เลยยามจื่อแล้ว เมื่อเหยาอี้เหยากับซ่างเจวี๋ยเดินเท้าถึงจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อพบหน้าฟู่เจิ้งชิวเป็นการส่วนตัว เวลานั้นเจ้าเมืองฉู่ซีห่าวไปจัดการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเจ้าอาวาสหยูเม่ากับไต้ซือจอมปลอมอย่างฟู่เจิ่งชิวก่อขึ้น ดังนั้นจึงมีเพียงแม่ทัพจ้าวสือรอนางอยู่
“เรียนแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยมาขอพบนักโทษ” เหยาอี้เหยามอบจดหมายอนุญาตเข้าเยี่ยมนักโทษจากซื่อจื่อให้แม่ทัพจ้าวตรวจสอบความถูกต้อง "คุณหนูเหยามีจดหมายอนุญาตย่อมเข้าได้ เพียงแต่แม่ทัพซ่าง… " "ข้ารอที่นี้ได้" ซ่างเจวี๋ยพูดห้วนๆ "เช่นนั้นก็เรียบร้อย" จ้าวสือจึงให้เหยาอี้เหยาเข้าได้ “เนื่องจากนักโทษแซ่ฟู่มีความสำคัญต่อคดีมาก เลยไม่อาจให้พบหน้าได้นานนัก ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ” “เข้าเยี่ยมได้นานเท่าใดหรือ” “ไม่เกินหนึ่งเค่อ” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่ขอเวลาเพิ่ม “เชิญคุณหนูทางด้านนี้” จ้าวสือส่งที่ทางเข้า “อ่อ มีอีกเรื่องที่ต้องกำชับ ภายในมีกลไกป้องกันการบุกรุก ดังนั้นจึงไม่อยากให้คุณหนูแตะต้องสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาต” “รบกวนแม่ทัพจ้าวแล้ว” เหยาอี้เหยารับคำ สายตาสังเกตรองเท้าและรอยเปื้อนของชายเสื้อคลุมทหาร ร่องรอยดินโคลนสาดกระเซ็นขนาดนี้ แสดงว่าแม่ทัพจ้าวคงพึ่งควบม้ากลับมาจากที่ไหนสักที “ในคุกค่อนข้างมืด เอาโคมไฟไปอีกดวงเถอะ” ซ่างเจวี๋ยส่งมอบโคมไฟสีนวลให้นางอย่างมีนัยยะสำคัญ ราวกับเขารู้ว่านางมีของที่ต้องซ่อน "เป็นแม่ทัพซ่างที่คิดรอบคอบ" นางรับโคมไฟมาถือไว้ ก่อนจะเดินตามทหารลงไปในคุกใต้ดิน พ้นจากสายตาของผู้อื่นแล้ว นางแอบทิ้งขวดยาเข้าไปในโคม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ขวดยาธรรมดา… "ตรงหน้าคืออะไรหรือ" นางถาม ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่าเป็นจุดตรวจอาวุธ "ด้านหน้ามีจุดตรวจอาวุธ ขอคุณหนูเหยาให้ความร่วมมือ" รองแม่ทัพไม่บอกนางล่วงหน้า เพราะหากนางมีสิ่งของต้องสงสัยไว้บนตัว จะได้หาที่ซ่อนไม่ทัน "อ่อ ได้สิ" นางเดินไปรับการตรวจ สาวรับใช้หญิงตรวจนางอย่างละเอียด ทว่าไม่พบอะไรต้องสงสัย "เรียบร้อยเจ้าค่ะ" รองแม่ทัพเปิดประตู นำโซ่คล้องออกมา “เชิญคุณหนูตามสบาย สุดทางเดินตรงหน้าคือที่คุมขังของนักโทษแซ่ฟู่แล้ว” "ขอบคุณมาก" เหยาอี้เหยาเดินเข้าไปในประตู ลักษณะทิศทางหรือรอบข้างมีความคล้ายคลึงกันหมด คบเพลิงซึ่งจุดไว้ติดกำแพงส่องสว่างตลอดทางเดิน ว่ากันว่าคุกใต้ดินจวนเจ้าเมืองโจวอี้สร้างไว้สำหรับคุมขังนักโทษคนสำคัญ ดังนั้นจึงมีทหารคอยเฝ้ายามในแต่ละจุด รวมทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัย นางสังเกตด้วยตาเปล่า เห็นพวกอาวุธลับและกลไกซุกซ่อนอยู่ทุกที่ มิน่าเล่า จ้าวสือถึงบอกให้นางอย่างแตะต้องอะไรส่งเดช สองเท้าของนางเหยียบลงบนพื้นหินชื้นๆ เดินตามทางเดินผ่านจุดเฝ้ายามไปสามจุดก็ถึงที่หมาย เหยาอี้เหยาเห็นด้านข้างของฟู่เจิ้งชิวนั่งอยู่ในกองฟาง สภาพถูกลงโทษมาพอสมควร ครั้นทหารเฝ้ายามเห็นนางก็ทำความเคารพแล้วถอยไปสิบก้าว การกระทำของทหารทำให้ฟู่เจิ้งชิวรู้ตัวแล้วว่ามีคนมาหา จึงหันใบหน้ามาทางนาง แววตาปรากฏความรู้สึกยินดี “ท่านคือคุณหนูน้อยของจางลี่” ในความทรงจำของฟู่เจิ้งชิว รับรู้เพียงว่านางเป็นนายของจางลี่ "ข้าไม่ใช่แค่คุณหนูของจางลี่" เหยาอี้เหยากำมือไว้ใต้ชุดไว้ทุกข์ สีหน้าท่าทางเย็นชา แต่นางรู้ว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่มาก จึงเข้าเรื่องโดยเร็ว "โอ้ เช่นนั้นท่านเป็นใครอีกหรือ ถึงได้มาหาข้าถึงในคุก” ฟู่เจิ้งชิวเดินไปนังบนตั่งแข็งกระด้าง หยิบตอซังข้าวที่ติดมาแคะขี้ฟัน “แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่รู้จักข้า” “อันใดกันคุณหนู ท่านถามเช่นนี้ หรือว่าเราจะเคยพบหน้ากันในอดีต” “ไม่จำเป็นต้องพบหน้า แต่ถ้าเจ้ารู้จักแม่ทัพหลิน ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้จักข้า” หากเขาเป็นคนของท่านตาจริง มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้จักนาง “แม่ทัพหลินรึ เจ้า เจ้าคือหลานสาวของแม่ทัพหลิน?” ดวงตาฟู่เจิ้งชิวเบิกกว้าง “ว่าแล้วว่าคุ้นหน้าเจ้านัก ที่แท้ก็เป็นคุณหนูน้อยของแม่ทัพหลิน สวรรค์มาโปรดข้าแท้ๆ ดวงวิญญาณแม่ทัพหลินส่งหลานสาวมาช่วยข้าแล้ว” “ใครว่าข้ามาช่วยเจ้า” เหยาอี้เหยาพูดสวนโดยพลัน “ข้ามาที่นี้เพื่อถามคำถามเดียว” “ไม่ตอบ เหตุใดข้าต้องตอบ ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะช่วยข้า” ฟู่เจิ้งชิวยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ยิ่งรู้ว่าเหยาอี้เหยาเป็นหลานแม่ทัพหลินชวน สมองอันแสนชาญฉลาดก็พอคาดเดาได้เจ็ดแปดส่วนว่านางมาหาเขาเพราะอันใด …นางคงอยากถามเรื่องเหตุการณ์ลอบสังหารเมื่อเกือบสิบปีก่อน เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แม่ทัพหลิน “คุณหนู ยื่นหมูยื่นแมว คำสุภาษิตนี้เจ้าคงเข้าใจดีกระมัง” “เจ้าคิดว่าตัวเองมีทางเลือกมากนักหรือ “เหยาอี้เหยานิ่งสงบ ต่อให้ในใจจะประหม่าเพียงใดก็ไม่เผยออกไป “ข้ามีทางเลือกไม่มากก็จริง แต่คุณหนู เจ้ามีหรือ? ในเมื่อคนผู้เดียวที่สามารถเล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตได้ มีเพียงข้า…คนที่สามารถบอกความจริงกับเจ้าได้ก็มีเพียงข้า” "ข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าเจ้าพูดความจริง" เหยาอี้เหยาถาม "เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง การบอกความจริงกับเจ้าไม่ส่งผลกระทบอะไรในชีวิตข้าอยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าช่วยข้า ข้าจะบอกความจริงเจ้าทุกอย่าง" "ได้ ข้าจะช่วยเจ้า" เหยาอี้เหยาไม่อยากช่วยสวะอย่างฟู่เจิ้งชิว แต่นางอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น "มันต้องเช่นนี้สิ ว่าแต่ท่านจะช่วยข้าอย่างไรหรือคุณหนู" ฟู่เจิ้งชิวไม่ยอมเสียเปรียบ “ข้าบอกก่อนนะ ตราบใดที่ข้ายังไม่ออกจากที่นี้ ข้าจะไม่เล่าอะไรเด็ดขาด” นางไม่กลัวคำขู่ “ข้าก็จะไม่ช่วยเจ้า ตราบใดที่ยังไม่ได้ยินอะไรที่เป็นประโยชน์” “เจ้าไม่กลัวว่าถ้าข้าตายในนี้ ความลับจะตายไปพร้อมกับข้าหรือ” “เช่นนั้นเอาแบบนี้ เล่าเรื่องราวในเหตุการณ์ลอบสังหารมาครึ่งหนึ่ง แล้วข้าจะให้ยาแก้พิษนี้กับเจ้า” "ยาแก้พิษใช้ทำอะไรได้” “ช่วยไม่ให้เจ้าตาย" "ข้าไม่ได้ถูกพิษ" "อีกหน่อยคงไม่แน่" เหยาอี้เหยาสอบถามสาเหตุการตายของเจ้าอาวาสหยูเม่าก่อนมาที่นี้ พบว่าเขาตายด้วยยาพิษ จึงคิดว่าคงมีใครสักคนวางแผนปิดปากฟู่เจิ้งชิวด้วย "เขาฆ่าเจ้าอาวาสหยูแล้ว เจ้าคงเป็นรายต่อไป" ฟู่เจิ้งชิวที่รู้ดีว่าคนผู้นั้นกำลังส่งคนมาเก็นตนแน่จึงยอมถอย “ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาในมือเจ้า ไม่ใช่ยาพิษ” “เรื่องนั้นข้าคงบอกให้เจ้าเชื่อใจข้าไม่ได้ อยากตายก็แล้วแต่เจ้า” “เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่รู้ความจริง” “ความจริงอะไร” ฟู่เจิ้งชิวเลียริมฝีปาก อดพูดออกมาไม่ได้ “ความจริงที่ว่าท่านตาเจ้าถูกใส่ร้าย” “ทุกคนล้วนพูดว่าท่านตาเป็นกบฏสังหารเจ้าเมืองฉู่ แล้วเจ้าเอาอะไรมาพูดว่าท่านตาถูกใส่ร้าย มีหลักฐานอะไรให้ข้าเชื่อเจ้า” เหยาอี้เหยาเดินตามฟู่เจิ้งชิว สายตาคอยจับจ้องมองทุกความเคลื่อนไหว เมื่อเกือบสิบปีก่อนนางอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทว่ากลับไม่รู้อะไรเลย รู้อีกที ท่านตาก็ถูกจับตายพร้อมข้อหากบฏ “คุณหนูเหยา ข้านี่แหละตัวตั้งตัวตีในการใส่ร้ายแม่ทัพหลิน อีกอย่างข้าพูดว่าท่านตาเจ้าถูกใส่ร้าย แต่ไม่ได้พูดว่าท่านตาเจ้าไม่ได้ฆ่าเจ้าเมืองฉู่หลิน" "เจ้าเห็นกับตาหรือว่าเป็นฝีมือท่านตา" "ไม่ใช่แค่ข้าที่เห็น แต่ซื่อจื่อก็เห็นเช่นกัน" "ข้าไม่เชื่อว่าท่านตาจะฆ่าเจ้าเมืองฉู่โดยไร้เหตุผล คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครบงการเจ้า” "คืนนั้น… " ฟู่เจิ้งชิวหยุดพูด "คืนนั้นทำไม" “เมื่อครู่ตกลงกันแล้วว่าพูดครึ่งเดียว หากคุณหนูเหยาอยากรู้อีกครึ่ง เช่นนั้นก็ทำให้ข้าเป็นอิสระเสียสิ” “ได้” เหยาอี้เหยาตอบ แม้ในใจจะอยากเค้นคอถามต่อ ยามนั้นเวลาเข้าเยี่ยมหมดลงพอดี เหยาอี้เหยาหันมาทางฟู่เจิ้งชิว มอบยาแก้พิษให้เขาอย่างลับๆ โดยไม่ให้ทหารสังเกต พร้อมนัดหมาย “อีกสองวันเป็นวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซื่อจื่อ ข้าจะมาช่วยเจ้าวันนั้น”หลังออกมาจากคุกใต้ดินที่ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ เหยาอี้เหยาตั้งใจเดินทางกลับจวนสกุลฉู่ทันที ทว่าเวลานั้นฝนหิมะโปรยปรายลงมาหนักหน่วงจนมืดฟ้ามัวดิน หากคิดจะเดินฝ่าพายุอันหนาวเหน็บ พรุ่งนี้นางต้องจับไข้แน่จ้าวสือที่เห็นว่าสภาพอากาศเลวร้าย เลยแนะให้นางอยู่ก่อน “ฝนหิมะตกหนักยิ่ง เกรงว่าคุณหนูเหยาอาจจะเดินทางกลับไปจวนไม่สะดวกนัก มิสู้รอสักครู่ ข้าจะให้คนไปเรียกเกวียนมาให้”จวนเจ้าเมืองกับจวนสกุลฉู่อยู่ไม่ไกลกันมาก แต่หากให้เดินตากฝนปนหิมะกลับไป เกรงว่าจะไม่ไหว ยิ่งรู้ว่าถ้ากลับไปต้องเจอออะไร นางก็ยิ่งหมดแรงยกเท้า“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว”“เป็นหน้าที่ คุณหนูอย่าได้เกรงใจ” จ้าวสือผายมือ “ระหว่างรอเกวียน เชิญคุณหนูและแม่ทัพซ่างพักผ่อนด้านนี้”“ไม่ลำบากท่านแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยกับแม่ทัพซ่างขอยืนรอตรงนี้จะเป็นการดีกว่า “เหยาอี้เหยาพูดอย่างเกรงใจ ขณะนั้นเสียงรถม้าดังให้ได้ยินมาแต่ไกล คาดว่าคนในรถม้าคงเป็นเจ้าเมืองฉู่ แล้วก็เป็นเขาจริงๆเมื่อรถม้าจอดลงตรงประตูจวน ฉู่ซีห่าวในชุดคลุมเดินลงมาจากรถ ร่มกระดาษในมือไม่สามารถปกป้องเข้าจากสายฝนได้มากนัก ทำให้ร่างกายเปียกชื้น ซึ่งหากเป็นคนปกติทั่วไป เกรงว่าคง
เมืองเซียงฝาน อำเภอชีชิวหลังถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท หย่งสวินในนามนักโทษถูกเนรเทศมาอยู่หมู่บ้านใกล้ปืนเที่ยง รับราชการในอำเภอเล็กๆ ให้ผู้คนดูแคลน ถึงยังงั้นต่อให้พบเจอความอดสูแร้นแค้นใดใด หย่งสวินพยายามดิ้นรนเอาชีวิตไปให้ได้ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตรอด เขาก็ยังมีโอกาสทวงคืนในสิ่งที่ควรเป็นของเขากลับคืนมาทว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่อหย่งสวินที่ไร้อำนาจโดยพลันถูกคนไล่ล่า ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด หลายปีมานี้เขาเลยผูกสัมพันธ์กับหลี่หลินผู่ หรือในตอนนี้คือหลี่โหวคนใหม่ของจวนสกุลหลี่เพื่อรับความคุ้มครองแม้การขอร้องผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่เขาเกลียดชังยิ่งก็ตามความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างดี สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกัน รวมทั้งหย่งสวินไม่อยากเชื่อว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลี่โหวยอมยื่นมือช่วยเหลือเขาในยามตกทุกข์เป็นเพราะเขาให้ข้อมูลเหยาอี้เหยาได้แน่นอนว่าหย่งสวินที่ต้องการความช่วยเหลือไม่มีทางบอกหลี่โหวเรื่องยาพิษทว่าในใจหย่งสวินมีคำถามหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหยาอี้เหยามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร เพราะเขามียาระงับพิษให้นางแค่นั้น แต่หลายปีมานี้นางก็ยังคงมีชีวิตรอดมาได้แล้วยอดฝีมือค
“ข้าเอง” ฉู่ซีเย่เอ่ยต่อ “ข้าวางยาพิษเขาเอง”“ท่านวางยาพิษเขา เพื่ออะไร?” นอกจากเหยาอี้เหยาแล้ว คนที่ต้องการให้ฟู่เจิ้งชิวมีชีวิตรอดต่อไปก็คือฉู่ซีเย่ แต่เขากลับวางยาพิษอีกฝ่าย“ไม่ทำเช่นนี้ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าวางแผนจะช่วยฟู่เจิ้งชิวออกมา” ฉู่ซีเย่ลองวางยาพิษเพื่อดูว่าคนทั้งสองมีข้อตกลงอะไรกัน ซึ่งไม่ยากอะไรที่จะเค้นคำตอบจากคนใกล้ตายแต่ไม่คาดว่าเหยาอี้เหยาจะมอบยาแก้พิษให้ฟู่เจิ้งชิว เขาเลยต้องลงมือหนักขึ้น “หากเจ้าอยากรู้เรื่องเมื่อสิบปีก่อน คนที่เจ้าควรจะถามคือข้าไม่ใช่หรือ”บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปแล้ว ระหว่างทั้งสองมีความรู้สึกขุ่นมัวคลี่คลุมอยู่“ถามแล้วท่านจะบอกความจริงหรือ” ย่อมไม่มีทางที่ฉู่ซีเย่จะบอกนางทุกอย่าง “ถ้าไม่ได้ฟู่เจิ้งชิว ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าท่านตาถูกใส่ร้าย”“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยบอกเจ้าว่าท่านตาเจ้าผิด”ใช่แล้ว ฉู่ซีเย่ไม่เคยพูด“แต่พวกท่านไม่เคยออกหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านตาไม่ผิด” เหยาอี้เหยามองสบตากับเขา “พวกท่านปล่อยให้ท่านตาตายในฐานะกบฏ กระทั่งจะฝั่งอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ไม่ได้ แล้วตอนนี้ท่านตาก็กลายเป็นแค่หนึ่งในหลุมศพไร้ญาติ ทั้งๆ ที่ท่านตาบริสุทธิ์”ใ
"แต่งงานกับข้า"เหยาอี้เหยาเบื้อใบ้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉู่ซีเย่จะเอ่ยปากขอนางแต่งงานเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งแผนการของนางคือรีบรักษาพิษแมลงคุณไสยแล้วหาทางหนีจากเขา ไม่ใช่จบลงด้วยการแต่งงานอีกอย่าง คนอย่างนางจะกล้าแต่งงานกับซื่อจื่อได้อย่างไร ไม่รวมว่านางยังมีสัญญาหมั้นหมายผูกติดกับหลี่โหวอีกถึงยังงั้นใจนางก็เต้นแรงยิ่ง ในท้องราวกับมีดอกไม้เบ่งบาน"เหตุใด...ท่านถึงอยากแต่งงานกับข้า" ความรู้สึกของฉู่ซีเย่ที่มีต่อนาง ไม่มีความลึกซึ้งถึงขั้นแต่งงาน เขาดีกับนางมากกว่าคนอื่น เพราะนางมีประโยชน์เท่านั้น "ท่านไม่ได้ชอบข้าเสียหน่อย"ฉู่ซีเย่ตอบ "จำเป็นต้องชอบรึ ในเมื่อคนอย่างข้าจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์มากกว่า""ประโยชน์ในส่วนของข้าน้อยมีมาก แล้วประโยชน์ในส่วนของท่านเล่า" ถ้าได้แต่งงานกับเขา นางก็ไม่ต่างอะไรกับหนูตกถังข้าวสาร"ข้าเป็นซื่อจื่อ มีหน้าที่สืบทอดตำแหน่งและทายาท เจ้ามีลูกให้ข้าได้"เหยาอี้เหยาไม่คิดว่าเขาจะมองไกลถึงขั้นนี้ ใบหน้านางจึงเห่อร้อน"ทำไม เจ้าไม่พอใจที่จะแต่งกับข้า?"กว่าฉู่ซีเย่จะพูดประโยคเมื่อครู่ได้ เขาใช้ความพยายามไม่น้อย"ข้าน้อยเพียงแต่ คิดไม่ถึงมาก่อนว่าท่านจะ
ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว เมื่อฉู่ซีเย่ควบม้ามาถึงประตูเมืองร่างสูงในชุดสีดำองอาจลงจากอาชา เขาเหยียบย่ำหิมะเพื่อขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ทหารรักษาประตูเมืองคาดไม่ถึงว่าฉู่ซีเย่จะมาในวันนี้ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ กระทั่งไม่มีเวลาแต่งกายให้เรียบร้อย ท่าทีจึงลนลานและประหม่าอย่างเห็นได้ชัดฉู่ซีเย่เห็นท่าทีของทหารก็ได้แสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้พูดแต่ตำหนิทางสายตาจนคนอยากกระโดดหอในทันที"ขอซื่อจื่อโปรดลงโทษ ข้าน้อยผิดไปแล้ว"ช่วงนี้ใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ทหารบางรายอาจหละหลวมไปบ้าง ฉู่ซีเย่จึงคาดโทษไว้ แต่หากมีครั้งหน้า ย่อมไม่เอาไว้"ลุกขึ้น ไปแต่งกายให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉู่อ๋องจะกลับมา"ฉู่ซีเย่ไม่อยากให้ท่านตามาเห็นเหล่าทหารในสภาพนี้แม่ทัพแสดงสีหน้ามึนงงยิ่ง "ซื่อจื่อ มิใช่ว่าท่านอ๋องเข้าเมืองมาแล้วหรือ?"ฉู่ซีเย่หันไปมองธงด้านตรงข้าม ปกติหัวธงประจำกองทัพจะไม่ขึ้น เพื่อบอกว่าฉู่อ๋องไม่อยู่ เมื่อครู่เขาไม่เห็นเพราะหมอกหนาตา ครั้นเห็นชัดเต็มสองตา มือเรียวข้างลำตัวกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงิน"ฉู่อ๋องเข้าเมืองมาเมื่อใด""มะ...เมื่อคืนขอรับ"ความอำมหิตอันเข้มข้นนี่คืออันใด?ฉู่ซีเย่แทบจะพุ่งลงจากหอส
ลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถหลบพ้นเหยาอี้เหยามองเห็นลูกธนูผ่านม่านหิมะ เสี้ยววินาทีนั้นแสนสั้นแต่เหมือนได้เห็นภาพบางอย่างที่ยาวนานในหัว ทุกสรรพสิ่งเหมือนหมุนย้อนกลับ แต่แล้วสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดทำให้นางตัดสินใจหลบแต่ช้าเกินไป เหยาอี้เหยารู้ตัวว่าถูกยิงเข้าที่ต้นขา แต่นางไม่คิดมัวโอ้เอ้ กัดฟันกลั้นความเจ็บแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหนีคนร้ายในชุดดำปิดบังใบหน้าไต่กำแพงตามอย่างกระชั้นชิด พร้อมง้างธนูพุ่งเข้ามาหานางด้วยความอาฆาตมุ่งร้าย“ช่วยด้วย!” นางวิ่งได้ช้าเพราะขาซ้ายเจ็บ เบื้องหน้าเป็นตรอกตันไร้ผู้คน นางหันไปมองด้านหลังครู่เดียวก่อนจะพุ่งตัวหลบไปอีกด้านหนีลูกธนู ร่างไถลไปกับพื้นโคลนจนธนูหักคาต้นขาความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นสมอง เวลานั้นนางจะหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าหาซ่างเจวี๋ย ทว่าคนร้ายกระชากทิ้งอย่างไม่ใยดีเหยาอี้เหยาสู้ไม่ได้จึงถอยหลังจนหิมะกระจาย ด้านหลังนางคือกำแพงทึบสูง ส่วนตรงหน้าคือคนร้ายที่ถือธนูเล็งมาตรงศีรษะ“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร หรือผู้ใดส่งเจ้ามา แต่อย่างน้อยก็บอกเหตุผลที่จะฆ่าข้าหน่อยเถอะ” จมูกนางได้กลิ่นสนิทเข้มข้น เลือดอุ่นๆ จากบาดแผลกำลังหยดลงพื้นหิมะสีขาวโพลนราวกั
บาดแผลบนขาซ้ายได้รับการรักษาแล้ว เหยาอี้เหยาจึงขึ้นเกี้ยวกลับจวนให้เร็วที่สุด เนื่องจากนางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ นางอยากสลับจดหมายจากรัชทายาท ก่อนจะถึงมือฉู่ซีเย่ เพราะถ้าเขารู้เรื่องสัญญาหมั้นหมาย เขาคงไม่อยู่เฉยยิ่งเรื่องราวในอดีตเปิดเผย ชีวิตนางยิ่งต้องต้องระมัดระวังและรอบคอบฉู่ซีห่าวสละเสื้อคลุมให้นาง ชุดกระโปรงของนางเป็นสีขาว ครั้นเปื้อนเลือด จึงยิ่งน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน“อี้เหยา กินยานี่ก่อน พอจะแก้ปวดได้” ฉู่ซีห่าวไม่ขึ้นไปด้วย เขาต้องอยู่จัดการศพก่อน“ขอบคุณเจ้าค่ะ…” เหยาอี้เหยากลืนยาลงท้อง ก่อนจะเอ่ยกับเขา “ท่านเจ้าเมือง เรื่องที่ข้ารู้ความจริงแล้ว ได้โปรดอย่างบอกซื่อจื่อนะเจ้าคะ”ฉู่ซีเย่ทุ่มเทเล่นละครฉากใหญ่ ทำถึงขั้นให้ฟู่เจิ้งชิวมาหลอกนางอีกคน ดังนั้นจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากให้นางรู้ความจริงแม้แต่น้อย ซึ่งหากเขารู้ว่านางรู้ทุกอย่างแล้ว คนเลือดเย็นเช่นเขา คงจัดการเด็ดขาด“ได้” ฉู่ซีห่าวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าน้องชายจะทำอะไรบ้างหากนางรู้ รวมทั้งท่านปู่ที่คงกลับมาเพื่อเก็บนางเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางหนีไปเสีย“อี้เหยา เจ้าเคยค
"แน่นอนว่าขัดไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้ให้ซื่อจื่อมาหาข้าน้อยที่เรือนเป็นอย่างไร" เหยาอี้เหยาพูดประโยคนี้เพื่อปกป้องตัวเองจากเขา อีกทั้งนางยังต้องการรักษาชื่อเสียงให้พ้นข้อครหาใดใดก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ข้อสำคัญที่ทำให้นางต้องรู้จักวางตัวเพราะภายในจวนแห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์อย่างท่านอ๋องที่ควรให้เกียรติยิ่ง ดังนั้นจะข้ามศีรษะเขาไปหาหลานชายในคืนแรกคงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี“ซื่อจื่อมีธุระต้องจัดการมาก ไม่อาจมาหาคุณหนูได้ คงดีกว่าหากท่านเดินทางไปเอง ดังเช่นที่เคยทำ” บ่าวรับใช้อาวุโสยังคงกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม แต่ปลายประโยคเจือถ้อยคำดูแคลนด้วยการยกสิ่งที่นางเคยทำมาพูด ราวกับจะบอกว่านางเคยไปร่วมหลับนอนกับฉู่ซีเย่แล้ว จะมาเล่นแง่รักษาหน้าตาอีกเพื่ออะไร“เป็นความจริงที่ข้าเคยไป ทว่าซื่อจื่อเองก็เคยมาหาข้าบ่อยครั้ง” เหยาอี้เหยายิ้ม นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้อาวุโสตั้งแง่กับนางเป็นพิเศษ อาจจะเพราะคิดว่านางแย่งตำแหน่งอนุกับสตรีที่นางรับเงินเพื่อประเคนให้ฉู่ซีเย่ “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ ซื่อจื่อถึงกับตามข้าไปที่จวนเจ้าเมือง”บ่าวรับใช้อาวุโสทำหน้าปั้นยาก แต่ต้องถอยออกมาพร้อมยอบกายลง“บ่าวคิด
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม