บาดแผลบนขาซ้ายได้รับการรักษาแล้ว เหยาอี้เหยาจึงขึ้นเกี้ยวกลับจวนให้เร็วที่สุด เนื่องจากนางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ นางอยากสลับจดหมายจากรัชทายาท ก่อนจะถึงมือฉู่ซีเย่ เพราะถ้าเขารู้เรื่องสัญญาหมั้นหมาย เขาคงไม่อยู่เฉยยิ่งเรื่องราวในอดีตเปิดเผย ชีวิตนางยิ่งต้องต้องระมัดระวังและรอบคอบฉู่ซีห่าวสละเสื้อคลุมให้นาง ชุดกระโปรงของนางเป็นสีขาว ครั้นเปื้อนเลือด จึงยิ่งน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน“อี้เหยา กินยานี่ก่อน พอจะแก้ปวดได้” ฉู่ซีห่าวไม่ขึ้นไปด้วย เขาต้องอยู่จัดการศพก่อน“ขอบคุณเจ้าค่ะ…” เหยาอี้เหยากลืนยาลงท้อง ก่อนจะเอ่ยกับเขา “ท่านเจ้าเมือง เรื่องที่ข้ารู้ความจริงแล้ว ได้โปรดอย่างบอกซื่อจื่อนะเจ้าคะ”ฉู่ซีเย่ทุ่มเทเล่นละครฉากใหญ่ ทำถึงขั้นให้ฟู่เจิ้งชิวมาหลอกนางอีกคน ดังนั้นจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากให้นางรู้ความจริงแม้แต่น้อย ซึ่งหากเขารู้ว่านางรู้ทุกอย่างแล้ว คนเลือดเย็นเช่นเขา คงจัดการเด็ดขาด“ได้” ฉู่ซีห่าวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าน้องชายจะทำอะไรบ้างหากนางรู้ รวมทั้งท่านปู่ที่คงกลับมาเพื่อเก็บนางเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางหนีไปเสีย“อี้เหยา เจ้าเคยค
"แน่นอนว่าขัดไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้ให้ซื่อจื่อมาหาข้าน้อยที่เรือนเป็นอย่างไร" เหยาอี้เหยาพูดประโยคนี้เพื่อปกป้องตัวเองจากเขา อีกทั้งนางยังต้องการรักษาชื่อเสียงให้พ้นข้อครหาใดใดก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ข้อสำคัญที่ทำให้นางต้องรู้จักวางตัวเพราะภายในจวนแห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์อย่างท่านอ๋องที่ควรให้เกียรติยิ่ง ดังนั้นจะข้ามศีรษะเขาไปหาหลานชายในคืนแรกคงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี“ซื่อจื่อมีธุระต้องจัดการมาก ไม่อาจมาหาคุณหนูได้ คงดีกว่าหากท่านเดินทางไปเอง ดังเช่นที่เคยทำ” บ่าวรับใช้อาวุโสยังคงกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม แต่ปลายประโยคเจือถ้อยคำดูแคลนด้วยการยกสิ่งที่นางเคยทำมาพูด ราวกับจะบอกว่านางเคยไปร่วมหลับนอนกับฉู่ซีเย่แล้ว จะมาเล่นแง่รักษาหน้าตาอีกเพื่ออะไร“เป็นความจริงที่ข้าเคยไป ทว่าซื่อจื่อเองก็เคยมาหาข้าบ่อยครั้ง” เหยาอี้เหยายิ้ม นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้อาวุโสตั้งแง่กับนางเป็นพิเศษ อาจจะเพราะคิดว่านางแย่งตำแหน่งอนุกับสตรีที่นางรับเงินเพื่อประเคนให้ฉู่ซีเย่ “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ ซื่อจื่อถึงกับตามข้าไปที่จวนเจ้าเมือง”บ่าวรับใช้อาวุโสทำหน้าปั้นยาก แต่ต้องถอยออกมาพร้อมยอบกายลง“บ่าวคิด
ฉู่ซีเย่เกิดในคืนหนาวเหน็บรอบร้อยปี ฤดูหนาวของปีนั้นแช่แข็งเมืองโจวอี้ให้ขาวโพลน เขาเกิดมาตัวเล็กเท่าฝ่ามือ ทว่าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงยิ่ง ฉู่เหวยจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ซีเย่’ ที่แปลว่าค่ำคืนซึ่งเขาได้ผ่านมา ทั้งยังคล้องจองกับ ‘ฉูซีเย่’ (除夕夜) คืนในวันสิ้นปีเพราะเขาเกิดในวันสิ้นปีพอดีฉู่เหวยจำวันที่หลานชายคลอดได้ดี ความโกลาหลมาเยือนในยามวิกาล บ่าวรับใช้วิ่งวุ่นทั่วเรือนทิศใต้จวบจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม เสียงร้องไห้ของหัวใจแห่งแดนเหนือดังแผดไปทั่วจวนพร้อมเสียงแห่งความยินดีทว่าไม่กี่เดือนให้หลัง จวนทั้งหลังต้องผูกผ้าขาวเพื่อไว้อาลัยให้ซื่อจื่อฉู่ฮั่นและพระชายาเฝิงอันความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายยังคงซ่อนลึกในดวงวิญญาณ ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าผากที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา ไหล่หนักอึ้งราวแบกน้ำหนักหลายพันชั่งชั่วขณะหนึ่งฉู่เหวยราวกับเหน็ดเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้ว หายใจยังฝืนเค้นพลังออกมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมาจากตั่งเตียงไม่รู้ว่าคุ้นเคยกับดินทรายนอกด่านมากไปหรือไม่ เขาถึงทนนอนบนตั่งไม่ได้เลย“ท่านอ๋อง ฟ้ายังไม่สางดี ท่านควรพักผ่อนอีกหน่อยดีหรือไม่”ฉู่เหวยบอกว่าไม่แล้ว เขาลุกข
สายลมพัดระเรื่อย เกล็ดหิมะแวววาวร่วงหล่นอย่างแช่มช้า เหยาอี้เหยาเดินกลับจวนเพียงลำพังเส้นทางตัดผ่านระหว่างจวนบูรพาทำให้นางต้องข้ามสะพาน ความหนาวเย็นจับน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง ชั่วขณะนั้นสายลมพัดมากระทบแก้ม แต่ไม่หนาวเลย ซ้ำยังอบอุ่นยิ่งเหยาอี้เหยารู้ตัวโดยพลันว่าฉู่ซีเย่อยู่อีกด้านของสะพาน ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็พบเขาตามคาดฉู่ซีเย่ยืนอยู่ปลายสะพาน สวมชุดแต่งกายสีแดงในงานพิธีอย่างสง่างาม บนศีรษะครอบเกี้ยวหยก มือเขาถือร่มกระดาษ ใบหน้าไม่สื่ออารมณ์“ซื่อจื่อ” เหยาอี้เหยายอบกายลงคาราวะ นางคิดจะย่อค้างไว้จนกระทั่งเขาเดินผ่านไป แต่ฉู่ซีเย่กลับเรียกให้นางไปด้วย“ตามข้ามา”“เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่มีทางเลือกนอกจากติดตามฉู่ซีเย่ไป เขาเลี้ยวขวา อ้อมเรือนบูรพา สร้างความสงสัยให้นางยิ่ง “ซื่อจื่อ ท่านจะพาข้าไปไหนหรือ”“ท้ายจวน”บริเวณท้ายจวนเป็นทิศใต้ เป็นตำแหน่งที่นางไม่เคยสำรวจ แต่เคยได้ยินว่าเป็นทางเข้าศาลบรรพชนของคนสกุลฉู่ ในใจจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงกำลังไปเคารพป้ายวิญญาณบิดามารดา แล้วก็เป็นเช่นนั้น หลังลอดซุ้มประตูออกมา เบื้องหน้านางเป็นทางเข้าศาลบรรพชนสกุลฉู่จริงๆ“เข้ามา” ฉู่ซีเย่ก้าวเข้าไปใน
‘ได้ ข้าสาบาน’คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในสมองของนางจนถึงตอนนี้ ชั่วขณะหนึ่งนางเกิดคำถามว่าคุ้มค่าแน่หรือ นางปรารถนาจะคืนความบริสุทธิ์ให้ท่านตามาตลอด แต่ตอนนี้นางสาบานว่าจะหยุดทุกอย่างช่างอกตัญญู…แต่นางเชื่อว่าท่านตาต้องเข้าใจในความจำเป็นของนาง อีกทั้งหากต้องแลกกับชีวิตของคนทั้งตระกูล ท่านตาย่อมยอมที่จะรับผิดไว้คนเดียวเพราะฉะนั้นนางต้องไม่ให้ท่านตาเหนื่อยเปล่าไม่ว่าต้องทำอย่างไร นางต้องมีชีวิตรอดต่อไปนางกำหนังสือยกเลิกหมั้นหมายแน่น กวาดสายตามองสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเก็บลงในแขนเสื้อ นางสบายใจยิ่ง ราวกับความหนักอึ้งกึ่งหนึ่ง ได้ปลดระวางลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงแก้พิษแมลงคุณไสยเท่านั้นเหยาอี้เหยาหลับตาลงพิงพนักรถม้าขณะรอซ่างเจวี๋ยต่อคิวเข้าเมือง ความเงียบพานางเข้าสู่ภวังค์ คิดพินิจไปถึงแผนการในค่ำคืนนี้ นางอยากทำให้ไร้ช่องโหว่มากที่สุด ถึงอย่างนั้นนางก็ยอมรับ ว่าแผนการค่อนข้างบ้าบิ่น รวมทั้งอาจทำให้ฉู่ซีเย่ เลือกบีบคอนางให้ตายแทนช่วยแก้พิษ“เรียบร้อยแล้ว” ซ่างเจวี๋ยนำป้ายอนุญาตเข้าเมืองกลับมาด้วย เขาจูงม้าเดินไปตามแถวยาว“รบกวนแม่ทัพซ่างแล้ว” เหยาอี้เหยาเลิกม่านมู่ลี่ออกมาคุยด้วย เ
เรือนจำของเมืองโจวอี้มีลักษณะค่อนข้างตายตัว เหยาอี้เหยาเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน ตอนถูกฉู่กวงหลินจับใส่คุก จึงปรับตัวได้เร็วเหยาอี้เหยานั่งอยู่บนแคร่ทางซ้ายอย่างเรียบร้อย ส่วนฉู่ซีเย่นั่งอยู่ข้างๆ นางไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใด แต่ท่าทีของเขาค่อนข้างสร้างความแปลกใจให้นางอยู่มาก นางนึกว่าเขาจะต้องหักคอนางทันทีที่มีโอกาสแน่ ทว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือแค้นใจ ทั้งๆ ที่โดนนางหักหลัง ทำเขามาติดคุกด้วยกันท่าทีที่เหนือความคาดหมายของฉู่ซีเย่สร้างความลำบากใจให้นางเสียเอง เพราะแรกทีเดียวนางคิดไว้ว่าคืนนี้คงต้องลับฝีปากหรือเป็นหุ่นให้เขาซ้อมจนพอใจกระนั้นเรื่องที่คิดก็ไม่เกิดขึ้น ฉู่ซีเย่คล้ายยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นั่งนิ่งเฉยอยู่นานเวลาที่เคลื่อนผ่านช่างทำให้คนรู้สึกอึดอัด เหยาอี้เหยาเขี่ยฟางแห้งใต้เท้าจนหมด ก่อนจะกระแอมกระไอ เป็นคนเริ่มเปิดประเด็น“ซื่อจื่อ”“อืม” ฉู่ซีเย่ขานตอบ เสียงเขาค่อนข้างธรรมชาติ เดาไม่ออกแม้แต่น้อยว่ารู้สึกอย่างไร“โกรธข้าหรือไม่ที่หักหลังท่าน” ทีแรกนางไม่ได้รู้สึกผิด แต่ท่าทีไม่กล่าวโทษของเขาเริ่มทำ
“ตายหมดแล้ว”เสียงพูดคุยด้านนอกปลุกเหยาอี้เหยาให้ตื่นขึ้น นางกระพริบตาสองสามที ใช้เวลาครู่สั้นๆ ในการตั้งสติภายใต้แสงสลัวของไฟจากคบเพลิงเหนือหัวเหยาอี้เหยากวาดสายตาไปด้านข้าง เห็นฉู่ซีเย่ยังคงหลับใหลอยู่ บนร่างกายของเขาสวมชุดไม่ค่อยเรียบร้อยดีนัก ส่วนนางเองก็ไม่ต่างกันเนื่องจากเมื่อครู่นางและฉู่ซีเย่พึ่งทำเรื่องนั้นไป…คิดถึงเรื่องนี้ นางก็ลนลานรวบสาบเสื้อเข้ากันก่อนจะรัดเอวให้แน่น ทว่าพอขยับตัว ขาข้างซ้ายของนางพลันเจ็บแปลบจนทรุดอย่างไร้สาเหตุ เหยาอี้เหยาอยากรวบกระโปรงขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแผลบนขาข้างซ้ายที่พอจะสมานแล้วจึงร้าวขนาดนี้ แต่เสียงคนด้านนอกทำให้นางอยากหาที่หลบมากกว่า“ซื่อจื่ออาจหนีไปได้ ตรวจดูทางลับแล้วหรือยัง”ทางลับหรือ? ตรงนี้ ใช่ทางลับหรือไม่“ซื่อจื่อ ตื่น” นางยื่นมือไปปลุกเขา ทว่าเขากลับไม่ตื่น ทำเพียงพลิกตัวหนี เวลานั้นมีเสียงคนกระทุ้งผนังด้านนอก“ใต้เท้าชิ่ว ตรงนี้คือทางลับ”“ตื่นเร็ว”เหยาอี้เหยาหันไปปลุกฉู่ซีเย่อีกรอบ ทว่าเขาไม่ตื่น นางร้อนรนจนเหงื่อซึมเมื่อเห็นแสงไฟ ก่อนจะกัดฟันกลั้นความเจ็บ คลานไปหลบตรงซอกหินสาเหตุที่นางต้องหลบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื
กว่าเหยาอี้เหยาจะหลบหนีออกมาจากเรือนจำได้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว นางหยิบยืมผ้าคลุมจากชาวบ้านมาห่อตัวกันหนาว เดินโขยกเขยกเท้าไปเคาะประตูหลังจวนคณะราชทูตเหยาอี้เหยาไม่สนใจว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมืองจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่นางต้องทำคือหลบซ่อนเพื่อให้พิษคลายอย่างหมดจด แล้วค่อยออกไปให้คนจับเวลานี้พิษแมลงคุณไสยถูกกำจัดแล้ว เมื่อถึงเวลาไต่สวนสืบหาความจริงก็จะไม่พบพิษ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ฉู่ซีเย่กับนางก็รอดพ้นจากข้อครหาแน่ แต่นางไม่รอดเรื่องกล่าวหาเขาแน่ ดีไม่ดีจะถูกลงทัณฑ์ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นนางก็พร้อมยอมรับโดยดี เพียงแต่ตอนนี้ขอพักผ่อนหายใจหายคอสักครู่จังหวะที่นางเคาะเป็นสัญญาณลับ ซ่างเจวี๋ยที่รอคอยอย่างใจจดจ่อจึงรีบมาเปิด“อี้เหยา!”“แม่ทัพซ่าง” นางเรียกอย่างอ่อนล้า ครั้นเห็นพวกเขาสองเข่าก็อ่อนยวบ ดีที่กงจิ้งรับทัน“บาดเจ็บรึ” ใบหน้าเหยาอี้เหยานับว่าซีดขาวยิ่ง“ไม่เจ้าค่ะ เพียงแค่อ่อนล้าเท่านั้น” อาจจะเป็นผลข้างเคียงของการถอนพิษ แม้นางจะไม่รู้เรื่องพิษ แต่ลึกๆ นางรู้สึกได้ ฉู่ซีเย่แก้พิษให้นางแล้ว“พิษบนตัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่หมิงถาม“แก้แล้วเจ้าค่ะ”“ดียิ่ง!” ซ่างเจวี๋ยกระโ
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม