บทสนทนาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องรับรองอยู่ในการรับรู้ของเหยาอี้เหยา กระนั้นนางก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าผู้อาวุโสกับฉู่ซีเย่พูดเรื่องอันใดกันอยู่
ฉู่เซียนเซิงบอกว่าข้าไม่เข้าใจรึ? ไม่สิ นางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่พูดแน่นอน การนอนกับซื่อจื่อ ก็คือการร่วมเตียงนอนหลับด้วยกันมิใช่หรือ? หรือว่านางจะฟังผิดไปกันแน่ บางที อาจจะไม่ง่ายเช่นนั้นก็ได้ คิดได้อย่างนั้นนางจึงแนบหูฟังอย่างจดจ่อ จะได้ไม่ตีความอันใดผิด ระหว่างนี้นางก็คิดทบทวน เมื่อครู่ตอนผู้อาวุโสขอร้องให้นาง ฉู่ซีเย่ไม่ได้ปฏิเสธอันใด นี่แสดงว่าซื่อจื่อรับนางกลับไปแล้วใช่หรือไม่? แต่ในห้องไม่พูดอันใดแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นางรออยู่ประมาณครึ่งถ้วยชา ถึงได้ยินฉู่ซีเย่กล่าวลาผู้อาวุโสฉู่ “ข้างนอกอากาศเย็น ข้าจะให้จินเฟยไปส่งท่าน” เขาจะไปแล้วรึ? นางเล่า? เท้าของนางรวดเร็วกว่าสมองอยู่บ้าง เมื่อได้ยิน เส้นชีพจรเท้าก็รีบออกเดินไปก่อน แม้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างว่าคงต้องอยู่กับฉู่ซีเย่ แต่ผู้อาวุโสฉู่จะทิ้งนางได้อย่างไรกัน อย่างน้อยนางก็อยากจะให้เขาอยู่กับนางด้วย ระหว่างที่ต้องนอนหลับกับฉู่ซีเย่ แต่จะว่าไปนางก็ไม่ได้ถามผู้อาวุโสเลยว่าสรุปแล้วต้องนอนด้วยกันกี่ครั้งแน่ “ฉู่เซียนเซิง ท่านจะ…โอ๊ย!” เหยาอี้เหยารีบออกมาจากที่ซ่อนเกินไป ไม่ทันระวังจนชนเข้ากับเสี่ยวเอ้อร์ของร้าน กาน้ำร้อนแตกกระจายเกลื้อนพื้น ส่วนนางล้มไปชนกับแจกันตั้งพื้น ดีที่ไม่ทำแตกไปอีกอัน “คุณหนูท่านนี้ เป็นอันใดหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์รีบขอโทษ “ข้าน้อยหามีตาไม่ ชนท่านแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ขอรับ!” “ไม่ๆ ท่านไม่ผิด ข้าต่างหากที่ไม่ระวัง ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ขอรับ ซื่อจื่อ ท่านผู้อาวุโส คุณหนู ข้าน้อยขออภัยจริงๆ” ฉู่ซีเย่พูดเรียบๆ “เก็บกวาดเถิด ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเสียหาย” “ใช่แล้ว ท่านไม่ผิด ข้าเสียอีกที่ผิด ขอโทษท่านจากใจด้วย คราวหน้าข้าจะระมัดระวังให้มาก” เหยาอี้เหยารีบลุกขึ้นมาประคองฝ่ายเสี่ยวเอ้อร์ที่คุกเข่าจนหน้าแนบพื้น ก่อนจะหันไปมองทางด้านผู้อาวุโสและซื่อจื่อ เมื่อครู่ตอนเกิดเรื่อง ทั้งสองอยู่ใกล้พอสมควร โดยเฉพาะฉู่ซีเย่ เศษกาน้ำชาบางส่วนกระเด็นไปทางฉู่ซีเย่ บาดนิ้วเขาจนเลือดอาบ “ซื่อจื่อ นิ้วท่าน…” ใบหน้าฉู่ซีเย่เรียบเฉยใช้ผ้าพันไว้ “ไม่เป็นอะไร” “ข้าน้อยซุ่มซ่าม ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาอยากจะทุ่มตัวลงไปคุกเข่าอีกคน แล้วหยิกแขนตัวเองสักหลายๆ หน ร้อยวันพันปีนางไม่เคยซุ่มซ่าม เหตุใดต้องมาซุ่มซ่ามยามอยู่ต่อหน้าซื่อจื่อเสมอ ทั้งยังทำให้ผู้มีพระคุณอย่างเขาต้องเจ็บตัวอีก “เรื่องที่ท่านขอวันนี้กะทันหัน ข้าไม่ได้เตรียมที่ทางไว้ให้นาง นางเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเช่นกัน มิสู้เป็นวันอื่น” ฉู่ซวิ่นเห็นด้วย “นางคงต้องจัดการเรื่องส่วนตัวหลายวันเช่นกัน สามวันให้หลังข้าจะให้นางมาหาเจ้า” ฉู่ซีเย่ตอบรับ ผู้อาวุโสฉู่จึงเดินห่างไปก่อน ครั้นเหยาอี้เหยาเห็นที่พึ่งหนึ่งเดียวกำลังเดินห่างไปจึงรีบกล่าวอำลาซื่อจื่อ “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเป็นหนี้บุญคุณท่านมากมายเกินคณานับ วันหน้าจะต้องโขกศีรษะขอบคุณท่านสักคำ แต่วันนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะ” “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” ใบหน้าซึ่งเมื่อหกปีก่อนยังมีความอ่อนเยาว์อยู่บ้าง บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความแข็งกร้าวห้าวหาญของชายหนุ่มเต็มตัว แม้จะรู้สึกว่าเขาผอมลงกว่าที่ควร แต่ไม่อาจทำลายบุคลิกสูงส่งหยิ่งยโสของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ฉู่ซีเย่ยังคงเป็นคนที่โดดเด่น เหนือกว่าคนทั้งหมดที่นางเคยพบพาน “ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” นางเผลอก้าวถอยหนึ่งก้าวด้วยความเกร็ง เว้นระยะเวลาห่างทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ หัวคิ้วของฉู่ซีเย่ขยับ ภายในส่วนลึกไม่พึงใจที่นางถอยห่าง “ซื่อจื่อ เชิญท่านพูดธุระมาได้เลยเจ้าค่ะ” นางนอบน้อมยิ่ง สายตามองเขาประดุจเทพเซียน มีความเคารพนับถือ แต่ก็ไม่ใคร่อยากเข้าใกล้มากนัก “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน” ฉู่ซีเย่ส่งสัญญาณมือให้คนถอยออกไป “เจ้าค่ะ” “เมื่อครู่เจ้าคงได้ยินแล้วว่าข้ากับท่านลุงสนทนาอันใดกัน คุณหนูเหยาที่ข้าช่วยเจ้ามาตลอด เพราะข้ายึดถือสัจจะยิ่งกว่าสิ่งใด แม้หกปีก่อนเจ้าจะหักหลังข้า แต่ข้าพูดชัดเจนว่าสักวันย่อมต้องหาหนทางรักษาเจ้าให้ได้ ข้าจึงทำ แต่ว่าวิธีรักษาที่ข้าและท่านลุงพบยังคลุมเครือ ไม่อาจบอกได้ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว” ฉู่ซีเย่เว้นช่วง พักหนึ่งถึงค่อยพูดต่อ “อีกทั้งเจ้าเหมือนจะไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าการนอนหลับกับข้าหมายถึงอันใด ข้าจึงจำเป็นต้องบอกเจ้า ว่ามันมีรายละเอียดมากกว่านั้น” เหยาอี้เหยาตั้งใจฟังยิ่ง นางไม่กะพริบตาเลยด้วย สมองนางคบคิดตามไม่หยุดหย่อน “ซื่อจื่อ การนอนหลับกับท่านไม่ใช่แค่การนอนหลับหรือเจ้าคะ” “ไม่ ต้องทำมากกว่านั้น” “เช่นอะไรเจ้าคะ” ต้องทำมากกว่านอนหรือ… “ใช่ เจ้ารับได้หรือ” “เหตุใดจะรับไม่ได้เจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ พร้อมดึงแขนเสื้อขึ้น “ซื่อจื่อ ท่านวางใจได้เลย หลายปีมานี้ข้าอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่ว่าจะซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว ข้าเชี่ยวชาญที่หนึ่ง รับรองว่าท่านจะไม่ต้องลำบากกระดิกนิ้วทำสิ่งใดทั้งสิ้น” ฉู่ซีเย่เงียบ ปกตินางค่อนข้างเฉลียวฉลาด แต่เรื่องนี้โง่เขลากว่าที่ควร “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านจะสื่อทุกอย่างที่ผ่านมาข้าน้อยรบกวนท่านมามาก จะหน้าด้านขออาศัยท่านนอนอีกได้อย่างไร ข้าน้อยพร้อมเป็นบ่าวรับใช้ให้ท่าน ถ้าท่านต้องการให้ข้าเป็นวัวเป็นควายให้ ข้าก็จะไม่ปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ” “คุณหนูเหยา เจ้าฟังข้าให้ดี แท้จริงแล้วการนอนหลับกับข้า คือเจ้าต้อง…” “อี้เหยา?!” ฉู่ซีเย่พูดไม่จบประโยคดี ซ่างเจวี๋ยที่ตามเข็มทิศมาพร้อมกงจิ้งและลู่หมิงก็เอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจ เนื่องจากนางไม่เหมือนเมื่อก่อน ทั้งยังโตขึ้นมางดงามเป็นบุปผาน้อย จนเมื่อเหยาอี้เหยาส่งเสียงออกมา ถึงได้มั่นใจ “แม่ทัพซ่าง! แม่ทัพกง! ราชทูตลู่!” “อี้เหยา!!! เป็นเจ้า! สวรรค์! เจ้าไปอยู่ที่ใดมา” “ข้าอยู่นอกด่าน” นางตอบ “นอกด่าน!” “นอกด่าน!” กงจิ้งไม่พูด แต่หันหน้าไปทางฉู่ซีเย่ พวกเขาคิดไม่ผิด เป็นฉู่ซีเย่ที่ลักพาตัวนางไป ไม่รู้หลายปีมานี้นางมีชีวิตอย่างไรบ้าง นอกด่านป่าเถื่อนโหดร้าย เหยาอี้เหยาคงลำบากยากเข็ญยิ่ง “ไม่มีวันไหนที่ข้าไม่หาเจ้า อี้เหยาน้อย มาให้ข้ากอดสักทีเถิด” นางจมลงไปในอกของซ่างเจวี๋ย เท่านั้นเอง ฉู่ซีเย่ดึงนางให้หลุดออก พริบตาเดียวถูกผลักให้ยืนอยู่ที่หน้าต่างแล้ว “ซื่อจื่อ ท่านทำอะไรของท่าน” ซ่างเจวี๋ยชังน้ำหน้าฉู่ซีเย่ยิ่ง ถ้าทำได้อยากจะสู้กับเขาอย่างเปิดเผย ถึงตายก็ขอสักครั้ง “แม่ทัพซ่าง ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางรีบดึงมือเขาไว้ เกรงว่าปรี่ไปหาซื่อจื่อ “อี้เหยา เจ้าบอกพวกเรามาเถิด เป็นซื่อจื่อรังแกเจ้าใช่หรือไม่ เขาทารุณเจ้าอย่างไร บอกมาเถิด พวกเราจะทวงความยุติธรรมให้เจ้า” กงจิ้งพูดสั้นๆ “ซ่างเจวี๋ย ระวังคำพูดหน่อย” “ข้าพูดอันใดผิด ซื่อจื่อท่านอาจจะคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่แผ่นดินนี้มีคุณธรรม ข้าจะต้องให้คนอย่างท่านชดใช้!” ฉู่ซีเย่ไม่สนใจฟัง เขาดูเกียจคร้านยิ่ง “ไม่ใช่นะแม่ทัพซ่าง พวกท่านอย่างเข้าใจซื่อจื่อผิด ที่จริงแล้ว ข้าเป็นหนี้บุญคุณเขามากต่างหาก” เหยาอี้เหยาต้องแก้ไข “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” เหยาอี้เหยาพูดสรุป “พวกท่านก็รู้ว่าข้าถูกพิษ หกปีก่อนหากไม่ได้ซื่อจื่อช่วยไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว อีกอย่างทุกวันนี้ที่ยังมีลมหายใจ เพราะซื่อจื่อปรุงยาระงับพิษให้” ลู่หมิงที่รับรู้เรื่องราวมาตลอดเอ่ยเสริม “ยาระงับพิษมีทานได้จำกัด ตลอดหกปีมานี้เจ้าได้ยาไม่เคยขาด แสดงว่าซื่อจื่อเลี้ยงแมลงคุณไสยมาตลอด” ขนาดนี้แล้ว ยังจะกล่าวหาได้อีกหรือว่าฉู่ซีเย่รังแกนาง ใครไม่รู้บ้างว่าแมลงคุณไสยเลี้ยงยากเพียงใด “ซื่อจื่อ เมื่อครู่ข้าปากสุนัขไปหน่อย ขออภัยด้วย หวังว่าท่านจะไม่ถือสา” ซ่างเจวี๋ยกล่าว แต่ในใจยังเคืองอยู่ “คนอย่างข้าไหนเลยจะถือสาสุนัข” ซ่างเจวี๋ยขบฟัน ฉู่ซีเย่เป็นคนน่าชิงชัง! “คุณหนูเหยา สามวันให้หลังพบกันที่จวนสกุลฉู่” “เจ้าค่ะ” นางรีบขานรับ ก่อนที่ฉู่ซีเย่จะหันกายจากไป “ข้าน้อยจะไปตรงเวลาแน่เจ้าค่ะ ขอให้ซื่อจื่อเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ” “อี้เหยา เรื่องอันใดแน่ เจ้าจะกลับไปอยู่จวนสกุลฉู่รึ” “เจ้าค่ะ” “ไม่เห็นจำเป็น เจ้ามาอยู่กับพวกเราสิ” เหยาอี้เหยาปฏิเสธอย่างมีเหตุผล นางไม่ลืมที่ผู้อาวุโสฉู่กำชับเรื่องแผนการรักษาว่าห้ามแพร่งพรายออกไป นางจะเสียหาย “ความจริงข้าน้อยก็อยากอยู่กับพวกท่าน แต่ว่าหลายปีมานี้ซื่อจื่อลำบากเพื่อข้ามามาก ข้าน้อยเลยตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณของเขาสักหน่อย” “ตอบแทนอย่างไร” “ยังไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยมีทักษะหลายอย่าง สามารถรับมือได้แน่นอนเจ้าค่ะ” ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ ขอแค่ให้หายดี ต่อให้ซื่อจื่อจะใช้งานนางเยี่ยงทาส นางก็ยินดี เลยยามจื่อไปแล้วเมื่อจินเฟยกลับมาหาฉู่ซีเย่เพื่อรายงานว่าส่งท่านลุงและเหยาอี้เหยากลับถึงชายแดนเขตนอกด่านอย่างปลอดภัย “ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนเถิด” “ขอรับซื่อจื่อ” จินเฟยคารวะแล้วถอยกายห่างออกไป บ่าวรับใช้นอกเรือนจึงมาเรียนว่าเจ้าเมืองฉู่กำลังนั่งรถม้ามาที่จวน อีกไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็จะถึงห้องรับรอง “ข้ารู้แล้ว ถ้าท่านพี่มาถึง ค่อยมาบอกข้าอีกที” ฉู่ซีเย่ลุกจากอ่างอาบน้ำ ไอควันระเหยปกคลุมจนมองดูเลือนราง มือเรียวละเอียดรวบผ้าลงมาเช็ดกาย เผยให้เห็นข้อนิ้วและบาดแผลซึ่งยังคงสดใหม่ บาดแผลไม่ได้ลึกมาก ฉู่ซีเย่จึงไม่ใส่ใจ ครั้นอาบน้ำเปลี่ยนชุดลำลอง เขาก็ออกไปที่ห้องหนังสือ ระยะนี้เขายุ่งอยู่กับงานเทศกาลฤดูหนาว ทำให้ไม่ได้แตะต้องงานทดลองที่ทำค้างไว้ ฉู่ซีเย่เปิดตำราไปที่หน้าสิบ บทที่สาม ตำราว่าด้วยพลังหยินหยางและ อู่สิง ธาตุทั้งห้าของธรรมชาติ อันประกอบด้วย ดิน น้ำ ไฟ โลหะ ไม้ เขาพยายามทำความเข้าใจในเรื่องราวของพลังห้าธาตุเพื่อปรับสมดุลร่างกาย แทนที่การใช้ยาและการแพทย์ เดิมทีในตัวคนจะมีพลังพื้นฐานคือหยินและหยาง พลังหยินเป็นพลังตัวแทนของสตรี พลังหยางเป็นตัวแทนของบุรุษ ทว่านอกจากนี้แล้ว พลังหยินหยาง ยังเป็นตัวแทนสิ่งอื่นๆ ในหลักการแพทย์แล้ว ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ คือเรื่องงมงาย ทว่าเรื่องงมงายพวกนี้สอดคล้องและดำรงอยู่มาแต่ช้านาน ในอดีตเคยมีการทะลวงธาตุและรักษาโรคธาตุไฟแทรกด้วยการร่วมเสพสังวาสระหว่างชายหญิง แม้จะเป็นตำนานปรัมปรา แต่ตลอดหกปีมานี้ ฉู่ซีเย่สิ้นหนทางในการรักษานางด้วยการแพทย์ จะมีก็เพียงแต่วิธีนี้เท่านั้น ฉู่ซีเย่ศึกษาการแพทย์สรีรวิทยา มาประกอบกับเรื่องอู่สิง ว่าด้วยพิษแมลงคุณไสยเป็นพิษที่เล่นแง่กับธาตุในร่างกาย รู้ดีว่าในสตรีไม่มีหยาง พร่องพลัง จึงเล่นงานจุดนี้ เขาจึงคิดว่าการเพิ่มพลังหยางในตัวนาง อาจจะขับแมลงคุณไสยได้ เรื่องพวกนี้อ่านอย่างเดียวไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง เขาจึงหาสัตว์เลี้ยงมาทำการทดสอบความคิดของเขาว่าถูกต้องมากน้อยเพียงใด โดยทำการทดสอบ เพื่อดูผลลัพธ์ ไม่เช่นนี้หากใช้วิธีการมั่วซั่วโดยไม่เคยทดลองกับเหยาอี้เหยา นางอาจจะตายได้ “ขอบคุณในความเสียสละของเจ้า” ฉู่ซีเย่เลี้ยงพิษแมลงคุณไสยไว้ในตัวกระต่ายเพศเมีย โดยปกติแล้วสัตว์พวกนี้จะตายเมื่อได้รับพิษสามวัน ฉู่ซีเย่จึงเลี้ยงด้วยน้ำนม พอโตหน่อยก็เลี้ยงด้วยน้ำค้างบริสุทธิ์และหญ้าจากเทือกเขา เขาถ่ายพลังหยางให้ทุกวันเพื่อยื้อชีวิต ดูว่าวิธีนี้ได้ผลหรือไม่ ทว่าผลลัพธ์ไม่ดีนัก การถ่ายพลังหยางที่ไม่ตรงสายพันธุ์ทำให้กระต่ายตาย เขาจึงเสาะหากระต่ายเพศผู้แปดเดือน จับทั้งสองตัวมาผสมพันธุ์กัน วันนี้เขาจะทำการทดลองนี้ ฉู่ซีเย่จับกระต่ายทั้งสองใส่กรง เขาจุดกำยานให้กระต่ายติดสัด ไม่ช้ากระต่ายเพศผู้ก็เริ่มเกยตัวเมีย อย่างเป็นธรรมชาติ จนเสร็จสิ้นกระบวนการ เขาจึงแยกตัวผู้ออกมา เวลาผ่านไปอึดใจเดียวสั้นๆ กระต่ายตัวเมียรอด แต่ตัวผู้ตายอย่างช้าๆ “ซื่อจื่อ เจ้าเมืองฉู่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” “อืม” ฉู่ซีเย่ตอบ มองกระต่ายที่ตายแล้วเงียบๆเมื่อถึงนอกด่าน เหยาอี้เหยารีบจัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ของตนเอง รวมทั้งขอให้ผู้ดูแลจิ่ง จากกรมสำรวจสำมโนครัวตรอกซ้ายโอนย้ายชื่อของนางกลับเข้าเมือง ตามที่ฉู่ซีเย่ได้อนุญาตเป็นรายลักษณ์อักษร เหยาอี้เหยาบอกลาฟั่นฟั่นแล้วจึงเดินทางไปอยู่กับเมียนเมี่ยน จี๋เฉวียน และอามู่อีกหนึ่งวัน เมื่อได้ร่ำลาทุกคนแล้ว นางจึงเดินทางเข้าเมือง โดยมีผู้อาวุโสฉู่ไปส่งที่ประตูเมือง ใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดสามวัน “ฉู่เซียนเซิง ข้าน้อยขออนุญาตจอดรถม้าตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของท่านตา นางจึงตั้งใจนำสุรามาเซ่นไหว้ แต่นางมีพลังหยินมาก ทำให้เข้าใกล้สุสานซึ่งมีแต่พลังหยินของศพไร้ญาติไม่ได้ ตลอดหกปีมานี้ จึงไม่ได้มาเลย “ข้าน้อยไม่เข้าใกล้หรอกเจ้าค่ะ แค่อยากอยู่ตรงนี้สักครู่” “จอด” ฉู่ซวิ่นส่งเสียงขึ้นโดยที่ไม่ลืมตา “ใช้เวลาตามสบายเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลงจากรถม้า เหนือเนินเขาอันขาวโพลนมีกิ่งก้านต้นไม้แห้งแล้งยืนต้นอย่างเดียวดาย ส่วนอีกฟากมีที่รกร้างสำหรับฝังศพอนาถาและนักโทษ… สายลมหนาวพัดโชยจนเสื้อคลุมปลิว เตาอุ่นในมือดับลง กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังเดินต่อไป จนแรงต้านของพล
เมืองหลวง ต้าหย่งปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุเจ็ดสิบปีทางด้านบุตรชายคนโตอย่างเหยาซือหม่าจึงตั้งใจจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้มารดา แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โต แต่ก็มีหน้าตาในระดับหนึ่งหลายปีมานี้สกุลเหยาได้รับการพระราชทานตำแหน่งจากฝ่าบาทจนมีหน้ามีตาขึ้น เช่น หลานสาวคนที่ห้า ได้เป็นถึงท่านหญิงแห่งต้าหย่ง หรือหลานชายคนรองซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพจากผลงานการปราบจลาจลที่ท่าเรือสินค้า และคุณหนูสามยังได้ออกเรือนไปกับคุณชายกง ทำให้เวลานี้ สกุลเหยา นับว่าสามารถกู้ชื่อเสียงในอดีตได้บ้างบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมีแขกระดับสูง ห้าสกุลใหญ่แห่งเจียงหนานยังเดินทางมาร่วมงานด้วย พร้อมทั้งมีการทาบทามเพื่อเจรจาเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ที่ยังไม่ออกเรือนคุณหนูสี่ เหยาหลิงหว่าน อายุสิบหกปี เป็นสาวงามผุดผาดที่สะพรั่งพร้อม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชื่อเสียงความงดงามของนางเลื่องลือยิ่ง อีกทั้งนางยังบรรเลงเพลงพิณได้ไร้ที่ติ ความสามารถยิ่งเสริมความงามของนางให้เจิดจรัสฮูหยินผู้เฒ่าจึงเชิดหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเวลาคนเอ่ยชมหลานสาวคนนี้ของนางไหนจะมีคุณชายรองอย่างแม่ทัพเหยาอี้ร่างอีก คืนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้ม
เลยยามเว่ยแล้วเมื่อฉู่ซีเย่กลับมาที่จวนด้วยรถม้าเสียงฝีเท้าของบ่าวรับใช้ทำนางตื่น ทุกคนในจวนเริ่มงานเพื่อรับรองฉู่ซีเย่อย่างเป็นระบบและชำนาญการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง“เขากลับมาแล้ว”เหยาอี้เหยาหยิกเนื้อตัวเองให้ตื่นเต็มตา จัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พร้อมแล้วรีบถือโคมไฟออกมารอเขาที่ประตูด้านนอกจวน ระหว่างนั้นนางปั้นหน้ายิ้มแย้ม จัดระเบียบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน ไม่นานฉู่ซีเย่ก็เดินผ่านเงาพระจันทร์มาให้เห็น กลิ่นหอมของสมุนไพรและสุราโชยมากับสายลมไอความแข็งกร้าวที่อาบไล้ตัวเขาพาลให้นางรู้สึกหวั่นกลัวอยู่บ้าง“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาเก็บอาการสีหน้าไม่อยู่ ราวกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาเมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน แต่ในนั้นก็เจือความกลัวไว้ชั้นหนึ่ง“อืม” ฉู่ซีเย่รับรู้ถึงนางก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร ในมือเขาถือขวดสุรา พอเห็นนางก็โยนให้ถือโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหยาอี้เหยาผวารับขวดสุราจนตัวเซ“ห้ามทำตก ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าชดใช้”“เจ้าค่ะ” นางกอดขวดสุราแนบอกในทันที สุราชนิดนี้แพงมาก ขืนตกไปคงชดใช้ไม่ไหว“เจ้ามาทำอันใดตรงนี้”“ข้าน้อยมารอท่าน”“รอ? ท
เสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนร้องบอกให้นางตื่นได้แล้ว เหยาอี้เหยาไม่อยากตื่น นางจึงพลิกตัวไปด้านข้างแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว ทว่าสาวรับใช้ได้เปิดประตูเข้ามาดึงนางลุกขึ้นจากเตียง‘ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ’‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย’ เหยาอี้เหยาเอนตัวนอนลงอีกรอบอย่างง่วงงุน‘ไม่ได้นะเจ้าค่ะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์’ สาวรับใช้ดันหลังเหยาอี้เหยาขึ้นจากเตียง พวกนางหิ้วปีกนางออกไปยังนอกเรือน‘เดี๋ยวก่อน นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด’ เหยาอี้เหยาเอ่ยถาม พวกนางส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะผลักนางเข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเรือนของฉู่ซีเย่ไม่มีผิด‘ที่นี่คือ…’‘คุณหนู ได้เวลานอนกับซื่อจื่อเป็นคืนแรกแล้วเจ้าค่ะ’ ทั้งสองปิดประตูใส่นางที่กำลังยืนมึนงง สภาพแวดล้อมเหมือนหมุนได้ พริบตาเดียวนางก็มาอยู่ในห้องนอนแล้ว‘ไม่นะ ให้ข้าออกไป’ เหยาอี้เหยารีบพุ่งตัวไปที่ประตู ทว่าไม่สามารถเปิดได้ นางจึงงัดอย่างแรง ใช้สองมือระดมทุบเพื่อให้ประตูเปิด ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตสายหนึ่ง ครั้นนางหันมามอง ก็เห็นฉู่ซีเย่ที่ยืนอยู่ห่างจากนาง
ประตูปิดลง ลมหนาวด้านนอกถูกประตูต้านเอาไว้ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ตามใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนางเลย” เจ้าเมืองฉู่นั่งลงข้างเตาผิง มือหยิบถ่านเข้าเตาผิง “นางจะเสียใจได้”“ท่านเอ็นดูนางมากหรือ” ฉู่ซีเย่หยักไหล่ไม่ใส่ใจ จิบสุราอุ่นของอำเภอหงชุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด“เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” หาไม่แล้ว คนอย่างฉู่ซีเย่จะมอบเสื้อคลุมกันหนาวขนมิงค์ให้นางหรือ แม้จะใช้วิธีซับซ้อนอย่างการให้เขามอบต่อให้กงจิ้งแต่ก็เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด เสื้อตัวนี้จะต้องกลับมาหานางแน่ไม่ใช่หรือฉู่ซีเย่เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไม่เช้าแล้ว ไปวัดกันเถอะท่านพี่”“จุดประสงค์คือไปวัดแน่หรือ”“ย่อมไม่ใช่”“วัดนั้นมีปัญหา”ฉู่ซีเย่ตอบ “ข้าหวังว่าจะไม่มี”เหยาอี้เหยาถูกฉู่ซีเย่ไล่ออกมาจากห้องโถงด้วยความเย็นชา นางจึงต้องมายืนหนาวรออยู่ด้านนอกตรงลานจอดรถม้า ยังดีที่คนของเจ้าเมืองฉู่นำเตาอุ่นมาให้นางกอด อีกทั้งเสื้อคลุมขนมิงค์ยังกันลมได้ดี นางจึงนั่งรอได้ไม่เดือดร้อนกับความหนาวแต่รอไปรอมานางก็หิว ความจริงเวลานี้นางยังไม่ทานอาหารเช้าหรอก ทว่าเมื่อวานนางทานข้าวเย็นเสียที่ไหน ตอนนี้จมูกได้กลิ่นขนมแป้งเคลือบน้ำผึ้ง น้ำย่อยใน
เหยาอี้เหยากลับมาที่จวนกับจินเฟยก่อนเพื่อรักษาจางลี่ท่านหมอให้ความเห็นว่าบาดแผลตรงศีรษะของจางลี่สาหัสยิ่ง อีกทั้งนางยังเสียเลือดมากจนร่างกายช็อก ไม่มีวิธีการเพื่อยื้อชีวิตนางได้แล้ว ท่านหมอจึงออกมาบอกกับเหยาอี้เหยาว่าจางลี่คงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ หากมีเรื่องใดก็ให้นางเข้าไปพูดตอนนี้เสียเหยาอี้เหยาจึงเข้าไปหาจางลี่ ในชั่วขณะหนึ่งนางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงขณะนี้ คือจางลี่หลายวันก่อนนางยังสบายดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้วใครกันที่ทารุณกับนางขนาดนี้“หนาวหรือไม่” นางหยิบที่คีบเพื่อส่งถ่านเข้าไปในเตา ให้ห้องพักรักษาตัวอันเย็นจัดได้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง“คุณหนูเหยา…ท่านชิงชังข้าบ้างหรือไม่” สายตาจางลี่อยู่ที่นาง เคลือบทับไว้ด้วยความรู้สึกผิดชั้นหนึ่ง“ไม่เลย แค่โกรธนิดหน่อย” เหยาอี้เหยานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปซับน้ำตาให้จางลี่อย่างอ่อนโยน“ข้าน้อยผิดต่อท่าน…” ความทรงจำเลวร้ายที่ตนทำกับนาง ไหลวนกลับมาเหมือนกระแสน้ำ น้ำตาจึงไหลออกมามากกว่าเดิม “ข้าน้อยไม่เคยดีกับท่านเลย แต่ท่านดีกับข้าเสมอ…”“ข้าอยากดีกับเจ้าให้มากกว่านี้” เหยาอี้เหยาจับมือนาง ยิ่งสัมผัสได้ถึงชีพจรอันเ
พิธีศพของจางลี่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเหยาอี้เหยาสวมชุดป่านสีขาว ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพจางลี่ รอบข้างมีคณะทูตจากต้าหย่ง รวมทั้งจิ่งเถียนและพ่อบ้านซุนประจำสกุลฉู่มาร่วมงาน เนื่องจากจางลี่เป็นลูกกำพร้า ไม่มีครอบครัวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นางจึงขอให้ทางการอนุญาตให้ฝั่งร่างของจางลี่ในสุสานชาวเมืองโจวอี้ภายในวันนั้นเนื่องจากอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซีเย่ คนทั้งเมืองจะจัดงานรื่นเริงงดเว้นงานสีดำ ดังนั้นนางจึงต้องรีบฝั่งจางลี่ก่อนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินกลับจวนสกุลฉู่พร้อมกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยและลู่หมิง ส่วนพ่อบ้านซุนและจิ่งเถียนตามอยู่ข้างหลังไกลๆเหยาอี้เหยาเร่งฝีเท้าเพื่อเดินข้างกงจิ้ง นางมีเรื่องจะพูดกับเขา“แม่ทัพกง ท่านรู้จักคนที่ชื่อฟู่เจิ้งชิวมากแค่ไหน” ในอดีตกงจิ้งเคยสังกัดกองทหารของท่านตา อีกทั้งเขายังเป็นคนของราชวงศ์ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้เรื่องฟู่เจิ้งชิวมากกว่านางแน่“รู้จักเพียงผิวเผิน ไม่เคยพบหน้าเขา” เรื่องเล่าของฟู่เจิ้งชิวนั้นเขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง“ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังได้หรือไม่”“อืม ได้ยินว่าฟู่เจิ้งชิวเป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากศา
“อื้อ! ปล่อยข้า” เหยาอี้เหยาประท้วง แต่ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านต่อเรี่ยวแรงของนาง ยิ่งเมื่อพบว่าปากนางหวานล้ำจึงอยากชิมให้มากขึ้น หนทางที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ยิ่งน้อยลง ทว่าร่างกายของนางสั่นเทายิ่งจุมพิตของฉู่ซีเย่เนิ่นนานและทรมานนางอย่างยิ่ง เรียวปากบางถูกเขาดูดดึงจนบวมช้ำ ข้อมือบางถูกกุมจนขึ้นรอยนิ้วสีแดง ในสถานการณ์ที่นางต่อต้านไม่ได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าวเวลานั้นฉู่ซีเย่มองเห็นหยาดน้ำตาชุ่มขนตางอนยาวก็คิดจะหยุด...แต่ไม่ได้หยุดทันทีเพราะเขาแค่คิดที่จะหยุดเท่านั้น“ข้าร้อนยิ่ง” ฉู่ซีเย่ถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากบางอย่างอ้อยอิ่ง นิ้วมือเรียวที่ราวกับไฟเกลี่ยไล่ปอยผมให้พ้นกรอบหน้า จมูกที่แดงจัดเพราะความหนาวทำให้นางยิ่งน่าทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือจนเขาปวดใจที่เผลอลงมือหนักเมื่อครู่“ซื่อจื่อ...” เหยาอี้เหยาเบือนหน้าหนีริมฝีปากร้อนจัดของเขาเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าปอด แผ่นหลังของนางติดกับขอบบ่อ สองมือที่พึ่งเป็นอิสระดันแผ่นอกที่แข็งดั่งกับก้อนหิน อีกทั้งยังร้อนลวกมือจนนางไม่กล้าแตะต้องมาก“กลัวข้าหรือ...”จมูกโด่งยังคงคลอเคลียแก้มนางไม่ห่าง พร้อมกอดรัดนางไว้อย่างแนบชิด เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายตนเอง
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม