พิธีศพของจางลี่จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
เหยาอี้เหยาสวมชุดป่านสีขาว ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพจางลี่ รอบข้างมีคณะทูตจากต้าหย่ง รวมทั้งจิ่งเถียนและพ่อบ้านซุนประจำสกุลฉู่มาร่วมงาน เนื่องจากจางลี่เป็นลูกกำพร้า ไม่มีครอบครัวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นางจึงขอให้ทางการอนุญาตให้ฝั่งร่างของจางลี่ในสุสานชาวเมืองโจวอี้ภายในวันนั้น เนื่องจากอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซีเย่ คนทั้งเมืองจะจัดงานรื่นเริงงดเว้นงานสีดำ ดังนั้นนางจึงต้องรีบฝั่งจางลี่ก่อน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินกลับจวนสกุลฉู่พร้อมกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยและลู่หมิง ส่วนพ่อบ้านซุนและจิ่งเถียนตามอยู่ข้างหลังไกลๆ เหยาอี้เหยาเร่งฝีเท้าเพื่อเดินข้างกงจิ้ง นางมีเรื่องจะพูดกับเขา “แม่ทัพกง ท่านรู้จักคนที่ชื่อฟู่เจิ้งชิวมากแค่ไหน” ในอดีตกงจิ้งเคยสังกัดกองทหารของท่านตา อีกทั้งเขายังเป็นคนของราชวงศ์ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้เรื่องฟู่เจิ้งชิวมากกว่านางแน่ “รู้จักเพียงผิวเผิน ไม่เคยพบหน้าเขา” เรื่องเล่าของฟู่เจิ้งชิวนั้นเขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง “ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังได้หรือไม่” “อืม ได้ยินว่าฟู่เจิ้งชิวเป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากศาลเจ้าเมืองหยงหยาง ครั้นเติบโตขึ้นได้เดินทางเข้ามาในเมืองโจวอี้ สมัครเป็นทหารตระเวนชายแดนของรัฐหลู่ ว่ากันว่าปีนั้นเขาร่วมก่อกบฏกับแม่ทัพหลิน สังหารอดีตเจ้าเมืองฉู่” “ข้าไม่เชื่อว่าท่านตาจะก่อกบฏ รวมทั้งไม่เชื่อว่าฟู่เจิ้งชิวจะทำงานให้ท่านตา” เหยาอี้เหยาได้สืบหาข้อมูลที่พอจะหาได้ของเรื่องราวในปีนั้นแล้ว แต่ไม่มีรายชื่อของฟู่เจิ้งชิว “ว่าแต่เหตุใดในบันทึกนักโทษกบฏไม่มีรายชื่อของเขา อีกทั้งยังลอยนวลมาจนถึงวันนี้” “เพราะเขาใช้ชื่อปลอม” กงจิ้งเอ่ยต่อ หลังจากได้ยินเรื่องที่วัดชิงเฉิน เขาก็ได้สืบหาข้อมูลมาบ้าง ด้วยความที่เขามีฐานะเป็นถึงแม่ทัพ จึงมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลต่างๆ มากกว่านาง “ฟู่เจิ้งชิวใช้ชื่อเดิมของตนเองเพื่อซ่อนตัว หากเจ้าได้เคยสืบหาข้อมูลมาบ้าง คงจำได้ว่ามีคนชื่อ หู่เหิง เป็นหนึ่งในนักโทษกบฏ” “มีคนชื่อหู่เหิง” เหยาอี้เหยาพยักหน้า มีคนชื่อหู่เหิงเป็นหนึ่งในนักโทษกบฏที่ยังไม่ถูกจับจริงๆ ซึ่งเท่านี้ก็น่าจะพอคาดเดาได้บ้างแล้วว่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อนมีเงื่อนงำมากเพียงใด ลองคิดดูว่าทหารตระเวนชายแดนคนหนึ่งสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองโจวอี้มานานเพียงนี้โดยไม่ถูกจับกุมได้อย่างไร เขามีคนคอยให้ความช่วยเหลือ และคนผู้นั้น มีอำนาจมากพอสมควร เหยาอี้เหยาคิดไม่ตกว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังฟู่เจิ้งชิว ดังนั้นจึงได้แต่ต้องสืบสาวราวเรื่องให้ชัดเจนด้วยตัวเอง “ท่านทราบหรือไม่ว่าฟู่เจิ้งชิวถูกคุมขังอยู่ที่ใด” กงจิ้งไม่ปิดบัง “จวนเจ้าเมืองฉู่ แต่ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไป” “ข้าน้อยมีเรื่องอยากสอบถามเขา จำเป็นต้องไป” หากนางสามารถหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของท่านตาเมื่อเกือบสิบปีก่อนได้ ท่านตาจะได้กลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างสมเกียรติ “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าคนที่นี้จะยอมให้แม่ทัพหลินพ้นมลทิน” กงจิ้งเป็นทหารในสังกัดของแม่ทัพหลิน เขารู้ดีว่าคนซื่อตรงอย่างนั้นไม่มีทางก่อกบฏลอบสังหารเจ้าเมืองฉู่หลิน เพียงแต่เรื่องนี้จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบ แล้วให้บังเอิญว่าแม่ทัพหลินเหมาะสมแล้วซึ่งจะเป็นคนแบกรับมลทินนี้เอาไว้ “แต่ท่านตาไม่ผิด” “มีใครไม่รู้บ้างว่าแม่ทัพหลินไม่ผิด แต่จำเป็นต้องผิดอย่างช่วยไม่ได้” “ข้าไม่เห็นด้วย ในเมื่อท่านตาไม่ผิด ก็ต้องคืนความยุติธรรมให้ท่านตา” “ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังฟู่เจิ้งชิว คนผู้นั้นไม่มีทางยอมให้ความจริงได้ปรากฏออกมาหรอก อีกทั้งคุณหนูเหยา หากแม่ทัพหลินไม่ผิด เช่นนั้นใครกันล่ะที่ผิด ผู้ใดกันที่บีบให้แม่ทัพหลินสังหารเจ้าเมืองฉู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าพร้อมที่จะหาคำตอบในเรื่องนี้” เหยาอี้เหยาตอบอย่างสงบ “ข้าจะหาคำตอบในเรื่องนี้เอง” จวนเจ้าเมืองฉู่อยู่ไม่ไกลนัก เหยาอี้เหยาเดินตัดถนนไปสองตรอกกับซ่างเจวี๋ยก็ถึงหน้าประตู เพียงแต่นางยังไม่กล้าเข้าไปเพราะเกรงว่าการมาเยือนโดยไม่แจ้งล่วงหน้าจะเป็นการเสียมารยาท แต่ฉู่ซีห่าวราวกับเดาใจนางได้ เขาให้บ่าวรับใช้มายืนรอนางถึงหน้าประตู “คุณหนูเหยา ท่านเจ้าเมืองเชิญท่านเข้าไปด้านในได้ขอรับ” บ่าวรับใช้มองไปทางซ่างเจวี๋ยอย่างนอบน้อม “เพียงแต่แม่ทัพท่านนี้ เข้าไปไม่ได้” “ข้าจะรออยู่ข้างนอก อี้เหยา เจ้าเข้าไปเถอะ” ซ่างเจวี๋ยเข้าใจ เขารู้ดีว่าฉู่ซีห่าวคงเกรงข่าวสารรั่วไหล “เจ้าค่ะ” “ระวังด้วยล่ะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล...” ซ่างเจวี๋ยกระซิบบอกนางว่าให้เป่านกหวีดเรียกเขาทันที เหยาอี้เหยารับคำ บนลำคอห้อยนกหวีดอยู่ตลอดเวลา “เชิญคุณหนูเหยาทางนี้” บ่าวรับใช้นำทาง พาเหยาอี้เหยาผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปด้านในจวนเจ้าเมืองฉู่ ภายในจวนเจ้าเมืองสงบร่มรื่น ต้นสนแคระแผ่กิ่งก้านตัดกับสีขาวของหิมะ บริเวณทางเดินสองข้างทางมีสิ่งปลูกสร้างทั้งเรือนรับรองและโถงใหญ่สำหรับแขก เหยาอี้เหยาพึ่งเข้ามาในจวนเจ้าเมืองครั้งแรก จึงอดไม่ได้ที่จะสังเกตสิ่งรอบข้าง พร้อมกับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชาวเมืองจึงรักและเคารพสองพ่อลูกสกุลฉู่มากถึงเพียงนี้ เพราะดูอย่างจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ ขนาดไม่ได้กว้างใหญ่หรือโอ่อ่าสมฐานะ แต่มีขนาดกลางและปลูกสร้างเพื่อการใช้สอย รวมทั้งเครื่องเรือนและของตกแต่ง ก็แสดงให้เห็นความมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย ถึงยังงั้นจวนเจ้าเมืองฉู่กลับเต็มไปด้วยความขลังของคลื่นพลังที่แข็งแกร่ง ไม่เหมือนจวนเศรษฐีทั่วไปซึ่งดีแต่เปลือก ด้วยความที่จวนไม่ได้ใหญ่มาก เดินไม่นานนางก็มาถึงเรือนคุมขังนักโทษ เบื้องหน้าของนางมีร่างสูงสง่าของฉู่ซีห่าวยืนรอรับ “เจ้าเมืองฉู่” เหยาอี้เหยายอมกายลงเพื่อแสดงความเคารพเขาและกงซุนหลาง “คุณหนูเหยา เจ้ามาแล้ว” ฉู่ซีห่าวรอนางมา “ข้าน้อยขออภัยที่มารบกวนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า” หากเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่ฉู่ซีห่าว ไม่แน่ว่าจะเปิดประตูต้อนรับนาง “ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าเจ้าจะมาแน่” “ท่านยินดีให้ข้าน้อยพบหน้าฟู่เจิ้งชิวหรือ” “เหตุใดจะไม่เล่า” “เช่นนั้นข้าน้อยขอพบหน้าฟู่เจิ้งชิวสักครู่ได้หรือไม่” “เกรงว่าตอนนี้จะยังไม่ได้” ฉู่ซีห่าวอธิบาย “เจ้าอย่าพึ่งเข้าใจเจตนาข้าผิด เพียงแต่ตอนนี้ฟู่เจิ้งชิวถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินอย่างแน่นหนาเพื่อรอให้อิ่นจื่อมาไต่สวน ดังนั้นจนกว่าเขาจะมา ข้ายังให้เจ้าพบหน้าฟู่เจิ้งชิวไม่ได้” “แล้วซื่อจื่อไปไหนหรือ” จะว่าไปเหยาอี้เหยายังไม่เห็นเขาเลย “ข้าไม่รู้” สายตาของฉู่ซีห่าวมีความกังวล เวลานี้ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว แต่ฉู่ซีเย่ยังไม่กลับมา ในใจเขาอยากออกไปตามหาน้องชาย แต่ฟู่เจิ้งชิวก็ไม่สามารถละสายตาไปได้ “เขาบาดเจ็บหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาถามอย่างกังวล ฉู่ซีห่าวพยักหน้าหนึ่งที “อิ่นจื่อบาดเจ็บภายใน ข้าเกรงคิดว่าเขาหายตัวไปรักษาตัว” “แต่นี้จะมืดแล้วนะเจ้าค่ะ ท่านควรส่งคนออกไปตามหาเขาหรือไม่” นางเข้าใจว่าด้วยนิสัยเย่อหยิ่งแล้ว ฉู่ซีเย่คงไม่ต้องการให้ใครเห็นตอนย่ำแย่ “ส่งไปแล้วแต่ไม่พบ” ฉู่ซีห่าวพูดต่อ “ไม่รู้ว่าตอนนี้อิ่นจื่ออยู่ที่ไหน จนใจจะไปตามหาแล้วคุณหนูเหยา” เวลานั้นสายลมหอบหนึ่งพัดมากระทบนาง เหยาอี้เหยายกมือกุมเสื้อคลุมให้แนบชิดเข้าหากัน กระแสความอบอุ่นที่นางสัมผัสได้เมื่อครู่ มีส่วนหนึ่งเป็นของฉู่ซีเย่ “ข้าน้อยรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” สภาพอากาศในวันนี้ขมุกขมัว หิมะหนาหลายชุ่นปกคลุมทั่วอาณาบริเวณจนเท้าจมหายไปทันทีที่เหยียบลง เหยาอี้เหยาเดินฝ่าพายุหิมะขึ้นไปบนเขาเพื่อพบว่าฉู่ซีเย่ซึ่งนอนแช่อยู่ในบ่อน้ำพุเย็นเฉียบ แต่ร่างกายของเขาดันร้อนผ่าวจนนางสัมผัสได้แต่ไกล หมอกหนาปกคลุมอยู่โดยรอบจนมองไม่เห็นตัวคน เหยาอี้เหยาที่ดันด้นขึ้นเขามาขอนั่งพักหายใจ พร้อมกับพูด “ซื่อจื่อ ข้าน้อยขึ้นมาตามท่านลงไป” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ แต่คลื่นความร้อนที่ส่งตรงมายังนางบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าฉู่ซีเย่อยู่ในบ่อ รวมทั้งนัยน์ตาสีอ่อนราวกับผลึกคริสตัลของเขาก็มองนางไม่วางตา “เจ้าเมืองฉู่เป็นห่วงท่านมาก เกรงว่าท่านจะเป็นอันตรายร้ายแรง” นางพูดต่อ อากาศเย็นเฉียบถึงขั้นเยือกแข็ง ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถขึ้นมาถึงยอดเขาได้ แต่ร่างกายของนางพิเศษเพราะมีพลังหยินมาก ดังนั้นจึงทนทานต่อความหนาวได้ดี ถึงยังงั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่หนาว เพียงแต่ทนได้เท่านั้น “ท่านไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม ตอบข้าหน่อยเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาเดินเข้าไปใกล้ รอบข้างเย็นจัดแต่พออยู่ใกล้ๆ ฉู่ซีเย่ อากาศก็อุ่นขึ้น แต่ว่าอากาศบนเขายุ่งเหยิงแปลกพิกล “ซื่อจื่อ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เหยาอี้เหยาพยายามหรี่ตามองผ่านม่านหมอกที่มากขึ้นกว่าเมื่อครู่จนเริ่มมองอะไรไม่เห็น ทุกอย่างขาวโพลนในชั่วพริบตาจนนางไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหนต่อ เหยาอี้เหยาตื่นตระหนก นางรู้สึกว่ามีอะไรขัดขาจนลื่นล้มจนไถลไปไกล ดีที่ไม่เจ็บตัวและหยุดไถลแล้ว “ซื่อจื่อ ท่านอยู่ไหน” นางรู้สึกว่าหมอกหนาทำให้หายใจลำบาก อีกทั้งความที่มองอะไรไม่เห็นก็ทำให้คนใจร้อนรนได้ง่ายๆ นางควานมือไปข้างหน้า สองเข่าคลานสะเปะสะปะจนกระทั่งมีลำแขนโอบรอบเอวนางลงไปในบ่ออันน้ำแข็ง ฉู่ซีเย่รั้งตัวนางชิดเข้าหา ใบหน้าคมคร้ามอยู่ใกล้ริมฝีปากนางแค่หนึ่งลมหายใจ กลิ่นหอมอันแสนปั่นป่วนของนางฉีกกระชากสามัญสำนึกอันดีพร้อมของเขาเป็นพันชิ้น “ข้าหนาว” ความเย็นจัดทำให้เหยาอี้เหยาต้องเกาะความอบอุ่นเดียวที่มีอย่างฉู่ซีเย่ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเขาเปลือยเปล่าอยู่ อีกทั้งการขยับอย่างไม่ระวังของนาง กระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนของฉู่ซีเย่ขึ้นมาแล้ว “ท่าน...ท่านไม่ใส่เสื้อ” มือนางเกาะบ่าร้อนๆ ของเขาแน่น ชั่วขณะนั้นหมอกหนาที่คลี่คลุมพลันระเหยหายไปในพริบตาจนเผยให้เห็นใบหน้าคมซึ่งอยู่ห่างจากนางไม่ถึงคืบ “ข้าร้อน...” เสียงทุ้มเจือความแหบพร่าพูดชิดแก้มเนียน นัยน์ตาลุ่มลึกมองผิวกายผ่านผ้าบางสีขาว เขามองไล่ตั้งแต่ไหปลาร้าจนถึงเนินอกที่เปิดเผยรำไร พร้อมทั้งโอบเนื้อนุ่มหอมกรุ่น ปลายจมูกเขาแทบจะไซ้คอนางอยู่แล้ว ลำคอของเขาพลันแห้งผากราวกับทะเลทราย “ซื่อจื่อ...” เหยาอี้เหยาไม่ได้พูดต่อ เมื่อริมฝีปากอันร้อนผ่าวแนบลงมาอย่างรวดเร็ว จู่โจมชนิดที่นางไม่มีทางได้หายใจ เมื่อริมฝีปากอันเรียกร้องกลืนกินเรียวปากบางราวกับเป็นสมบัติส่วนตัว เหยาอี้เหยาตกใจจนอยากผลักเขาออก แต่ฉู่ซีเย่รวบนางมาติดชิดขอบบ่อ ก่อนจะใช้ร่างกายใหญ่โตของตนเองเบียดนางจนแนบสนิท มือแกร่งข้างหนึ่งกดให้ตัวนางแนบกับเขา ส่วนมืออีกข้างบังคับให้นางแหงนเงยหน้ารับสัมผัสจากลิ้นร้อนซึ่งกำลังไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็กๆ อย่างไม่ให้คลาดสายตา ฉู่ซีเย่จุมพิตนางอย่างดุดัน ราวกับต้องการกลืนนางลงท้อง เนื้อตัวนุ่มนิ่มถูกเขากอดรัด เอวบางที่แทบจะหักคามืออยู่ในกำมือเขา “อื้อ!” เหยาอี้เหยาประท้วง แต่ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านต่อเรี่ยวแรงของนาง ยิ่งเมื่อเขาพบว่าปากนางหวานล้ำจนอยากชิมให้มากขึ้น หนทางที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ยิ่งน้อยลง“อื้อ! ปล่อยข้า” เหยาอี้เหยาประท้วง แต่ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านต่อเรี่ยวแรงของนาง ยิ่งเมื่อพบว่าปากนางหวานล้ำจึงอยากชิมให้มากขึ้น หนทางที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ยิ่งน้อยลง ทว่าร่างกายของนางสั่นเทายิ่งจุมพิตของฉู่ซีเย่เนิ่นนานและทรมานนางอย่างยิ่ง เรียวปากบางถูกเขาดูดดึงจนบวมช้ำ ข้อมือบางถูกกุมจนขึ้นรอยนิ้วสีแดง ในสถานการณ์ที่นางต่อต้านไม่ได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าวเวลานั้นฉู่ซีเย่มองเห็นหยาดน้ำตาชุ่มขนตางอนยาวก็คิดจะหยุด...แต่ไม่ได้หยุดทันทีเพราะเขาแค่คิดที่จะหยุดเท่านั้น“ข้าร้อนยิ่ง” ฉู่ซีเย่ถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากบางอย่างอ้อยอิ่ง นิ้วมือเรียวที่ราวกับไฟเกลี่ยไล่ปอยผมให้พ้นกรอบหน้า จมูกที่แดงจัดเพราะความหนาวทำให้นางยิ่งน่าทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือจนเขาปวดใจที่เผลอลงมือหนักเมื่อครู่“ซื่อจื่อ...” เหยาอี้เหยาเบือนหน้าหนีริมฝีปากร้อนจัดของเขาเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าปอด แผ่นหลังของนางติดกับขอบบ่อ สองมือที่พึ่งเป็นอิสระดันแผ่นอกที่แข็งดั่งกับก้อนหิน อีกทั้งยังร้อนลวกมือจนนางไม่กล้าแตะต้องมาก“กลัวข้าหรือ...”จมูกโด่งยังคงคลอเคลียแก้มนางไม่ห่าง พร้อมกอดรัดนางไว้อย่างแนบชิด เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายตนเอง
หลังลงจากเขาแล้ว ฉู่ซีเย่สั่งให้คนพาตัวเหยาอี้เหยากลับจวนและหากไม่มีคำสั่งของเขา ห้ามนางออกจากจวนแม้ครึ่งก้าว ส่วนเขาเดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อสอบสวนฟู่เจิ้งชิวด้วยตัวเองฉู่ซีห่าวคอยอยู่แล้วเมื่อเขาไปถึง ทั้งยังสละเสื้อคลุมให้เขาอีกตัว แต่ตอนนี้ฉู่ซีเย่ร่างกายอบอุ่นยิ่ง ไม่ต้องการเสื้อคลุมใดๆ“ข้าไม่หนาว”“เจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” ฉู่ซีห่าวอดพูดไม่ได้“ข้าสบายดี” ฉู่ซีเย่แย้มยิ้ม กลิ่นกายหอมกรุ่นของนางยังคงติดจมูก น่าเสียดายที่เขากอดนางได้ไม่นานเท่าที่ใจปรารถนา “ท่านพี่ คนแซ่ฟู่ล่ะ”“อยู่ในคุกรอเจ้าแล้ว” ฉู่ซีห่าวพาเขาลงไปใต้ดิน ภายในคุกคุมกันแน่นหนาเพื่อไม่ให้ใครมาชิงฆ่านักโทษไปได้ รวมทั้งยังวางกำลังไว้จำนวนหนึ่งเพื่อจับตาดู จะได้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายก่อนการสอบสวนทันทีที่ฉู่ซีเย่ปรากฏตัวขึ้น ฟู่เจิ้งชิวในชุดไต้ซือก็แสดงท่าทีตื่นตระหนกฉู่ซีเย่ไม่ได้เริ่มการสืบสวนทันที แต่เขาหันมาพูดกับฉู่ซีห่าวก่อน “จริงสิท่านพี่ ท่านเขียนจดหมายให้ท่านปู่ทราบแล้วหรือยัง”“ยังเลย”“เช่นนั้นระหว่างที่ข้าสอบสวนคนแซ่ฟู่ ท่านช่วยเขียนจดหมายถึงท่านปู่ได้หรือไม่”ฉู่ซีห่าวไม่ปฏิเสธ เขาคิดจะเขีย
เลยยามจื่อแล้ว เมื่อเหยาอี้เหยากับซ่างเจวี๋ยเดินเท้าถึงจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อพบหน้าฟู่เจิ้งชิวเป็นการส่วนตัว เวลานั้นเจ้าเมืองฉู่ซีห่าวไปจัดการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเจ้าอาวาสหยูเม่ากับไต้ซือจอมปลอมอย่างฟู่เจิ่งชิวก่อขึ้น ดังนั้นจึงมีเพียงแม่ทัพจ้าวสือรอนางอยู่“เรียนแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยมาขอพบนักโทษ”เหยาอี้เหยามอบจดหมายอนุญาตเข้าเยี่ยมนักโทษจากซื่อจื่อให้แม่ทัพจ้าวตรวจสอบความถูกต้อง"คุณหนูเหยามีจดหมายอนุญาตย่อมเข้าได้ เพียงแต่แม่ทัพซ่าง… ""ข้ารอที่นี้ได้" ซ่างเจวี๋ยพูดห้วนๆ"เช่นนั้นก็เรียบร้อย" จ้าวสือจึงให้เหยาอี้เหยาเข้าได้ “เนื่องจากนักโทษแซ่ฟู่มีความสำคัญต่อคดีมาก เลยไม่อาจให้พบหน้าได้นานนัก ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ”“เข้าเยี่ยมได้นานเท่าใดหรือ”“ไม่เกินหนึ่งเค่อ”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่ขอเวลาเพิ่ม“เชิญคุณหนูทางด้านนี้” จ้าวสือส่งที่ทางเข้า “อ่อ มีอีกเรื่องที่ต้องกำชับ ภายในมีกลไกป้องกันการบุกรุก ดังนั้นจึงไม่อยากให้คุณหนูแตะต้องสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาต”“รบกวนแม่ทัพจ้าวแล้ว” เหยาอี้เหยารับคำ สายตาสังเกตรองเท้าและรอยเปื้อนของชายเสื้อคลุมทหาร ร่องรอยดินโคลนสาดกระเซ็นขนาดนี้ แสดงว่าแ
หลังออกมาจากคุกใต้ดินที่ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ เหยาอี้เหยาตั้งใจเดินทางกลับจวนสกุลฉู่ทันที ทว่าเวลานั้นฝนหิมะโปรยปรายลงมาหนักหน่วงจนมืดฟ้ามัวดิน หากคิดจะเดินฝ่าพายุอันหนาวเหน็บ พรุ่งนี้นางต้องจับไข้แน่จ้าวสือที่เห็นว่าสภาพอากาศเลวร้าย เลยแนะให้นางอยู่ก่อน “ฝนหิมะตกหนักยิ่ง เกรงว่าคุณหนูเหยาอาจจะเดินทางกลับไปจวนไม่สะดวกนัก มิสู้รอสักครู่ ข้าจะให้คนไปเรียกเกวียนมาให้”จวนเจ้าเมืองกับจวนสกุลฉู่อยู่ไม่ไกลกันมาก แต่หากให้เดินตากฝนปนหิมะกลับไป เกรงว่าจะไม่ไหว ยิ่งรู้ว่าถ้ากลับไปต้องเจอออะไร นางก็ยิ่งหมดแรงยกเท้า“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว”“เป็นหน้าที่ คุณหนูอย่าได้เกรงใจ” จ้าวสือผายมือ “ระหว่างรอเกวียน เชิญคุณหนูและแม่ทัพซ่างพักผ่อนด้านนี้”“ไม่ลำบากท่านแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยกับแม่ทัพซ่างขอยืนรอตรงนี้จะเป็นการดีกว่า “เหยาอี้เหยาพูดอย่างเกรงใจ ขณะนั้นเสียงรถม้าดังให้ได้ยินมาแต่ไกล คาดว่าคนในรถม้าคงเป็นเจ้าเมืองฉู่ แล้วก็เป็นเขาจริงๆเมื่อรถม้าจอดลงตรงประตูจวน ฉู่ซีห่าวในชุดคลุมเดินลงมาจากรถ ร่มกระดาษในมือไม่สามารถปกป้องเข้าจากสายฝนได้มากนัก ทำให้ร่างกายเปียกชื้น ซึ่งหากเป็นคนปกติทั่วไป เกรงว่าคง
เมืองเซียงฝาน อำเภอชีชิวหลังถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท หย่งสวินในนามนักโทษถูกเนรเทศมาอยู่หมู่บ้านใกล้ปืนเที่ยง รับราชการในอำเภอเล็กๆ ให้ผู้คนดูแคลน ถึงยังงั้นต่อให้พบเจอความอดสูแร้นแค้นใดใด หย่งสวินพยายามดิ้นรนเอาชีวิตไปให้ได้ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตรอด เขาก็ยังมีโอกาสทวงคืนในสิ่งที่ควรเป็นของเขากลับคืนมาทว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่อหย่งสวินที่ไร้อำนาจโดยพลันถูกคนไล่ล่า ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด หลายปีมานี้เขาเลยผูกสัมพันธ์กับหลี่หลินผู่ หรือในตอนนี้คือหลี่โหวคนใหม่ของจวนสกุลหลี่เพื่อรับความคุ้มครองแม้การขอร้องผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่เขาเกลียดชังยิ่งก็ตามความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างดี สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกัน รวมทั้งหย่งสวินไม่อยากเชื่อว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลี่โหวยอมยื่นมือช่วยเหลือเขาในยามตกทุกข์เป็นเพราะเขาให้ข้อมูลเหยาอี้เหยาได้แน่นอนว่าหย่งสวินที่ต้องการความช่วยเหลือไม่มีทางบอกหลี่โหวเรื่องยาพิษทว่าในใจหย่งสวินมีคำถามหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหยาอี้เหยามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร เพราะเขามียาระงับพิษให้นางแค่นั้น แต่หลายปีมานี้นางก็ยังคงมีชีวิตรอดมาได้แล้วยอดฝีมือค
“ข้าเอง” ฉู่ซีเย่เอ่ยต่อ “ข้าวางยาพิษเขาเอง”“ท่านวางยาพิษเขา เพื่ออะไร?” นอกจากเหยาอี้เหยาแล้ว คนที่ต้องการให้ฟู่เจิ้งชิวมีชีวิตรอดต่อไปก็คือฉู่ซีเย่ แต่เขากลับวางยาพิษอีกฝ่าย“ไม่ทำเช่นนี้ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าวางแผนจะช่วยฟู่เจิ้งชิวออกมา” ฉู่ซีเย่ลองวางยาพิษเพื่อดูว่าคนทั้งสองมีข้อตกลงอะไรกัน ซึ่งไม่ยากอะไรที่จะเค้นคำตอบจากคนใกล้ตายแต่ไม่คาดว่าเหยาอี้เหยาจะมอบยาแก้พิษให้ฟู่เจิ้งชิว เขาเลยต้องลงมือหนักขึ้น “หากเจ้าอยากรู้เรื่องเมื่อสิบปีก่อน คนที่เจ้าควรจะถามคือข้าไม่ใช่หรือ”บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปแล้ว ระหว่างทั้งสองมีความรู้สึกขุ่นมัวคลี่คลุมอยู่“ถามแล้วท่านจะบอกความจริงหรือ” ย่อมไม่มีทางที่ฉู่ซีเย่จะบอกนางทุกอย่าง “ถ้าไม่ได้ฟู่เจิ้งชิว ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าท่านตาถูกใส่ร้าย”“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยบอกเจ้าว่าท่านตาเจ้าผิด”ใช่แล้ว ฉู่ซีเย่ไม่เคยพูด“แต่พวกท่านไม่เคยออกหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านตาไม่ผิด” เหยาอี้เหยามองสบตากับเขา “พวกท่านปล่อยให้ท่านตาตายในฐานะกบฏ กระทั่งจะฝั่งอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ไม่ได้ แล้วตอนนี้ท่านตาก็กลายเป็นแค่หนึ่งในหลุมศพไร้ญาติ ทั้งๆ ที่ท่านตาบริสุทธิ์”ใ
"แต่งงานกับข้า"เหยาอี้เหยาเบื้อใบ้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉู่ซีเย่จะเอ่ยปากขอนางแต่งงานเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งแผนการของนางคือรีบรักษาพิษแมลงคุณไสยแล้วหาทางหนีจากเขา ไม่ใช่จบลงด้วยการแต่งงานอีกอย่าง คนอย่างนางจะกล้าแต่งงานกับซื่อจื่อได้อย่างไร ไม่รวมว่านางยังมีสัญญาหมั้นหมายผูกติดกับหลี่โหวอีกถึงยังงั้นใจนางก็เต้นแรงยิ่ง ในท้องราวกับมีดอกไม้เบ่งบาน"เหตุใด...ท่านถึงอยากแต่งงานกับข้า" ความรู้สึกของฉู่ซีเย่ที่มีต่อนาง ไม่มีความลึกซึ้งถึงขั้นแต่งงาน เขาดีกับนางมากกว่าคนอื่น เพราะนางมีประโยชน์เท่านั้น "ท่านไม่ได้ชอบข้าเสียหน่อย"ฉู่ซีเย่ตอบ "จำเป็นต้องชอบรึ ในเมื่อคนอย่างข้าจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์มากกว่า""ประโยชน์ในส่วนของข้าน้อยมีมาก แล้วประโยชน์ในส่วนของท่านเล่า" ถ้าได้แต่งงานกับเขา นางก็ไม่ต่างอะไรกับหนูตกถังข้าวสาร"ข้าเป็นซื่อจื่อ มีหน้าที่สืบทอดตำแหน่งและทายาท เจ้ามีลูกให้ข้าได้"เหยาอี้เหยาไม่คิดว่าเขาจะมองไกลถึงขั้นนี้ ใบหน้านางจึงเห่อร้อน"ทำไม เจ้าไม่พอใจที่จะแต่งกับข้า?"กว่าฉู่ซีเย่จะพูดประโยคเมื่อครู่ได้ เขาใช้ความพยายามไม่น้อย"ข้าน้อยเพียงแต่ คิดไม่ถึงมาก่อนว่าท่านจะ
ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว เมื่อฉู่ซีเย่ควบม้ามาถึงประตูเมืองร่างสูงในชุดสีดำองอาจลงจากอาชา เขาเหยียบย่ำหิมะเพื่อขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ทหารรักษาประตูเมืองคาดไม่ถึงว่าฉู่ซีเย่จะมาในวันนี้ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ กระทั่งไม่มีเวลาแต่งกายให้เรียบร้อย ท่าทีจึงลนลานและประหม่าอย่างเห็นได้ชัดฉู่ซีเย่เห็นท่าทีของทหารก็ได้แสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้พูดแต่ตำหนิทางสายตาจนคนอยากกระโดดหอในทันที"ขอซื่อจื่อโปรดลงโทษ ข้าน้อยผิดไปแล้ว"ช่วงนี้ใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ทหารบางรายอาจหละหลวมไปบ้าง ฉู่ซีเย่จึงคาดโทษไว้ แต่หากมีครั้งหน้า ย่อมไม่เอาไว้"ลุกขึ้น ไปแต่งกายให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉู่อ๋องจะกลับมา"ฉู่ซีเย่ไม่อยากให้ท่านตามาเห็นเหล่าทหารในสภาพนี้แม่ทัพแสดงสีหน้ามึนงงยิ่ง "ซื่อจื่อ มิใช่ว่าท่านอ๋องเข้าเมืองมาแล้วหรือ?"ฉู่ซีเย่หันไปมองธงด้านตรงข้าม ปกติหัวธงประจำกองทัพจะไม่ขึ้น เพื่อบอกว่าฉู่อ๋องไม่อยู่ เมื่อครู่เขาไม่เห็นเพราะหมอกหนาตา ครั้นเห็นชัดเต็มสองตา มือเรียวข้างลำตัวกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงิน"ฉู่อ๋องเข้าเมืองมาเมื่อใด""มะ...เมื่อคืนขอรับ"ความอำมหิตอันเข้มข้นนี่คืออันใด?ฉู่ซีเย่แทบจะพุ่งลงจากหอส
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม