บาดแผลบนขาซ้ายได้รับการรักษาแล้ว เหยาอี้เหยาจึงขึ้นเกี้ยวกลับจวนให้เร็วที่สุด เนื่องจากนางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ นางอยากสลับจดหมายจากรัชทายาท ก่อนจะถึงมือฉู่ซีเย่ เพราะถ้าเขารู้เรื่องสัญญาหมั้นหมาย เขาคงไม่อยู่เฉย
ยิ่งเรื่องราวในอดีตเปิดเผย ชีวิตนางยิ่งต้องต้องระมัดระวังและรอบคอบ ฉู่ซีห่าวสละเสื้อคลุมให้นาง ชุดกระโปรงของนางเป็นสีขาว ครั้นเปื้อนเลือด จึงยิ่งน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน “อี้เหยา กินยานี่ก่อน พอจะแก้ปวดได้” ฉู่ซีห่าวไม่ขึ้นไปด้วย เขาต้องอยู่จัดการศพก่อน “ขอบคุณเจ้าค่ะ…” เหยาอี้เหยากลืนยาลงท้อง ก่อนจะเอ่ยกับเขา “ท่านเจ้าเมือง เรื่องที่ข้ารู้ความจริงแล้ว ได้โปรดอย่างบอกซื่อจื่อนะเจ้าคะ” ฉู่ซีเย่ทุ่มเทเล่นละครฉากใหญ่ ทำถึงขั้นให้ฟู่เจิ้งชิวมาหลอกนางอีกคน ดังนั้นจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากให้นางรู้ความจริงแม้แต่น้อย ซึ่งหากเขารู้ว่านางรู้ทุกอย่างแล้ว คนเลือดเย็นเช่นเขา คงจัดการเด็ดขาด “ได้” ฉู่ซีห่าวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าน้องชายจะทำอะไรบ้างหากนางรู้ รวมทั้งท่านปู่ที่คงกลับมาเพื่อเก็บนางเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางหนีไปเสีย “อี้เหยา เจ้าเคยคิดที่จะหนีไปจากเมืองโจวอี้หรือไม่” เหยาอี้เหยายิ้มบาง นางรู้ดีว่าตอนนี้ต้องวางเรื่องในอดีตที่ขมขื่นและหาทางเอาชีวิตรอดก่อน “ไม่ใช่ไม่คิด แต่ทำไม่ได้” “เช่นนั้นเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่” ฉู่ซีห่าวรู้เงื่อนไขการกำจัดพิษแมลงคุณไสยดี มีเพียงน้องชายที่ทำได้ แต่หากมีอย่างอื่นที่เขาทำได้ เขายินดี เหยาอี้เหยาคิดอย่างถี่ถ้วน นางไม่ใช่ไม่ไว้ใจเจ้าเมืองโจวอี้ เพียงแต่ฉู่ซีเย่กับเขาเป็นคนในครอบครัว จะให้มาผิดใจเพราะนางก็ไม่ได้ “ท่านช่วยข้าน้อยมากแล้วเจ้าค่ะแต่หากไม่รบกวนมากเกินไปนัก ข้าน้อยอยากรบกวนให้ท่านช่วยส่งข่าวให้คนผู้หนึ่ง” “ผู้ใดหรือ” เหยาอี้เหยาตอบ “ฉู่เซียนเซิงเจ้าค่ะ” “เจ้าหมายถึงท่านลุง?” “เจ้าค่ะ” อุปสรรคเดียวในตอนนี้ของนางคือพิษแมลงคุณไสย ซึ่งนางไม่อยากหวังพึ่งฉู่ซีเย่เพียงคนเดียว “ข้าน้อยอยากพบหน้าฉู่เซียนเซิงเป็นการส่วนตัว” “ได้ ข้าจะจัดการให้ พรุ่งนี้ท่านลุงคงมาร่วมงานเช่นกัน” เหยาอี้เหยาขอบคุณ เข้ามานั่งในเกี้ยวอย่างอ่อนล้าทั้งกายทั้งใจ นางหลับตาลงเพื่อพักสายตาสักครู่ แต่สมองกลับวุ่นวายยิ่ง นางจึงหยิบปิ่นเงินมากุมไว้ในมือให้ใจเย็นลง ปลายนิ้วนางสัมผัสกับอักษรบนด้ามปิ่นพร้อมกับพูดออกมาอย่างเหม่อลอย “สุยโจว…ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน” ค่ำมากแล้ว หิมะที่โปรยปรายลงมาตลอดหลายวันได้หยุดลง ทว่าอากาศรอบข้างยังคงเย็นจัด ถึงยังงั้นฉู่ซีเย่กลับไม่หนาว และยังเดินตัดผ่านซุ้มประตูออกจากเรือนด้วยเสื้อนอกเพียงตัวเดียว ชุดสีดำของเขายังเป็นชุดเดียวกันกับที่เดินทางออกนอกเมือง ชายเสื้อยังคงเปื้อนโคลน ปกติเขาเป็นคนรักความสะอาดยิ่ง แต่วันนี้กลับไม่สนใจ ภายใต้ท่าทีเรียบเฉย มีความร้อนใจที่ไม่ได้พูดออกมา ฉู่ซีเย่มุ่งหน้าไปที่เรือนทิศใต้ก่อนเป็นอันดับแรกนับตั้งแต่พบท่านปู่ที่เรือน ทว่าเดินไปไม่ถึงไหน กลับพบจิ่งเถียนที่เดินวนไปวนมาพร้อมโคมไฟหนึ่งดวง “ซื่อจื่อ” ครั้นจิ่งเถียนเห็นก็รีบยอบกายลง ใบหน้านางมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนไม่ต้องคาดเดา “นางไปไหน” “เรียนซื่อจื่อ คุณหนูเหยาไปตลาดตั้งแต่ช่วงบ่าย ยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ” จิ่งเถียนกังวลยิ่ง นางพยายามมาใกล้เรือนบูรพาเพื่อพบหน้าซื่อจื่อ แต่เขาพึ่งกลับมา ครั้นกลับมาแล้วก็ตรงดิ่งไปพบท่านอ๋อง นางจึงไม่มีโอกาสรายงาน “ให้คนไปตามหานาง ได้เรื่องอย่างไรรีบมารายงานข้า” เพราะรู้ว่านางขาดยาไม่ได้ ฉู่ซีเย่เลยไม่เคยกังวลว่านางจะหนีไปที่ใดได้ แต่ช่วงนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ วัวสันหลังเหวะเช่นเขาพลันร้อนใจขึ้นมาว่านางอาจรู้ความจริงแล้วหนีไป นัยน์ตาสาดประกายความอำมหิตจนจิ่งเถียนยังผวา “เจ้าค่ะ” จิ่งเถียนรีบไปทันที ฉู่ซีเย่มุ่งหน้าไปที่เรือนนางต่อ แต่เพียงแค่เปิดประตูเข้าไป กลิ่นหอมจนแทบเอียนปะทะเข้าจมูก ราวกับห้องถูกราดด้วยน้ำหอมเพื่อปกปิดกลิ่นอื่น แต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะปกปิดกลิ่นเลือดที่ลอยอวลในอากาศจางๆ สองเท้าก้าวเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็ว ข้าวของภายในห้องของนางจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ฉู่ซีเย่ไม่คิดละลาบละล้วง เพียงแต่ต้องการคำตอบว่าห้องนางมีกลิ่นเลือดได้อย่างไรเท่านั้น ตัวล็อกหีบเก็บชุดถูกเปิดออก ด้านในเป็นชุดของนาง เขาเปิดผ้าออกหลายทบ ก่อนจะเห็นห่อผ้าที่ด้านในมีชุดเสื้อคลุม ชุดไว้ทุกข์สีขาวที่เปื้อนเลือดสีคล้ำ นัยน์ตาฉู่ซีเย่มืดครึ้ม เขาปิดทุกอย่างแล้วรีบสาวเท้าไปยังเรือน ไม่รู้ทำไม แต่ลางสังหรณ์บอกว่านางอยู่ที่เรือนของเขา ทว่าเมื่อถึงที่เรือน นางก็ไม่อยู่ ฉู่ซีเย่มองกวาดไปทั่วห้อง ทุกอย่างจัดวางเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือมีซองจดหมายเพิ่มขึ้นมา “ซื่อจื่อ” กงซุนหลางที่นั่งเขียนฎีกาอยู่ห้องหนังสือรีบมาหา หลังเห็นซองจดหมายอยู่ในมือซื่อจื่อจึงคิดจะบอก “จดหมายส่งมาจาก…” “มีคนเข้ามาในห้องหรือไม่” ความปกติยิ่งคือความไม่ปกติอย่างหนึ่ง ฉู่ซีเย่วางจดหมาย เพียงเห็นว่าใครส่งมาก็แทบอยากปาทิ้ง “นอกจากข้าน้อย ไม่มีแล้ว” กงซุนหลางกล่าวอย่างมั่นใจ “อืม” ฉู่ซีเย่ไม่คาดคั้น เขารู้ในใจเงียบๆ ว่าเหยาอี้เหยาต้องเคยเข้ามาในห้องของเขา แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่เขาเชื่อความรู้สึกตัวเองมากกว่า “ซื่อจื่อ มีอันใดหรือไม่” “ตอนนี้ยังไม่มี” แต่อนาคตไม่แน่ ฉู่ซีเย่นิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอดเสื้อคลุม เขาอยากอาบน้ำแล้ว “ซื่อจื่อ จดหมายส่งมาจากอดีตองค์รัชทายาท ข้าน้อยคิดว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญ” กงซุนหลางไม่อยากให้ฉู่ซีเย่เมินจดหมาย “ข้ารู้แล้ว ให้คนยกอ่างน้ำเข้ามา” ฉู่ซีเย่ตอบ เขาไม่สนใจจดหมายแม้แต่น้อย กงซุนหลางมองซองจดหมายเป็นการทิ้งท้าย ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง รอจนเขาอาบน้ำเรียบร้อยจึงเข้าไปอีกครั้ง เพื่อเตือนเรื่องจดหมาย “ซื่อจื่อ จดหมายนี่ควรอ่านสักหน่อย” หย่งสวินส่งจดหมายมาทั้งที ไม่มีทางเป็นคำอวยพรทั่วไป “ไม่จำเป็น” สาบเสื้อด้านในแยกออกตามการเคลื่อนไหว ฉู่ซีเย่มัดเส้นผมหมาดๆ ไว้ด้านหลัง แขนเสื้อเลิกขึ้นจนเผยให้เห็นเส้นเลือดนูนเด่นบนลำแขนสุดแกร่ง “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ จดหมายถูกสับเปลี่ยนหรือ” “ต้องยอมรับในความสามารถของนาง” ฉู่ซีเย่ยิ้มเยือกเย็น นำจดหมายไปเผาไฟด้วยตัวเอง นัยน์ตาสีเข้มเรืองรองในความมืด “ข้าไม่ควรดูแคลนเจ้าเลย…อี้เหยา” เหยาอี้เหยาคิดจะสับเปลี่ยนจดหมายซึ่งอดีตองค์รัชทายาทเขียนมาแจ้งเรื่องหมั้นหมายของนางกับหลี่โหว ทว่านางมานึกขึ้นได้ตอนลงมือว่าคนอย่างฉู่ซีเย่ คงคาดเดาได้ไม่มากก็น้อย หากมีความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งนางยังคิดไม่ออกว่าควรจะเขียนอย่างไรหรือเลียนแบบลายมือให้ทัน ดังนั้นเลยคิดว่าแทนที่จะเสี่ยงทิ้งหลักฐานให้ฉู่ซีเย่จับตาย ไม่สู้นางเอาความขี้ระแวงของเขามาใช้ประโยชน์ คนอย่างฉู่ซีเย่ เมื่อพบพิรุธมากมายที่นางตั้งใจทิ้งไว้ เขาต้องไม่สนใจจดหมายเป็นแน่ ดีไม่ดีเขาคงเผาไปแล้วโดยที่นางไม่ต้องลำบาก ส่วนนางก็แค่ทำทีว่าพึ่งกลับ ไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ เหยาอี้เหยาคาดการณ์ระยะเวลากลับจวน นางหอบหิ้วสิ่งของลงจากรถม้า ทำทีว่าพึ่งกลับจากด้านนอก จิ่งเถียนที่เห็นนางลงมาก็รีบถลันมาหา บ่าวรับใช้คนอื่นรีบไปเรียนฉู่ซีเย่ “คุณหนูเหยา ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ ข้าน้อยร้อนใจแย่” “ขอโทษด้วย พอดีข้าเห็นสิ่งของน่าสนใจมากมายเลยอดใจไม่ไหว เดินไม่นานพริบตาเดียวก็ค่ำแล้ว” เนื่องจากบาดแผลจากธนูบนต้นขาซ้ายถือว่าสดใหม่ การจะลงน้ำหนักให้ไม่มีพิรุธจึงยากยิ่ง “แถมข้ายังเคราะห์ไม่ดี หกล้มจนขาแผลง ต้องวิ่งวุ่นไปหาท่านหมออีก สุดท้ายจึงล่าช้าปานนี้” “ท่านบาดเจ็บหรือเจ้าคะ!?” “ไม่มาก ท่านหมอรักษาแล้ว” นางเดินเขย่งโดยไม่ต้องเสแสร้ง “โถคุณหนู มาเจ้าค่ะ ข้าน้อยช่วยประคอง” "ขอบคุณเจ้ามาก" จิ่งเถียนเข้ามาช่วยพานางกลับเรือน แต่ยังไม่ทันได้นั่งพัก จินเฟยก็มาแจ้งข่าว “ซื่อจื่อต้องการให้คุณหนูเหยามาพบที่เรือนภายในหนึ่งเค่อ” “ข้าเกรงว่าจะไม่ได้เสียแล้ว พอดีตอนซื้อของ เกิดอุบัติเหตุจนขาแพลงเสียได้ เดินลำบากยิ่ง” ภายใต้รอยยิ้มนางซุกซ่อนทุกความรู้สึกไว้อย่างลึกเร้น ในเมื่อฉู่ซีเย่เล่นละครฉากใหญ่ใส่นาง งั้นนางก็คงต้องตั้งใจแสดงงิ้วให้เขาชมบ้างแล้ว "คำสั่งของซื่อจื่อ เกรงว่าท่านคงขัดไม่ได้" "แน่นอนว่าขัดไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้ให้ซื่อจื่อมาหาข้าน้อยที่เรือนเป็นอย่างไร""แน่นอนว่าขัดไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้ให้ซื่อจื่อมาหาข้าน้อยที่เรือนเป็นอย่างไร" เหยาอี้เหยาพูดประโยคนี้เพื่อปกป้องตัวเองจากเขา อีกทั้งนางยังต้องการรักษาชื่อเสียงให้พ้นข้อครหาใดใดก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ข้อสำคัญที่ทำให้นางต้องรู้จักวางตัวเพราะภายในจวนแห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์อย่างท่านอ๋องที่ควรให้เกียรติยิ่ง ดังนั้นจะข้ามศีรษะเขาไปหาหลานชายในคืนแรกคงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี“ซื่อจื่อมีธุระต้องจัดการมาก ไม่อาจมาหาคุณหนูได้ คงดีกว่าหากท่านเดินทางไปเอง ดังเช่นที่เคยทำ” บ่าวรับใช้อาวุโสยังคงกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม แต่ปลายประโยคเจือถ้อยคำดูแคลนด้วยการยกสิ่งที่นางเคยทำมาพูด ราวกับจะบอกว่านางเคยไปร่วมหลับนอนกับฉู่ซีเย่แล้ว จะมาเล่นแง่รักษาหน้าตาอีกเพื่ออะไร“เป็นความจริงที่ข้าเคยไป ทว่าซื่อจื่อเองก็เคยมาหาข้าบ่อยครั้ง” เหยาอี้เหยายิ้ม นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้อาวุโสตั้งแง่กับนางเป็นพิเศษ อาจจะเพราะคิดว่านางแย่งตำแหน่งอนุกับสตรีที่นางรับเงินเพื่อประเคนให้ฉู่ซีเย่ “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ ซื่อจื่อถึงกับตามข้าไปที่จวนเจ้าเมือง”บ่าวรับใช้อาวุโสทำหน้าปั้นยาก แต่ต้องถอยออกมาพร้อมยอบกายลง“บ่าวคิด
ฉู่ซีเย่เกิดในคืนหนาวเหน็บรอบร้อยปี ฤดูหนาวของปีนั้นแช่แข็งเมืองโจวอี้ให้ขาวโพลน เขาเกิดมาตัวเล็กเท่าฝ่ามือ ทว่าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงยิ่ง ฉู่เหวยจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ซีเย่’ ที่แปลว่าค่ำคืนซึ่งเขาได้ผ่านมา ทั้งยังคล้องจองกับ ‘ฉูซีเย่’ (除夕夜) คืนในวันสิ้นปีเพราะเขาเกิดในวันสิ้นปีพอดีฉู่เหวยจำวันที่หลานชายคลอดได้ดี ความโกลาหลมาเยือนในยามวิกาล บ่าวรับใช้วิ่งวุ่นทั่วเรือนทิศใต้จวบจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม เสียงร้องไห้ของหัวใจแห่งแดนเหนือดังแผดไปทั่วจวนพร้อมเสียงแห่งความยินดีทว่าไม่กี่เดือนให้หลัง จวนทั้งหลังต้องผูกผ้าขาวเพื่อไว้อาลัยให้ซื่อจื่อฉู่ฮั่นและพระชายาเฝิงอันความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายยังคงซ่อนลึกในดวงวิญญาณ ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าผากที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา ไหล่หนักอึ้งราวแบกน้ำหนักหลายพันชั่งชั่วขณะหนึ่งฉู่เหวยราวกับเหน็ดเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้ว หายใจยังฝืนเค้นพลังออกมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมาจากตั่งเตียงไม่รู้ว่าคุ้นเคยกับดินทรายนอกด่านมากไปหรือไม่ เขาถึงทนนอนบนตั่งไม่ได้เลย“ท่านอ๋อง ฟ้ายังไม่สางดี ท่านควรพักผ่อนอีกหน่อยดีหรือไม่”ฉู่เหวยบอกว่าไม่แล้ว เขาลุกข
สายลมพัดระเรื่อย เกล็ดหิมะแวววาวร่วงหล่นอย่างแช่มช้า เหยาอี้เหยาเดินกลับจวนเพียงลำพังเส้นทางตัดผ่านระหว่างจวนบูรพาทำให้นางต้องข้ามสะพาน ความหนาวเย็นจับน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง ชั่วขณะนั้นสายลมพัดมากระทบแก้ม แต่ไม่หนาวเลย ซ้ำยังอบอุ่นยิ่งเหยาอี้เหยารู้ตัวโดยพลันว่าฉู่ซีเย่อยู่อีกด้านของสะพาน ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็พบเขาตามคาดฉู่ซีเย่ยืนอยู่ปลายสะพาน สวมชุดแต่งกายสีแดงในงานพิธีอย่างสง่างาม บนศีรษะครอบเกี้ยวหยก มือเขาถือร่มกระดาษ ใบหน้าไม่สื่ออารมณ์“ซื่อจื่อ” เหยาอี้เหยายอบกายลงคาราวะ นางคิดจะย่อค้างไว้จนกระทั่งเขาเดินผ่านไป แต่ฉู่ซีเย่กลับเรียกให้นางไปด้วย“ตามข้ามา”“เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่มีทางเลือกนอกจากติดตามฉู่ซีเย่ไป เขาเลี้ยวขวา อ้อมเรือนบูรพา สร้างความสงสัยให้นางยิ่ง “ซื่อจื่อ ท่านจะพาข้าไปไหนหรือ”“ท้ายจวน”บริเวณท้ายจวนเป็นทิศใต้ เป็นตำแหน่งที่นางไม่เคยสำรวจ แต่เคยได้ยินว่าเป็นทางเข้าศาลบรรพชนของคนสกุลฉู่ ในใจจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงกำลังไปเคารพป้ายวิญญาณบิดามารดา แล้วก็เป็นเช่นนั้น หลังลอดซุ้มประตูออกมา เบื้องหน้านางเป็นทางเข้าศาลบรรพชนสกุลฉู่จริงๆ“เข้ามา” ฉู่ซีเย่ก้าวเข้าไปใน
‘ได้ ข้าสาบาน’คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในสมองของนางจนถึงตอนนี้ ชั่วขณะหนึ่งนางเกิดคำถามว่าคุ้มค่าแน่หรือ นางปรารถนาจะคืนความบริสุทธิ์ให้ท่านตามาตลอด แต่ตอนนี้นางสาบานว่าจะหยุดทุกอย่างช่างอกตัญญู…แต่นางเชื่อว่าท่านตาต้องเข้าใจในความจำเป็นของนาง อีกทั้งหากต้องแลกกับชีวิตของคนทั้งตระกูล ท่านตาย่อมยอมที่จะรับผิดไว้คนเดียวเพราะฉะนั้นนางต้องไม่ให้ท่านตาเหนื่อยเปล่าไม่ว่าต้องทำอย่างไร นางต้องมีชีวิตรอดต่อไปนางกำหนังสือยกเลิกหมั้นหมายแน่น กวาดสายตามองสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเก็บลงในแขนเสื้อ นางสบายใจยิ่ง ราวกับความหนักอึ้งกึ่งหนึ่ง ได้ปลดระวางลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงแก้พิษแมลงคุณไสยเท่านั้นเหยาอี้เหยาหลับตาลงพิงพนักรถม้าขณะรอซ่างเจวี๋ยต่อคิวเข้าเมือง ความเงียบพานางเข้าสู่ภวังค์ คิดพินิจไปถึงแผนการในค่ำคืนนี้ นางอยากทำให้ไร้ช่องโหว่มากที่สุด ถึงอย่างนั้นนางก็ยอมรับ ว่าแผนการค่อนข้างบ้าบิ่น รวมทั้งอาจทำให้ฉู่ซีเย่ เลือกบีบคอนางให้ตายแทนช่วยแก้พิษ“เรียบร้อยแล้ว” ซ่างเจวี๋ยนำป้ายอนุญาตเข้าเมืองกลับมาด้วย เขาจูงม้าเดินไปตามแถวยาว“รบกวนแม่ทัพซ่างแล้ว” เหยาอี้เหยาเลิกม่านมู่ลี่ออกมาคุยด้วย เ
เรือนจำของเมืองโจวอี้มีลักษณะค่อนข้างตายตัว เหยาอี้เหยาเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน ตอนถูกฉู่กวงหลินจับใส่คุก จึงปรับตัวได้เร็วเหยาอี้เหยานั่งอยู่บนแคร่ทางซ้ายอย่างเรียบร้อย ส่วนฉู่ซีเย่นั่งอยู่ข้างๆ นางไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใด แต่ท่าทีของเขาค่อนข้างสร้างความแปลกใจให้นางอยู่มาก นางนึกว่าเขาจะต้องหักคอนางทันทีที่มีโอกาสแน่ ทว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือแค้นใจ ทั้งๆ ที่โดนนางหักหลัง ทำเขามาติดคุกด้วยกันท่าทีที่เหนือความคาดหมายของฉู่ซีเย่สร้างความลำบากใจให้นางเสียเอง เพราะแรกทีเดียวนางคิดไว้ว่าคืนนี้คงต้องลับฝีปากหรือเป็นหุ่นให้เขาซ้อมจนพอใจกระนั้นเรื่องที่คิดก็ไม่เกิดขึ้น ฉู่ซีเย่คล้ายยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นั่งนิ่งเฉยอยู่นานเวลาที่เคลื่อนผ่านช่างทำให้คนรู้สึกอึดอัด เหยาอี้เหยาเขี่ยฟางแห้งใต้เท้าจนหมด ก่อนจะกระแอมกระไอ เป็นคนเริ่มเปิดประเด็น“ซื่อจื่อ”“อืม” ฉู่ซีเย่ขานตอบ เสียงเขาค่อนข้างธรรมชาติ เดาไม่ออกแม้แต่น้อยว่ารู้สึกอย่างไร“โกรธข้าหรือไม่ที่หักหลังท่าน” ทีแรกนางไม่ได้รู้สึกผิด แต่ท่าทีไม่กล่าวโทษของเขาเริ่มทำ
“ตายหมดแล้ว”เสียงพูดคุยด้านนอกปลุกเหยาอี้เหยาให้ตื่นขึ้น นางกระพริบตาสองสามที ใช้เวลาครู่สั้นๆ ในการตั้งสติภายใต้แสงสลัวของไฟจากคบเพลิงเหนือหัวเหยาอี้เหยากวาดสายตาไปด้านข้าง เห็นฉู่ซีเย่ยังคงหลับใหลอยู่ บนร่างกายของเขาสวมชุดไม่ค่อยเรียบร้อยดีนัก ส่วนนางเองก็ไม่ต่างกันเนื่องจากเมื่อครู่นางและฉู่ซีเย่พึ่งทำเรื่องนั้นไป…คิดถึงเรื่องนี้ นางก็ลนลานรวบสาบเสื้อเข้ากันก่อนจะรัดเอวให้แน่น ทว่าพอขยับตัว ขาข้างซ้ายของนางพลันเจ็บแปลบจนทรุดอย่างไร้สาเหตุ เหยาอี้เหยาอยากรวบกระโปรงขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแผลบนขาข้างซ้ายที่พอจะสมานแล้วจึงร้าวขนาดนี้ แต่เสียงคนด้านนอกทำให้นางอยากหาที่หลบมากกว่า“ซื่อจื่ออาจหนีไปได้ ตรวจดูทางลับแล้วหรือยัง”ทางลับหรือ? ตรงนี้ ใช่ทางลับหรือไม่“ซื่อจื่อ ตื่น” นางยื่นมือไปปลุกเขา ทว่าเขากลับไม่ตื่น ทำเพียงพลิกตัวหนี เวลานั้นมีเสียงคนกระทุ้งผนังด้านนอก“ใต้เท้าชิ่ว ตรงนี้คือทางลับ”“ตื่นเร็ว”เหยาอี้เหยาหันไปปลุกฉู่ซีเย่อีกรอบ ทว่าเขาไม่ตื่น นางร้อนรนจนเหงื่อซึมเมื่อเห็นแสงไฟ ก่อนจะกัดฟันกลั้นความเจ็บ คลานไปหลบตรงซอกหินสาเหตุที่นางต้องหลบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื
กว่าเหยาอี้เหยาจะหลบหนีออกมาจากเรือนจำได้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว นางหยิบยืมผ้าคลุมจากชาวบ้านมาห่อตัวกันหนาว เดินโขยกเขยกเท้าไปเคาะประตูหลังจวนคณะราชทูตเหยาอี้เหยาไม่สนใจว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมืองจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่นางต้องทำคือหลบซ่อนเพื่อให้พิษคลายอย่างหมดจด แล้วค่อยออกไปให้คนจับเวลานี้พิษแมลงคุณไสยถูกกำจัดแล้ว เมื่อถึงเวลาไต่สวนสืบหาความจริงก็จะไม่พบพิษ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ฉู่ซีเย่กับนางก็รอดพ้นจากข้อครหาแน่ แต่นางไม่รอดเรื่องกล่าวหาเขาแน่ ดีไม่ดีจะถูกลงทัณฑ์ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นนางก็พร้อมยอมรับโดยดี เพียงแต่ตอนนี้ขอพักผ่อนหายใจหายคอสักครู่จังหวะที่นางเคาะเป็นสัญญาณลับ ซ่างเจวี๋ยที่รอคอยอย่างใจจดจ่อจึงรีบมาเปิด“อี้เหยา!”“แม่ทัพซ่าง” นางเรียกอย่างอ่อนล้า ครั้นเห็นพวกเขาสองเข่าก็อ่อนยวบ ดีที่กงจิ้งรับทัน“บาดเจ็บรึ” ใบหน้าเหยาอี้เหยานับว่าซีดขาวยิ่ง“ไม่เจ้าค่ะ เพียงแค่อ่อนล้าเท่านั้น” อาจจะเป็นผลข้างเคียงของการถอนพิษ แม้นางจะไม่รู้เรื่องพิษ แต่ลึกๆ นางรู้สึกได้ ฉู่ซีเย่แก้พิษให้นางแล้ว“พิษบนตัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่หมิงถาม“แก้แล้วเจ้าค่ะ”“ดียิ่ง!” ซ่างเจวี๋ยกระโ
ต้องบอกว่ากระดานหมากนี้พลิกได้ด้วยความบังเอิญความจริงฉู่ซีเย่ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ซ่างเจวี๋ยเป็นตัวฝังแมลงคุณไสย พูดอีกอย่างคือเขาไม่เคยคิดเหลือบแลคนผู้นี้เลยด้วยซ้ำเพียงแต่จังหวะ ความเหมาะสม สถานการณ์ ทุกอย่างช่างเหมาะเจาะจนต้องใช้เขา อา ไม่สิ ใช้นางเป็นที่ฝังแมลงคุณไสยถ้าถามว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าหากผสานหยินหยางแล้วเขาจะต้องตาย นั้นเพราะเขาทดลองก่อนใครจะโง่งมทำอะไรมั่วซั่วกับพิษที่ขึ้นชื่อว่าแก้ไม่ได้หลังจากทดลองและค้นคว้าเรื่องแมลงคุณไสยห้าปี ฉู่ซีเย่พบว่าการจะแก้พิษนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เขายอมรับว่ายังไม่พบหนทางในการแก้พิษอย่างแท้จริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ค้นพบหนทางในการแก้โดยอาศัยหลักการจากศาสตร์หลายๆ ด้านรวมกัน พร้อมกับคิดว่า การผสานหยินหยางน่าจะเป็นวิธีเดียวซึ่งเขาค่อนข้างมั่นใจเพราะท่านลุงก็แนะนำวิธีนี้มา แต่เขาเป็นคนหวงแหนชีวิตยิ่ง อะไรที่ไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยต่อชีวิต เขาจะไม่ทำ โดยเฉพาะพิษแมลงคุณไสยซึ่งซับซ้อนและไร้ข้อมูล ฉู่ซีเย่ยิ่งระมัดระวังในการทดสอบ ไม่ทำอะไรมั่วซั่วไร้หลักการเขาถึงขนาดเพาะเลี้ยงกระต่ายไว้ทดสอบพิษโดยเฉพาะจนพบว่าถ้าเขาผสานหยินหยางกับเหยาอี้เหยา…เขาจะต
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม