ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว เมื่อฉู่ซีเย่ควบม้ามาถึงประตูเมือง
ร่างสูงในชุดสีดำองอาจลงจากอาชา เขาเหยียบย่ำหิมะเพื่อขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ ทหารรักษาประตูเมืองคาดไม่ถึงว่าฉู่ซีเย่จะมาในวันนี้ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ กระทั่งไม่มีเวลาแต่งกายให้เรียบร้อย ท่าทีจึงลนลานและประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ฉู่ซีเย่เห็นท่าทีของทหารก็ได้แสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้พูดแต่ตำหนิทางสายตาจนคนอยากกระโดดหอในทันที "ขอซื่อจื่อโปรดลงโทษ ข้าน้อยผิดไปแล้ว" ช่วงนี้ใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ทหารบางรายอาจหละหลวมไปบ้าง ฉู่ซีเย่จึงคาดโทษไว้ แต่หากมีครั้งหน้า ย่อมไม่เอาไว้ "ลุกขึ้น ไปแต่งกายให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉู่อ๋องจะกลับมา"ฉู่ซีเย่ไม่อยากให้ท่านตามาเห็นเหล่าทหารในสภาพนี้ แม่ทัพแสดงสีหน้ามึนงงยิ่ง "ซื่อจื่อ มิใช่ว่าท่านอ๋องเข้าเมืองมาแล้วหรือ?" ฉู่ซีเย่หันไปมองธงด้านตรงข้าม ปกติหัวธงประจำกองทัพจะไม่ขึ้น เพื่อบอกว่าฉู่อ๋องไม่อยู่ เมื่อครู่เขาไม่เห็นเพราะหมอกหนาตา ครั้นเห็นชัดเต็มสองตา มือเรียวข้างลำตัวกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงิน "ฉู่อ๋องเข้าเมืองมาเมื่อใด" "มะ...เมื่อคืนขอรับ" ความอำมหิตอันเข้มข้นนี่คืออันใด? ฉู่ซีเย่แทบจะพุ่งลงจากหอสังเกตการณ์หลังจบประโยค และยังไม่ทันที่ทหารรักษาการณ์จะทันได้ลงมาส่ง เขาก็ควบม้าไปไกลลิบจนมองเห็นเพียงจุดสีดำ "ท่านปู่ ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่..." ฉู่ซีเย่ใบหน้าอึมครึม เขาถูกท่านปู่ล่อให้ออกมาจากเมือง เรือนพักนอกชานเมืองของเหล่าคณะทูตจากต้าหย่งมีงานแต่เช้า พวกเขากำลังเร่งมือตกแต่งให้ทันก่อนงานวันฉูซี วันส่งท้ายปีเก่าในวันพรุ่งนี้ เหนือกำแพงมีร่างสูงของกงจิ้ง ในมือถือไม้กวาดเหล็ก เขากวาดตามองหลังคาที่สะอาดไร้หิมะ ก่อนจะเหินลงมายืนบนลาน เวลานั้นซ่างเจวี๋ยซึ่งรับหน้าที่ออกไปจับจ่ายข้าวของสำหรับงานกลับมาพร้อมสิ่งของเต็มอ้อมแขนและรถเข็นคันใหญ่ “ช่วยข้าหน่อย” ลู่หมิงวางพู่กันทันที เมื่อครู่เขาเขียนตุ้ยเหลียนเพื่อติดตามวงกบประตู รวมทั้งคำว่า ฝู กลับหัว อันมีความหมายว่าความสุขได้มาถึงแล้ว “ซื้ออันใดเยอะแยะ” ลู่หมิงช่วยหิ้วตะกร้าผลไม้มงคลมากมายทั้งส้ม ทับทิม ยังมีไก่ ปลา ขนมเข่ง ขนมเหนียนเกา แต่สิ่งที่เยอะที่สุดคือประทัด ดอกไม้ไฟ ซ่างเจวี๋ยเหมือนเหมามาหมดทั้งร้านค้า “เจ้าซื้อมาเผาบ้านใคร" “บ้านเจ้านะซิ ปีนี้พบเรื่องบัดซบมามาก อยากจะฉลองส่งท้ายปีอย่างอลังการเสียหน่อย” “เป็นคุณชายตระกูลใหญ่ดีเช่นนี้เอง” กงจิ้งพับแขนเสื้อ ซ่างเจวี๋ยคิดว่าเขาจะมาช่วยหยิบจับสิ่งของจึงยื่นตะกร้าอาหารเช้า แต่เขากลับหันไปหยิบผลไม้ทำท่าจะกิน “องุ่นนี้ท่านกินไม่ได้” ซ่างเจวี๋ยรีบแย่งมา ปีนี้อากาศหนาวมากเป็นพิเศษทั้งยังเผชิญหน้าแล้ง องุ่นแดงเลยราคาแพงลิบ ทว่ากงจิ้งพลิกมือ โยนผลองุ่นเข้าปากแล้ว ซ่างเจวี๋ยทำได้แค่ฮึดฮัด คว้าองุ่นทั้งพวงมากอดไว้ “นี่ซื้อมาให้อี้เหยานะ” “เข้าปากแล้ว” ลู่หมิงวางผลไม้บนที่พัก “ได้ยินว่าปีนี้ฉู่อ๋องกลับเมืองในรอบสิบปี เกรงว่าคงกลับมาเพราะจัดการเรื่องในอดีตให้เรียบร้อย” สิบปีก่อนมีเหตุการณ์ลอบสังหาร จนทำให้เจ้าเมืองโจวอี้เสียชีวิต ผู้บงการในเรื่องนี้คาดว่าจะเป็นคนมีอำนาจมากจนคนสกุลฉู่และต้าหย่งอยากปิดเงียบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทว่าคนสำคัญยิ่งอย่างฉู่หลินตาย ย่อมต้องมีคนมารับผิดชอบ จึงโยนความผิดทั้งหมดให้แม่ทัพหลินชวนและปิดเรื่องให้เงียบ แต่อีกสิบปีต่อมาฉู่ซีเย่กลับจับฟู่เจิ้งชิวได้ ดังนั้นเพื่อให้แผลเก่าไม่ถูกเปิดขึ้นมาอีกครา ย่อมต้องรีบกำจัดให้สิ้นซาก ซ่างเจวี๋ยหน้าเคร่ง “วันก่อนอี้เหยานัดพบจี๋เฉวียนกับเมียนเมี่ยน นางคิดจะทำอะไรบางอย่าง" ความผิดของแม่ทัพหลินชวนทำให้คนสกุลหลินและสกุลเหยาเดือดร้อน หลายสิบปีมานี้ถูกกดขี่กีดกันไม่หยุดหย่อน ไม่เช่นนั้นเหยาอี้เหยาต้องชดใช้ด้วยการเดินทางขึ้นเหนือมาหรือ ดังนั้นหากนางรู้ว่าความผิดของท่านตานางเป็นการใส่ร้าย รวมทั้งแม่ทัพหลินชวนคือเหยื่อที่ถูกบีบบังคับให้สังหารเจ้าเมืองฉู่ เกรงว่าด้วยนิสัยแล้วนางคงไม่อยู่เฉย “แน่นอนว่านางคงอยากทำ แต่เกรงว่าคงทำอะไรไม่ได้” หากนางทำ ก็เหมือนเปิดศึกครั้งใหญ่กับต้าหย่ง ดีไม่ดีจะพากันตายทั้งตระกูล กงจิ้ง “คุณหนูเหยาเป็นคนฉลาด นางรู้ดีว่าถ้านางเปิดเผยเรื่องแม่ทัพหลิน คนที่ต้องรับเคราะห์คือคนทั้งหมดจากสองสกุล ความบริสุทธิ์ไม่อาจทำให้อิ่มท้อง นางไม่ทำอันใดหรอก” “ข้าสงสารอี้เหยามาก นางคงต้องกล้ำกลืนใจทั้งที่รู้ความจริงทุกอย่าง” ซ่างเจวี๋ยหันไปมองตัวอักษรฝู ไม่แน่ใจว่าปีใหม่จะมีเรื่องดีๆ เข้ามามากเพียงใด ความยุติธรรมบางทีก็มาพร้อมความสูญเสียใหญ่หลวง “ข้าสงสัยอย่างหนึ่ง” ซ่างเจวี๋ยหันไปมองกงจิ้ง “เป้าหมายในการสังหารเมื่อสิบปีก่อนเป็นใครกันแน่” ลู่หมิงตอบ “ดูจากการที่ต้าหย่งหรือสกุลฉู่อยากปิดเงียบเพียงนี้ ดูท่าเป้าหมายคือฉู่ซีเย่…” ซ่างเจวี๋ยเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องปิดบังเหตุการณ์ในคืนนั้น เพราะหากรู้ว่าเป้าหมายคือฉู่ซื่อจื่อ ผู้คนคงคาดเดาได้มากกว่าเจ็ดแปดส่วนว่าผู้ลงมือคือไทเฮา “เหตุใดพระนางจึงอยากสังหารฉู่ซีเย่ เวลานั้นเขาพึ่งสิบกว่าขวบเท่านั้นไม่ใช่หรือ” “ใครบ้างไม่อยากสังหารฉู่ซีเย่” กงจิ้งยิ้มเล็กน้อย “แค่เกิดมาเป็นเขา ความตายก็เคียงข้างดั่งเงาตามตัว” ซ่างเจวี๋ยหูกระดิก "มีคนมา" เสียงเคาะวงจับประตูดังขึ้นทันที ก่อนที่บานประตูจะเปิดออก ผู้มาคือกงซุนหลาง "ขออภัยที่เสียมารยาท พอดีมีจดหมายจากซื่อจื่อถึงพวกท่าน" กงจิ้งรับมาอ่าน หัวคิ้วขยับมาติดกันตรงกลาง "นี่หมายความว่าอย่างไร" กงซุนหลางแย้มยิ้มสุภาพยิ่ง "ซื่อจื่อเห็นว่าคณะทูตจากต้าหย่งมานับสิบปีแล้ว คงคะนึงหาบ้านเกิดไม่น้อย จึงอยากให้พวกท่านได้ลาพักกลับบ้านได้ในช่วงปีใหม่" "ซื่อจื่อคิดจะไล่พวกเรากลับต้าหย่งงั้นรึ" "มิกล้าๆ แม่ทัพซ่างโปรดอย่าเข้าใจผิด ซื่อจื่อเห็นว่าพวกท่านทุ่มเทกับงานไม่ได้หยุดพัก จึงมอบวันหยุดให้เท่านั้น" กงจิ้งยิ้มขัน เรียกวันหยุดให้ดูดี แต่ความจริงคือขับไล่พวกเขากลับต้าหย่งอย่างสุภาพ ลู่หมิงยิ้มไร้อารมณ์ "ขัดขืนไม่ได้เช่นนี้ คงเรียกความหวังดีไม่ได้" กงซุนหลางยิ้มกว้าง "ขอพวกท่านโปรดเดินทางกลับอย่างระมัดระวัง" "เช่นนั้นพวกเราจะกลับพร้อมคุณหนูเหยา"กงจิ้งพูดต่อ "หรือถ้าไม่มีนาง พวกเราย่อมไม่กลับ" "แม่ทัพกง เช่นนี้จะหาว่าเมืองโจวอี้ขับไล่พวกท่านมิได้หรอกนะ" "ชัดๆ อยู่ว่าไล่ ยังมีอะไรให้เกรงใจกันอีก" "เช่นนั้นมิต้องเกรงใจกัน คณะทูตจากต้าหย่ง ข้าขอเชิญพวกท่านออกจากเมืองโจวอี้"กงซุนหลางเอ่ย ทหารหลายกองดาหน้าเข้ามาโอบล้อม แต่เดิมคณะทูตจากต้าหย่งถูกส่งมาเพื่อสอดแนมทางเหนืออยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อ ลู่หมิงเจรจา "กะทันหันเช่นนี้ คงเตรียมตัวไม่ทัน" กงซุนหลางยืดหยุ่น แต่ก็แฝงความเด็ดขาด "สามวันให้หลังจงออกไปจากเมืองโจวอี้ทันที" ด้านนอกสว่างแล้ว เหยาอี้เหยาแต่งกายด้วยชุดสีเรียบออกมาจากเรือนเพื่อช่วยเหลือบ่าวในจัดเตรียมสิ่งของในวันส่งท้ายปีเก่า รวมทั้งเนื่องจากวันพรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดฉู่ซีเย่ บ่าวรับใช้จึงตระเตรียมสิ่งของสำหรับการเฉลิมฉลอง เมื่อเรียบร้อยแล้ว ช่วงเที่ยงนางขออนุญาตจิ่งเถียนออกไปข้างนอกตามลำพัง “ให้บ่าวไปซื้อให้คุณหนูแทนดีกว่านะเจ้าคะ วันนี้ด้านนอกค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร” จิ่งเถียนได้รับคำสั่งให้ดูแลเหยาอี้เหยา “ไม่อย่างนั้นก็ให้บ่าวไปด้วย” “ข้าไปเองดีกว่า อยากไปซื้อของขวัญให้ซื่อจื่อด้วย” เหยาอี้เหยามีนัดหมายกับจี๋เฉวียนและเมียนเมี่ยนเพื่อพูดคุยยกเลิกแผนการที่หารือกันไว้ เนื่องจากตอนนี้ไม่จำเป็นต้องช่วยฟู่เจิ้งชิวอีก ส่วนของขวัญของฉู่ซีเย่ นางถักกำไลให้เขาไว้แล้ว “แต่ว่าซื่อจื่อให้บ่าวติดตามคุณหนูไม่ให้ห่าง” “ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาแล้ว นะจิ่งเถียน ข้าร้องขอ” จิ่งเถียนไม่อาจโต้เถียงนางอีก เพราะได้คำสั่งมาให้ตามใจนางเช่นกัน อีกทั้งท่าทีออดอ้อนของนางก็ยากจะปฏิเสธ “ถ้าอย่างนั้นคุณหนูเหยารีบกลับมานะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวซื่อจื่อกลับมาไม่พบท่าน บ่าวคงโดนตำหนิ” “ได้ ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด” เหยาอี้เหยายิ้มกว้าง นางคว้าย่ามมาสวมทับชุดคลุมสีดำกันลม ก่อนจะออกจากจวนทางประตูเล็กเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นรู้ แต่แล้วในระหว่างนั้นเห็นชายคนหนึ่งยืนคุยอยู่กับกงซุนหลาง ระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล ทำให้นางได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง แต่เท่าที่จับใจความสำคัญได้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมาส่งจดหมายให้ฉู่ซีเย่ จดหมายอะไร ถึงต้องมาส่งกันในที่ลับ? เหยาอี้เหยาจ้องมอง เวลาถัดมาชายส่งจดหมายหยิบม้วนไม้ออกมามอบให้อย่างนอบน้อม ฝ่ายกงซุนหลางตอบแทนน้ำใจด้วยกระเป๋าเงินหนึ่งถุง ก่อนจะกลับเข้าจวนทางประตูใหญ่ เมื่อทางประตูเล็กปลอดคน นางจึงออกมาจากที่ซ่อน ในสมองมีภาพม้วนไม้เก็บจดหมายด้วยความสงสัยว่าคนจากเมืองเซียงฝาน คนไหนฝากจดหมายให้ฉู่ซีเย่ โดยสาเหตุที่ทำให้นางมั่นใจว่าคนส่งจดหมายมาจากเซียงฝาน เพราะสำเนียงการพูดที่ติดคำพื้นถิ่น นางเคยทำงานในกรมสำรวจสำมะโนครัว เลยพอจะรู้จักพื้นเพคนแต่ละพื้นที่ ฟังสำเนียงก็รู้แล้ว ทว่าเวลาในตอนนี้ไม่คอยท่า นางจึงปัดเรื่องคนส่งจดหมายที่กวนใจทิ้งก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านสุราข้างตรอกซ้าย บรรยากาศภายในเมืองโจวอี้ค่อนข้างครึกครื้น ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันออกมาจับจ่ายใช้สอย ถนนหนทางประดับตกแต่งด้วยของมงคลสีแดง ประตูบานใหญ่ติดตัวอักษรฝูเต้ากันหมดเพื่อเสริมสิริมงคล บนถนนคลาคล่ำไปด้วยรถม้าและผู้คน นางเบียดเสียดจนตัวลีบกว่าจะผ่านแต่ละตรอกมาได้ กระทั่งกลางฝ่ามือรู้สึกเหมือนถูกใครจับยัดอะไรให้ ครั้นยกมาดูก็พบกระดาษแผ่นหนึ่ง ‘ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่มาช่วยข้าแล้ว แต่คุณหนูเหยา มาที่คุกอีกครั้งเถอะ’ เหยาอี้เหยาเงยหน้าขึ้น นางหันไปมองรอบตัวก็ไม่พบคนส่ง รอบข้างมีแต่ผู้คนแปลกหน้า เลยก้มลงอ่านอีกรอบพร้อมตัดสินใจ ในชั่วเวลานั้น จู่ๆ เหยาอี้เหยาก็นึกขึ้นได้ว่าคนจากเมืองเซียนฝานคนใดที่จะส่งจดหมายมาหาฉู่ซีเย่ได้…อดีตองค์รัชทายาท! คิดได้ดังนั้นเหยาอี้เหยารีบวิ่ง เอ่ยปากขอโทษแล้วเบียดเคนจนไปถึงร้านขายกระดาษ นางหยิบพู่กันทดลองมาเขียนข้อความยกเลิกแผนการกับจี๋เฉวียนและเมียนเมี่ยน นำเงินมาจ่ายจ้างเด็กขอทานในโรงน้ำชาไปส่งจดหมาย ส่วนนางรีบเดินทางไปจวนเจ้าเมืองฉู่ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมาที่นี้อีกครั้ง แต่สิ่งที่รู้คือนางไม่ได้ตั้งใจมาฟังคำนี้ “ท่านพูดว่าอันใดนะ” “เรียนคุณหนู ฟู่เจิ้งชิวฆ่าตัวตายเมื่อเช้าตรู่ ตอนนี้ได้ย้ายร่างไปชันสูตรที่โรงแพทย์” เหยาอี้เหยางงงัน จดหมายในแขนเสื้อพลันร้อนขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าลงไปที่คุกอีกรอบได้หรือไม่” “เกรงว่าจะไม่ได้ ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ” “เช่นนั้นไม่เป็นไร” เหยาอี้เหยาเดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองฉู่ นางหยิบจดหมายออกมาอ่านอีกรอบ โดยพลิกดูด้านหลัง ด้านหลังเขียนอักษรไว้สามคำ ‘ระวังตัว’ สายลมพัดมาปะทะตัว ความหนาวยะเยือกทำนางหวั่นใจ เหยาอี้เหยามั่นใจว่าฟู่เจิ้งชิวไม่ได้ฆ่าตัวตาย และจดหมายฉบับนี้ เขาก็ไม่ได้เขียน ฉับพลันนั้นนางพึ่งรู้ตัวว่าพลาดแล้ว จึงคิดจะก้าวเท้ากลับไป แต่พริบตาเดียวเท่านั้นธนูอันคมกริบดุจมีดแหลมพุ่งมาหานางอย่างไร้สุ้มเสียง เหยาอี้เหยาถูกลวงมาสังหาร!ลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถหลบพ้นเหยาอี้เหยามองเห็นลูกธนูผ่านม่านหิมะ เสี้ยววินาทีนั้นแสนสั้นแต่เหมือนได้เห็นภาพบางอย่างที่ยาวนานในหัว ทุกสรรพสิ่งเหมือนหมุนย้อนกลับ แต่แล้วสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดทำให้นางตัดสินใจหลบแต่ช้าเกินไป เหยาอี้เหยารู้ตัวว่าถูกยิงเข้าที่ต้นขา แต่นางไม่คิดมัวโอ้เอ้ กัดฟันกลั้นความเจ็บแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหนีคนร้ายในชุดดำปิดบังใบหน้าไต่กำแพงตามอย่างกระชั้นชิด พร้อมง้างธนูพุ่งเข้ามาหานางด้วยความอาฆาตมุ่งร้าย“ช่วยด้วย!” นางวิ่งได้ช้าเพราะขาซ้ายเจ็บ เบื้องหน้าเป็นตรอกตันไร้ผู้คน นางหันไปมองด้านหลังครู่เดียวก่อนจะพุ่งตัวหลบไปอีกด้านหนีลูกธนู ร่างไถลไปกับพื้นโคลนจนธนูหักคาต้นขาความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นสมอง เวลานั้นนางจะหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าหาซ่างเจวี๋ย ทว่าคนร้ายกระชากทิ้งอย่างไม่ใยดีเหยาอี้เหยาสู้ไม่ได้จึงถอยหลังจนหิมะกระจาย ด้านหลังนางคือกำแพงทึบสูง ส่วนตรงหน้าคือคนร้ายที่ถือธนูเล็งมาตรงศีรษะ“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร หรือผู้ใดส่งเจ้ามา แต่อย่างน้อยก็บอกเหตุผลที่จะฆ่าข้าหน่อยเถอะ” จมูกนางได้กลิ่นสนิทเข้มข้น เลือดอุ่นๆ จากบาดแผลกำลังหยดลงพื้นหิมะสีขาวโพลนราวกั
บาดแผลบนขาซ้ายได้รับการรักษาแล้ว เหยาอี้เหยาจึงขึ้นเกี้ยวกลับจวนให้เร็วที่สุด เนื่องจากนางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ นางอยากสลับจดหมายจากรัชทายาท ก่อนจะถึงมือฉู่ซีเย่ เพราะถ้าเขารู้เรื่องสัญญาหมั้นหมาย เขาคงไม่อยู่เฉยยิ่งเรื่องราวในอดีตเปิดเผย ชีวิตนางยิ่งต้องต้องระมัดระวังและรอบคอบฉู่ซีห่าวสละเสื้อคลุมให้นาง ชุดกระโปรงของนางเป็นสีขาว ครั้นเปื้อนเลือด จึงยิ่งน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน“อี้เหยา กินยานี่ก่อน พอจะแก้ปวดได้” ฉู่ซีห่าวไม่ขึ้นไปด้วย เขาต้องอยู่จัดการศพก่อน“ขอบคุณเจ้าค่ะ…” เหยาอี้เหยากลืนยาลงท้อง ก่อนจะเอ่ยกับเขา “ท่านเจ้าเมือง เรื่องที่ข้ารู้ความจริงแล้ว ได้โปรดอย่างบอกซื่อจื่อนะเจ้าคะ”ฉู่ซีเย่ทุ่มเทเล่นละครฉากใหญ่ ทำถึงขั้นให้ฟู่เจิ้งชิวมาหลอกนางอีกคน ดังนั้นจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากให้นางรู้ความจริงแม้แต่น้อย ซึ่งหากเขารู้ว่านางรู้ทุกอย่างแล้ว คนเลือดเย็นเช่นเขา คงจัดการเด็ดขาด“ได้” ฉู่ซีห่าวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าน้องชายจะทำอะไรบ้างหากนางรู้ รวมทั้งท่านปู่ที่คงกลับมาเพื่อเก็บนางเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางหนีไปเสีย“อี้เหยา เจ้าเคยค
"แน่นอนว่าขัดไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้ให้ซื่อจื่อมาหาข้าน้อยที่เรือนเป็นอย่างไร" เหยาอี้เหยาพูดประโยคนี้เพื่อปกป้องตัวเองจากเขา อีกทั้งนางยังต้องการรักษาชื่อเสียงให้พ้นข้อครหาใดใดก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ข้อสำคัญที่ทำให้นางต้องรู้จักวางตัวเพราะภายในจวนแห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์อย่างท่านอ๋องที่ควรให้เกียรติยิ่ง ดังนั้นจะข้ามศีรษะเขาไปหาหลานชายในคืนแรกคงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี“ซื่อจื่อมีธุระต้องจัดการมาก ไม่อาจมาหาคุณหนูได้ คงดีกว่าหากท่านเดินทางไปเอง ดังเช่นที่เคยทำ” บ่าวรับใช้อาวุโสยังคงกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม แต่ปลายประโยคเจือถ้อยคำดูแคลนด้วยการยกสิ่งที่นางเคยทำมาพูด ราวกับจะบอกว่านางเคยไปร่วมหลับนอนกับฉู่ซีเย่แล้ว จะมาเล่นแง่รักษาหน้าตาอีกเพื่ออะไร“เป็นความจริงที่ข้าเคยไป ทว่าซื่อจื่อเองก็เคยมาหาข้าบ่อยครั้ง” เหยาอี้เหยายิ้ม นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้อาวุโสตั้งแง่กับนางเป็นพิเศษ อาจจะเพราะคิดว่านางแย่งตำแหน่งอนุกับสตรีที่นางรับเงินเพื่อประเคนให้ฉู่ซีเย่ “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ ซื่อจื่อถึงกับตามข้าไปที่จวนเจ้าเมือง”บ่าวรับใช้อาวุโสทำหน้าปั้นยาก แต่ต้องถอยออกมาพร้อมยอบกายลง“บ่าวคิด
ฉู่ซีเย่เกิดในคืนหนาวเหน็บรอบร้อยปี ฤดูหนาวของปีนั้นแช่แข็งเมืองโจวอี้ให้ขาวโพลน เขาเกิดมาตัวเล็กเท่าฝ่ามือ ทว่าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงยิ่ง ฉู่เหวยจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘ซีเย่’ ที่แปลว่าค่ำคืนซึ่งเขาได้ผ่านมา ทั้งยังคล้องจองกับ ‘ฉูซีเย่’ (除夕夜) คืนในวันสิ้นปีเพราะเขาเกิดในวันสิ้นปีพอดีฉู่เหวยจำวันที่หลานชายคลอดได้ดี ความโกลาหลมาเยือนในยามวิกาล บ่าวรับใช้วิ่งวุ่นทั่วเรือนทิศใต้จวบจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม เสียงร้องไห้ของหัวใจแห่งแดนเหนือดังแผดไปทั่วจวนพร้อมเสียงแห่งความยินดีทว่าไม่กี่เดือนให้หลัง จวนทั้งหลังต้องผูกผ้าขาวเพื่อไว้อาลัยให้ซื่อจื่อฉู่ฮั่นและพระชายาเฝิงอันความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายยังคงซ่อนลึกในดวงวิญญาณ ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้าผากที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา ไหล่หนักอึ้งราวแบกน้ำหนักหลายพันชั่งชั่วขณะหนึ่งฉู่เหวยราวกับเหน็ดเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้ว หายใจยังฝืนเค้นพลังออกมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็ลุกขึ้นมาจากตั่งเตียงไม่รู้ว่าคุ้นเคยกับดินทรายนอกด่านมากไปหรือไม่ เขาถึงทนนอนบนตั่งไม่ได้เลย“ท่านอ๋อง ฟ้ายังไม่สางดี ท่านควรพักผ่อนอีกหน่อยดีหรือไม่”ฉู่เหวยบอกว่าไม่แล้ว เขาลุกข
สายลมพัดระเรื่อย เกล็ดหิมะแวววาวร่วงหล่นอย่างแช่มช้า เหยาอี้เหยาเดินกลับจวนเพียงลำพังเส้นทางตัดผ่านระหว่างจวนบูรพาทำให้นางต้องข้ามสะพาน ความหนาวเย็นจับน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง ชั่วขณะนั้นสายลมพัดมากระทบแก้ม แต่ไม่หนาวเลย ซ้ำยังอบอุ่นยิ่งเหยาอี้เหยารู้ตัวโดยพลันว่าฉู่ซีเย่อยู่อีกด้านของสะพาน ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็พบเขาตามคาดฉู่ซีเย่ยืนอยู่ปลายสะพาน สวมชุดแต่งกายสีแดงในงานพิธีอย่างสง่างาม บนศีรษะครอบเกี้ยวหยก มือเขาถือร่มกระดาษ ใบหน้าไม่สื่ออารมณ์“ซื่อจื่อ” เหยาอี้เหยายอบกายลงคาราวะ นางคิดจะย่อค้างไว้จนกระทั่งเขาเดินผ่านไป แต่ฉู่ซีเย่กลับเรียกให้นางไปด้วย“ตามข้ามา”“เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่มีทางเลือกนอกจากติดตามฉู่ซีเย่ไป เขาเลี้ยวขวา อ้อมเรือนบูรพา สร้างความสงสัยให้นางยิ่ง “ซื่อจื่อ ท่านจะพาข้าไปไหนหรือ”“ท้ายจวน”บริเวณท้ายจวนเป็นทิศใต้ เป็นตำแหน่งที่นางไม่เคยสำรวจ แต่เคยได้ยินว่าเป็นทางเข้าศาลบรรพชนของคนสกุลฉู่ ในใจจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงกำลังไปเคารพป้ายวิญญาณบิดามารดา แล้วก็เป็นเช่นนั้น หลังลอดซุ้มประตูออกมา เบื้องหน้านางเป็นทางเข้าศาลบรรพชนสกุลฉู่จริงๆ“เข้ามา” ฉู่ซีเย่ก้าวเข้าไปใน
‘ได้ ข้าสาบาน’คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในสมองของนางจนถึงตอนนี้ ชั่วขณะหนึ่งนางเกิดคำถามว่าคุ้มค่าแน่หรือ นางปรารถนาจะคืนความบริสุทธิ์ให้ท่านตามาตลอด แต่ตอนนี้นางสาบานว่าจะหยุดทุกอย่างช่างอกตัญญู…แต่นางเชื่อว่าท่านตาต้องเข้าใจในความจำเป็นของนาง อีกทั้งหากต้องแลกกับชีวิตของคนทั้งตระกูล ท่านตาย่อมยอมที่จะรับผิดไว้คนเดียวเพราะฉะนั้นนางต้องไม่ให้ท่านตาเหนื่อยเปล่าไม่ว่าต้องทำอย่างไร นางต้องมีชีวิตรอดต่อไปนางกำหนังสือยกเลิกหมั้นหมายแน่น กวาดสายตามองสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนเก็บลงในแขนเสื้อ นางสบายใจยิ่ง ราวกับความหนักอึ้งกึ่งหนึ่ง ได้ปลดระวางลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงแก้พิษแมลงคุณไสยเท่านั้นเหยาอี้เหยาหลับตาลงพิงพนักรถม้าขณะรอซ่างเจวี๋ยต่อคิวเข้าเมือง ความเงียบพานางเข้าสู่ภวังค์ คิดพินิจไปถึงแผนการในค่ำคืนนี้ นางอยากทำให้ไร้ช่องโหว่มากที่สุด ถึงอย่างนั้นนางก็ยอมรับ ว่าแผนการค่อนข้างบ้าบิ่น รวมทั้งอาจทำให้ฉู่ซีเย่ เลือกบีบคอนางให้ตายแทนช่วยแก้พิษ“เรียบร้อยแล้ว” ซ่างเจวี๋ยนำป้ายอนุญาตเข้าเมืองกลับมาด้วย เขาจูงม้าเดินไปตามแถวยาว“รบกวนแม่ทัพซ่างแล้ว” เหยาอี้เหยาเลิกม่านมู่ลี่ออกมาคุยด้วย เ
เรือนจำของเมืองโจวอี้มีลักษณะค่อนข้างตายตัว เหยาอี้เหยาเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน ตอนถูกฉู่กวงหลินจับใส่คุก จึงปรับตัวได้เร็วเหยาอี้เหยานั่งอยู่บนแคร่ทางซ้ายอย่างเรียบร้อย ส่วนฉู่ซีเย่นั่งอยู่ข้างๆ นางไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใด แต่ท่าทีของเขาค่อนข้างสร้างความแปลกใจให้นางอยู่มาก นางนึกว่าเขาจะต้องหักคอนางทันทีที่มีโอกาสแน่ ทว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือแค้นใจ ทั้งๆ ที่โดนนางหักหลัง ทำเขามาติดคุกด้วยกันท่าทีที่เหนือความคาดหมายของฉู่ซีเย่สร้างความลำบากใจให้นางเสียเอง เพราะแรกทีเดียวนางคิดไว้ว่าคืนนี้คงต้องลับฝีปากหรือเป็นหุ่นให้เขาซ้อมจนพอใจกระนั้นเรื่องที่คิดก็ไม่เกิดขึ้น ฉู่ซีเย่คล้ายยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นั่งนิ่งเฉยอยู่นานเวลาที่เคลื่อนผ่านช่างทำให้คนรู้สึกอึดอัด เหยาอี้เหยาเขี่ยฟางแห้งใต้เท้าจนหมด ก่อนจะกระแอมกระไอ เป็นคนเริ่มเปิดประเด็น“ซื่อจื่อ”“อืม” ฉู่ซีเย่ขานตอบ เสียงเขาค่อนข้างธรรมชาติ เดาไม่ออกแม้แต่น้อยว่ารู้สึกอย่างไร“โกรธข้าหรือไม่ที่หักหลังท่าน” ทีแรกนางไม่ได้รู้สึกผิด แต่ท่าทีไม่กล่าวโทษของเขาเริ่มทำ
“ตายหมดแล้ว”เสียงพูดคุยด้านนอกปลุกเหยาอี้เหยาให้ตื่นขึ้น นางกระพริบตาสองสามที ใช้เวลาครู่สั้นๆ ในการตั้งสติภายใต้แสงสลัวของไฟจากคบเพลิงเหนือหัวเหยาอี้เหยากวาดสายตาไปด้านข้าง เห็นฉู่ซีเย่ยังคงหลับใหลอยู่ บนร่างกายของเขาสวมชุดไม่ค่อยเรียบร้อยดีนัก ส่วนนางเองก็ไม่ต่างกันเนื่องจากเมื่อครู่นางและฉู่ซีเย่พึ่งทำเรื่องนั้นไป…คิดถึงเรื่องนี้ นางก็ลนลานรวบสาบเสื้อเข้ากันก่อนจะรัดเอวให้แน่น ทว่าพอขยับตัว ขาข้างซ้ายของนางพลันเจ็บแปลบจนทรุดอย่างไร้สาเหตุ เหยาอี้เหยาอยากรวบกระโปรงขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแผลบนขาข้างซ้ายที่พอจะสมานแล้วจึงร้าวขนาดนี้ แต่เสียงคนด้านนอกทำให้นางอยากหาที่หลบมากกว่า“ซื่อจื่ออาจหนีไปได้ ตรวจดูทางลับแล้วหรือยัง”ทางลับหรือ? ตรงนี้ ใช่ทางลับหรือไม่“ซื่อจื่อ ตื่น” นางยื่นมือไปปลุกเขา ทว่าเขากลับไม่ตื่น ทำเพียงพลิกตัวหนี เวลานั้นมีเสียงคนกระทุ้งผนังด้านนอก“ใต้เท้าชิ่ว ตรงนี้คือทางลับ”“ตื่นเร็ว”เหยาอี้เหยาหันไปปลุกฉู่ซีเย่อีกรอบ ทว่าเขาไม่ตื่น นางร้อนรนจนเหงื่อซึมเมื่อเห็นแสงไฟ ก่อนจะกัดฟันกลั้นความเจ็บ คลานไปหลบตรงซอกหินสาเหตุที่นางต้องหลบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม