจะ...“ตึง!”เฉินฝานกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะเป็นดังคาด ฉินเย่ว์โหรวที่อยู่อีกฟากของห้องครัวตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ฉินเย่ว์เจียวก็ยืนขึ้นตาม นางดึงฉินเ
เฉินฝานย่อมฟังออกถึงความสงสัยของฉินเย่ว์โหรว เขายิ้มแล้วพูด "ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นนายท่านของพวกเจ้านะ"ยุคปัจจุบันเขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน จะมีงานบ้านใดที่ไม่เคยทำเล่าฉินเย่ว์โหรวยังคงไม่ขยับนายท่าน...เขา เขายิ้มให้นางจริง ๆนางกำลังฝันอยู่หรือเปล่า“เย่ว์โหรว เย่ว์โหรว เย่ว์โหรว”จนกระทั่งเฉินฝานเรียกนางเป็นครั้งที่สาม ฉินเย่ว์โหรวก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง“จะ จะจุดไฟทันทีเลยเจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์โหรวรีบ ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อยเนื้อที่จูต้าอันนำมาด้วยในวันนี้ครึ่งหนึ่งมีไขมันในยุคนี้ เนื้อติดมันแพงกว่าเนื้อไม่ติดมันเฉินฝานหั่นเนื้อมันออกทีละน้อย แล้วใส่ลงในหม้อ ทอดจนออกน้ำมันกลิ่นหอมของน้ำมันผุดออกมาจากหม้อ ฉินเย่ว์โหรวก็แอบกลืนน้ำลายเต็มปากในขณะที่นางกำลังจุดไฟฉินเย่ว์เจียวซึ่งยืนอยู่ข้างกรอบประตูก็อดไม่ได้เช่นกันมันหอมมากหนึ่งปีแล้วที่ไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์เลย สองพี่น้องรู้สึกหิวไขมันไม่เยอะ จึงกลั่นน้ำมันได้ไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยเฉินฝานเทเนื้อที่เหลือลงในหม้อพร้อมกับผักป่าทันทีที่ผักป่าถูกเทลงในหม้อ แสงในดวงตาของสองพี่น้องฉินทั้งก็หรี่ลงเฉินฝานไ
“นายท่าน ท่านทำของหล่นหรือ” ฉินเย่ว์โหรวเดินตามเฉินฝานแล้วถามเบา ๆ“ข้าหา...หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว!”เฉินฝานหันกลับมาอย่างมีความสุข ในมือของเขามีของสีดำสนิทอยู่สองก้อนของสีดำนั้นก็คือ...มูล?มูล!มูลก้อนใหญ่สองก้อน มูลวัวทั้งดำและแห้งสองก้อน“เฉินฝาน” ฉินเย่ว์เจียวเรียกเฉินฝานด้วยชื่ออีกครั้ง นางปกป้องฉินเย่ว์โหรว “ท่านคิดจะทำอะไรอีก”มือของฉินเย่ว์โหรวจับชายเสื้อของฉินเย่ว์เจียวไว้แน่น ดวงตาราวกับดวงดาราของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ลมหายใจสั่นเทาเมื่อเดือนที่แล้วเฉินฝานออกไปเล่นพนันและแพ้กลับมา ครั้นตื่นขึ้นมา กลางดึกเขาระบายความโกรธทั้งหมดใส่ฉินเย่ว์โหรว ด่านางที่แม้แต่อุ่นเตียงก็ทำไม่ได้ จากนั้นก็ลากนางไปที่ครัว ยัดขี้เถ้าเข้าปากนางตอนนี้เฉินฝานคงจะไม่ระบายความโกรธใส่นางอีกและยัดมูลวัวเข้าปากนางกระมัง...“เฉินฝาน ถ้าท่านทำร้ายน้องสี่ของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวตะโกนด้วยความโกรธแค้นราวกับว่านางยอมตายโดยไม่ยี่หระใด ๆ ทั้งสิ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว นางจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นได้อีกเฉินฝานส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เย่ว์เจียว เจ้าเป็นหญิงสาว อย่าคิดแต่เรื่
ในใจของชิงหนิง เถียนเสี่ยวอวี่คือผู้ดูแล และเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต และเป็นญาติพี่น้องของนางอีกด้วยนางโดนเสิ่นหยวนเลี่ยงใช้อุบายชั่วร้ายเช่นนั้นทอดทิ้ง หากไม่มีเถียนเสี่ยวอวี่เยียวยาจิตใจให้นาง นางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เลย เถียนเสี่ยวอวี่ไม่เพียงเยียวยาจิตใจที่เหี่ยวเฉา นางยังมอบความรักความห่วงใยดั่งญาติพี่น้องให้ด้วย ชิงหนิงที่ถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่าชั้นยอดมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสัมผัสความรักความห่วงใยของญาติสนิทที่แท้จริงมาก่อนเฉินฝานที่อยู่ด้านนอกเรือนพักได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเถียนเสี่ยวอวี่ถึงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง (เทียบเท่ากับสามชั่วโมงในปัจจุบัน) ในการทำอาหารหนึ่งมื้อ ที่แท้เห็ดปลวกกับผักกูดเหล่านั้นเป็นของที่นางตั้งใจวิ่งออกไปเก็บมาเมื่อครู่นี้เถียนเสี่ยวอวี่ช่วยปรับหมวกแม่ชีบนศีรษะของชิงหนิงให้ตรงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ว่า “ชิงหนิง เจ้าพูดเกินไปแล้วนะ ข้าแค่ไปเก็บเห็ดปลวก จะตายได้อย่างไรกัน?”เมื่อเห็นเถียนเสี่ยวอวี่มีท่าทางเช่นนี้ ชิงหนิงก็โกรธมากยิ่งขึ้น “จุดที่เจ้าเพิ่งล้มจนได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้ หากไปข้างหน้า
ด้วยทิวทัศน์อันงดงามเช่นนี้ อารมณ์ของเฉินฝานจึงดีขึ้นพรวดพราดเช่นกันสำนักชีชิงเมี่ยวมีแต่แม่ชี แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะงดงามอีกเพียงใด เขาก็ไม่สะดวกที่จะเดินมากนัก กอปรกับบาดแผลที่บั้นท้ายยังคงเจ็บมาก เมื่อเดินวนละแวกอุโบสถ เฉินฝานก็เดินกลับไปขณะที่ใกล้จะเข้าไปในเรือนพัก เฉินฝานก็เดินเลี้ยวไปทางทิศเหนือ เขาจำได้ว่าเถียนเสี่ยวอวี่มาจากทางนี้ ไม่ไกลมากนัก เมื่อเดินเลี้ยวหัวมุม เฉินฝานก็เห็นเถียนเสี่ยวอวี่ตอนนี้นางกำลังหาบน้ำอยู่ นางมีรูปร่างเล็ก การหาบน้ำสองถังใหญ่ดูกินแรงมาก น้ำในถังสาดลงพื้น โคลนกระเด็นโดนจีวรของนางจนสกปรกไปหลายจุดเฉินฝานเร่งฝีเท้าตามสัญชาตญาณ อยากจะเข้าไปช่วย เขาเพิ่งจะยกเท้าขึ้นมา ความเจ็บแปลบส่งมาจากที่บั้นท้าย ทำให้เขาจำใจได้แต่ชะลอฝีเท้าลง ในตอนนี้เอง มีเงาร่างหนึ่งทะยานผ่านตัวเฉินฝานไปอย่างรวดเร็ว “ผู้ดูแล เฮ้อ งานหนักอย่างหาบน้ำเช่นนี้ ให้ข้าทำก็ได้”คนที่พุ่งผ่านตัวเฉินฝานคือเหอเสี่ยวเยี่ยนที่โดนเสิ่นหยวนเลี่ยงทอดทิ้ง บัดนี้นางคือแม่ชีชิงหนิงแห่งสำนักชีชิงเมี่ยว นางแบกฟืนมัดใหญ่ไว้บนบ่า ฟืนมัดนั้นประกอบด้วยไม้หลากหลายชนิด ดูท่าทางเหมือนเพิ่งจะหามาจา
เฉินฝานทำหน้างุนงงไม่เข้าใจ“เสี่ยวอวี่ เป็นอะไรไปหรือ? มีเรื่องเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”เฉินฝานข่มกลั้นความเจ็บปวดที่บั้นท้าย เดินตามเถียนเสี่ยวอวี่ออกไปเถียนเสี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับมา “ใต้เท้า ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดหรอก เย็นแล้ว ข้าจะไปทำอาหารให้ท่าน” “หา?”เฉินฝานยังคิดจะถามว่าในฐานะที่นางเป็นผู้ดูแล เหตุใดยังต้องไปทำอาหารด้วยตนเอง เขายังไม่ทันเอ่ยคำพูดออกมา เถียนเสี่ยวอวี่ก็วิ่งไปไกลแล้ว หลังจากที่เถียนเสี่ยวอวี่ออกไปแล้ว ชิงหนิงก็ตามไปด้วยเช่นกัน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่งเต็ม ๆ เถียนเสี่ยวอวี่ถึงค่อยปรากฏตัวอีกครั้ง นางถือถาดไม้ไว้ในมือ มีข้าวหนึ่งชามและกับข้าวสองชามอยู่บนถาด “ใต้เท้า ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?” เถียนเสี่ยวอวี่วางอาหารลงตรงหน้าเฉินฝาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจเฉินฝานไม่พูดอันใด เหลือบมองอาหารตรงหน้าแล้วเงยหน้ามองเถียนเสี่ยวอวี่ด้วยความจริงจังเถียนเสี่ยวอวี่ที่รีบร้อนมานั้นดูทุลักทุเลอยู่บ้าง หมวกแม่ชีบนศีรษะเอียงไปทางด้านข้าง หน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ แก้มขาวผ่องเปื้อนเขม่าดำอยู่หลายจุด ดูคล้ายกับแมวลายตัวน้อยแม้ว่านางจะดูทุลักทุเล แต
“เจ้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่เคยร้องขอสิ่งใดแม้แต่น้อย” หลิงเฟิงถลึงตาใส่เถียนเสี่ยวอวี่ด้วยความเสียใจที่อีกฝ่ายไม่อาจเป็นดั่งที่หวังไว้ นางช่วยระบายความแค้นให้เถียนเสี่ยวอวี่ โอกาสในการกดขี่คงจิ้งเช่นนี้ นางกลับปล่อยไปอย่างง่ายดาย เถียนเสี่ยวอวี่ยิ้มบาง ๆ “อาจารย์อาท่านผิดแล้ว ความทะเยอทะยานของศิษย์สูงมากเลยนะเจ้าคะ” หากหลิงเฟิงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉินฝาน คงไม่พูดจาประชดเถียนเสี่ยวอวี่อย่างแน่นอน“เจ้าก็ยังเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้นะ เฮ้อ~” หลิงเฟิงถอนหายใจ “แล้วแต่เจ้าเถิด” ศิษย์พี่หัวหน้าสำนักถูกใจนิสัยอ่อนโยนเยือกเย็นและไม่แก่งแย่งชิงอำนาจของเถียนเสี่ยวอวี่ถึงให้นางเป็นผู้สืบทอดมิใช่หรือ นางยังจะทำอย่างไรได้อีกเพียงแต่ว่าต่อไปเมื่อนางกับศิษย์พี่ไม่อยู่แล้ว เถียนเสี่ยวอวี่อยู่ในสำนักชีจะยิ่ง...เฮ้อ หลิงเฟิงส่ายหน้าเรื่องในอนาคตนั้น นางก็ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว กังวลมากมายถึงเพียงนั้นไปเพื่ออันใด ต่อไปเถียนเสี่ยวอวี่จะดีหรือร้ายก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง“แต่ว่าอาจารย์อา เขาเป็นบุรุษนะเจ้าคะ การให้บุรุษอยู่ที่นี่ มันผิดกฎ” คงจิ้งขวางหน้าหลิงเฟิงไว้ ดึงดันจะไล่เฉินฝานออกไปบอกเห
“มีทางรักษาอาการป่วยของท่านอาจารย์แล้วหรือเจ้าคะ” แววตาของเถียนเสี่ยวอวี่ส่องประกายขึ้นมาในพริบตา ตอนที่อยู่ในเมืองลู่ตู เถียวเสี่ยวอวี่เคยได้ยินเฉินฝานพูดว่ามารดาของหวงหวั่นเอ๋อร์เก่งกาจมากนัก ปรุงยาไว้มากมาย ยาบางตัวสามารถรักษาโรคที่ยากจะรักษาได้หลายโรคหลิงเฟิงพยักหน้าติดต่อกัน “ใช่แล้ว ๆ หลังจากที่ศิษย์พี่หัวหน้าสำนักกินยาของแม่นางหวงแล้ว สีหน้าก็แดงเปล่งปลั่งขึ้นมาก บัดนี้ร่างกายแข็งแรง และไม่หอบหายใจด้วย ลงจากเตียงเคลื่อนไหวได้แล้ว”“เช่นนั้นช่างดีเหลือเกิน!”เถียนเสี่ยวอวี่พูดพลางเดินไปที่เรือนของหลิงอวี้ แต่นางเพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็โดนหลิงเฟิงขวางไว้“ผู้ดูแล เจ้าจงหยุดก่อน แม่นางหวงบอกว่าตอนนี้ศิษย์พี่หัวหน้าสำนักต้องพักผ่อน นางไม่ให้ผู้ใดไปรบกวนศิษย์พี่ และไม่ให้ศิษย์พี่ออกมา ศิษย์พี่ให้ข้ามาบอกข่าวนี้แก่พวกเจ้า หวังให้พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนาง” “เจ้าค่ะ ศิษย์จะเชื่อฟังอาจารย์” เถียนเสี่ยวอวี่หยุดฝีเท้า นางเชื่อฟังคำพูดของหลิงเฟิงเป็นเพราะว่าเชื่อใจหวงหวั่นเอ๋อร์ หลิงเฟิงรายงานข่าวดีจบแล้วก็กลับไป ขณะเดินผ่านคงจิ้งนางหยุดเดินฉับพลัน ก่อนจะเอ่ยปากตำหนิโดยตรงว่
“แค่ก ๆ ๆ...” เพิ่งจะถามหวงหวั่นเอ๋อร์จบ หลิงอวี้ก็ไอขึ้นมาฉับพลัน หาไม่ใช่เพราะหลิงเฟิงที่อยู่ทางด้านข้างประคองไว้ เกรงว่าคงจะล้มลงไปแล้ว“ยายชีเฒ่า ข้าเห็นว่าเจ้าแก่จวนจะลงโลงแล้ว ยังจะกังวลมากมายถึงเพียงนั้นเพื่ออันใด?”หวงหวั่นเอ๋อร์กระโดดลงมาจากหลังคา ก่อนจะทะยานไปหาหลิงอวี้ดังฟิ้ว “แม่นางหวง อย่าได้ลงมือรุนแรงกับท่านอาจารย์” เฉินฝานรีบเตือนหวงหวั่นเอ๋อร์ กลัวว่านางจะลงมืออย่างไม่เหมาะสม ขณะที่เฉินฝานพูดอยู่นั้น หวงหวั่นเอ๋อร์ก็อุ้มหลิงอวี้ขึ้นมาแล้วทะยานเหนือศีรษะแม่ชีมากมาย“ยายเฒ่านี่น่ารำคาญเกินไปแล้ว สมควรสั่งสอนบทเรียนให้นางเสียบ้าง” เมื่อทุกคนได้สติกลับมา ก็ได้ยินเพียงเสียงกระจ่างใสของหวงหวั่นเอ๋อร์เท่านั้น ส่วนร่างของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว“สวรรค์ ท่านหัวหน้าสำนัก ท่านหัวหน้าสำนัก!”หลิงเฟิงร้องเสียงดังพลางตามออกไป นอกจากพวกคงจิ้งแล้ว แม่ชีส่วนใหญ่ล้วนตามออกไปกันหมด“แม่นางหวงจะพาอาจารย์ของข้าไปที่ใดกัน? ร่างกายของอาจารย์ทนรับการกระทบกระเทือนไม่ไหว” เถียนเสี่ยวอวี่เองก็ทำหน้ากังวลและร้อนใจ พูดพลางวิ่งออกไปเช่นกัน “ไม่เป็นไร!” เฉินฝานดึงเถียนเสี่ยวอวี่
“ตอนข้าอารมณ์ไม่ดี ชอบใช้ความรุนแรง เจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่ ไม่พอใจก็มาสู้กับข้าสักตั้ง!”เสียงใสดังมาจากหลังคาห้องของเถียนเสี่ยวอวี่ ทุกคนเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงหญิงสาวในชุดสีน้ำเงิน นั่งไขว่ห้างอยู่บนหลังคา เพราะคาบใบไม้ไว้ที่ปาก ตอนนางพูดจึงให้ความรู้สึกท้าทายอย่างมาก“อมิตาพุทธ” สองมือของคงจิ้งประสานเข้าด้วยกัน พยักหน้าให้หวงหวั่นเอ๋อร์เล็กน้อย “แม่นาง ข้ารู้ว่าแม่นางฝีมือไม่ธรรมดา แต่ว่า ท่านช่วยใครไม่ดีเล่า? เหตุใดต้องช่วยหญิงชั่วชายโฉดในห้องนั้นด้วย? นางกำลังยั่วยวนนายท่านของแม่นาง”ตอนเถียนเสี่ยวอวี่พยุงเฉินฝานเข้ามาในสำนัก คงจิ้งเห็นความเก่งกาจของหวงหวั่นเอ๋อร์แล้ว ดังนั้นจึงชักนำให้พวกชิงผิงไปฟ้องหลิงอวี้นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า หวงหวั่นเอ๋อร์จะไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งหลิงอวี้เมื่อไม้แข็งไม่ได้ คงจิ้งเริ่มต่อสู้ด้วยจิตใจ บอกว่าเถียนเสี่ยวอวี่ยั่วยวนเฉินฝานในแคว้นต้าชิ่ง สาวใช้ของบุรุษ แม้วรยุทธ์จะสูงส่งเพียงใดก็เป็นเพียงสมบัติของบุรุษ คงจิ้งมั่นใจว่าเถียนเสี่ยวอวี่ยั่วยวนเฉินฝาน ยิ่งมั่นใจว่าหวงหวั่นเอ๋อร์จะต้องหึงหวงแน่นอน“หญิงชั่วชายโฉด? ใครกัน?”หวงหวั่นเอ๋อร์มองไปที่คงจ
หรือว่า หรือว่าเสี่ยวอวี่สติเลอะเลือนอีกแล้วหลิงอวี้ไม่พูดสิ่งใด ทั้งยังไม่เคยพูดถึงเรื่องในอดีตของเถียนเสี่ยวอวี่ แต่หลิงอวี้ตระหนักรู้ดีแก่ใจ เถียนเสี่ยวอวี่ไม่เคยลืมผู้ชายคนนั้นมาก่อน“ท่านเจ้าอาวาส หมอบอกแล้วว่า ตอนนี้ท่านต้องพักผ่อน ไม่อาจลงจากเตียงได้” หลิงเฟิงรีบพยุงหลิงอวี้ลงจากเตียง“หลิงเฟิง ข้าไม่วางใจ เร็วเข้า เจ้าพยุงข้าไปดูเขาเร็วเข้า”“ท่านเจ้าอาวาส ข้าพยุงท่าน” เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี้จะไปด้วยตนเอง ชิงผิงรีบวิ่งมาพยุงหลิงอวี้ด้วยสีหน้าดีใจรีบไปห้องพักของเถียนเสี่ยวอวี่ หลิงอวี้ไม่ได้ห้ามหลิงอวี้ ปล่อยให้นางพยุงเพิ่งเข้าไปในเรือนของเถียนเสี่ยวอวี่ ชิงหนิงรีบเดินมาต้อนรับทันที “ชิงหนิงน้อมคารวะท่านเจ้าอาวาส”“เจ้าคือชิงหนิงที่คงอันริษยาหรือ?” หลิงอวี้มองชิงหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เรื่องของชิงหนิง หลิงอวี้ไม่ค่อยกระจ่างชัดเท่าใดนัก รู้เพียงว่านางถูกสามีทอดทิ้ง ตอนฆ่าตัวตายมีคนช่วยชีวิตเอาไว้ หลังจากนั้นก็ถูกส่งตัวไปให้เถียนเสี่ยวอวี่ที่กำลังออกเดินทางชิงหนิงย่อตัวพยักหน้า “ศิษย์เองเจ้าค่ะ”“อื้ม” สายตาของหลิวอวี้ชำเลืองไปที่ชิงหนิง มองไปที่ห้องของเถียนเสี่ยวอวี่
“นี่เรียกว่าเจ้าของกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมเท่านั้น” สำหรับเรื่องที่เถียนเสี่ยวอวี่ได้เป็นผู้ดูแล คงจิ้งไม่พอใจอย่างมากนางอายุมากกว่าเถียนเสี่ยวอวี่ ทั้งยังเข้าไปอยู่ในสำนักนานกว่าเถียนเสี่ยวอวี่ถึงสิบปี เถียนเสี่ยวอวี่เรียกนางว่าศิษย์พี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางช่วยท่านเจ้าอาวาสทำทุกอย่าง เมื่อปีกลายท่านเจ้าอาวาสสุขภาพไม่แข็งแรง ทุกคนล้วนคิดว่าคงจิ้งจะได้กลายเป็นผู้ดูแลของสำนัก ตัวคงจิ้งเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน นางมักวางตัวเป็นผู้ดูแล คอยสั่งแม่ชีในสำนักทำนั่นทำนี่ทว่าคิดไม่ถึงท่านเจ้าอาวาสกลับยกตำแหน่งผู้ดูแลให้กับเถียนเสี่ยวอวี่ซึ่งเข้ามาอยู่ในสำนักไม่ถึงสามปีแม่ชีส่วนใหญ่ในสำนักล้วนไม่เชื่อฟังเถียนเสี่ยวอวี่ คงจิ้งยิ่งไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อครั้นตอนท่านเจ้าอาวาสยังไม่ป่วยหนัก พวกคงจิ้งไม่ค่อยกล้าเหิมเกริมเท่าใดนัก ทว่าหลังจากท่านเจ้าอาวาสป่วยหนัก พวกนางไม่เพียงไม่เห็นเถียนเสี่ยวอวี่อยู่ในสายตา ทั้งยังกลั่นแกล้งนางทั้งต่อหน้าและลับหลังหลังคาห้องที่หวงหวั่นเอ๋อร์นอนเป็นห้องของท่านเจ้าอาวาสพอดี เมื่อได้ยินเสียงข้างล่าง นางเปิดกระเบื้องหนึ่งอันพร้อมฟังครู่หนึ่ง จากนั้นปิดกระเบื