แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: เฉินเจียเสี่ยวเกอ
“นายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”

“……” เฉินฝานทำหน้ามึนงง นางมีความผิดอะไร!

เขาโน้มตัวจะพยุงฉินเย่ว์โหรวให้ลุกขึ้น ปรากฏว่านางโขกศีรษะกับพื้นโป๊ก ๆ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสถึงตัว

“ข้าน้อยรู้ว่านายท่านรังเกียจฝีมือของข้าน้อยเสมอมา ข้าน้อยจะไปร่ำเรียนกับกลุ่มสตรีในชุมชนเจ้าค่ะ”

“ก่อนหน้านี้ ท่านลงโทษจนขาขวาของข้าน้อยหักแล้ว หากท่านลงโทษจนขาซ้ายของข้าหักอีก ข้าน้อยก็จะปรนนิบัติท่านไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”

!!!

แท้จริงแล้วเจ้าของร่างเดิมเป็นคนตีขานางหัก!!

เมื่อมองขาขวาที่หักของฉินเย่ว์โหรว พลางมีเสียงหวีดดังขึ้นในหัวของเฉินฝาน

คนสวยขนาดนี้ทั้งคน ยังนอบน้อมอ่อนโยนเช่นนี้อีก มีแต่อยากเอ็นดู เจ้าของร่างเดิมคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงกล้าลงมือเช่นนี้!

“เมื่อขาเจ้าไม่สะดวก งั้นก็ลุกขึ้นเถิด!”

ฉินเย่ว์โหรวตัวสั่นและกลัวเฉินฝานมาก นางแทบไม่ได้รู้ว่าเฉินฝานพูดอะไร “ได้โปรดนายท่าน อย่าทุบตีข้าเลย อย่าทุบข้าเลย”

ร่างกายที่สั่นจนควบคุมไม่ได้และสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นกลัว

เห็นได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมทุบตีนางเป็นประจำจนนางกลัว

เฉินฝานพูดสามครั้งติดต่อกันว่าจะไม่ทุบตี จากนั้นฉินเย่ว์โหรวก็หยุดขอความเมตตาพร้อมเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังและมองเฉินฝานด้วยความไม่เชื่อสายตาเล็กน้อย

“นายท่าน ท่าน……จะไม่ทุบตีข้าน้อยหรือเจ้าคะ!”

“เฉินฝาน เฉินฝาน!”

เฉินฝานกำลังจะตอบคำถามฉินเย่ว์โหรว พลันมีเสียงรีบร้อนดังขึ้นจากด้านนอกประตู

ฉินเย่ว์โหรวที่คุกเข่าอยู่กับพื้นรีบลุกขึ้นไปยังประตูและช่วยเฉินฝานเปิดม่านกั้นประตู

“ขอบใจนะ!” เฉินฝานพยักหน้าเบา ๆ ให้กับฉินเย่ว์โหรวและเดินผ่านนางไป

ฉินเย่ว์โหรวที่อยู่ด้านหลังเฉินฝาน นางมองดูเขาด้วยความประหลาดใจและสับสนโดยไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานานมาก

นายท่านไม่ทุบตีนางและยังพูดกับนางอีกว่า……ขอบใจนะ!

หลังจากตกลงไปที่หุบเขา นิสัยของนายท่านเปลี่ยนไปด้วย?

หากเป็นเช่นนั้นจริง คงจะดีมาก

ฉินเย่ว์โหรวตบหน้าตัวเอง

ฉินเย่ว์โหรว ๆ หยุดฝันลม ๆ แร้ง ๆ ได้แล้วหน่า

เฉินฝานกลายเป็นคนดี เป็นเรื่องยากกว่าขึ้นสวรรค์อีก!

……

ในสวนนั้น มีผู้ชายร่างใหญ่สามคนยืนอยู่ คนหนึ่งสูงกว่าอีกคนหนึ่ง คนที่ยืนข้างหน้าสุดมีรูปร่างราวกับปีศาจร้าย มองแล้วรู้เลยว่าไม่ควรมีเรื่องด้วย

คนพวกนี้คือใครกัน!

เฉินฝานหันหน้าจะถามฉินเย่ว์โหรวแต่กลับพบว่านางแสดงสีหน้ากังวลใจ สองมือประสานกุมไว้แน่นหนา ในสายตาที่มองสบกันกับเฉินฟาน มีความโศกเศร้า ความไม่พอใจและการขอความช่วยเหลือ

นี่มันอะไรกัน!

“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ข้าเรียกตั้งนานกว่าจะออกมาได้!” ชายคนนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเฉินฝานและแสดงฟันเหลือง จากนั้นแกว่งของในมือพร้อมกล่าว “ข้าเอาอาหารและเหล้ามาแล้ว คนก็พามาให้เจ้าด้วย”

พูดจบ เขาเรียกสองคนด้านหลังเข้าไปข้างในโดยไม่รอเฉินฝานตอบรับ

“พวกเรารู้จักกันรึ!”

เฉินฝานไม่ชอบใจ ที่นี่คือเรือนของเขา คนที่เข้ามาโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกนั้นทำให้ภรรยาของเขาตกใจ

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้ชายสามคนพลันหยุดชะงัก

“เจ้านี่มัน……เห้ย!” ชายฟันเหลืองยกมือขึ้นโบกอย่างไม่สนใจพร้อมพูดกับผู้ชายที่มาด้วยกัน “เมื่อวานไอ้หมอนี่ตกลงไปที่หุบเขา ตอนนี้สมองฟั่นเฟือน ไม่ต้องไปสนใจ พวกเจ้าเข้าไปนั่งก่อน”

พูดจบ ชายฟันเหลืองหันหน้าเข้าหาฉินเย่ว์โหรวที่ยืนอยู่หลังม่านกั้นและต่อว่าเสียงดังลั่น “นังเมียชั้นต่ำตาบอด ไม่เห็นอาหารและเหล้าในมือข้ารึไง! ยังไม่รีบเอาไปจัดการอีก ใช้ไม่ได้เลยสักนิด ถ้ารู้เร็วกว่านี้จะได้บอกให้น้องฝานเอาเจ้าไปขายทิ้งซะ!”

ร่างซูบผอมบางที่อยู่ตรงม่านกั้นประตูพลันสะดุ้งตกใจ

ฉินเย่ว์โหรวเดินออกมาจากม่านกั้นประตูด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว น้ำตายังคงเอ่อล้นเต็มดวงตา

นางรับอาหารและเหล้าจากมือของชายฟันเหลืองเสร็จ ฉินเย่ว์โหรวก็เดินกะเผลกตรงไปยังห้องครัว

ความโกรธของเฉินฝานเพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ พวกไร้ปัญญา เป็นผู้ชายแต่รังแกผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่สำคัญผู้หญิงคนนี้ยังเป็นภรรยาของเขาอีก

ไอ้ผู้ชายนี่เป็นใครกันแน่ มาหาโดยไม่ได้รับเชิญ อีกทั้งยังกล้าออกคำสั่งกับผู้หญิงของเขา

“เห้อ!”

เฉินฝานกำลังจะแสดงความโมโห ชายฟันเหลืองมองแผ่นหลังฉินเย่ว์โหรวที่เดินกะเผลกแล้วถอนหายใจ “ข้าว่านะเฉินฝาน เจ้าอดทนสักหน่อยไม่ได้เชียวรึ! ฉินสี่ขาหักแล้วน่าเสียดายไม่น้อย!”

“จริงด้วย!”

ผู้ชายสองคนที่อยู่ด้านหลังชายฟันเหลืองพยักหน้าเห็นด้วยและรู้สึกน่าเสียดาย

เฉินฝานมองผู้ชายสามคนนั้นอย่างสงสัย ฟังจากน้ำเสียงแล้ว สิ่งที่พวกเขาเสียดายไม่ใช่การเห็นอกเห็นใจฉินเย่ว์โหรว

“อย่ายืนกันอีกเลย พวกเราเข้าไปนั่งข้างในเถอะ เฉินฝาน ข้าดูสภาพเจ้าแล้วคงยังไม่หายดีเป็นแน่ เจ้าก็เข้าไปนั่งเถอะ”

ชายฟันเหลืองทำตัวเหมือนเจ้าของเรือนดึงเฉินฝานเข้าไปข้างใน

เฉินฝานนั่งลงมองชายสามคนนิ่ง รู้เขารู้เรา เขาต้องรู้ให้ได้ว่าคนพวกนี้เป็นใครและมาด้วยจุดประสงค์อะไร

เขาจัดการความทรงจำพักใหญ่

ผู้ชายสามคนนี้ เขารู้จักแค่ชายฟันเหลืองที่เป็นหัวหน้า มีนามว่าจู้ต้าอัน เขาและเจ้าของร่างเดิมเป็นอันธพาลในหมู่บ้าน

ทั้งสองคนมีนิสัยคล้ายกัน ทั้งเกียจคร้านและไม่เอาไหน รู้จักแค่กิน ดื่ม เที่ยวและเล่นพนัน งานบ้านในเรือนยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยาทั้งหมด มิหนำซ้ำยังดูถูกว่าเหล่าภรรยาหาเงินทองได้น้อย ไม่ได้ดั่งใจเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ทุบตีก็ต่อว่าตำหนิ ทุบตีจนไม่ใช่มือหักก็ขาหัก

จูต้าอันกับเจ้าของร่างเดิมทำตัวกร่างเช่นนี้ก็เพราะรู้ว่าไม่มีใครกล้าฟ้องพวกเขากับทางราชการ

รัชสมัยต้าชิ่งมีผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิงตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้ก็อยู่ในสภาวะสงครามกับเมืองรอบ ๆ และยังประสบภัยพิบัติอีก ทุกวันนี้ชายหนุ่มในราชสำนักลดฮวบอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงจำนวนมากที่ถึงวัยออกเรือนแต่ไม่มีใครรับไปเป็นภรรยา

สภาพเมืองย่ำแย่ ขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างหนักทุกครัวเรือน ครอบครัวที่ใจเด็ดก็ทำการขับไล่ผู้หญิงที่ไม่มีใครแต่งงานด้วย คนที่มีหน้าตาสวยยังสามารถขายตัวตามซ่อง คนที่ไม่สวยทำได้เพียงเร่ร่อนไปทั่ว ในทุก ๆ ปีมีหญิงเร่ร่อนอดตายเป็นจำนวนมาก

ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ไม่ได้ถูกขับไล่ออกไป แต่พวกนางกลัวตนเองเป็นภาระให้กับครอบครัว ส่วนมากก็เลือกจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย

ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้ของต้าชิ่งจึงได้ประกาศพระราชโองการไว้หนึ่งฉบับ

ราชสำนักจะเป็นผู้จัดสรรภรรยาให้ นอกเหนือจากภรรยาที่ทางราชสำนักจัดสรรให้แล้ว ยังสนับสนุนให้ชายหนุ่มแต่งภรรยาหลายคน ผู้ใดแต่งภรรยาสามคนขึ้นไป รับรางวัล!

รางวัลที่ฮ่องเต้จะประทานให้ เริ่มจากเงินหนึ่งตำลึงในตอนแรกเพิ่มขึ้นมากถึงเงินสิบตำลึงในภายหลัง แต่ภายในราชสำนักก็ยังไม่มีชายหนุ่มคนไหนยอมแต่งภรรยาเพิ่มขึ้นเลย

ทุกวันนี้สถานการณ์ย่ำแย่ ครัวเรือนไหน ๆ ก็มีแต่ใช้ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือยรัดเข็มขัดให้แน่น ใครจะกล้าแต่งภรรยาเพิ่ม

จำนวนผู้ชายร่อยหรอ เฉินฝานกับจู้ต้าอันแต่งภรรยามากกว่าสามคนทั้งคู่ ต่อให้ไปฟ้องที่ว่าการ อย่างมากที่ว่าการก็เพียงลงโทษพวกเขาตามกฎก็เท่านั้น

จูต้าอันกวาดสายตามองออกไป “น้องฝาน นังฉินสามของเจ้าล่ะ วันนี้ไม่อยู่ที่เรือนหรอกรึ!”

“ฉินสาม!”

นังนั่น!

อย่าบอกนะว่า เขาไม่ได้มีภรรยาคนเดียว!

“ไม่ใช่แล้วล่ะ” จูต้าอันส่ายหัว “ข้าว่านะน้องฝาน สมองของเจ้าใช้การไม่ได้หลังจากตกไปที่หุบเขาแล้วจริง ๆ รึ”

เฉินฝานเขม่นตาใส่ “พูดจาเป็นหรือไม่ สมองเจ้าสิใช้การไม่ได้!”

จูต้าอันตอบโต้ทันที “ถ้าสมองยังใช้การได้ แล้วทำไมถึงจำฉินสามไม่ได้ล่ะ! เจ้าไม่เพียงแต่จำฉินสามไม่ได้ แต่ยังเกรงอกเกรงใจกับนังพิการฉินสี่อีก ไม่ตบตีไม่ดุด่า”

ฉินสี่ นังพิการ!

คนที่จูต้าอันกำลังพูดถึงคงเป็นฉินเย่ว์โหรวที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว

“เจ้านี่มันรู้จักคำว่ามารยาทบ้างหรือไม่ เมียข้าชื่อเย่ว์โหรว ไม่ใช่นังพิการ!”

“ให้ข้าดูหน่อย ๆ” จูต้าอันแสดงสีหน้าดุจผู้เหนือกว่า “ยังพูดอีกว่าสมองใช้การได้ ปกติเจ้ารังเกียจฉินสี่ที่สุด เจ้ารังเกียจที่นางซูบผอม ลงนาทำงานหนักไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกฉินสาม เจ้าหย่ากับนางและทิ้งนางไปนานแล้ว”

“อ๋อ!” จูต้าอันพูดอยู่พลาง ๆ ก็อ๋อขึ้นมาแล้วชี้หน้าเฉินฝาน “ข้ารู้แล้วว่าเจ้านัดพวกข้าวันนี้ทำไม เพราะฉินสามไม่อยู่ที่เรือน เจ้ากลัวนางนั่นเอง”

“……” ความทรงจำเรื่องนี้ ไม่มีในสมองของเฉินฝานเลยสักนิด

ฉินสาม

จูต้าอันพูดถึงฉินสามทุกประโยค

นางคือพี่สาวของเย่ว์โหรวรึ! และเป็นภรรยาของเขาด้วยรึ นางเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาเป็นอย่างไรกันนะ!

“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงฉินสามล่ะ มาคุยเรื่องของวันนี้กันเถอะ” จูต้าอันหันไปหาผู้ชายอีกสองคนที่เขามาด้วย “เป็นอย่างไร ข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้าใช่หรือไม่ นังฉินเย่ว์โหรวมีหน้าตา……”

“นายท่าน”

เสียงหวานนุ่มนวลของฉินเย่ว์โหรวพูดขัดจังหวะจูต้าอัน นางยกโต๊ะเล็กที่มีกับข้าวสามอย่างเพิ่งทำเสร็จเดินเข้ามา

มือที่ยกโต๊ะกับเท้าที่ไม่สะดวก ทำให้นางต้องดูแลอาหารบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ฉินเย่ว์โหรวเดินกะเผลกเข้ามาข้างใน

เฉินฝานรีบลุกขึ้นรับโต๊ะเล็กจากมือฉินเย่ว์โหรว “ข้าช่วย!”

ฉินเย่ว์โหรวชะงักเล็กน้อย ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นยังแฝงไว้ด้วยความงุนงงและความประทับใจเล็กน้อย

เฉินฝานไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจที่นางยกอาหารช้า แต่ยังลุกขึ้นช่วยนางและพูดกับนางอย่างสุภาพ

เขา......ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริง ๆ

“เนื้อผิวทั้งขาวและละเอียดอ่อน หน้าตาก็สะสวยงดงาม ต้าอันพูดไว้ไม่ผิด เป็นหญิงงามที่หายากจริง ๆ น่าเสียดายที่ขาถูกทุบตีจนหัก ไม่เช่นนั้น……”

จูต้าอันจับจ้องฉินเย่ว์ ผู้ชายสองคนที่เขาพามาด้วย ก็จับจ้องบนตัวฉินเย่ว์โหรวไปมาอย่างไม่มีเจตนาดี

แม้ว่ายุคปัจจุบันเฉินฝานไม่เคยมีแฟน แต่เขาไม่ใช่คนโง่ จุดประสงค์การมาของพวกนี้ก็คือฉินเย่ว์โหรว

เจ้าของร่างเดิมมันไม่ใช่คน ตอนเกิดใหม่ลืมพกสมองมาด้วยหรืออย่างไร นับถือคนที่คิดไม่ซื่อกับภรรยาของตัวเองว่าเป็นพี่น้องกัน!

เฉินฝานกวาดสายตาเย็นชามองหน้าผู้ชายสามคนตรงหน้า

“ไสหัวออกไปให้หมด!”
ความคิดเห็น (7)
goodnovel comment avatar
Arun Immeunwai
อ่านถึงบท ห้าร้อยหกสิบกว่า มาบอกว่าเปลี่ยนล็อกอิน เข้าระบบ คืออะไร ทั้งที่เข้าอ่านประจำทุกวัน
goodnovel comment avatar
Teerawat Sutee Bunthob
สนุกมากเลยครับ เตรียมเงินไว้เติมเหรียญ อ่านเรื่องสนุกๆๆแบบนี้...️
goodnovel comment avatar
ไมตรี ไมตรี
เวลาเปิดใหม่ทำไมไม่ไปหน้าสุดท้ายที่อ่านเลย ขี้เกียจเลื่อน
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 3

    เฉินฝานพลันตะโกนเสียงแข็ง จูต้าอันกับผู้ชายอีกสองคนถึงกับสะดุ้งตกใจไอ้หมอนี่ กล้าพูดจาเสียงดังกับพวกเขา!ภายในห้องเงียบสงบในทันใด“เฉินฝาน!” จูต้าอันแสดงหน้าถมึงทึง “ตั้งแต่พวกเราเข้ามา เจ้าก็ทำกร่างตลอด เมื่อครู่นี้ข้าถือว่าเจ้าเพิ่งตกเขากลับมาร่างกายยังไม่หายดี แต่เจ้าอย่าทำตัวไว้หน้าแล้วไม่สนใจ ข้าขอพูดไว้ตรงนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ เมื่อเจ้ารับเงินไปแล้วก็ต้องทำตามที่ตกลงไว้”ตอนที่จูต้าอันกำลังพูด ผู้ชายสองคนด้านหลังยืนขึ้นแล้วผู้ชายสองคนนั้น ทั้งตัวสูงและบึกบึนหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริง ๆ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ เพียงแต่ว่า……เฉินฝานชำเลืองมองฉินเย่ว์โหรวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง“โหย ดูสมองข้าสิ!” เฉินฝานกุมหัวแสดงสีหน้าเหมือนเจ็บปวด “หลังจากตกเขาและฟื้นขึ้นมาข้าก็ไข้ขึ้นไม่หยุด จนป่านนี้หัวของข้าก็ยังเจ็บตื้อ ๆ ไม่หาย และลืมเรื่องต่าง ๆ ไปเยอะมาก ข้าขออภัยด้วย”เมื่อเห็นสีหน้าของชายสามคนผ่อนคลายลง เฉินฝานพลางรีบเอ่ยถามจูต้าอัน “พี่จู ก่อนหน้านี้ข้าตกลงกับพี่เรื่องอะไรนะ!”“หากเป็นเช่นนั้น……ก็ช่างเถอะ!” จูต้าอันส่งสัญญาณให้สองคนนั่งลง “ตกเขาฤดูหนาวแต่ไม่ถูกหมาป่าคาบ

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 4

    “ขอร้องแม่เจ้าสิ!” เฉินฝานยกอีกถ้วยหนึ่งขึ้น“ปึก!”“ดูซิว่าข้าจะกล้าตีเจ้าหรือไม่ ?”“อ๊าก!” จูต้าอันที่ไม่ทันระวังตัวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ต่อมาเขาพยายามจะลุกขึ้น แต่เฉินฝานไม่ให้โอกาสเขาเลย“ปึก!”“กล้าไหม!”“ปึก!”“กล้าไหม!”เขาพูดคำว่ากล้าไหมหนึ่งครั้ง ก็ฟาดจูต้าอันหนึ่งครั้งกำลังมือที่เฉินฝานฟาดลงไปหนักขึ้นทุกครั้งศีรษะของจูต้าอันกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เลือดไหลออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาปากแข็งในตอนเริ่มต้น แต่ภายหลังส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังสนั่นและร้องขอความเมตตาไม่หยุดชายสองคนที่มาจากหอนางโลมอี๋ชุนย่วนวางมือลงและมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยจูต้าอันสักคนไอ้เฉินฝานนี่ เหตุใดถึงไม่เหมือนอย่างที่รู้จักเฉินฝานที่พวกเขารู้จัก นอกจากผู้หญิงในเรือนตนเองแล้วก็สู้ใครไม่ได้เลย คำว่าอันธพาลของหมู่บ้านล้วนได้มาเพราะอยู่กับจูต้าอันและล้วนเพราะมีจูต้าอันคอยหนุนหลังทำไมตอนนี้กลับ……“ปึกๆๆ!” เฉินฝานยังทุบไม่หยุด“นายท่านเจ้าคะ นายท่าน!” ฉินเย่ว์โหรวนั่งลงข้างเฉินฝาน “หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้ว ถ้ายังตีต่อไปเขาจะตายได้นะเจ้าคะ!”ครอบครัวไม่อาจไร้ผู้นำ หากเฉินฝานเข้า

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 5

    “วืด”“ตุบ!” ธนูดอกหนึ่งเสียบตรงบานประตูเฉินฝานมองลูกธนูที่อยู่ห่างเขาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรอย่างตาโต เขามีความรู้สึกเหมือนรอดพ้นเคราะห์กรรม หากธนูลูกนี้เฉียงอีกเพียงเล็กน้อย……ใคร!ใครสามหาวถึงเพียงนี้!คนสูงโปร่งรูปสวยคนหนึ่งพลันแสดงตัวขึ้นตรงหน้าเฉินฝาน“พี่สาม!”เฉินฝานยังไม่ทันได้ตอบโต้ ฉินเย่ว์โหรวก็วิ่งไปพี่สาม!ฉินเย่ว์เจียว?ในความทรงจำ ฉินเย่ว์เจียวเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของฉินเย่ว์โหรว ภรรยาอีกคนของเขาเฉินฝานมองฉินเย่ว์โหรวอย่างละเอียดมองจากสายตาน่าจะสูงราว 170 เซนติเมตร ความสูงนี้ ในสมัยโบราณถือว่าสูงมากรูปหน้าคล้ายคลึงกับฉินเย่ว์โหรวแต่ก็มีความแตกต่างนางมีโครงหน้าชัดกว่า ร่างกายอวบอิ่มกว่าฉินเย่ว์โหรว สีผิวค่อนไปทางเหลืองข้าวสาลี ประกอบกับความสูงของนางแล้ว ช่างชวนให้รู้สึกมีความองอาจ เย้ายวนแทบทุกอิริยาบถอาจเป็นเพราะวิ่งเร็ว สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวจึงแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อหยดลงจากหน้าผาก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ……เห้อ!เฉินฝานหันหน้าหนีอย่างเร็วหากพูดว่าฉินเย่ว์โหรวที่อ่อนแอแต่อ่อนโยนทำให้รู้สึกอยากปกป้อง ถ้าเช่นนั้นฉินเย่ว์เจียวท

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 6

    เมื่อมาถึงยามนี้ ฉินเย่ว์เจียวไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก นางถอดด้ามธนูออกจากคันธนู กำไว้ในมือแน่น ขณะที่จ้องเฉินฝานถมึงทึงเฉินฝานยังรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ว์เจียวเลย เขาฟังแล้วยังอยากบีบคอนายท่านคนเดิมให้ตายไปเสียฉินเย่ว์โหรวลดแขนที่กางออกลงอย่างช้า ๆ แสงในดวงตาหรี่ลงทีละน้อย ฉินเย่ว์เจียวพูดถูก ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้พวกนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ เลยสักวันหลายครั้งที่นางเองก็สงสัย ความตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตอยู่หรือไม่“น้องสี่ เจ้ามายืนข้างข้า” ฉินเย่ว์เจียวดันฉินเย่ว์โหรวไปด้านข้าง พลางชี้ด้ามธนูและคันธนูไปยังเฉินฝานอีกครั้ง“อา!” ฉินเย่ว์โหรวหลับตาไม่กล้ามองผ่านไปชั่วพริบตา“ท่าน......”ฉินเย่ว์เจียวจ้องมองเฉินฝานตรงหน้านางอย่างว่างเปล่า ในขณะนี้เฉินฝานกำลังจับมือของนางที่ถือคันธนูอยู่“เหตุใดท่านถึง ถึงได้...” ฉินเย่ว์เจียวเอ่ยขึ้นตะกุกตะกักเขาเข้ามาตรงหน้านางและจับมือนางได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เขาจะมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไรหากเขามีทักษะเช่นนี้ ฉินเย่ว์โหรวคงถูกขายไปนานแล้ว จะรอให้นางออกไปแล้วค่อยแอบขายฉินเย่ว์โหรวทำไมกัน“เย่ว์.

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 7

    หลังจากที่ฉินเย่ว์เจียวออกไปข้างนอก ฉินเย่ว์โหรวก็ยกอาหารที่เฉินฝานกินไปได้ครึ่งหนึ่งออกไปขึ้นโต๊ะ“นายท่าน ข้าน้อยอุ่นข้าวแล้ว ท่านทานเถอะเจ้าค่ะ!”พูดจบก็วางอาหารแล้วหมุนตัวจะออกไปหลังออกจากห้องหลัก ฉินเย่ว์โหรวเรียกฉินเย่ว์เจียวให้ไปกินข้าวเย็นสองพี่น้องไม่ได้เข้าไปกินอาหารในห้องหลัก พวกนางเดินเข้าไปในครัว หนึ่งคนถือหนึ่งชามกินอาหารเฉินฝานนั่งลง มองชามข้าวใบเล็กตรงหน้าเขาแล้วยิ้มอย่างจนใจ ชามข้าวนี้ของเขา กินแล้วช่างเต็มไปด้วยความพลิกผันเหลือแสนเสียจริง กินตั้งแต่เที่ยงถึงเย็นก็ยังกินไม่หมดเลยในขณะที่ยิ้มอย่างขมขื่น เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้น อีกฟากหนึ่งของห้องครัว สีหน้าอันเจ็บปวดของสองพี่น้องฉินที่กลืนอาหารอย่างขมขื่นก็ตกอยู่ในสายตาของเขาเมื่อคิดว่าสิ่งที่อยู่ในชามของพวกนางไม่ใช่ข้าวขัดสีแต่คือผักป่า เขาก็กินไม่ลงเดิมทีเขาต้องการเรียกพวกนางมากินข้าวด้วยกัน แต่เมื่อมองดูชามข้าวขนาดเล็กบนโต๊ะแล้ว คิดอีกที ฉินเย่ว์โหรวคงกลัวว่าเขาจะ...“ตึง!”เฉินฝานกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะเป็นดังคาด ฉินเย่ว์โหรวที่อยู่อีกฟากของห้องครัวตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ฉินเย่ว์เจียวก็ยืนขึ้นตาม นางดึงฉินเ

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 8

    เฉินฝานย่อมฟังออกถึงความสงสัยของฉินเย่ว์โหรว เขายิ้มแล้วพูด "ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นนายท่านของพวกเจ้านะ"ยุคปัจจุบันเขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน จะมีงานบ้านใดที่ไม่เคยทำเล่าฉินเย่ว์โหรวยังคงไม่ขยับนายท่าน...เขา เขายิ้มให้นางจริง ๆนางกำลังฝันอยู่หรือเปล่า“เย่ว์โหรว เย่ว์โหรว เย่ว์โหรว”จนกระทั่งเฉินฝานเรียกนางเป็นครั้งที่สาม ฉินเย่ว์โหรวก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง“จะ จะจุดไฟทันทีเลยเจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์โหรวรีบ ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อยเนื้อที่จูต้าอันนำมาด้วยในวันนี้ครึ่งหนึ่งมีไขมันในยุคนี้ เนื้อติดมันแพงกว่าเนื้อไม่ติดมันเฉินฝานหั่นเนื้อมันออกทีละน้อย แล้วใส่ลงในหม้อ ทอดจนออกน้ำมันกลิ่นหอมของน้ำมันผุดออกมาจากหม้อ ฉินเย่ว์โหรวก็แอบกลืนน้ำลายเต็มปากในขณะที่นางกำลังจุดไฟฉินเย่ว์เจียวซึ่งยืนอยู่ข้างกรอบประตูก็อดไม่ได้เช่นกันมันหอมมากหนึ่งปีแล้วที่ไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์เลย สองพี่น้องรู้สึกหิวไขมันไม่เยอะ จึงกลั่นน้ำมันได้ไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลยเฉินฝานเทเนื้อที่เหลือลงในหม้อพร้อมกับผักป่าทันทีที่ผักป่าถูกเทลงในหม้อ แสงในดวงตาของสองพี่น้องฉินทั้งก็หรี่ลงเฉินฝานไ

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 9

    “นายท่าน ท่านทำของหล่นหรือ” ฉินเย่ว์โหรวเดินตามเฉินฝานแล้วถามเบา ๆ“ข้าหา...หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว!”เฉินฝานหันกลับมาอย่างมีความสุข ในมือของเขามีของสีดำสนิทอยู่สองก้อนของสีดำนั้นก็คือ...มูล?มูล!มูลก้อนใหญ่สองก้อน มูลวัวทั้งดำและแห้งสองก้อน“เฉินฝาน” ฉินเย่ว์เจียวเรียกเฉินฝานด้วยชื่ออีกครั้ง นางปกป้องฉินเย่ว์โหรว “ท่านคิดจะทำอะไรอีก”มือของฉินเย่ว์โหรวจับชายเสื้อของฉินเย่ว์เจียวไว้แน่น ดวงตาราวกับดวงดาราของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ลมหายใจสั่นเทาเมื่อเดือนที่แล้วเฉินฝานออกไปเล่นพนันและแพ้กลับมา ครั้นตื่นขึ้นมา กลางดึกเขาระบายความโกรธทั้งหมดใส่ฉินเย่ว์โหรว ด่านางที่แม้แต่อุ่นเตียงก็ทำไม่ได้ จากนั้นก็ลากนางไปที่ครัว ยัดขี้เถ้าเข้าปากนางตอนนี้เฉินฝานคงจะไม่ระบายความโกรธใส่นางอีกและยัดมูลวัวเข้าปากนางกระมัง...“เฉินฝาน ถ้าท่านทำร้ายน้องสี่ของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวตะโกนด้วยความโกรธแค้นราวกับว่านางยอมตายโดยไม่ยี่หระใด ๆ ทั้งสิ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว นางจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นได้อีกเฉินฝานส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เย่ว์เจียว เจ้าเป็นหญิงสาว อย่าคิดแต่เรื่

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 10

    นี่มันอะไรกันเนี่ย?เฉินฝานขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ยถาม “เย่ว์เจียว เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หรือว่าถ้าข้าหาบ ทางการจะมาจับกุมฉินเย่ว์โหรวหรือ”“หึ!” ฉินเย่ว์เจียวส่งเสียงไม่พอใจ “ทำไมถึงแสร้งโง่ สมองท่านพังไปแล้วจริง ๆ หรือไร”!!!เฉินฝานตกตะลึง หรือจะเป็นเรื่องจริงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมีจำกัด เขาจำเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆประเทศนี้มันแปลก ๆ ผู้ชายทำงานไม่ได้แล้วหรือไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ชายมีน้อยเพียงนี้ในความเป็นจริง ผู้ชายในรัชสมัยต้าชิ่งสามารถทำงานได้ แล้วก็ยังถือว่าผู้ชายต้องแข็งแกร่งเพื่อความสวยงามอีกด้วยแต่ถ้าเฉินฝานเป็นฝ่ายเก็บมูลวัว ส่วนฉินเย่ว์โหรวกลับไปมือเปล่ามันคงจะผิดปกติผู้ชายในรัชสมัยต้าชิ่งมีสถานะสูงส่ง รู้สึกว่าผู้หญิงเกิดมาเพื่อรับใช้ผู้ชาย หากเฉินฝานหาบ ฉินเย่ว์โหรวเดินกลับมือเปล่า เช่นนั้นนางจะต้องถูกผู้อื่นสาปส่งนับไม่ถ้วน จากนั้นอาจถูกฟ้องไปยังทางการโดยผู้ชายในหมู่บ้าน ถึงยามนั้นจะต้องมีบทลงโทษกฎหมายอาญากว่ายี่สิบข้อหาด้วยร่างกายปัจจุบันของฉินเย่ว์โหรว ไม่มีทางที่จะสามารถต้านทานการลงโทษเจ้าหน้าที่ได้เฉินฝานไม่รู้อะไรเลย นอกจากกังวลว่าจะมีคนฟ้องท

บทล่าสุด

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 970

    “ขอรับ ใต้เท้า!”เฉินฝานเงยหน้ามองจ้าวฮวั่นที่กำลังวุ่นวายกับการสั่งการอยู่บนหอประตูเมืองทว่าก็เชื่อมั่นว่าพวกจ้าวฮวั่นก็จะสามารถทนรับมือได้ถึงหนึ่งชั่วยามครึ่ง-เกิดเสียงตู้มดังสนั่นขึ้น“องค์หญิง ๆ!” อัครเสนาบดีแค้วนหลู่น้ำตาคลอเบ้า วิ่งมาหาด้านหน้าโอวหยาวน่าหลันด้วยความตื่นเต้น “พังทลายแล้ว พวกเราพังทลายประตูเมืองลู่ตูแคว้นต้าชิ่งได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“จริงรึ!”โอวหยางน่าหลันสีหน้าตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินเสียง นางก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงประตูเมืองลู่ตูพังทลาย หลังจากที่ได้ยินกับหูตนเองแล้ว ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นโอวหยางน่าหลันกระโดดขึ้นม้าสะบัดดาบไปทางเมืองลู่ตูอีกครั้ง“เข้าเมือง!”“เข้าไปกินข้าว!”คำพูดของโอวหยางน่าหลันเหมือนกับน้ำมันที่ราดใส่กองไฟ ปลุกกองกำลังเมืองหลู่ให้ลุกฮืออีกครั้ง“เข้าเมือง!”“เข้าไปกินข้าว!”ทหารเมืองหลู่ตะโกนคำปลุกใจบุกเข้าไปในเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่ที่หิวจนเสียสติ เมื่อเข้าไปในเมืองก็ค้นทุกหลังคาเรือนอย่างป่าเถื่อนมิต่างอันใดกันโจรปล้นเสบียงแม้แต่น้อยยังมีคนจำนวนน้อยที่มิยอมทำตามยืนหยัดที่จะอยู่ในเมืองต่อไปตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใ

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 969

    โดยปกติ คนมหาศาลถูกโจมตีจนตายอย่างอเนจอนาถปานนั้น คงจะบั่นทอนขวัญกำลังใจให้คนที่ตามมามิกล้าผลีผลามบุกเข้ามาทว่า...“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านล่างหอประตูเมืองมิได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย กลับเสียงดังกึกก้องมากกว่าเดิมเสียอีกจ้าวฮวั่นวิ่งขึ้นไปที่หอประตูเมืองกวาดสายตามองลงมา...กองกำลังเมืองหลู่ยังคงมากมายมหาศาลราวกับฝูงมดมุ่งหน้าโถมเข้ามาที่เมืองลู่ตู“ท่านแม่ทัพ พลทหารเมืองหลู่เหล่านั้นเสียสติไปแล้วงั้นรึ?” รองแม่ทัพข้างกายจ้าวฮวั่นกล่าวถามจ้าวฮวั่นมิรู้จะตอบอย่างไร มองพลทหารเมืองหลู่ที่จำนวนมหาศาลด้านนอกเมือง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากอายุของจ้าวฮวั่นน้อยกว่าเหอกังเท่านั้น เขาติดตามเหอกังไปสู้รบทุกหนแห่งมิต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้งทว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกองกำลังที่บ้าคลั่งมิเสียดายชีวิตอย่างกองกำลังเมืองหลู่จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับไปมองในเมืองราษฎรในเมืองกำลังเดินทางอพยพ เป็นเพราะว่าต้องขนย้ายเสบียงด้วยจึงทำให้การอพยพค่อนข้างช้า“ฆ่ามัน!”เสียงตะโกนฆ่าฟันด้านนอกเมืองเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ“พลธนู”“พลขว้างระเบิด”จ้าวฮวั่นหันหน้ากลับมาตะโกนออกคำสั่ง“จงโจมตีต่อเนื่อ

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 968

    “ใต้เท้า ท่านวางใจเถอะ ข้าจะพาเขาออกไปได้แน่นอน” เหอจื่อกลินกล่าวรับปาก“เจ้าเองก็ด้วย อย่าอวดเก่งอย่าใจร้อน!”ถึงแม้เหอจื่อหลินรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีแล้ว เฉินฝานก็ยังมิวางใจ จึงให้ทหารรักษาพระองค์ที่ฉินเย่ว์เหมยสั่งให้มาอารักขาเขา ติดตามออกไปปกป้องเหอจื่อหลินด้วยครั้งนี้เหอกังมิได้มาด้วย เมื่อกลับไปเขามิอยากหลบหน้าเหอกัง-ด้านนอกเมืองลู่ตูกองกำลังเมืองหลู่แน่นขนัดมากมายสุดลูกหูลูกตา ราวกับมดที่ออกจากรังจ้าวฮวั่นชำเลืองมองกองกำลังเมืองหลู่ด้านล่าง หันหน้ากลับมาถาม“สหายทั้งหลายพวกเจ้าเกรงกลัวหรือไม่?”“มิกลัว!”เสี่ยวซื่อชูคันศรในมือขึ้น กล่าวตอบเป็นคนแรกตอนที่อยู่เมืองหรงตู เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่ทำอันใดมิเป็น ตอนนี้ได้กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่สูงหนึ่งเมตรแปดสิบแล้วร่างกายกำยำ ผิวสีแทน เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้วเขาที่เพิ่งจะได้ภรรยาใหม่และจะได้เป็นพ่อคน ได้กลายเป็นชายชาตรีที่มีสง่าราศีแล้ว“มิกลัว!”“มิกลัว!”เหล่าพลทหารต่างพากันชูอาวุธในมือ เปล่งเสียงพร้อมเพรียงดังกังวานราวกับระฆังใหญ่ในวัดดังกังวาน กึกก้องน้ำเสียงของพวกเขาดังทะลุไปนอกเมือ

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 967

    “ใช่แล้ว เป็นการทำเพื่อพวกเจ้าทั้งนั้น ไฉนเจ้ามิดูเหล่าคุณชายในกองกำลังที่หนึ่งของเจ้า จนป่านนี้แล้วทุกคนยังเป็นพวกไร้ฝีมืออยู่ หากไปเผชิญหน้ากับกองกำลังเมืองหลู่จริง อาจจะปัสสาวะราดก็ได้นะ”“ถูกต้อง เมื่อถึงตอนนั้นกลิ่นปัสสาวะก็จะตลบอบอวลไปทั่ว”แม่ทัพประจำกองคนอื่นต่างพากันหัวเราะสะใจ“ปัสสาวะราดอันใด กองกำลังที่หนึ่งของข้ามิมีผู้ใดเป็นไก่อ่อนเสียหน่อย!” มั่วเซินกำหมัดแน่น“มิใช่ไก่อ่อนก็จริง แค่คงจะตกใจจน...”“พอได้แล้ว!”เฉินฝานตะโกนลั่น “ตอนนี้สงครามใหญ่จะเริ่มแล้ว ยังจะมาพูดจาล้อเล่นอีก!”“......” ตอนนี้ทั่วบริเวณเงียบกริบลงทันทีเฉินฝานกวาดสายตามองโดยรอบ “ตอนนี้ทุกกองกำลังล้วนได้รับมอบหมายหน้าที่แล้ว...“ใต้ ใต้เท้า”มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากมุมหนึ่งฝูงชนหันไปมองตามเสียงเสียงนั้นคือนายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟย“ใต้เท้า ท่านยังมิได้มอบหมายหน้าที่ให้พวกเรากองกำลังรักษาเมืองลู่ตูขอรับ”“โอ้!” เฉินฝานรีบยกมือกล่าวขอโทษ “ขอโทษด้วย เกือบจะลืมพวกเจ้าไปเสียแล้ว”“นายกองเมืองลู่ตู!” เฉินฝานตะโกนเสียงดังตามความเคยชิน“ขอ...ขอรับ” พานอีเฟยเลียนแบบการขานรับของพวกมั่วเซินด้วยควา

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 966

    “พี่จื่อหลินพูดถูก สงครามครั้งนี้จะใช้แผนโจมตีจากด้านหลังมิได้เด็ดขาด”“กล่าวรายงานขอรับ!”เฉินฝานกล่าวมิทันจบ ก็มีพลส่งสาสน์เข้ามารายงานอีกกองทัพใหญ่แคว้นหลู่ห่างจากเมืองลู่ตูเพียงสิบลี้แล้วเฉินฝาน : “จ้าวฮวั่น เฉียนหง!”“ขอรับ!” จ้าวฮวั่นยืนตัวตรงทันที“พวกเจ้านำกองกำลังที่สองไปบนหอประตูเมือง!”“ขอรับ!”“เฉียนหง ซุนลี่ หลี่จื้อ”“ขอรับ!”“พวกเจ้าพากองกำลังที่สามสี่ห้า ออกไปนอกเมืองลู่ตู”“...ขอรับ!”ทั้งสามคนมิได้ขานรับทันที ต้องเคลื่อนทัพออกจากเมืองงั้นรึ?นี่หมายความว่าเยี่ยงไร? จะมิสู้แล้วงั้นรึ?ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยความงุนงง ทว่าทั้งสามคนก็ยังยืนกรานที่จะทำตามคำสั่งและมีความตั้งตารอคอยเล็กน้อยยุทธวิธีของเฉินฝานมักจะแปลกประหลาด เกินกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้เสมอพวกเขามิได้เดือดดาลมิยอมทำตามเหมือนตอนที่สู้รบกับกองกำลังเมืองเตียนตูอีกแล้วตอนนี้มิว่าเฉินฝานจะสั่งให้ทำอันใดก็ล้วนยอมทำตาม ในใจคาดหวังว่าจะได้เจอยุทธวิธีที่แปลกใหม่อันใดอีก“เฉียงหง หลังที่กองกำลังของเจ้าออกเมืองไปแล้ว ให้อยู่ตรงนี้!” เฉินฝานใช้ปลายพู่กันจิ้มไปที่ภูเขาลูกเล็กบนถาดทราย เนินเขาลูกนั

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 965

    “กล่าวรายงานขอรับ!”นายกองเมืองลู่ตูพานอีเฟยกล่าวรายงานว่าตอนนี้กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนห่างจากเมืองลู่ตูมิถึงสามสิบลี้แล้วสำหรับทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ในระยะทางสามสิบลี้มิถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถมาถึงเมืองลู่ตูได้ทางเฉินฝานยังมิได้ออกคำสั่งใดๆทุกคนล้วนรออย่างกระวนกระวายใจ รวมถึงเหอจื่อหลินและเย่ว์หนูด้วยเฉินฝานขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึม จ้องถาดทรายด้านหน้าอย่างมิละสายตา“พี่จื่อหลิน!”จู่ ๆ เฉินฝานก็เงยหน้าขึ้นมา “เรียกกองกำลังลาดตระเวนห้าหมู่และนายกองกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูเข้ามาเถอะ!”หลังจากที่กองกำลังเหล่านั้นเข้ามา เฉินฝานอธิบายการรับมือสถานการณ์ตอนนี้ให้เหอจื่อหลินฟังคร่าว ๆตอนที่ได้ยินว่ากองกำลังเมืองหลู่ตูมีแปดแสนคน ห้ากองกำลังลาดตระเวนก็ตื่นตกใจควบสติไว้มิได้จำนวนแปดแสนคนเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มหาศาลก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่ามากที่สุดคงจะมิเกินสามแสน“สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว กองกำลังแคว้นหลู่แปดแสนคนจวนจะมาประชิดเมืองแล้ว พวกเจ้ามีความคิดเห็นอันใดหรือไม่? หรือมียุทธ์วิธีที่ดีอันใด? พูดออกมาให้หมด”ตอนที่เฉินฝานพูดเขายังคงจ้องมองถาดทราย และย้ายธงบน

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 964

    “ใต้เท้า ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”เหอจื่อหลินรีบก้มหน้าลง คำพูดของเฉินฝานเรียกสติเขากลับมาเป็นจริงอย่างที่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิสมควรจะกล่าววาจาบั่นทอนกำลังใจโชคดีที่ว่าตอนที่ให้พานอีเฟยมากล่าวรายงาน เฉินฝานก็ให้แม่ทัพกองกำลังลาดตระเวนคนอื่นออกไปด้วยในชายคา มีเพียงเฉินฝาน เหอจื่อหลิน เย่ว์หนูเย่ว์เจียวรวมกันสี่คน“นายท่าน!” เย่ว์หนูเดินรุดหน้าขึ้นมา “ตอนนี้กองกำลังหญิงมีทั้งหมดหนึ่งหมื่นสามพันคน ทุกคนล้วนมีความสามารถในการขว้างระเบิดมือ และครั้งนี้พวกเรามีระเบิดเหลือเฟือ ตอนนี้บ่าวสามารถนำกองกำลังหญิงออกไปนอกเมืองเพื่อขุดกับดักวางระเบิดสังหารพวกเขา”“ชายชาตรีอย่างข้ายังสู้เย่ว์หนูมิได้!”ในขณะที่เหอจื่อหลินตำหนิตนเอง ก็รู้สึกฮึกเหิมสุดขีด มิมีท่าทางห่อเหี่ยวเมื่อครู่แล้ว“เมื่อตอนที่กองกำลังหญิงกำลังเริ่มจุดระเบิด กองกำลังแคว้นหลู่จะลนลานทำอะไรมิถูก ข้าก็ใช้จังหวะนี้นำทัพกองกำลังลาดตระเวนหนึ่งหมื่นคนและกองกำลังรักษาเมืองลู่ตูห้าหมื่นคนมุ่งเข้าไปสังหารมิให้พวกเขาไหวตัวทัน”เหอจื่อหลินยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม อยากจะลงมือใจจะขาดเย่ว์หนูก็เช่นกันเป็นครั้งแรกที่นางได้นำทัพกองกำลังหญิงมา

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 963

    “ฝ่าบาท หยุดตีได้แล้ว!”“ฝ่าบาท ท่านก็จูบข้าเสียหน่อยสิ เช่นนี้เวลาที่ข้าอยู่ในสนามรบ จะได้มีฝ่าบาทไว้คอยเตือนใจมิให้อวดดีไปทั่ว ดูแลรักษาตนเองไว้ให้ดี”“ชายลามกไร้ยางอาย หมกมุ่นในเรื่องนั้นทุกวินาทีเลยหรือกระไร!”“โอ๊ย เจ็บๆ ฝ่าบาท ข้าผิดไปแล้ว หยุดตีเสียที!”ฉินเย่ว์เหมยที่ยิ่งคิดยิ่งโมโหไล่ทุบตีตั้งแต่ด้านล่างจนไปถึงบนรถม้า“ฝ่าบาท ถ้ายังตีอีก ประเดี๋ยวหน้าข้าปูดบวมจะมีหน้าไปเจอเหล่ากองกำลังลาดตระเวนได้อย่างไร...เฉินฝานที่กำลังร้องโอดครวญ จู่ ๆก็เงียบไป เขารู้สึกเพียงว่ามีปากอันอ่อนนุ่มละมุนมาประทับริมฝีปากเขาไว้ริมฝีปากที่มาประทับนั้นช่างหอมหวาน ทำให้เฉินฝานรู้สึกสดชื่นสุดขีดชวนให้อยากลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่าทางในการประทับริมฝีปากเงอะงะอย่างมาก มิใช่การจูบแม้แต่น้อยเฉินฝานยื่นมือออกไปคิดจะคว้าฉินเย่ว์เหมยมากอดเพื่อสอนวิธีการจูบให้กับนาง ปรากฏว่ามือของเขายังมิทันได้สัมผัสฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยก็ลุกขึ้นไปแล้ว วิชาตัวเบาของฉินเย่ว์เหมยยอดเยี่ยม เฉินฝานคว้าตัวนางไว้มิทัน“ถ้าเจ้ากล้ากลับมาด้วยร่างไร้วิญญาณ ข้าจะจัดการเจ้าให้สาสม!”เสียงเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยดังข

  • เขยอันดับหนึ่งของจักรพรรดิ   บทที่ 962

    สีหน้าของฉินเย่ว์เหมยกระอักกระอ่วนสุดขีดเฉินฝานกลับดีใจกับคำพูดของหงอิง “ได้ยินหรือไม่ กอดจูบเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”ใบหน้าเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยขึ้นสีทันที“หงอิง เจ้ามีนิสัยชอบพูดเหลวไหลเหมือนกับเหล่าหมัวมัวตั้งแต่เมื่อใดกัน ทำแผลเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ถ้าทำเสร็จแล้วเจ้าก็ออกไปเถอะ!”“ฝ่าบาท จวนจะเสร็จแล้วเพคะ!”หงอิงรีบก้มหน้าตั้งใจทำแผลให้เฉินฝานด้วยความรวดเร็วเมื่อครู่รู้สึกขัดหูขัดตาเกินไป จนลืมไปว่าฉินเย่ว์เหมยเป็นจักรพรรดินี นางเป็นขุนนางหลังจากที่หงอิงออกไปแล้ว ในรถม้าก็เหลือเพียงเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยเฉินฝานมิได้หยอกล้อฉินเย่ว์เหมย เอนตัวมองฉินเย่ว์เหมยโดยมิพูดอันใดดวงตาสุกสกาว คิ้วเรียวงาม ใบหน้ายลโฉมนางนั่งนิ่งสงบและโดดเดี่ยว ราวกับกล้วยไม้ที่อยู่กลางหุบเขาใบหน้าอันงดงามมีความกังวลปรากฏขึ้นจาง ๆในสงครามรบราฆ่าฟันมิเลือกหน้า นางกังวลความปลอดภัยของเฉินฝานหัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปมโดยตลอด เฉินฝานมองแล้วรู้สึกมิสบายใจ เขาจึงยื่นมือไปคลายคิ้วที่ขมวดของฉินเย่ว์เหมยออก“ มิต้องห่วงหรอก ข้าจะปลอดภัยแน่นอน”“ใครเป็นห่วงเจ้ากัน!”ฉินเย่ว์เหมยปากร้ายใจดีเหมือนดั่งเคย

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status