เฉินฝานพลันตะโกนเสียงแข็ง จูต้าอันกับผู้ชายอีกสองคนถึงกับสะดุ้งตกใจไอ้หมอนี่ กล้าพูดจาเสียงดังกับพวกเขา!ภายในห้องเงียบสงบในทันใด“เฉินฝาน!” จูต้าอันแสดงหน้าถมึงทึง “ตั้งแต่พวกเราเข้ามา เจ้าก็ทำกร่างตลอด เมื่อครู่นี้ข้าถือว่าเจ้าเพิ่งตกเขากลับมาร่างกายยังไม่หายดี แต่เจ้าอย่าทำตัวไว้หน้าแล้วไม่สนใจ ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ เมื่อเจ้ารับเงินไปแล้วก็ต้องทำตามที่ตกลงไว้”ตอนที่จูต้าอันกำลังพูด ผู้ชายสองคนด้านหลังยืนขึ้นแล้วผู้ชายสองคนนั้น ทั้งตัวสูงและบึกบึนหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริง ๆ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ เพียงแต่ว่า……เฉินฝานชำเลืองมองฉินเย่ว์โหรวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง“โหย ดูสมองข้าสิ!” เฉินฝานกุมหัวแสดงสีหน้าเหมือนเจ็บปวด “หลังจากตกเขาและฟื้นขึ้นมาข้าก็ไข้ขึ้นไม่หยุด จนป่านนี้หัวของข้าก็ยังเจ็บตื้อ ๆ ไม่หาย และลืมเรื่องต่าง ๆ ไปเยอะมาก ข้าขออภัยด้วย”เมื่อเห็นสีหน้าของชายสามคนผ่อนคลายลง เฉินฝานพลางรีบเอ่ยถามจูต้าอัน “พี่จู ก่อนหน้านี้ข้าตกลงกับพี่เรื่องอะไรนะ!”“หากเป็นเช่นนั้น……ก็ช่างเถอะ!” จูต้าอันส่งสัญญาณให้สองคนนั่งลง “ตกเขาฤดูหนาวแต่ไม่ถูกหมาป่าคาบ
“ขอร้องแม่เจ้าสิ!” เฉินฝานยกอีกถ้วยหนึ่งขึ้น“ปึก!”“ดูซิว่าข้าจะกล้าตีเจ้าหรือไม่ ?”“อ๊าก!” จูต้าอันที่ไม่ทันระวังตัวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ต่อมาเขาพยายามจะลุกขึ้น แต่เฉินฝานไม่ให้โอกาสเขาเลย“ปึก!”“กล้าไหม!”“ปึก!”“กล้าไหม!”เขาพูดคำว่ากล้าไหมหนึ่งครั้ง ก็ฟาดจูต้าอันหนึ่งครั้งกำลังมือที่เฉินฝานฟาดลงไปหนักขึ้นทุกครั้งศีรษะของจูต้าอันกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปากแข็งในตอนเริ่มต้น แต่ภายหลังส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังสนั่นและร้องขอความเมตตาไม่หยุดชายสองคนที่มาจากหอนางโลมอี๋ชุนย่วนวางมือลงและมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยจูต้าอันสักคนไอ้เฉินฝานนี่ เหตุใดถึงไม่เหมือนอย่างที่รู้จักเฉินฝานที่พวกเขารู้จัก นอกจากผู้หญิงในเรือนตนเองแล้วก็สู้ใครไม่ได้เลย คำว่าอันธพาลของหมู่บ้านล้วนได้มาเพราะอยู่กับจูต้าอันและล้วนเพราะมีจูต้าอันคอยหนุนหลังทำไมตอนนี้กลับ……“ปึกๆๆ!” เฉินฝานยังทุบไม่หยุด“นายท่านเจ้าคะ นายท่าน!” ฉินเย่ว์โหรวนั่งลงข้างเฉินฝาน “หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้ว ถ้ายังตีต่อไปเขาจะตายได้นะเจ้าคะ!”ครอบครัวไม่อาจไร้ผู้นำ หากเฉินฝานเข้า
“วืด”“ตุบ!” ธนูดอกหนึ่งเสียบตรงบานประตูเฉินฝานมองลูกธนูที่อยู่ห่างเขาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรอย่างตาโต เขามีความรู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์กรรม หากธนูลูกนี้เฉียงอีกเพียงเล็กน้อย……ใคร!ใครสามหาวถึงเพียงนี้!คนสูงโปร่งรูปสวยคนหนึ่งพลันแสดงตัวขึ้นตรงหน้าเฉินฝาน“พี่สาม!”เฉินฝานยังไม่ทันได้ตอบโต้ ฉินเย่ว์โหรวก็วิ่งไปพี่สาม!ฉินเย่ว์เจียว?ในความทรงจำ ฉินเย่ว์เจียวเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของฉินเย่ว์โหรว ภรรยาอีกคนของเขาเฉินฝานมองฉินเย่ว์โหรวอย่างละเอียดมองจากสายตาน่าจะสูงราว 170 เซนติเมตร ความสูงนี้ ในสมัยโบราณถือว่าสูงมากรูปหน้าคล้ายคลึงกับฉินเย่ว์โหรวแต่ก็มีความแตกต่างนางมีโครงหน้าชัดกว่า ร่างกายอวบอิ่มกว่าฉินเย่ว์โหรว สีผิวค่อนไปทางเหลืองข้าวสาลี ประกอบกับความสูงของนางแล้ว ช่างชวนให้รู้สึกมีความองอาจ เย้ายวนแทบทุกอิริยาบถอาจเป็นเพราะวิ่งเร็ว สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวจึงแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อหยดลงจากหน้าผาก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ……เห้อ!เฉินฝานหันหน้าหนีอย่างเร็วหากพูดว่าฉินเย่ว์โหรวที่อ่อนแอแต่อ่อนโยนทำให้รู้สึกอยากปกป้อง ถ้าเช่นนั้นฉินเย่ว์เจียวท
เมื่อมาถึงยามนี้ ฉินเย่ว์เจียวไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก นางถอดด้ามธนูออกจากคันธนู กำไว้ในมือแน่น ขณะที่จ้องเฉินฝานถมึงทึงเฉินฝานยังรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ว์เจียวเลย เขาฟังแล้วยังอยากบีบคอนายท่านคนเดิมให้ตายไปเสียฉินเย่ว์โหรวลดแขนที่กางออกลงอย่างช้า ๆ แสงในดวงตาหรี่ลงทีละน้อย ฉินเย่ว์เจียวพูดถูก ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้พวกนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ เลยสักวันหลายครั้งที่นางเองก็สงสัย ความตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตอยู่หรือไม่“น้องสี่ เจ้ามายืนข้างข้า” ฉินเย่ว์เจียวดันฉินเย่ว์โหรวไปด้านข้าง พลางชี้ด้ามธนูและคันธนูไปยังเฉินฝานอีกครั้ง“อา!” ฉินเย่ว์โหรวหลับตาไม่กล้ามองผ่านไปชั่วพริบตา“ท่าน......”ฉินเย่ว์เจียวจ้องมองเฉินฝานตรงหน้านางอย่างว่างเปล่า ในขณะนี้เฉินฝานกำลังจับมือของนางที่ถือคันธนูอยู่“เหตุใดท่านถึง ถึงได้...” ฉินเย่ว์เจียวเอ่ยขึ้นตะกุกตะกักเขาเข้ามาตรงหน้านางและจับมือนางได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เขาจะมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไรหากเขามีทักษะเช่นนี้ ฉินเย่ว์โหรวคงถูกขายไปนานแล้ว จะรอให้นางออกไปแล้วค่อยแอบขายฉินเย่ว์โหรวทำไมกัน“เย่ว์.
หลังจากที่ฉินเย่ว์เจียวออกไปข้างนอก ฉินเย่ว์โหรวก็ยกอาหารที่เฉินฝานกินไปได้ครึ่งหนึ่งออกไปขึ้นโต๊ะ“นายท่าน ข้าน้อยอุ่นข้าวแล้ว ท่านทานเถอะเจ้าค่ะ!”พูดจบก็วางอาหารแล้วหมุนตัวจะออกไปหลังออกจากห้องหลัก ฉินเย่ว์โหรวเรียกฉินเย่ว์เจียวให้ไปกินข้าวเย็นสองพี่น้องไม่ได้เข้าไปกินอาหารในห้องหลัก พวกนางเดินเข้าไปในครัว หนึ่งคนถือหนึ่งชามกินอาหารเฉินฝานนั่งลง มองชามข้าวใบเล็กตรงหน้าเขาแล้วยิ้มอย่างจนใจ ชามข้าวนี้ของเขา กินแล้วช่างเต็มไปด้วยความพลิกผันเหลือแสนเสียจริง กินตั้งแต่เที่ยงถึงเย็นก็ยังกินไม่หมดเลยในขณะที่ยิ้มอย่างขมขื่น เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้น อีกฟากหนึ่งของห้องครัว สีหน้าอันเจ็บปวดของสองพี่น้องฉินที่กลืนอาหารอย่างขมขื่นก็ตกอยู่ในสายตาของเขาเมื่อคิดว่าสิ่งที่อยู่ในชามของพวกนางไม่ใช่ข้าวขัดสีแต่คือผักป่า เขาก็กินไม่ลงเดิมทีเขาต้องการเรียกพวกนางมากินข้าวด้วยกัน แต่เมื่อมองดูชามข้าวขนาดเล็กบนโต๊ะแล้ว คิดอีกที ฉินเย่ว์โหรวคงกลัวว่าเขาจะ...“ตึง!”เฉินฝานกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะเป็นดังคาด ฉินเย่ว์โหรวที่อยู่อีกฟากของห้องครัวตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ฉินเย่ว์เจียวก็ยืนขึ้นตาม นางดึงฉินเ
เฉินฝานย่อมฟังออกถึงความสงสัยของฉินเย่ว์โหรว เขายิ้มแล้วพูด "ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นนายท่านของพวกเจ้านะ"ยุคปัจจุบันเขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน จะมีงานบ้านใดที่ไม่เคยทำเล่าฉินเย่ว์โหรวยังคงไม่ขยับนายท่าน...เขา เขายิ้มให้นางจริง ๆนางกำลังฝันอยู่หรือเปล่า“เย่ว์โหรว เย่ว์โหรว เย่ว์โหรว”จนกระทั่งเฉินฝานเรียกนางเป็นครั้งที่สาม ฉินเย่ว์โหรวก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง“จะ จะจุดไฟทันทีเลยเจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์โหรวรีบ ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อยเนื้อที่จูต้าอันนำมาด้วยในวันนี้ครึ่งหนึ่งมีไขมันในยุคนี้ เนื้อติดมันแพงกว่าเนื้อไม่ติดมันเฉินฝานหั่นเนื้อมันออกทีละน้อย แล้วใส่ลงในหม้อ ทอดจนออกน้ำมันกลิ่นหอมของน้ำมันผุดออกมาจากหม้อ ฉินเย่ว์โหรวก็แอบกลืนน้ำลายเต็มปากในขณะที่นางกำลังจุดไฟฉินเย่ว์เจียวซึ่งยืนอยู่ข้างกรอบประตูก็อดไม่ได้เช่นกันมันหอมมากหนึ่งปีแล้วที่ไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์เลย สองพี่น้องรู้สึกหิวไขมันไม่เยอะ จึงกลั่นน้ำมันได้ไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยเฉินฝานเทเนื้อที่เหลือลงในหม้อพร้อมกับผักป่าทันทีที่ผักป่าถูกเทลงในหม้อ แสงในดวงตาของสองพี่น้องฉินทั้งก็หรี่ลงเฉินฝานไ
“นายท่าน ท่านทำของหล่นหรือ” ฉินเย่ว์โหรวเดินตามเฉินฝานแล้วถามเบา ๆ“ข้าหา...หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว!”เฉินฝานหันกลับมาอย่างมีความสุข ในมือของเขามีของสีดำสนิทอยู่สองก้อนของสีดำนั้นก็คือ...มูล?มูล!มูลก้อนใหญ่สองก้อน มูลวัวทั้งดำและแห้งสองก้อน“เฉินฝาน” ฉินเย่ว์เจียวเรียกเฉินฝานด้วยชื่ออีกครั้ง นางปกป้องฉินเย่ว์โหรว “ท่านคิดจะทำอะไรอีก”มือของฉินเย่ว์โหรวจับชายเสื้อของฉินเย่ว์เจียวไว้แน่น ดวงตาราวกับดวงดาราของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ลมหายใจสั่นเทาเมื่อเดือนที่แล้วเฉินฝานออกไปเล่นพนันและแพ้กลับมา ครั้นตื่นขึ้นมา กลางดึกเขาระบายความโกรธทั้งหมดใส่ฉินเย่ว์โหรว ด่านางที่แม้แต่อุ่นเตียงก็ทำไม่ได้ จากนั้นก็ลากนางไปที่ครัว ยัดขี้เถ้าเข้าปากนางตอนนี้เฉินฝานคงจะไม่ระบายความโกรธใส่นางอีกและยัดมูลวัวเข้าปากนางกระมัง...“เฉินฝาน ถ้าท่านทำร้ายน้องสี่ของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวตะโกนด้วยความโกรธแค้นราวกับว่านางยอมตายโดยไม่ยี่หระใด ๆ ทั้งสิ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว นางจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นได้อีกเฉินฝานส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เย่ว์เจียว เจ้าเป็นหญิงสาว อย่าคิดแต่เรื่
นี่มันอะไรกันเนี่ย?เฉินฝานขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถาม “เย่ว์เจียว เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หรือว่าถ้าข้าหาบ ทางการจะมาจับกุมฉินเย่ว์โหรวหรือ”“หึ!” ฉินเย่ว์เจียวส่งเสียงไม่พอใจ “ทำไมถึงแสร้งโง่ สมองท่านพังไปแล้วจริง ๆ หรือไร”!!!เฉินฝานตกตะลึง หรือจะเป็นเรื่องจริงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมีจำกัด เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆประเทศนี้มันแปลก ๆ ผู้ชายทำงานไม่ได้แล้วหรือไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ชายมีน้อยเพียงนี้ในความเป็นจริง ผู้ชายในรัชสมัยต้าชิ่งสามารถทำงานได้ แล้วก็ยังถือว่าผู้ชายต้องแข็งแกร่งเพื่อความสวยงามอีกด้วยแต่ถ้าเฉินฝานเป็นฝ่ายเก็บมูลวัว ส่วนฉินเย่ว์โหรวกลับไปมือเปล่ามันคงจะผิดปกติผู้ชายในรัชสมัยต้าชิ่งมีสถานะสูงส่ง รู้สึกว่าผู้หญิงเกิดมาเพื่อรับใช้ผู้ชาย หากเฉินฝานหาบ ฉินเย่ว์โหรวเดินกลับมือเปล่า เช่นนั้นนางจะต้องถูกผู้อื่นสาปส่งนับไม่ถ้วน จากนั้นอาจถูกฟ้องไปยังทางการโดยผู้ชายในหมู่บ้าน ถึงยามนั้นจะต้องมีบทลงโทษกฎหมายอาญากว่ายี่สิบข้อหาด้วยร่างกายปัจจุบันของฉินเย่ว์โหรว ไม่มีทางที่จะสามารถต้านทานการลงโทษเจ้าหน้าที่ได้เฉินฝานไม่รู้อะไรเลย นอกจากกังวลว่าจะมีคนฟ้องท
“ขอรับ ใต้เท้า!”เฉินฝานเงยหน้ามองจ้าวฮวั่นที่กำลังวุ่นวายกับการสั่งการอยู่บนหอประตูเมืองทว่าก็เชื่อมั่นว่าพวกจ้าวฮวั่นก็จะสามารถทนรับมือได้ถึงหนึ่งชั่วยามครึ่ง-เกิดเสียงตู้มดังสนั่นขึ้น“องค์หญิง ๆ!” อัครเสนาบดีแค้วนหลู่น้ำตาคลอเบ้า วิ่งมาหาด้านหน้าโอวหยาวน่าหลันด้วยความตื่นเต้น “พังทลายแล้ว พวกเราพังทลายประตูเมืองลู่ตูแคว้นต้าชิ่งได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“จริงรึ!”โอวหยางน่าหลันสีหน้าตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินเสียง นางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงประตูเมืองลู่ตูพังทลาย หลังจากที่ได้ยินกับหูตนเองแล้ว ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นโอวหยางน่าหลันกระโดดขึ้นม้าสะบัดดาบไปทางเมืองลู่ตูอีกครั้ง“เข้าเมือง!”“เข้าไปกินข้าว!”คำพูดของโอวหยางน่าหลันเหมือนกับน้ำมันที่ราดใส่กองไฟ ปลุกกองกำลังเมืองหลู่ให้ลุกฮืออีกครั้ง“เข้าเมือง!”“เข้าไปกินข้าว!”ทหารเมืองหลู่ตะโกนคำปลุกใจบุกเข้าไปในเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่ที่หิวจนเสียสติ เมื่อเข้าไปในเมืองก็ค้นทุกหลังคาเรือนอย่างป่าเถื่อนมิต่างอันใดกันโจรปล้นเสบียงแม้แต่น้อยยังมีคนจำนวนน้อยที่มิยอมทำตามยืนหยัดที่จะอยู่ในเมืองต่อไปตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใ
โดยปกติ คนมหาศาลถูกโจมตีจนตายอย่างอเนจอนาถปานนั้น คงจะบั่นทอนขวัญกำลังใจให้คนที่ตามมามิกล้าผลีผลามบุกเข้ามาทว่า...“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านล่างหอประตูเมืองมิได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย กลับเสียงดังกึกก้องมากกว่าเดิมเสียอีกจ้าวฮวั่นวิ่งขึ้นไปที่หอประตูเมืองกวาดสายตามองลงมา...กองกำลังเมืองหลู่ยังคงมากมายมหาศาลราวกับฝูงมดมุ่งหน้าโถมเข้ามาที่เมืองลู่ตู“ท่านแม่ทัพ พลทหารเมืองหลู่เหล่านั้นเสียสติไปแล้วงั้นรึ?” รองแม่ทัพข้างกายจ้าวฮวั่นกล่าวถามจ้าวฮวั่นมิรู้จะตอบอย่างไร มองพลทหารเมืองหลู่ที่จำนวนมหาศาลด้านนอกเมือง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากอายุของจ้าวฮวั่นน้อยกว่าเหอกังเท่านั้น เขาติดตามเหอกังไปสู้รบทุกหนแห่งมิต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้งทว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกองกำลังที่บ้าคลั่งมิเสียดายชีวิตอย่างกองกำลังเมืองหลู่จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับไปมองในเมืองราษฎรในเมืองกำลังเดินทางอพยพ เป็นเพราะว่าต้องขนย้ายเสบียงด้วยจึงทำให้การอพยพค่อนข้างช้า“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านนอกเมืองเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ“พลธนู”“พลขว้างระเบิด”จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับมาตะโกนออกคำสั่ง“จงโจมตีต่อเนื่อ
“ใต้เท้า ท่านวางใจเถอะ ข้าจะพาเขาออกไปได้แน่นอน” เหอจื่อกลินกล่าวรับปาก“เจ้าเองก็ด้วย อย่าอวดเก่งอย่าใจร้อน!”ถึงแม้เหอจื่อหลินรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีแล้ว เฉินฝานก็ยังมิวางใจ จึงให้ทหารรักษาพระองค์ที่ฉินเย่ว์เหมยสั่งให้มาอารักขาเขา ติดตามออกไปปกป้องเหอจื่อหลินด้วยครั้งนี้เหอกังมิได้มาด้วย เมื่อกลับไปเขามิอยากหลบหน้าเหอกัง-ด้านนอกเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่แน่นขนัดมากมายสุดลูกหูลูกตา ราวกับมดที่ออกจากรังจ้าวฮวั่นชำเลืองมองกองกำลังเมืองหลู่ด้านล่าง หันหน้ากลับมาถาม“สหายทั้งหลายพวกเจ้าเกรงกลัวหรือไม่?”“มิกลัว!”เสี่ยวซื่อชูคันศรในมือขึ้น กล่าวตอบเป็นคนแรกตอนที่อยู่เมืองหรงตู เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่ทำอันใดมิเป็น ตอนนี้ได้กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่สูงหนึ่งเมตรแปดสิบแล้วร่างกายกำยำ ผิวสีแทน เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้วเขาที่เพิ่งจะได้ภรรยาใหม่และจะได้เป็นพ่อคน ได้กลายเป็นชายชาตรีที่มีสง่าราศีแล้ว“มิกลัว!”“มิกลัว!”เหล่าพลทหารต่างพากันชูอาวุธในมือ เปล่งเสียงพร้อมเพรียงดังกังวานราวกับระฆังใหญ่ในวัดดังกังวาน กึกก้องน้ำเสียงของพวกเขาดังทะลุไปนอกเมือ
“ใช่แล้ว เป็นการทำเพื่อพวกเจ้าทั้งนั้น ไฉนเจ้ามิดูเหล่าคุณชายในกองกำลังที่หนึ่งของเจ้า จนป่านนี้แล้วทุกคนยังเป็นพวกไร้ฝีมืออยู่ หากไปเผชิญหน้ากับกองกำลังเมืองหลู่จริง อาจจะปัสสาวะราดก็ได้นะ”“ถูกต้อง เมื่อถึงตอนนั้นกลิ่นปัสสาวะก็จะตลบอบอวลไปทั่ว”แม่ทัพประจำกองคนอื่นต่างพากันหัวเราะสะใจ“ปัสสาวะราดอันใด กองกำลังที่หนึ่งของข้ามิมีผู้ใดเป็นไก่อ่อนเสียหน่อย!” มั่วเซินกำหมัดแน่น“มิใช่ไก่อ่อนก็จริง แค่คงจะตกใจจน...”“พอได้แล้ว!”เฉินฝานตะโกนลั่น “ตอนนี้สงครามใหญ่จะเริ่มแล้ว ยังจะมาพูดจาล้อเล่นอีก!”“......” ตอนนี้ทั่วบริเวณเงียบกริบลงทันทีเฉินฝานกวาดสายตามองโดยรอบ “ตอนนี้ทุกกองกำลังล้วนได้รับมอบหมายหน้าที่แล้ว...“ใต้ ใต้เท้า”มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากมุมหนึ่งฝูงชนหันไปมองตามเสียงเสียงนั้นคือนายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟย“ใต้เท้า ท่านยังมิได้มอบหมายหน้าที่ให้พวกเรากองกำลังรักษาเมืองลู่ตูขอรับ”“โอ้!” เฉินฝานรีบยกมือกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วย เกือบจะลืมพวกเจ้าไปเสียแล้ว”“นายกองเมืองลู่ตู!” เฉินฝานตะโกนเสียงดังตามความเคยชิน“ขอ...ขอรับ” พานอีเฟยเลียนแบบการขานรับของพวกมั่วเซินด้วยควา
“พี่จื่อหลินพูดถูก สงครามครั้งนี้จะใช้แผนโจมตีจากด้านหลังมิได้เด็ดขาด”“กล่าวรายงานขอรับ!”เฉินฝานกล่าวมิทันจบ ก็มีพลส่งสาสน์เข้ามารายงานอีกกองทัพใหญ่แคว้นหลู่ห่างจากเมืองลู่ตูเพียงสิบลี้แล้วเฉินฝาน : “จ้าวฮวั่น เฉียนหง!”“ขอรับ!” จ้าวฮวั่นยืนตัวตรงทันที“พวกเจ้านำกองกำลังที่สองไปบนหอประตูเมือง!”“ขอรับ!”“เฉียนหง ซุนลี่ หลี่จื้อ”“ขอรับ!”“พวกเจ้าพากองกำลังที่สามสี่ห้า ออกไปนอกเมืองลู่ตู”“...ขอรับ!”ทั้งสามคนมิได้ขานรับทันที ต้องเคลื่อนทัพออกจากเมืองงั้นรึ?นี่หมายความว่าเยี่ยงไร? จะมิสู้แล้วงั้นรึ?ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความงุนงง ทว่าทั้งสามคนก็ยังยืนกรานที่จะทำตามคำสั่งและมีความตั้งตารอคอยเล็กน้อยยุทธวิธีของเฉินฝานมักจะแปลกประหลาด เกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้เสมอพวกเขามิได้เดือดดาลมิยอมทำตามเหมือนตอนที่สู้รบกับกองกำลังเมืองเตียนตูอีกแล้วตอนนี้มิว่าเฉินฝานจะสั่งให้ทำอันใดก็ล้วนยอมทำตาม ในใจคาดหวังว่าจะได้เจอยุทธวิธีที่แปลกใหม่อันใดอีก“เฉียงหง หลังที่กองกำลังของเจ้าออกเมืองไปแล้ว ให้อยู่ตรงนี้!” เฉินฝานใช้ปลายพู่กันจิ้มไปที่ภูเขาลูกเล็กบนถาดทราย เนินเขาลูกนั
“กล่าวรายงานขอรับ!”นายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟยกล่าวรายงานว่าตอนนี้กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนห่างจากเมืองลู่ตูมิถึงสามสิบลี้แล้วสำหรับทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ในระยะทางสามสิบลี้มิถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถมาถึงเมืองลู่ตูได้ทางเฉินฝานยังมิได้ออกคำสั่งใดๆทุกคนล้วนรออย่างกระวนกระวายใจ รวมถึงเหอจื่อหลินและเย่ว์หนูด้วยเฉินฝานขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึม จ้องถาดทรายด้านหน้าอย่างมิละสายตา“พี่จื่อหลิน!”จู่ ๆ เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้นมา “เรียกกองกำลังลาดตระเวนห้าหมู่และนายกองกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูเข้ามาเถอะ!”หลังจากที่กองกำลังเหล่านั้นเข้ามา เฉินฝานอธิบายการรับมือสถานการณ์ตอนนี้ให้เหอจื่อหลินฟังคร่าว ๆตอนที่ได้ยินว่ากองกำลังเมืองหลู่ตูมีแปดแสนคน ห้ากองกำลังลาดตระเวนก็ตื่นตกใจควบสติไว้มิได้จำนวนแปดแสนคนเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มหาศาลก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่ามากที่สุดคงจะมิเกินสามแสน“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนจวนจะมาประชิดเมืองแล้ว พวกเจ้ามีความคิดเห็นอันใดหรือไม่? หรือมียุทธ์วิธีที่ดีอันใด? พูดออกมาให้หมด”ตอนที่เฉินฝานพูดเขายังคงจ้องมองถาดทราย และย้ายธงบน
“ใต้เท้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”เหอจื่อหลินรีบก้มหน้าลง คำพูดของเฉินฝานเรียกสติเขากลับมาเป็นจริงอย่างที่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิสมควรจะกล่าววาจาบั่นทอนกำลังใจโชคดีที่ว่าตอนที่ให้พานอีเฟยมากล่าวรายงาน เฉินฝานก็ให้แม่ทัพกองกำลังลาดตระเวนคนอื่นออกไปด้วยในชายคา มีเพียงเฉินฝาน เหอจื่อหลิน เย่ว์หนูเย่ว์เจียวรวมกันสี่คน“นายท่าน!” เย่ว์หนูเดินรุดหน้าขึ้นมา “ตอนนี้กองกำลังหญิงมีทั้งหมดหนึ่งหมื่นสามพันคน ทุกคนล้วนมีความสามารถในการขว้างระเบิดมือ และครั้งนี้พวกเรามีระเบิดเหลือเฟือ ตอนนี้บ่าวสามารถนำกองกำลังหญิงออกไปนอกเมืองเพื่อขุดกับดักวางระเบิดสังหารพวกเขา”“ชายชาตรีอย่างข้ายังสู้เย่ว์หนูมิได้!”ในขณะที่เหอจื่อหลินตำหนิตนเอง ก็รู้สึกฮึกเหิมสุดขีด มิมีท่าทางห่อเหี่ยวเมื่อครู่แล้ว“เมื่อตอนที่กองกำลังหญิงกำลังเริ่มจุดระเบิด กองกำลังแคว้นหลู่จะลนลานทำอะไรมิถูก ข้าก็ใช้จังหวะนี้นำทัพกองกำลังลาดตระเวนหนึ่งหมื่นคนและกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูห้าหมื่นคนมุ่งเข้าไปสังหารมิให้พวกเขาไหวตัวทัน”เหอจื่อหลินยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม อยากจะลงมือใจจะขาดเย่ว์หนูก็เช่นกันเป็นครั้งแรกที่นางได้นำทัพกองกำลังหญิงมา
“ฝ่าบาท หยุดตีได้แล้ว!”“ฝ่าบาท ท่านก็จูบข้าเสียหน่อยสิ เช่นนี้เวลาที่ข้าอยู่ในสนามรบ จะได้มีฝ่าบาทไว้คอยเตือนใจมิให้อวดดีไปทั่ว ดูแลรักษาตนเองไว้ให้ดี”“ชายลามกไร้ยางอาย หมกมุ่นในเรื่องนั้นทุกวินาทีเลยหรือกระไร!”“โอ๊ย เจ็บๆ ฝ่าบาท ข้าผิดไปแล้ว หยุดตีเสียที!”ฉินเย่ว์เหมยที่ยิ่งคิดยิ่งโมโหไล่ทุบตีตั้งแต่ด้านล่างจนไปถึงบนรถม้า“ฝ่าบาท ถ้ายังตีอีก ประเดี๋ยวหน้าข้าปูดบวมจะมีหน้าไปเจอเหล่ากองกำลังลาดตระเวนได้อย่างไร...เฉินฝานที่กำลังร้องโอดครวญ จู่ ๆก็เงียบไป เขารู้สึกเพียงว่ามีปากอันอ่อนนุ่มละมุนมาประทับริมฝีปากเขาไว้ริมฝีปากที่มาประทับนั้นช่างหอมหวาน ทำให้เฉินฝานรู้สึกสดชื่นสุดขีดชวนให้อยากลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่าทางในการประทับริมฝีปากเงอะงะอย่างมาก มิใช่การจูบแม้แต่น้อยเฉินฝานยื่นมือออกไปคิดจะคว้าฉินเย่ว์เหมยมากอดเพื่อสอนวิธีการจูบให้กับนาง ปรากฏว่ามือของเขายังมิทันได้สัมผัสฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยก็ลุกขึ้นไปแล้ว วิชาตัวเบาของฉินเย่ว์เหมยยอดเยี่ยม เฉินฝานคว้าตัวนางไว้มิทัน“ถ้าเจ้ากล้ากลับมาด้วยร่างไร้วิญญาณ ข้าจะจัดการเจ้าให้สาสม!”เสียงเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยดังข
สีหน้าของฉินเย่ว์เหมยกระอักกระอ่วนสุดขีดเฉินฝานกลับดีใจกับคำพูดของหงอิง “ได้ยินหรือไม่ กอดจูบเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”ใบหน้าเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยขึ้นสีทันที“หงอิง เจ้ามีนิสัยชอบพูดเหลวไหลเหมือนกับเหล่าหมัวมัวตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำแผลเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ถ้าทำเสร็จแล้วเจ้าก็ออกไปเถอะ!”“ฝ่าบาท จวนจะเสร็จแล้วเพคะ!”หงอิงรีบก้มหน้าตั้งใจทำแผลให้เฉินฝานด้วยความรวดเร็วเมื่อครู่รู้สึกขัดหูขัดตาเกินไป จนลืมไปว่าฉินเย่ว์เหมยเป็นจักรพรรดินี นางเป็นขุนนางหลังจากที่หงอิงออกไปแล้ว ในรถม้าก็เหลือเพียงเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยเฉินฝานมิได้หยอกล้อฉินเย่ว์เหมย เอนตัวมองฉินเย่ว์เหมยโดยมิพูดอันใดดวงตาสุกสกาว คิ้วเรียวงาม ใบหน้ายลโฉมนางนั่งนิ่งสงบและโดดเดี่ยว ราวกับกล้วยไม้ที่อยู่กลางหุบเขาใบหน้าอันงดงามมีความกังวลปรากฏขึ้นจาง ๆในสงครามรบราฆ่าฟันมิเลือกหน้า นางกังวลความปลอดภัยของเฉินฝานหัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปมโดยตลอด เฉินฝานมองแล้วรู้สึกมิสบายใจ เขาจึงยื่นมือไปคลายคิ้วที่ขมวดของฉินเย่ว์เหมยออก“ มิต้องห่วงหรอก ข้าจะปลอดภัยแน่นอน”“ใครเป็นห่วงเจ้ากัน!”ฉินเย่ว์เหมยปากร้ายใจดีเหมือนดั่งเคย