“ซื่อจื่อ เลื่อมใสมานาน” เมื่อถูกจับได้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเก็บซ่อนตัวตนอีก ปี้เหวินจิงถอดหน้ากากออก ใบหน้านางงดงามและเยือกเย็น
ฉู่ซีเยมองนางด้วยสายตาเย็นชา ไม่คิดจะพูดจาอะไรกันอีกนอกจากฆ่านางเสีย “เริ่มเลยหรือ” นางรวดเร็วยิ่ง เมื่อฉู่ซีเย่ตวัดดาบใส่ ก็ใช้สันหอกโต้กลับทันควัน “ซื่อจื่อ เปิดก่อนหาได้ได้เปรียบ บางทีอาจจบอย่างอนาถเสียด้วยซ้ำ” “คำนี้เหมาะกับเจ้าไม่น้อย” “ไยจึงดูแคลนสตรีกันนัก” ดาบเหลมคมพาดผ่านร่างนาง ปี้เหวินจิงเหินตัวขึ้นหลบหลีก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ ในเสี้ยววินาทีคมหอกเกือบจ้วงใส่ร่างฉู่ซีเย่ เพียงแต่พลิกหลบไปได้ “ตอนที่เจ้ายังหัดคลาน ข้าหัดฆ่าคนแล้ว” ปี้เหวินจิงปราดเปรียวว่องไวยิ่ง ฝีมือนางเป็นทักษะที่ถูกขัดเกลามาอย่างดีตลอดหลายปี ไร้ช่องโหว่ให้ตีกลับโดยง่าย บุกทะลวงไม่ผ่าน การเคลื่อนที่ของร่างกายสอดรับการการรุก ไม่มีการขยับที่ไร้ความหมาย ลงมือทุกครั้ง ตั้งเป้าที่จุดตาย กระนั้นฉู่ซีเย่ก็ไม่ใช่ท่อนไม้ผุพัง เขาอาจจะขาดประสบการณ์ไปบ้าง แต่สายเลือดแม่ทัพที่ไหลเวียนกำลังร้อนได้ที่ “พึ่งรู้ว่าการหัดฆ่าคนแต่เด็กเอามาใช้อวดได้” น้ำเสียงฉู่ซีเย่ดูแคลนยิ่ง เขาหลบเลี่ยงหอกของนาง หากจะบอกว่าหอกเล่มนี้งอกออกมาเป็นอวัยวะของนางเขาก็เชื่อ เพราะดูนางใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว เสมือนกลายเป็นมืออีกข้าง “เป็นนักฆ่า ไม่อวดเรื่องฆ่าคน จะอวดเรื่องอะไรได้อีก” สมรภูมิรอบข้างยังเดือดพล่าน ปี้เหวินจิงหาได้อยากมาเสียเวลาอยู่กับฉู่ซีเย่ นางยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ดังนั้นนางต้องทำให้ซื่อจื่อผู้นี้ พ่ายแพ้โดยเร็ว ปี้เหวินจิงจงใจให้ฉู่ซีเย่มองเห็นเศษผ้าซึ่งมัดไว้ที่ปลายหอก เศษผ้าอาบเลือดนี่มาจากเสื้อคลุมที่เขาให้เหยาอี้เหยาสวม ดังนั้นไม่มีทางที่ฉู่ซีเย่จะจำไม่ได้ ใบหน้าฉู่ซีเย่บิดเบี้ยว นัยน์ตาเข้มขึ้น “อยากรู้ไหมนางตายอย่างไร” ปี้เหวินจิงเหยียดยิ้ม ความงดงามของนางถูกรอยยิ้มน่าเกลียดทำลายจนหมดสิ้น “นางถูกข้าโยนลงหน้าผา” นัยน์ตาฉู่ซีเย่ลุกโชน ถึงยังงั้นกลับยังสามารถคงความเยือกแข็งได้และน่าประหวั่นพรันพรึงยิ่งกว่าเมื่อครู่ “งั้นก็ตายเสียเถอะ” เสียงหัวเราะของนางดังขึ้น ถอยหลังไปฟาดฟันอย่างอำมหิต ฉู่ซีเย่ตอกหน้านางจนหงาย หอกดาบประชันกันด้วยความเร็วและเรี่ยวแรง ปลายแหลมเสียดแทงเข้าลำแขน เสื้อเกราะขาดกระจุย นางบิดมือปลดดาบเขาทิ้ง ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านกับหอกที่ทิ่มแทง รั้งหอกนางเข้ามาประชิดแล้วหักมันด้วยมือ ฉู่ซีเย่รับปลายหอกอีกด้านมา หัวหอกคมแหลมยังเป็นของปี้เหวินจิง ทั้งสองผละห่างเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ฉู่ซีเย่จะแตะปลายเท้าถีบใส่นาง เขากวาดเอาหิมะไปด้วยพร้อมทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อฆ่านาง เขาใช้ดามหอกต่างอาวุธ เสือกส่งใส่นางไม่ยั้ง ความโหดเหี้ยมที่กำจายออกมาจากตัวฉู่ซีเย่ราวกับจะแช่แข็งทุกอย่าง ปี้เหวินจิงได้ทีปักด้ามหอกใส่ รอยยิ้มนางปรากฏอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลือนหาย เมื่อฉู่ซีเย่ใช่มือกดมือนางไว้ให้มั่น พร้อมจ้วงแทงนางเหมือนกัน ปี้เหวินจิงถอยหลัง มองใบหน้าเหี้ยมเกรียมที่วิปริตของฉู่ซีเย่อย่างขวัญผวา นางไม่คิดว่าเขาจะบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ “ข้าไม่ยอมตายแน่!” ด้านหลังมีแนวหอกไม้ไผ่เป็นรั้ว ฉู่ซีเย่กระชากมือออก ปี้เหวินจิงเหนี่ยวมือไว้ พลิกให้เขาหันเข้าหาแนวริ้วหอก นางทุ่มกำลังสุดชีวิต ดันให้เขาพุ่งชน แต่เพียงไม่กี่ชุ่น ฉู่ซีเย่พลิกตัวหลบ เขาถีบนางออกไป ภาพปี้เหวินจิงปักเข้าใส่รั้วหอกเป็นภาพที่ไม่น่าดู หอกแหลมเสียบทะลุร่างกาย เลือดพุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ นอกจากนี้ มีหอกอันหนึ่งทะลุดวงตาซ้ายออกมา ดูแล้วสยดสยองจนคนหลายคนเบือนหน้าหนี แต่ไม่ใช่ฉู่ซีเย่ “อา…หน้าข้าเป็นอะไรหรือไม่ ยังสวยอยู่หรือไม่” นางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย ถึงจะใกล้ตายแล้ว ก็ยังห่วงหน้าตา ฉู่ซีเย่ไม่ตอบ แต่หยิบดาบมาตั้งให้นางดู พริบตาเดียวเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น “ไม่! ไม่! ไม่!!! ตัวบัดซบ! เจ้าทำลายหน้าข้า! เจ้าตัวสารเลว!” ฉู่ซีเย่รำคาญยิ่ง จึงสกัดจุดให้นางพูดไม่ถนัด ทั้งยังช่วยสกัดจุดเลือดไหล ดวงตาข้างเดียวที่ยังงดงามมองฉู่ซีเย่จนแทบถลน นางกรอกตาไปมาราวกับจะบอกว่าฆ่าข้าเถอะ “…อยากตายหรือ ไม่ได้หรอก ท่านปู่ยังอยากพบเจ้า” ไม่จริง! ปี้เหวินจิงฆ่าฉู่เหวยแล้ว นางฆ่าท่านอ๋องและเจ้าเมืองฉู่ไปแล้วกับมือ! “เหลวไหล ข้าฆ่าพวกเขาแล้ว!” บรรยากาศรอบข้างพลันเปลี่ยนไป เมื่อกองทัพอันแสนเกรียงไกรเคลื่อนเข้ามากลางสมรภูมิ ม้าตัวด้านหน้าสุดนำโดยฉู่เหวย "ไม่จริง ข้าฆ่าท่านแล้ว..." ฉู่เหวยมองนางด้วยสายตาที่เรียบเย็นปนผิดหวัง "เหวินจิง ที่ผ่านมาขอบคุณที่ช่วยดูแล" ปี้เหวินจิงส่ายหน้า ครู่หนึ่งคล้ายมีความละอายใจวิ่งผ่าน "เช่นนั้นก็เมตตาหน่อย...ฆ่าข้าเถอะ" ความเจ็บปวดที่ไหลบ่าท่วมท้นร่างกายของนางสิ้นสุดลงแล้ว ฉู่เหวยเมตตาปลดปล่อยนางออกจากความเจ็บปวดทั้งปวง วินาทีที่โดดลงหน้าผา เหยาอี้เหยายื่นมือไขว้คว้าทุกอย่างที่พอจะจับได้ ปักปิ่นลงไปในผาเพื่อยึดไว้ แต่นางพลาดท่าแทบทุกอย่าง ขนาดคว้าจับรากไม้ได้ ยังเป็นรากไม้ผุพัง “ไม่นะ ไม่!” นางเบิกตากว้าง ร่วงหล่นลงไปในชั่วอึดใจ สู่ความนุ่มและยืดหยุ่น นุ่มและยืดหยุ่น! เหยาอี้เหยาลืมตา สิ่งแรกที่นางเห็นคือใบหน้าของฉู่ซวิ่น เท่านั้นเอง นางก็น้ำตาคลอเบ้า จับเนื้อจับตัวเองยกใหญ่ “เพื่อความมั่นใจ ข้าน้อยยังไม่ตายใช่ไหม” “ยัง” คำสั้นๆ คำเดียวทำนางร้องไห้โฮ โผกอดฉู่ซวิ่นด้วยความตื้นตัน นางคิดว่าจะไม่รอดแล้ว คิดว่าจะตายแล้วแต่ยังรอดมาได้ “ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาช่วยชีวิตข้าน้อยไว้” ฉู่ซวิ่นสวนเสียงเรียบ “ไม่มีสวรรค์ที่ไหนช่วยเจ้าทั้งนั้น จะขอบคุณก็ให้มันถูกคน” ตาข่ายแสนนุ่มเป็นฝีมือเขา ไม่มีสวรรค์มาช่วยสักนิดเดียว “ขอบคุณท่านด้วย” เหยาอี้เหยาใช้หลังมือปาดน้ำตาออก “แต่ว่า เมื่อครู่ท่านไม่ใช่ถูกฆ่าแล้วหรือ นี่ข้าน้อยไม่ได้แช่งท่านนะเจ้าคะ แต่ปี้เหวินจิงก็บอกว่าฆ่าท่านแล้ว” “แค่เกือบตายเท่านั้น” ฉู่ซวิ่นกระชับสาบเสื้อ ด้านในมีรอยเลือดวงใหญ่ “ฉู่เซียนเซิง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นมาอย่างไรแน่ เหตุใดปี้เหวินจิงจึงอยากฆ่าท่าน” “นางไม่ได้อยากฆ่าข้า นางอยากฆ่าอิ่นจื่อ” “ซื่อจื่อหรือ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้าเป็นต้นเหตุ” เพราะนางอยากแก้พิษ จนทำให้ทุกคนเดือดร้อน ฉู่ซวิ่นมองนางที่ทำหน้าห่อเหี่ยว “ไม่ใช่ความผิดเจ้า ที่จริงนี่ถือเป็นแผนการของพ่อบุญธรรม” “ท่านหมายถึงท่านอ๋องหรือ?” “ใช่” “อี้เหยาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” นางไม่เคยแทนตัวเองเช่นนี้มาก่อน สร้างความชะงักครู่หนึ่งให้เขา ฉู่ซวิ่นใช้สายสื่อสารว่า 'ข้าขี้เกียจพูด' “แต่อี้เหยาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านจึงบอกว่าเป็นแผนการท่านอ๋อง อีกอย่าง เรื่องนี้ลองคิดดูแล้ว รู้สึกเหมือนข้าจะถูกหลอกใช้ไม่น้อย แล้วทำไมถึงมีแต่คนบอกว่า ‘เพราะมีคนอยากฆ่าซื่อจื่อ’ ตลอดเลย เขานิสัยเลวร้ายก็จริง แต่ทำไมถึงมีแต่คนอยากฆ่าเขา” “พ่อบุญธรรมเพียงอยากให้เรื่องราวแนบเนียน” “แสดงว่าท่านรู้เรื่องราวมากมายแต่ปิดเงียบ” “ข้าไม่ได้รู้เรื่องราวทุกอย่าง” เหยาอี้เหยาทำหน้าไม่เข้าใจ เขาเลยถอนหายใจ อธิบายการคาดเดาให้นางฟัง “เรื่องน่าจะเริ่มต้นตั้งแต่พ่อบุญธรรมกลับมา…” “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ อย่าพึ่งเล่า” เหยาอี้เหยาชูมือขึ้น “ช่วยอุ้มข้าลงก่อนแล้วค่อยเล่าได้ไหมเจ้าคะ” ฉู่ซวิ่นถอนหายใจ แต่ก็ยอมอุ้มนางลงมาจากตาข่ายรองรับน้ำหนักอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง ปัดหิมะที่ปกคลุมบริเวณหัวไหล่ให้ราวกับนางเป็นเด็กไม่กี่ขวบ ทั้งกวาดตามองสำรวจว่านางบาดเจ็บที่ไหนบ้าง “เล่าได้แล้วเจ้าคะ” “ไม่ได้” ฉู่ซวิ่นหยิบยาออกมา "ทำแผลก่อนแล้วค่อยเล่า" เหยาอี้เหยาต่อรอง "ทำแผลไปด้วย เล่าไปด้วยซิเจ้าคะ" ฉู่ซวิ่นตกลง เขาเงียบไปพักหนึ่งเหมือนเรียบเรียงเรื่องราวในหัวก่อนจะพูด “ข้าจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก่อน ไม่อย่างงั้นเจ้าคงไม่เข้าใจว่าพ่อบุญธรรมกำลังทำสิ่งใด” ฉู่ซวิ่นหยิบยาออกมา “มีคนอยากฆ่าอิ่นจื่อ เรื่องนี้มีเหตุผล” “เพราะอะไรเจ้าคะ” “ชาติกำเนิดเขาเป็นภัยต่อบัลลังก์ หากพระบิดาของเฝิงอันไม่สละบัลลังก์ อิ่นจื่อจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างชอบธรรมคนต่อไป” ห้าสิบปีก่อนต้าหย่งเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติหกปี สองปีแรกเกิดภัยแล้ง สองปีถัดมาเกิดอุทกภัย น้ำหลากพังทำนบอยู่สองปี ชาวบ้านสูญเสียบ้านเรือน สิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากนั้นชาวต้าหย่งถูกซ้ำเติมด้วยโรคระบาดถึงห้าปี คนตายนอนเรียงอยู่ข้างกำแพง อดยากจนถึงขึ้นเริ่มขายลูกกิน บ้านเมืองไม่สงบ ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยเสียงครวญครางอันหิวโหว ราชวงศ์ต้าหย่งจึงออกมาช่วยเหลือ เปิดท้องพระคลังให้ชาวต้าหย่งได้ต่อชีวิต แต่ท้องพระคลังนั้นว่างเปล่าก่อนอยู่แล้ว จึงไม่มีกำลังมากพอจะบรรเทาทุกข์ของราษฎร สุดท้ายเพื่อเอาตัวรอด บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยโจรจี้ปล้น เวลานั้นชาวบ้านที่อดยากรวมตัวเป็นก๊กเป็นเหล่า ออกจี้ปล้นหรือถึงขั้นเข่นฆ่าผู้คน ราชวงศ์ต้าหย่งรู้เรื่องเพียงครึ่งเพราะถูกเหล่าเสนาธิการปิดหูปิดตา คนในวังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอู้ฟู่ แต่นอกกำแพงวังกลับมีแต่ศพคนอดตาย ในช่วงเวลาแห่งความมืดมน องค์หญิงใหญ่เฝิงอันกลับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง พระองค์เป็นสายเลือดกษัตริย์ของราชวงศ์เฝิง หากไม่มีการบีบให้สละบัลลังก์ ราชวงศ์ต้าหย่งย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น แต่ก็เพราะการสละราชสมบัตินี่เอง ทำให้เฝิงอันยังคงรอดชีวิตมาได้จนโต เฝิงอันเป็นองค์หญิงขี้โรค นางป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่กำเนิด วันๆ จึงหมกตัวอ่านตำรา ไม่เคยเล็ดลอดออกไปจากรั้ววัง ที่คุมขังนางไว้ ทว่านางเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมาตั้งแต่กำเนิด กระทั่งนางอายุสิบขวบ แม่นมที่เลี้ยงดูนางมา ตัดสินใจพานางออกไปนอกวัง ไม่ใช่เพื่อพานางไปเที่ยว แต่พานางไปฆ่าทิ้ง เฝิงอันรู้ตัวดี แต่ก็ยอมตามไป ทว่าระหว่างที่จะถูกฆ่าทิ้ง ชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับเข้ามาช่วยนาง เขาแนะนำตัวกับเฝิงอันว่าชื่อ ‘อาฮั่น’ พร้อมกับมองใบหน้าอมทุกข์อมโศกแต่สะกดใจเขาตั้งแต่แรกพบ ‘เจ้าชื่ออะไร’ เฝิงอันตอบว่าชื่อ ‘เสี่ยวอัน’ ทั้งสองรู้จักกันด้วยความบังเอิญ แต่มิตรภาพนั้นก่อกำเนิดขึ้นอย่างตั้งใจ โดยที่เฝิงอันไม่รู้เลยว่า เขาคือสามีในอนาคตของนาง 'ความปรารถนาของเจ้าคืออะไรหรือ' เฝิงอันด้วยใบหน้ามุ่งมั่น 'ข้าอยากหยุดโรคระบาด' ฉู่ฮั่น 'งั้นมาทำให้เกิดขึ้นจริงกันเถอะ' เฝิงอันในตอนนั้นสิบขวบ ฉู่ฮั่นสิบสามขวบ แต่ทั้งสองร่วมมือกันใช้มันสมองรักษาคน ตั้งกลุ่มหมอจากทั่วสารทิศเพื่อศึกษาค้นคว้า ใช้เวลาคิดค้นยารักษาสองปี โรคระบาดก็ถึงคราวสิ้นสุด ราชวงค์ต้าหย่งรับหน้า ได้รับความดีความชอบทั้งหมด ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแผ่นดินต้าหย่ง ฉู่ฮั่นที่ตามสืบเรื่องนางมาตลอดรู้ดีว่าเฝิงอันใช้ชีวิตมาแบบใด เขาจึงขอให้ท่านพ่อ เร่งรัดงานแต่งให้เร็วขึ้น ทว่าผู้คนกลับเริ่มสงสัยและสืบหาว่าท่านหมอที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้ใดแน่ รวมทั้งต้าหย่งเกิดความระแวงคลางแคลงใจในตัวเฝิงอัน เพราะมีกลุ่มคนที่ขุดคุ้ยป่าวประกาศว่า คนที่ขจัดโรคระบาดคือองค์หญิงใหญ่เฝิงอัน ผู้ฝักใฝ่ในราชวงศ์เฝิงรวมตัวกันก่อกบฏ ปากบอกว่าจะทวงคืนบัลลังก์ให้นาง แต่ความจริงคือใช้เป็นข้ออ้างเพื่อโค่นบัลลังก์เท่านั้น เฝิงอันแสดงตัวชัดเจนว่านางไม่คิดแย่งชิงบัลลังก์ แต่หนามแหลมงอกงามในใจฝ่าบาทไปแล้ว สามปีต่อมาหลังปราบกบฏได้จึงส่งนางขึ้นเหนือ ให้แต่งงานกับฉู่ซื่อจื่อ คิดง่ายๆ ว่านางอ่อนแออมโรค ไม่มีทางรอดชีวิตในแดนเหนืออันหนาวเหน็บได้นาน ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง ร่างกายของเฝิงอันอ่อนแอจนใช้เวลานับสิบปี จึงตั้งครรภ์ได้ แต่เคราะห์ร้ายที่หลังคลอดฉู่ซีเย่ได้ไม่นาน ทั้งสองก็จับมือกันลาโลกไป "ที่บอกว่าจับมือกันลาโลกไป หมายความว่าอย่างไรหรือ" "ฆ่าตัวตาย"ก่อนให้กำเนิดฉู่ซีเย่ กลุ่มผู้ฝักใฝ่เริ่มการเคลื่อนไหวหนักข้อขึ้น อีกทั้งช่วงนั้นราชวงศ์ต้าหย่งเองยังไม่มั่นคงเท่าที่ควร ทำให้เป็นจังหวะดีในการโค่นล่มบัลลังก์ ทางราชวงศ์ต้าหย่งระสับระส่ายอย่างยิ่ง เฝ้ารอคอยว่าเด็กในครรภ์ของนางจะเป็นชายหรือหญิง หากว่าเป็นชาย สถานการณ์ของกบฏย่อมรุนแรงขึ้นขณะนั้นเหล่าเสนาธิการเป่าหูฮ่องเต้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเฝิงอันอาจจะหวนกลับคืนมาอีกครั้งเพื่อทวงสิทธิของนาง ถึงอย่างนั้น ‘หย่งฉี’ ก็นับว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาและปกครองด้วยหลักคุณธรรมจารีต เขาไม่แสดงท่าทีอะไรให้ใครได้ล่วงรู้ความคิด ทั้งยังแสดงท่าทีห่วงใยต่อญาติผู้พี่อย่างเฝิงอัน แต่ในจิตใจเบื้องลึกที่แสนซับซ้อนนั้น ยากจะกล่าวถึงเวลาขยับเข้าใกล้ทุกที และแล้ว เฝิงอันก็คลอดฉู่ซีเย่ออกมาข่าวสารใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงต้าหย่ง หย่งฉีสั่งให้ขันทีคนสนิทตระเตรียมข้าวของเพื่อรับขวัญ เป็นสิ่งของล้ำค่าควรเมืองอันหรูหรา คนไม่รู้ยังบอกเล่าถึงน้ำจิตน้ำใจอันดีงามของเขาว่าทรงเป็นฮ่องเต้ที่จิตใจงดงามมีเพียงผู้ได้รับของขวัญเท่านั้นที่รู้ว่าหย่งฉี เป็นผู้ที่มีจิตใจงดงามแบบไหนเฝิงอันรับรู้ความต้องการของหย่งฉีดี มีเพี
หนึ่งวันก่อน…ฉู่ซีห่าวกลับมาไม่ทันงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของน้องชาย ทั้งยังได้รู้ว่าฉู่ซีเย่และเหยาอี้เหยาถูกจับไปขังคุกแล้วตามแผนการของท่านปู่ จึงได้แต่เดินไปวางของขวัญไว้ที่เรือนบูรพา เวลานั้นยังไม่ถึงเวลาไต่สวนคดี เขาจึงนั่งพักผ่อนอยู่ที่จวนของตนเองบ่าวรับใช้ซึ่งดูแลท่านหญิงเสินหลานตี๋เอ๋อร์เข้ามาเรียนว่านางอยากพบ ฉู่ซีห่าวจึงพันแผลลวกๆ แล้วออกไปพบ อย่างไรเสียนางก็มาเป็นแขกของบ้านนี้ ย่อมต้องต้อนรับให้ดีแต่เมื่อไปถึงคนที่นั่งอยู่ในศาลาไม่ได้มีแค่เสินหลาน“ท่านปู่”เสินหลานซึ่งนั่งพูดคุยกับท่านอ๋องอย่างสดใสลุกขึ้นคาราวะอย่างนอบน้อม “ท่านพี่”ฉู่ซีห่าวแตะข้อศอกให้นางลุกขึ้น“ลุกขึ้นเถอะ วันหน้าเวลาเห็นข้าก็ไม่ต้องลำบากเรื่องพิธีรีตองอีก”เสินหลานรับคำ พอจะมองสถานการณ์ออกว่าท่านอ๋องอยากสนทนาส่วนตัวกับเจ้าเมืองฉู่จึงหาเรื่องถอยฉาก “อ่อ เสินหลานมีของจะมอบให้ท่านปู่ด้วย ท่านคอยสักครู่นะเจ้าคะ จะรีบไปนำมาให้เดี๋ยวนี้”“ไม่รีบ ท่านปู่จะคอยเจ้าอยู่ที่นี้เอง”คล้อยหลังเสินหลานกับคนรับใช้ ฉู่เหวยหุบยิ้มแล้วหันมามองหลานชายคนโต “ชงชาให้ที”บนโต๊ะมีกาต้มน้ำตั้งอยู่บนเตา อุปกรณ์ชงชาอยู่ด้านข้าง
เมื่อออกจากเมืองโจวอี้ได้แล้ว ความหายนะต่างๆ ราวกับถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ไม่อาจเกี่ยวข้อง ไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้อีก เหยาอี้เหยาไม่ร้องไห้คร่ำครวญ แม้ภายในใจจะแตกสลายไปนับครั้งไม่ถ้วนนางหันกลับไปมองกำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหิมะโปรยซึ่งไกลห่างออกไปทุกที ครั้งแรกที่มาถึงทุกอย่างก็ขาวโพลนราวกับหิมะ เหมือนตอนนี้ไม่มีผิดเพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่างในใจนางได้เปลี่ยนไปแล้วเหยาอี้เหยาก้มหน้ามองปิ่นเงินในมือ ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะร้องไห้อีกแล้ว แต่น้ำตากลับหยดออกมาอย่างง่ายดาย ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่แจ่มชัดราวกับพึ่งเกิดขึ้น ทั้งการตายของฉู่ซวิ่นและการตายของท่านอ๋องล้วนมีสาเหตุเพราะนางทั้งนั้นสมควรแล้วที่ซื่อจื่อจะไม่แม้แต่อยากจะมองหน้ากันรถเกวียนมุ่งหน้าจากไปกลางหิมะอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยแห่งความทรงจำในวันวานอดีต...ทุกอย่างของเมื่อวานได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มีแค่ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะเป็นการต่อสู้ที่โหดหินไม่แพ้กันหลังกลับถึงเมืองต้าหย่ง สิ่งที่คณะทูตทุกคนต้องเผชิญคือสายตาดูแคลน ความสงสัย ความเคลือบแคลง ผู้คนซุบซิบนินทา และกระพือข่าวลือต่างๆ ที่ไม่เป็นความจริงออกไป ต่างเล่าลือกั
“จริงด้วย ควรเรียกท่านว่า…ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยาลนลานถอยหลังไปสองก้าวอย่างประหม่า ก่อนจะคุกเข่าลงคาราวะเขาตามพิธีการ ฉู่ซีเย่จะบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ทัน“ลุกขึ้น” เขาพูดอย่างไม่พอใจ การปฏิบัติอย่างห่างเหินของนางไม่สบอารมณ์เขา“เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น แต่ยังก้มหน้ามองพื้นด้านล่างเพราะไม่กล้าสู้หน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่เขาช่วยดึงเชือกไว้ให้นางรอดจนท่านอ๋องฉู่เหวยตาย ยังคงตามหลอกหลอนแม้ตลอดสามปีมานี้จะพอข้ามผ่านมาได้แล้ว แต่ยังคงไม่หมดจด บางครั้งก็ยังหวนคิดถึงเสมอเหยาอี้เหยาไม่อยากโทษตนเอง แต่ความจริงคือนางมีส่วนทำให้ฉู่เหวยตายยังไม่รวมฉู่ซวิ่นที่สละชีวิตเพื่อให้นางรอด…ขนาดนางที่เป็นคนนอกยังรู้สึกผิดขนาดนี้ แล้วฉู่ซีเย่เล่าเขาจะรู้สึกผิดเพียงใดที่เลือกช่วยชีวิตนางแทนท่านปู่ของเขาความเงียบอันเฉื่อยชาดำเนินอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ฉู่ซีเย่จะทำลายลง“ไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปดื่มชาด้านในหน่อยหรือ”ความคิดที่ล่องลอยของนางถูกดึงกลับมา “หากท่านไม่รังเกียจว่าบ้านซ่อมซ่อ”“นำไปสิ” เขาเดินตามหลังนาง สายตาลอบมองเอวคอดที่เล็กเท่าฝ่ามือ รวมทั้งไหล่ที่บอบบางจนอาจหักคามือถ้าเผลอออกแรงงมากเกินไป…
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม