"ได้ ท่านรอเดี๋ยว!" เหยาอี้เหยาพุ่งตัวออกไปจากมุมข้างกำแพงด้วยน้ำตาคลอเบ้า จินเฟยยืนเฝ้าราวยักษาอยู่เบื้องหน้า "องครักษ์จิน! ซื่อจื่อแย่แล้ว!"แค่ได้ยินว่าซื่อจื่อแย่แล้ว จินเฟยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาแทบจะเหินข้ามกำแพงเข้ามาช่วยโดยทันที เหยาอี้เหยาสับเท้าตามมานั่งอยู่ด้านข้าง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาให้ฉู่ซีเย่ซับเลือด“ท่านต้องการยาขวดไหน”เหยาอี้เหยาค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นขวดยามากมายที่จินเฟยล้วงออกมาจากอกเสื้อ พร้อมทั้งยังสงสัยว่าตกลงเขาจะกินยาทั้งหมดนั้นเลยหรือ“ไม่กินทั้งหมด” ฉู่ซีเย่ตอบนาง ก่อนจะหันไปพูดกับจินเฟย “ยาลูกกลอนขวดเล็ก”“นี่ขอรับ” จินเฟยเทยาลูกกลอนใส่มือฉู่ซีเย่ เขากลืนลงไปพร้อมไออีกสองสามที หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะทานยาเข้าไปหรือกระอักเลือดสีดำคล้ำออกมาหมดแล้วสีหน้าจึงพอดูได้มากขึ้น“ทานน้ำสักหน่อย จะได้ล้างปาก” นิสัยติดกระบอกน้ำเล็กๆ ได้มาจากตอนอยู่นอกด่าน หลังจากนั้นนางก็พกตลอด“ขอบใจ” ฉู่ซีเย่รับไปบ้วนปาก เขาใช้หลังมือเช็ดเลือดแล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าของนางไว้ในแขนเสื้อ “ข้าไม่เป็นไรแล้ว”“ข้าว่าเป็น” ก่อนหน้านี้เหยาอี้เหยาไม่เคยสังเกตสังกาเขาอย่างจริงจังมา
สนามรบไม่ใช่พื้นที่แห่งความหวัง ท้องฟ้าดำทะมึนทอดเงามาแต่ไกล หลังประตูเมืองมีกระโจมกันหนาวตั้งอยู่หลังหนึ่ง เหล่าแม่ทัพผู้ห้าวหาญถูกเรียกตัวกันมาหารือแผนการรบโดยไร้เงาของเจ้าเมืองฉู่หิมะยังคงโปรยปรายไม่สิ้นสุด ลมโกรกพัดเล็ดลอดจากข้างใต้เข้ามา บนโต๊ะไม้มีแผนผังจำลองภูมิศาสตร์ แสดงทิศทางการบุกหรือแนวรับทั้งหมด แสงไฟหรุบหรู่จากตะเกียงเหนือกระโจมส่องลงมากระทบภายในกระโจมค่อนข้างอบอุ่น แน่นขนัดไปด้วยชายฉกรรจ์ใบหน้าคมคราม หลายคนเป็นนักรบเจนสนาม สู้ศึกมาแล้วอย่างโชกโชน สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องมองฉู่ซีเย่ เขาเป็นซื่อจื่อแดนเหนือที่ได้รับความเคารพอย่างยิ่ง แต่พูดกันตามตรงแล้ว เขาไม่ใช่แม่ทัพของพวกเขาสายตาคลางแคลงและเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจ้าเมืองฉู่จะมาถึง คือความรู้สึกที่อบอวลอยู่ภายในห้องมาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่กระทั่งฉู่ซีเย่บอกเล่าแผนการไปจนหมดสิ้น เหล่าแม่ทัพยังคงรู้สึกว่าไร้เรี่ยวแรงจะหยิบดาบขึ้นมา พร้อมทั้งส่งสายตาถามไถ่กันว่าเหตุใด ฉู่อ๋องหรือเจ้าเมืองฉู่จึงไม่มาด้วยตัวเองพูดถึงเรื่องขวัญกำลังใจ ฉู่ซีเย่รู้ดีว่ามันมีผลมากแค่ไหน แต่นี้คือแผนการอย่างหนึ่งเช่นกัน“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังรอท่านป
รัฐหลู่ไม่ใช่รัฐใหญ่เมื่อเทียบกับรัฐอื่นในแดนเหนือแต่สิ่งที่ทำให้รัฐหลู่โดดเด่นเป็นเพราะถูกปกครองโดยสกุลฉู่จนรุ่งเรือง หัวเมืองใหญ่ หรือเมืองเอกของรัฐเป็นของคนสกุลฉู่ ไม่ว่าจะเมืองโจวอี้ เมืองชง อีกทั้งคนสกุลฉู่ ยังได้รับศักดิ์ฐานะจากอดีตฮ่องเต้องค์ก่อนแต่กว่าจะได้บรรดาศักดิ์ แต่เดิมคนสกุลฉู่เป็นสกุลแม่ทัพและสกุลนักปรุงยา ทว่าเมื่อประมาณเจ็ดสิบปีก่อน ทางเหนือเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ ผู้นำทัพปราบกบฏในครั้งนั้นคือบรรพบุรุษสกุลฉู่ เขานำทัพบุกทะลวงจนสิ้นซาก สร้างความผาสุกให้กับแผ่นดินทางเหนือจากเหตุการณ์ความวุ่นวายได้อีกครั้ง หลังทางราชวงศ์ทราบเรื่องได้ปูนบำเหน็จให้กลายเป็นอ๋องนับเป็นการแรกของการเปลี่ยนเส้นทางสกุลจากแม่ทัพ สู่การเป็นชนชั้นปกครองในแดนเหนือความรุ่งโรจน์ของสกุลฉู่ยังไม่จบลงแค่เพียงการก้าวขึ้นมาเป็นอ๋องในแดนเหนือ แต่ยังผงาดขึ้นมาเป็น ‘ต้าเป่ยอ๋อง’ ด้วยความดีความชอบซึ่งสั่งสมไม่จบสิ้น รวมทั้งคนสกุลฉู่แต่ละรุ่นยังมีความสำคัญในเหตุการณ์ใหญ่ๆ ความสามารถยิ่งเป็นประจักษ์ชัดเมื่อนับกันในหมู่ท่านอ๋องด้วยกัน ต้าเป่ยอ๋อง นับเป็นศักดิ์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาอ๋องแดนเหนือ ด้วยเหตุนี้อดีตฮ่
“ซื่อจื่อ เลื่อมใสมานาน” เมื่อถูกจับได้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเก็บซ่อนตัวตนอีก ปี้เหวินจิงถอดหน้ากากออก ใบหน้านางงดงามและเยือกเย็นฉู่ซีเยมองนางด้วยสายตาเย็นชา ไม่คิดจะพูดจาอะไรกันอีกนอกจากฆ่านางเสีย“เริ่มเลยหรือ” นางรวดเร็วยิ่ง เมื่อฉู่ซีเย่ตวัดดาบใส่ ก็ใช้สันหอกโต้กลับทันควัน “ซื่อจื่อ เปิดก่อนหาได้ได้เปรียบ บางทีอาจจบอย่างอนาถเสียด้วยซ้ำ”“คำนี้เหมาะกับเจ้าไม่น้อย”“ไยจึงดูแคลนสตรีกันนัก” ดาบเหลมคมพาดผ่านร่างนาง ปี้เหวินจิงเหินตัวขึ้นหลบหลีก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ ในเสี้ยววินาทีคมหอกเกือบจ้วงใส่ร่างฉู่ซีเย่ เพียงแต่พลิกหลบไปได้ “ตอนที่เจ้ายังหัดคลาน ข้าหัดฆ่าคนแล้ว”ปี้เหวินจิงปราดเปรียวว่องไวยิ่ง ฝีมือนางเป็นทักษะที่ถูกขัดเกลามาอย่างดีตลอดหลายปี ไร้ช่องโหว่ให้ตีกลับโดยง่าย บุกทะลวงไม่ผ่าน การเคลื่อนที่ของร่างกายสอดรับการการรุก ไม่มีการขยับที่ไร้ความหมาย ลงมือทุกครั้ง ตั้งเป้าที่จุดตายกระนั้นฉู่ซีเย่ก็ไม่ใช่ท่อนไม้ผุพัง เขาอาจจะขาดประสบการณ์ไปบ้าง แต่สายเลือดแม่ทัพที่ไหลเวียนกำลังร้อนได้ที่“พึ่งรู้ว่าการหัดฆ่าคนแต่เด็กเอามาใช้อวดได้” น้ำเสียงฉู่ซีเย่ดูแคลนยิ่ง เขาหลบเลี่ยงหอกขอ
ก่อนให้กำเนิดฉู่ซีเย่ กลุ่มผู้ฝักใฝ่เริ่มการเคลื่อนไหวหนักข้อขึ้น อีกทั้งช่วงนั้นราชวงศ์ต้าหย่งเองยังไม่มั่นคงเท่าที่ควร ทำให้เป็นจังหวะดีในการโค่นล่มบัลลังก์ ทางราชวงศ์ต้าหย่งระสับระส่ายอย่างยิ่ง เฝ้ารอคอยว่าเด็กในครรภ์ของนางจะเป็นชายหรือหญิง หากว่าเป็นชาย สถานการณ์ของกบฏย่อมรุนแรงขึ้นขณะนั้นเหล่าเสนาธิการเป่าหูฮ่องเต้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเฝิงอันอาจจะหวนกลับคืนมาอีกครั้งเพื่อทวงสิทธิของนาง ถึงอย่างนั้น ‘หย่งฉี’ ก็นับว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาและปกครองด้วยหลักคุณธรรมจารีต เขาไม่แสดงท่าทีอะไรให้ใครได้ล่วงรู้ความคิด ทั้งยังแสดงท่าทีห่วงใยต่อญาติผู้พี่อย่างเฝิงอัน แต่ในจิตใจเบื้องลึกที่แสนซับซ้อนนั้น ยากจะกล่าวถึงเวลาขยับเข้าใกล้ทุกที และแล้ว เฝิงอันก็คลอดฉู่ซีเย่ออกมาข่าวสารใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงต้าหย่ง หย่งฉีสั่งให้ขันทีคนสนิทตระเตรียมข้าวของเพื่อรับขวัญ เป็นสิ่งของล้ำค่าควรเมืองอันหรูหรา คนไม่รู้ยังบอกเล่าถึงน้ำจิตน้ำใจอันดีงามของเขาว่าทรงเป็นฮ่องเต้ที่จิตใจงดงามมีเพียงผู้ได้รับของขวัญเท่านั้นที่รู้ว่าหย่งฉี เป็นผู้ที่มีจิตใจงดงามแบบไหนเฝิงอันรับรู้ความต้องการของหย่งฉีดี มีเพี
หนึ่งวันก่อน…ฉู่ซีห่าวกลับมาไม่ทันงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของน้องชาย ทั้งยังได้รู้ว่าฉู่ซีเย่และเหยาอี้เหยาถูกจับไปขังคุกแล้วตามแผนการของท่านปู่ จึงได้แต่เดินไปวางของขวัญไว้ที่เรือนบูรพา เวลานั้นยังไม่ถึงเวลาไต่สวนคดี เขาจึงนั่งพักผ่อนอยู่ที่จวนของตนเองบ่าวรับใช้ซึ่งดูแลท่านหญิงเสินหลานตี๋เอ๋อร์เข้ามาเรียนว่านางอยากพบ ฉู่ซีห่าวจึงพันแผลลวกๆ แล้วออกไปพบ อย่างไรเสียนางก็มาเป็นแขกของบ้านนี้ ย่อมต้องต้อนรับให้ดีแต่เมื่อไปถึงคนที่นั่งอยู่ในศาลาไม่ได้มีแค่เสินหลาน“ท่านปู่”เสินหลานซึ่งนั่งพูดคุยกับท่านอ๋องอย่างสดใสลุกขึ้นคาราวะอย่างนอบน้อม “ท่านพี่”ฉู่ซีห่าวแตะข้อศอกให้นางลุกขึ้น“ลุกขึ้นเถอะ วันหน้าเวลาเห็นข้าก็ไม่ต้องลำบากเรื่องพิธีรีตองอีก”เสินหลานรับคำ พอจะมองสถานการณ์ออกว่าท่านอ๋องอยากสนทนาส่วนตัวกับเจ้าเมืองฉู่จึงหาเรื่องถอยฉาก “อ่อ เสินหลานมีของจะมอบให้ท่านปู่ด้วย ท่านคอยสักครู่นะเจ้าคะ จะรีบไปนำมาให้เดี๋ยวนี้”“ไม่รีบ ท่านปู่จะคอยเจ้าอยู่ที่นี้เอง”คล้อยหลังเสินหลานกับคนรับใช้ ฉู่เหวยหุบยิ้มแล้วหันมามองหลานชายคนโต “ชงชาให้ที”บนโต๊ะมีกาต้มน้ำตั้งอยู่บนเตา อุปกรณ์ชงชาอยู่ด้านข้าง
เมื่อออกจากเมืองโจวอี้ได้แล้ว ความหายนะต่างๆ ราวกับถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ไม่อาจเกี่ยวข้อง ไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้อีก เหยาอี้เหยาไม่ร้องไห้คร่ำครวญ แม้ภายในใจจะแตกสลายไปนับครั้งไม่ถ้วนนางหันกลับไปมองกำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหิมะโปรยซึ่งไกลห่างออกไปทุกที ครั้งแรกที่มาถึงทุกอย่างก็ขาวโพลนราวกับหิมะ เหมือนตอนนี้ไม่มีผิดเพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่างในใจนางได้เปลี่ยนไปแล้วเหยาอี้เหยาก้มหน้ามองปิ่นเงินในมือ ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะร้องไห้อีกแล้ว แต่น้ำตากลับหยดออกมาอย่างง่ายดาย ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่แจ่มชัดราวกับพึ่งเกิดขึ้น ทั้งการตายของฉู่ซวิ่นและการตายของท่านอ๋องล้วนมีสาเหตุเพราะนางทั้งนั้นสมควรแล้วที่ซื่อจื่อจะไม่แม้แต่อยากจะมองหน้ากันรถเกวียนมุ่งหน้าจากไปกลางหิมะอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความทรงจำในวันวานอดีต...ทุกอย่างของเมื่อวานได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มีแค่ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ที่โหดหินไม่แพ้กันหลังกลับถึงเมืองต้าหย่ง สิ่งที่คณะทูตทุกคนต้องเผชิญคือสายตาดูแคลน ความสงสัย ความเคลือบแคลง ผู้คนซุบซิบนินทา และกระพือข่าวลือต่างๆ ที่ไม่เป็นความจริงออกไป ต่างเล่าลือกั
“จริงด้วย ควรเรียกท่านว่า…ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยาลนลานถอยหลังไปสองก้าวอย่างประหม่า ก่อนจะคุกเข่าลงคาราวะเขาตามพิธีการ ฉู่ซีเย่จะบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ทัน“ลุกขึ้น” เขาพูดอย่างไม่พอใจ การปฏิบัติอย่างห่างเหินของนางไม่สบอารมณ์เขา“เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น แต่ยังก้มหน้ามองพื้นด้านล่างเพราะไม่กล้าสู้หน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่เขาช่วยดึงเชือกไว้ให้นางรอดจนท่านอ๋องฉู่เหวยตาย ยังคงตามหลอกหลอนแม้ตลอดสามปีมานี้จะพอข้ามผ่านมาได้แล้ว แต่ยังคงไม่หมดจด บางครั้งก็ยังหวนคิดถึงเสมอเหยาอี้เหยาไม่อยากโทษตนเอง แต่ความจริงคือนางมีส่วนทำให้ฉู่เหวยตายยังไม่รวมฉู่ซวิ่นที่สละชีวิตเพื่อให้นางรอด…ขนาดนางที่เป็นคนนอกยังรู้สึกผิดขนาดนี้ แล้วฉู่ซีเย่เล่าเขาจะรู้สึกผิดเพียงใดที่เลือกช่วยชีวิตนางแทนท่านปู่ของเขาความเงียบอันเฉื่อยชาดำเนินอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ฉู่ซีเย่จะทำลายลง“ไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปดื่มชาด้านในหน่อยหรือ”ความคิดที่ล่องลอยของนางถูกดึงกลับมา “หากท่านไม่รังเกียจว่าบ้านซ่อมซ่อ”“นำไปสิ” เขาเดินตามหลังนาง สายตาลอบมองเอวคอดที่เล็กเท่าฝ่ามือ รวมทั้งไหล่ที่บอบบางจนอาจหักคามือถ้าเผลอออกแรงงมากเกินไป…
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม