เมื่อออกจากเมืองโจวอี้ได้แล้ว ความหายนะต่างๆ ราวกับถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ไม่อาจเกี่ยวข้อง ไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้อีก เหยาอี้เหยาไม่ร้องไห้คร่ำครวญ แม้ภายในใจจะแตกสลายไปนับครั้งไม่ถ้วน
นางหันกลับไปมองกำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหิมะโปรยซึ่งไกลห่างออกไปทุกที ครั้งแรกที่มาถึงทุกอย่างก็ขาวโพลนราวกับหิมะ เหมือนตอนนี้ไม่มีผิด เพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่างในใจนางได้เปลี่ยนไปแล้ว เหยาอี้เหยาก้มหน้ามองปิ่นเงินในมือ ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะร้องไห้อีกแล้ว แต่น้ำตากลับหยดออกมาอย่างง่ายดาย ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่แจ่มชัดราวกับพึ่งเกิดขึ้น ทั้งการตายของฉู่ซวิ่นและการตายของท่านอ๋องล้วนมีสาเหตุเพราะนางทั้งนั้น สมควรแล้วที่ซื่อจื่อจะไม่แม้แต่อยากจะมองหน้ากัน รถเกวียนมุ่งหน้าจากไปกลางหิมะอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความทรงจำในวันวาน อดีต...ทุกอย่างของเมื่อวานได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มีแค่ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ที่โหดหินไม่แพ้กัน หลังกลับถึงเมืองต้าหย่ง สิ่งที่คณะทูตทุกคนต้องเผชิญคือสายตาดูแคลน ความสงสัย ความเคลือบแคลง ผู้คนซุบซิบนินทา และกระพือข่าวลือต่างๆ ที่ไม่เป็นความจริงออกไป ต่างเล่าลือกันว่าคณะทูตจากต้าหย่งทำเรื่องงามหน้าไว้มากจนถูกเนรเทศออกมา ท่านหญิงสกุลเหยาใส่ร้ายป้ายสีฉู่ซื่อจื่อแห่งแดนเหนือในเรื่องพิษแมลงคุณไสย ทำผู้คนในต้าหย่งรังเกียจชิงชังนางยิ่งนัก ตอนเดินกลับเข้ามาในเมือง ได้รับผักเน่าและไข่ไก่จำนวนมาก ยังมีเรื่องงามหน้า สุดอัปยศที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ เพราะแม่ทัพซ่างที่แสนเก่งกาจผู้นั้น ที่แท้แล้วหลอกลวงทั้งเพ เป็นสตรีแต่ปลอมตัวเป็นบุรุษมานาน แต่ก็ยังหน้าด่านหน้าหนากลับเข้าเมืองมาด้วยกัน ฝ่าบาทที่กริ้วพอสมควรจึงให้ทหารมาจับกุมตัวซ่างเจวี๋ยรอการสั่งประหารทันที แต่คุณหนูสกุลเหยาช่างหาญกล้าในเรื่องงามหน้ายิ่งนัก นางต่อต้านการจับกุมซ่างเจวี๋ยทั้งยังเอาป้ายหยกอาญาสิทธิ์ของคนสกุลฉู่ออกมาใช้! ผู้คนต่างตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าคุณหนูเหยาผู้นี้ถือป้ายอาญาสิทธิ์ของฉู่ซวิ่น เพราะป้ายอาญาสิทธิ์ของคนสกุลฉู่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ ทุกป้ายสามารถยื่นเพื่อขอลบล้างความผิดโทษตายได้หนึ่งครั้ง ฝ่าบาทเห็นอย่างนั้นยิ่งกริ้วหนัก แม้จะไม่สั่งประหารแต่ลงทัณฑ์สี่คณะทูตสุดอัปยศจนตายไม่สู้อยู่ ริบคืนศักดิ์ฐานะของทุกคน ชดใช้ด้วยเงินค่าปรับจำนวนมหาศาล ลามไปถึงคนในสกุลที่ถูกปรับลดตำแหน่ง เรียกได้ว่าใครเป็นคนสกุลเหยาและสกุลซ่างในเวลานี้ก็ลำบากอย่างยิ่ง คนคบค้าก็ไม่มี วันไหนฟ้าฝนไม่เป็นใจมีหวังถูกสั่งเนรเทศทั้งสกุล ทางสกุลซ่างจึงจัดการขั้นเด็ดขาด ลอยแพซ่างเจวี๋ยราวกับขับไล่สุนัขจรจัดอย่างไม่ไยดี การจัดการที่นับว่าโหดเหี้ยมเกินไปของคนสกุลซ่าง ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนานนับปี เพราะมิไยที่ถึงชาวบ้านจะรู้สึกว่าถึงซ่างเจวี๋ยทำเรื่องน่าละอาย สมควรถูกต่อว่าต่อขาน แต่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายหรือเข่นฆ่าใคร การกระทำที่เกินหลักคุณธรรมของสกุลซ่างสร้างแรงเสียดทานให้สังคมรอบข้างมองสกุลซ่างด้วยหางตา เมื่อเห็นปฏิกิริยาโต้กลับเช่นนี้ของสังคมชนชั้นสูงในเมือง สกุลเหยาที่ไม่ใคร่อยากต้อนรับเหยาอี้เหยากลับเข้าจวน จึงกล้ำกลืนฝืนใจ รับนางกลับเข้าไปจวน เพราะเกรงสายตาดูแคลนจากผู้คนไปมากกว่านี้ รอให้เรื่องซาอีกหน่อยจะรีบส่งนางออกไปอยู่บ้านนอกแน่ เหยาอี้เหยากลับเข้าจวนทางปะตูเล็ก ไม่มีคนสกุลเหยาต้องการนาง มีเพียงพี่ชายอย่างเหยาอี้ร่างที่คอยปกป้องและยินดีที่นางกลับมา นอกจากนั้น ไม่มีคนแม้แต่คนเดียวที่ยินดี ท่านย่าไม่โปรดปรานนางเช่นไรในวันวาน วันนี้ก็ไม่โปรดปรานเช่นนั้น แต่เหยาอี้เหยาชินชาเสียแล้ว นางคุ้นชินกับการเป็นผู้ไม่เป็นที่โปรดปราน... ชีวิตความเป็นในจวนสกุลเหยาเป็นอย่างที่เคยเป็น เหยาอี้เหยาเหมือนผู้อาศัย รอวันถูกเชิญออกไป ซึ่งวันนั้นเดินทางมาถึงเร็วกว่าที่คิด เมื่อสิ้นสุดฤดูหนาวและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิในปีที่สาม เหยาอี้เหยาถูกส่งออกไปอยู่บ้านนอกโดยไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามไปแม้แต่คนเดียว นางเดินทางลำพังโดยมีกระถางต้นถั่วแดงหนึ่งต้น บ้านของเหยาอี้เหยาอยู่ในอำเภอซานถง เมื่อไปถึง ลุงกู่ซึ่งเป็นผู้ดูแลบ้านขับเกวียนเทียมลามารับนาง ก่อนจะพาเดินทางมุ่งออกไปจากหมู่บ้าน การเดินทางลำบากลำบนและทรหดอย่างยิ่ง นางต้องเดินเท้าขึ้นเขาหลายชั่วยามกว่าจะถึงที่หมาย แต่หลังเห็นบ้านหลังเล็กท่ามกลางแปลงนาที่ไถ่เตียนรอวันหว่านข้าว เหยาอี้เหยาก็รู้สึกหายเหน็ดเหนื่อย เหยาอี้เหยาเก็บข้าวของให้เข้าที่ ก่อนจะออกมาปลูกต้นถั่วแดงที่ลงกระถางไว้ที่ข้างบ้าน พร้อมกับมองไปยังบ้านอีกหลังที่ผุพังจนจวนเจียนจะพังมิพังแหล่ “บ้านใครกันนะ” เวลานั้นลุงกู่เดินมาหาอย่างเงียบๆ แต่ด้วยท่าทีอ่อนน้อม “ลุงกู่ มีอะไรหรือ” ลุงกู่ไม่พูดแต่กวักมือเรียก นางจึงตามไป บนชานบ้านมีสำรับกับข้าวและข้าวสวยหุงสุกเตรียมไว้ “ได้เวลาทานข้าวแล้วนี่เอง” ค่ำคืนนั้นฝนตกพร่ำๆ เหยาอี้เหยาหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้า แต่แล้วนางกลับได้ยินเสียงคนย่ำเท้ามาแต่ไกล อาการตื่นตัวระแวดระวังภัยของนางตื่นเต็มที่ นางลุกขึ้นไปหยิบไม้คราดไว้ในมือแน่น ก่อนจะหลบมุมอยู่ที่ประตู นางมองลอดผ่านช่องประตูแต่อีกฝ่ายสวมชุดหญ้าแฝกกันฝน กับหมวกงอบ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ใด ไม่นานประตูที่ลงกลอนใส่ประตูไว้ก็เปิดออก เท้าที่สวมรองเท้าหนังก้าวเข้ามา นางฟาดไม้คราดไปหาเขาอย่างรวดเร็วและหนักแน่น ระดมฟาดไม่ยั้งจนเขาต้องร้องออกมา “ข้าเอง! ข้าเอง!” “แม่ทัพกง!” เหยาอี้เหยาทิ้งไม้คราด รีบไปจุดตะเกียงมา ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าเขาอาบเลือด “ขอขอโทษ! คิดว่าท่านเป็นผู้ร้าย” “ข้าผิดเองที่มาเงียบๆ” เสียงฟาดของนางไปปลุกลุงกู่เข้า ท่านลุงรีบมาพร้อมจอบในมือ “ไม่มีอะไรลุงกู่ คนผู้นี้คือแม่ทัพกง เป็นเพื่อนของข้าเอง” ใบหน้าที่ขึงขังของลุงกู่ลงหายไป พร้อมกับรีบเข้ามาช่วยพยุงอีกแรงอย่างนอบน้อม เหยาอี้เหยายื่นผ้าสะอาดให้เขาเช็ดเลือด “ขอโทษอีกรอบนะเจ้าคะ” กงจิ้งส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร “ดีใจที่เจ้าสบายดี” เหยาอี้เหยายิ้ม “แน่นอนว่าย่อมสบายดีเจ้าคะ ท่านละเจ้าคะ เป็นอย่างไรบ้าง คนอื่นในคณะทูตอีก ข้าไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย” “ข้าและซ่างเจวี๋ยส่งจดหมายให้เจ้ามาตลอดสามปี” “ข้าน้อยไม่เคยได้รับเลย” “สมกับเป็นสกุลเหยา” การอยู่ในจวนสกุลเหยาไม่ต่างอะไรกับถูกกักขัง นางไม่รู้เรื่องราวภายนอกและติดต่อผู้ใดไม่ได้ กระทั่งจะส่งจดหมายหาซ่างเจวี๋ยก็ยังไม่ได้ ทั้งยังถูกส่งตัวมาอยู่บ้านนอก ยากที่จะติดต่อใครอีก “ลู่หมิงพักฟื้นร่างกายได้ดี แต่ตอนนี้ยังคงเดินเหินไม่สะดวกจึงควรอยู่ใกล้มือหมอ ส่วนซ่างเจวี๋ยกำลังเดินทางมาที่นี่เหมือนกัน เพียงแต่อาจจะช้าไปสองสามวัน” “ท่านจะมาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” “ข้าอยู่ที่นี่อยู่แล้ว” เหยาอี้เหยาทำหน้างุนงง “ท่านอยู่ที่นี่หรือ...” กงจิ้งอธิบาย “ที่นี่เป็นบ้านของข้า ส่วนบ้านของสกุลเหยาอยู่ตรงข้าม” ภาพบ้านผุพังเมื่อช่วงเย็นกลับเข้ามาในหัว นางก็ว่าอยู่ บ้านหลังนี้อบอุ่นเกินกว่าจะเป็นของคนสกุลเหยา “เช่นนั้นทำไมลุงกู่ไม่บอกข้าก่อน” เหยาอี้เหยาพึ่งตระหนักได้ขึ้นมาว่าลุงกู่ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่พบหน้ากัน ครั้นมองลุงกู่ที่โบกมือไปมา นางก็กระจ่างแจ้ง ลุงกู่เป็นใบ้นี่เอง “ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดอะไร ข้าบอกให้ลุงกู่ไปรับเจ้ามาอยู่บ้านหลังนี้เอง เพราะอย่างที่เจ้าเห็น บ้านหลังนั้นยังซ่อมแซมไม่แล้วเสร็จ” เหยาอี้เหยา เข้าใจแจ่มแจ้ง “ขอบคุณแม่ทัพกงที่ช่วยเหลือ” “อย่าเรียกแม่ทัพกงเลย ตอนนี้เป็นแค่ชาวบ้านเท่านั้นแล้ว” เหยาอี้เหยาตกใจ “ท่านก็ถูกลดตำแหน่งเหมือนกันหรือ” “เคราะห์ดีที่ไม่มีคนในครอบครัวหลงเหลือแล้ว การถูกลดตำแหน่งจึงไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่เหมือนเจ้ากับซ่างเจวี๋ย แรงเสียดทานคงมีมากกว่า” กงจิ้งพูดถูกต้อง เวลาลูกหลานคนสกุลใหญ่ทำผิด ผลลัพธ์เลวร้ายกว่ามาก “แต่อีกเดี๋ยวเรื่องราวคงคลี่คลายไปในหนทางที่ดีขึ้น เพราะเมียนเมี่ยนส่งข่าวมาบอกว่าทางเหนือเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หลังหลับใหลมานาน” หลังออกจากเมืองโจวอี้ ข่าวสารจากทางเหนือเหมือนถูกตัดขาด เหยาอี้เหยาไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งตอนนี้ สมรภูมิที่เกิดขึ้นสร้างบาดแผลที่เกินเยียวยาให้คนสกุลฉู่ การสูญเสียฉู่เหวยและฉู่ซวิ่น สร้างความโศกศัลย์อาดูร แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป ฉู่ซีห่าวในฐานะเจ้าเมืองนำกำลังลงใต้มาพร้อมกับนักโทษหลี่หลินผู่ เขากดดันให้ฝ่าบาทลงทัณฑ์คนสกุลหลี่ให้สาสมกับสิ่งที่ทำ พร้อมบีบบังคับให้ไท่เฮาลงจากตำแหน่งซึ่งดำรงอยู่มานาน ไม่เช่นนั้นทางเหนือจะไม่ยอมจบลงแค่เท่านี้ การประจันหน้าในครั้งนั้นทำให้ราชวงศ์ต้าหย่งเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรี เพราะถึงฉู่ซีห่าวจะไม่ได้พูดโยงความผิดไปถึงฝ่าบาท แต่ใครๆ ก็รู้ดีว่าที่หลี่โหวกำเริบเสิบสานถึงขั้นนี้ เพราะมีเจ้าแผ่นดินให้ท้าย อีกอย่างสกุลหลี่ยังใกล้ชิดและข้องเกี่ยวกับราชวงศ์อย่างแนบชิด จนมีคำพูดว่า ‘สกุลหลี่ครึ่งราชสำนัก’ ดังนั้นความผิดของสกุลหลี่ ไม่เกี่ยวกับราชสำนักได้หรือ เวลานั้น ร่ำๆ จะเกิดเหตุนองเลือดอีกรอบเพราะดูคล้ายทางเหนือจะโอหังเกินไป อยากจะให้ทางต้าหย่งออกมารับผิดให้ได้ ซึ่งการทำเช่นนี้ ก็เหมือนบอกให้หย่งฉียอมรับว่าตัวเอง เป็นคนอยู่เบื้องหลัง แต่หย่งฉีซึ่งคิดคำนวณเรื่องราวไว้แล้วเดินหมากอย่างชาญฉลาด โยนทุกความผิดไปให้คนสกุลหลี่กับไท่เฮารับผิดชอบ ส่วนตนเองสวมบทบาทญาติผู้ใหญ่ที่มีจิตใจงดงาม คืนความยุติธรรมให้คนสกุลฉู่ แล้วประกาศลั่นวาจา เข้าวัดรักษาศีลเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อไว้ทุกข์ให้กับอดีตต้าเป่ยอ๋อง ความจริงใจของหย่งฉีได้รับการสรรเสริญเยินยอ จารึกเอาไว้ว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีจิตใจงดงามที่สุดผู้หนึ่ง สกุลหลี่รับเคราะห์ทั้งหมด ถูกเนรเทศไปยังดินแดนกันดารโดยไม่มีสมบัติติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว อดีตหลี่โหวถูกประหารในข้อหาร้ายแรง สิ้นสกุลหลี่ที่เคยรุ่งเรืองจนคำว่า ‘สกุลหลี่ครึ่งราชสำนัก’ กลายเป็นเพียงตำนาน แดนเหนือปิดตาย ฉู่ซีเย่พักรักษาบาดแผล ไม่เคลื่อนไหวอีกตลอดฤดูหนาว คิมหันต์จากไป ฤดูแห่งชีวิตพัดหวนกลับมาอีกครั้ง สามปีต่อมาฉู่ซีห่าวเดินทางลงใต้มาอีกคราเพื่อคืนเถ้ากระดูกของแม่ทัพหลิน ทำให้ความจริงเมื่อสิบกว่าปีก่อนถูกเปิดเผยออกมาว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่ทัพหลินหาได้มีความผิดใดๆ แต่เขายิงธนูปลิดชีพเจ้าเมืองฉู่หลินเพื่อช่วยซื่อจื่อแห่งแดนเหนือ ฮ่องเต้หย่งฉีที่รักษาภาพลักษณ์พระโพธิสัตว์เดินดินไม่รอช้า รีบคืนความเป็นธรรมให้กับสกุลหลินและเหยา กระนั้นหย่งฉีก็ไม่พลาดจะฉวยโอกาสในครั้งนี้เพื่อปลดฉู่ซีห่าวออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง เพราะความผิดของบิดาย่อมสืบสาวมาถึงบุตรชายด้วย แต่ฉู่เหวยคาดการณ์ไว้พอสมควรว่าอนาคตคงจะมีวันนี้ เขาจึงขอให้ฉู่ซีห่าวแต่งงานกับเสินหลานตี๋เอ๋อร์ ให้สกุลเสินคอยเป็นโล่อีกชั้น ไม่ให้มือของหย่งฉีสาวมาถึงตัว สุดท้ายหย่งฉีจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยิ้มแล้วส่งเสริมให้พวกเขาสมรสกัน ความบาดหมางของทางเหนือและต้าหย่ง คล้ายสิ้นสุดลงเช่นนี้ เหยาอี้เหยาเช็ดน้ำตา นางดีใจอย่างยิ่งที่ท่านตาพ้นจากความผิดแล้ว ทั้งยังได้รับความเป็นธรรมอย่างที่ควรจะได้ แต่อีกใจหนึ่งนางก็เศร้ายิ่ง “แล้วซื่อจื่อเล่า ไม่เห็นท่านเล่าถึง” กงจิ้งเอ่ย “ได้ยินว่าฉู่ซีเย่ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นต้าเป่ยอ๋องแล้ว” เหยาอี้เหยาดีใจด้วยจริงๆ “ดีแล้วล่ะ ดีใจกับซื่อจื่อด้วยจริงๆ” "อี้เหยา ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้า" "ท่านว่ามาเลย" "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฉู่ซวิ่นเป็นบิดาที่แท้จริงของเจ้า" ความอบอุ่นคลายคลี่คลุมลงมาปกคลุมอย่างทะนุถนอมเมื่อนึกถึงฉู่ซวิ่น แต่ก็ทำให้ใจนางร้าวลึกเช่นกัน "ก็แค่รู้เท่านั้นเอง แต่ท่านวางใจ เรื่องนี้ไม่บอกใครหรอก แต่ท่านเล่า รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร" เรื่องนี้นางไม่เคยบอกใคร เพราะไม่อยากเรียกร้องสิ่งใดทั้งนั้น กงจิ้งเอ่ยต่อด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน "คืนนั้นความจริงแล้วแม่ทัพหลินจงใจพาเจ้าผ่านเมืองโจวอี้เพื่อให้พบกับฉู่ซวิ่น ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว" "เช่นนี้นี่เอง" เหยาอี้เหยายิ้มออกมา ความทรงจำของนางในวัยเด็กไม่แจ่มชัดนัก โดยเฉพาะเรื่องในคืนที่สูญเสียท่านตา แต่ตอนนี้นางกลับจดจำสัมผัสของมือที่กุมมือนางไว้ตลอดในคืนนั้น ทั้งยังพานางกลับมาส่งต้าหย่งด้วยตนเอง "ข้าคิดว่าที่ฉู่ซวิ่นไม่เปิดเผยเรื่องเจ้า เพื่อปกป้องเจ้าจากผู้ไม่หวังดี เพราะอย่างที่เห็น เกี่ยวข้องกับคนสกุลฉู่มีแต่อันตราย" "น่าเสียดายนิดหน่อยที่ข้าพึ่งรู้ แต่ที่ผ่านมาเขาคอยปกป้องและช่วยข้าตลอดเวลา..." เหยาอี้เหยาลูบบาดแผลที่ทิ้งรอยไว้กลางฝ่ามือข้างขวา ...บาดแผลนี้ได้รับการเยียวยาแล้ว วันเวลาผ่านไป ซ่างเจวี๋ยสมควรเดินทางมาถึงแล้ว แต่รอจนมืดก็ยังไม่มีผู้ใดมา เหยาอี้เหยาใจไม่ดี นางจึงขอให้กงจิ้งลงเขาไปตามหากับลุงกู่ รอจนฟ้ามืดก็ไม่มีใครกลับมา แต่ระหว่างที่นางกำลังนั่งภาวนา มีคนขับเกวียนมาจอดหน้าลาน พร้อมกับบุกรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหยาอี้เหยาประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้ จึงหลบหนีไปทางประตูหลัง ส่วนของมีค่าก็ทิ้งไว้โดยไม่เสียดาย แต่พวกโจรไม่ได้มาปล้นทรัพย์ พวกเขาจงใจมาฉุดเหยาอี้เหยา “พวกเจ้าเป็นใคร อย่ามาแตะต้องนะ!” เหยาอี้เหยาถูกต้อน รอบข้างถูกล้อม “สวรรค์! ที่กันดารเพียงนี้มีสาวน้อยหน้าตาผุดผ่องขนาดนี้” “บอกแล้วไงลูกพี่ ถึงนางจะแต่งตัวเป็นบุรุษ แต่ตาข้ามันบอกว่านางคือสตรีวัยขบเผาะ” “อย่ามาแตะต้อง!” เหยาอี้เหยาฟาดไม้คราดใส่ พวกโจรถอยหนีด้วยน้ำเสียงเฮฮา ก่อนจะมีใครคนหนึ่งเข้ามาจับแขนนาง รุมกดนางลงกับพื้น “ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!” เหยาอี้เหยาน้ำตาหยด ดิ้นรนทุบตีสุดชีวิต แต่แรงนางสู้แรงผู้ชายไม่ได้ มือหยาบกร้านหมายจะดึงสาบเสื้อนางออก แต่พริบตาต่อมา ธนูก็ปักเข้ากลางหน้าผาก คนผู้นั้นล้มหงายหลัง จมท้องนา ก่อนที่คนอื่นๆ จะตายตามไปติดๆ เหยาอี้เหยาช็อกไปครู่เดียว ก็จะหันไปมองด้านหลัง ฉู่ซีเย่นั่งอยู่บนหลังม้า เขาลดธนูลงมา ใบหน้าคมครามที่มีกลิ่นอายโอหังเผยนัยน์ตาเยียบเย็น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนลงเมื่อมองนาง เหยาอี้เหยาได้สติเมื่อเขาเข้ามาใกล้ ร่างกายเขากำยำกว่าเมื่อสามปีก่อน ไรหนวดเคราบางๆ ทำให้เขาหล่อเหลาแบบดิบเถื่อน ไม่มีท่าทีคุกคาม กลับกันเขาทำให้นางอุ่นใจยิ่ง “ซื่อจื่อ…” “ไม่ใช่” น้ำเสียงฉู่ซีเย่ห้าวทุ้ม นัยน์ตาสุขุมนุ่มลึกที่เขามีในตอนนี้ หลอมละลายนางทันที “ตอนนี้ข้าเป็นต้าเป่ยอ๋องแล้ว” “จริงด้วย ควรเรียกท่านว่า…ท่านอ๋อง”“จริงด้วย ควรเรียกท่านว่า…ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยาลนลานถอยหลังไปสองก้าวอย่างประหม่า ก่อนจะคุกเข่าลงคาราวะเขาตามพิธีการ ฉู่ซีเย่จะบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ทัน“ลุกขึ้น” เขาพูดอย่างไม่พอใจ การปฏิบัติอย่างห่างเหินของนางไม่สบอารมณ์เขา“เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น แต่ยังก้มหน้ามองพื้นด้านล่างเพราะไม่กล้าสู้หน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่เขาช่วยดึงเชือกไว้ให้นางรอดจนท่านอ๋องฉู่เหวยตาย ยังคงตามหลอกหลอนแม้ตลอดสามปีมานี้จะพอข้ามผ่านมาได้แล้ว แต่ยังคงไม่หมดจด บางครั้งก็ยังหวนคิดถึงเสมอเหยาอี้เหยาไม่อยากโทษตนเอง แต่ความจริงคือนางมีส่วนทำให้ฉู่เหวยตายยังไม่รวมฉู่ซวิ่นที่สละชีวิตเพื่อให้นางรอด…ขนาดนางที่เป็นคนนอกยังรู้สึกผิดขนาดนี้ แล้วฉู่ซีเย่เล่าเขาจะรู้สึกผิดเพียงใดที่เลือกช่วยชีวิตนางแทนท่านปู่ของเขาความเงียบอันเฉื่อยชาดำเนินอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ฉู่ซีเย่จะทำลายลง“ไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปดื่มชาด้านในหน่อยหรือ”ความคิดที่ล่องลอยของนางถูกดึงกลับมา “หากท่านไม่รังเกียจว่าบ้านซ่อมซ่อ”“นำไปสิ” เขาเดินตามหลังนาง สายตาลอบมองเอวคอดที่เล็กเท่าฝ่ามือ รวมทั้งไหล่ที่บอบบางจนอาจหักคามือถ้าเผลอออกแรงงมากเกินไป…
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม