หลังลงจากเขาแล้ว ฉู่ซีเย่สั่งให้คนพาตัวเหยาอี้เหยากลับจวนและหากไม่มีคำสั่งของเขา ห้ามนางออกจากจวนแม้ครึ่งก้าว ส่วนเขาเดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อสอบสวนฟู่เจิ้งชิวด้วยตัวเอง
ฉู่ซีห่าวคอยอยู่แล้วเมื่อเขาไปถึง ทั้งยังสละเสื้อคลุมให้เขาอีกตัว แต่ตอนนี้ฉู่ซีเย่ร่างกายอบอุ่นยิ่ง ไม่ต้องการเสื้อคลุมใดๆ “ข้าไม่หนาว” “เจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” ฉู่ซีห่าวอดพูดไม่ได้ “ข้าสบายดี” ฉู่ซีเย่แย้มยิ้ม กลิ่นกายหอมกรุ่นของนางยังคงติดจมูก น่าเสียดายที่เขากอดนางได้ไม่นานเท่าที่ใจปรารถนา “ท่านพี่ คนแซ่ฟู่ล่ะ” “อยู่ในคุกรอเจ้าแล้ว” ฉู่ซีห่าวพาเขาลงไปใต้ดิน ภายในคุกคุมกันแน่นหนาเพื่อไม่ให้ใครมาชิงฆ่านักโทษไปได้ รวมทั้งยังวางกำลังไว้จำนวนหนึ่งเพื่อจับตาดู จะได้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายก่อนการสอบสวน ทันทีที่ฉู่ซีเย่ปรากฏตัวขึ้น ฟู่เจิ้งชิวในชุดไต้ซือก็แสดงท่าทีตื่นตระหนก ฉู่ซีเย่ไม่ได้เริ่มการสืบสวนทันที แต่เขาหันมาพูดกับฉู่ซีห่าวก่อน “จริงสิท่านพี่ ท่านเขียนจดหมายให้ท่านปู่ทราบแล้วหรือยัง” “ยังเลย” “เช่นนั้นระหว่างที่ข้าสอบสวนคนแซ่ฟู่ ท่านช่วยเขียนจดหมายถึงท่านปู่ได้หรือไม่” ฉู่ซีห่าวไม่ปฏิเสธ เขาคิดจะเขียนบอกท่านปู่เช่นกัน แต่เพราะเกรงว่าจะมีคนร้ายบุกมาเก็บกวาดฟู่เจิ้งชิว เลยยังไม่ได้เขียน “ข้าจะไปเขียนเดี๋ยวนี้ แล้วจะรีบลงมาหาเจ้า” “ไม่ต้องรีบหรอกท่านพี่ จนกว่าท่านจะมา ข้าจะยังไม่สอบสวนเรื่องสำคัญ” ครั้นคล้อยหลังเจ้าเมืองโจวอี้ ใบหน้าที่ยิ้มนิดๆ ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ฉู่ซีเย่สั่งให้คนในคุกถอยออกไปให้หมด ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในกรงขัง รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านทำให้ฟู่เจิ้งชิวรู้สึกเหมือนยมทูตกำลังเดินเข้ามา อยากจะกัดลิ้นตายเพื่อเอาตัวรอด “ข้าควรเรียกเจ้าว่าฟู่เจิ้งชิว หรือหู่เหิงดี?” “ซะ...ซื่อจื่อ...” ฟู่เจิ้งชิวส่ายหน้าจนตาเหลือกลาน เข็มเงินเล็กๆ จนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากำลังทิ่มแทงเข้ามาในลำคอ “ว่าอย่างไร” ฉู่ซีเย่ยิ้มเยือน แต่สำหรับคนอย่างฟู่เจิ้งชิวแล้ว รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงไข่สันหลัง เขาอยากตายในวินาทีนั้น ดีกว่าต้องมาเผชิญหน้ากับคนอย่างฉู่ซีเย่ “ได้โปรดฆ่าข้าเถอะ” การร้องขอความตายที่ไม่ทุกข์ทรมานดูจะเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว “เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของเจ้าแล้ว ว่าจะตอบได้ดีเพียงใด” “ข้า...จะบอกท่านทุกอย่าง” “ใครฆ่าเจ้าเมืองฉู่หลิน” “...แม่ทัพหลิน” ฉู่ซีเย่หยุดมือ ไม่ทรมานฟู่เจิ้งชิวแล้ว ดวงตะวันลาลับขอบฟ้า ความมืดมาเยือนพร้อมสายลมแห่งความเหน็บหนาว นอกด่านชั้นในมีกองทัพอันห้าวหาญของสกุลฉู่ตั้งอยู่อย่างมั่นคงในกำแพง บริเวณด้านบนของหอสังเกตการณ์ได้รับสัญญาณติดต่อก่อนหน้าที่ ‘จ้าวสือ’ ก่อนที่เขาจะขี่ม้ามาหยุดหน้าประตู ไม่เช่นนั้นคงโดนเกาทัณฑ์ยิงไปนานแล้ว “ข้าชื่อจ้าวสือ เป็นคนของเจ้าเมืองฉู่ ฉู่ซีห่าว” จ้าวสือหยิบคบเพลิงที่ปักพื้นมาจ่อใบหน้าให้คนได้เห็นหน้าชัดๆ “แม่ทัพจ้าว มีธุระอันใดจึงมาดึกดื่นเช่นนี้” ทหารรักษาการณ์รู้จักจ้าวสือเป็นอย่างดี เนื่องจากอีกฝ่ายเคยเป็นทหารชายแดนมาก่อน ภายหลังสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ฉู่ซีห่าวด้วยความเข้มแข็งเลยได้รับการปูนบำเหน็จให้กลายเป็นแม่ทัพคนสนิทของเจ้าเมืองฉู่ในปัจจุบัน จ้าวสือ “มีจดหมายจากซื่อจื่อและเจ้าเมืองถึงฉู่อ๋อง” “วางจดหมายไว้บนกล่อง แล้วไปได้” เนื่องจากระหว่างชายแดนมีความตึงเครียดหลายด้าน ดังนั้นทหารรักษาการณ์จึงไม่สามารถให้ผู้ใดเข้ามาภายในค่าย กระทั่งเป็นคนของเจ้าเมืองฉู่ก็ไม่ได้ “ไม่ได้ เรื่องนี้ท่านเจ้าเมืองกำชับให้ข้าส่งจดหมายถึงมือฉู่อ๋องเท่านั้น” จ้าวสือแสดงตราเจ้าเมือง ทหารรักษาการณ์คุกเข่าโดยพลัน “ได้ จะเปิดประตูเดี๋ยวนี้” บานประตูถูกเปิดออก สายลมพัดโชยเข้ามาจนทำให้เปลวเทียนถึงกับสั่นไหว อีกทั้งยังทำให้ก้อนผ้าห่มที่นั่งกอดเตาอุ่นถึงกับออกปากว่าหนาว “หนาวยิ่ง” “ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนูเหยา” จิ่งเถียนหับประตูอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังไม่เร็วพอจนทำให้เหยาอี้เหยาหนาวสะท้าน ต้องกระชับผ้านวมที่ห่มอยู่ถึงคอให้ชิดเข้ามาอีก “ไม่เป็นไร” เหยาอี้เหยาตอบอู้อี้ ความหนาวเย็นบนเขาทำให้นางไอ เลยรบกวนให้จิ่งเถียนไปต้มยาลดอาการไอมา “ข้าเอง” ซ่างเจวี๋ยรับยามาจะป้อนเหยาอี้เหยา แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ระแวดระวังอาหารการกินทุกอย่างเลยดมก่อนเป็นอันดับแรก ครั้นได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็รีบชิม “เหตุใดยาจึงมีรสชาติแปลกๆ” ซ่างเจวี๋ยไม่ชำนาญเรื่องตำรับยา แต่เขามั่นใจว่ารสชาตินี้ไม่ถูกต้อง จิ่งเถียนรีบอธิบาย “เรียนแม่ทัพซ่าง ตำรับยามีรสชาติที่แปลกไปเพราะใส่สมุนไพรที่แตกต่าง ซื่อจื่อท่านเรียนว่าคุณหนูเหยาอาจรับรสขมมากไม่ได้ ข้าน้อยเลยทำให้ยาทานง่ายขึ้น โดยเลือกใช้แค่ชิ่งเหยิน และไป๋ฟูหลิงซึ่งมีรสหวาน” “เช่นนั้นก็แล้วไป” ซ่างเจวี๋ยวางใจ ส่งต่อให้เหยาอี้เหยาดื่มยา “ขอบคุณเจ้ามากจิ่งเถียน” เหยาอี้เหยาดื่มหมดในรวดเดียว ยาแก้ไอชามนี้ไม่ขมเลย รื่นคอมาก “เป็นหน้าที่อยู่แล้วเจ้าค่ะ หากคุณหนูเหยาต้องการสิ่งใดอีกสามารถเรียกข้าน้อยได้ทุกเมื่อ” จิ่งเถียนยอบกายลงแล้วถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ “สาวรับใช้คนนี้ใช้ได้นะ ทั้งเตรียมชุด ห้องหับ และยาให้เจ้า” ซ่างเจวี๋ยพูด ก่อนจะเดินไปเขี่ยถ่านในเตาให้นางอุ่นมากขึ้น “จิ่งเถียนเป็นสาวรับใช้ที่รู้หน้าที่มากเจ้าค่ะ” ตั้งแต่นางเกิดมา จิ่งเถียนนับว่าเป็นสาวรับใช้ที่ดีที่สุดเช่นกัน เพียงแต่จิ่งเถียนไม่ใช่คนของนาง “แต่ไม่ว่ายังไงนางก็เป็นคนของซื่อจื่อใช่หรือไม่” เหยาอี้เหยาพยักหน้า “ข้าเลยไว้ใจนางไม่ได้” “อี้เหยา ข้ารู้สึกได้ว่าจากนี้ไปจะมีแต่เรื่องราวไม่รู้จบสิ้น” ซ่างเจวี๋ยเอ่ย เขารู้ดีว่าห้ามนางไม่ให้สืบเรื่องฟู่เจิ้งชิวไม่ได้ “หากเป็นอย่างที่แม่ทัพกงพูด เกรงว่าเรื่องนี้จะนำอันตรายมาสู่เจ้า มิสู้เจ้าปล่อยให้ข้าจัดการ” “ข้าน้อยจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านก็รู้ว่าเรื่องนี้อันตรายยิ่ง” เส้นสนกลในของเรื่องลอบสังหารเจ้าเมืองฉู่เมื่อเกือบสิบปีก่อน นางต้องทำให้เรื่องทุกอย่างกระจ่างแจ้ง “ข้าไม่อาจห้ามเจ้าสินะ” ซ่างเจวี๋ยถอนหายใจ “หากเปลี่ยนเป็นแม่ทัพซ่าง ข้าน้อยก็มั่นใจว่าท่านจะต้องสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเช่นกัน” เหยาอี้เหยาคลายผ้าห่มที่คลุมตัวลง ด้านในสวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ และนางกำลังจะออกจากเรือนไปหาฉู่ซีเย่ “แน่นอนว่าข้าก็คงทำเช่นเจ้า” ซ่างเจวี๋ยหยิบเสื้อคลุมสีหม่นมาให้นาง พร้อมกับโคมไฟอีกดวง “แต่อี้เหยา อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีเช่นกัน” เหยาอี้เหยารับโคมไฟมาถือ รับรู้ว่าซ่างเจวี๋ยเป็นห่วงนางมาก ราวกับนางเป็นน้องสาวคนหนึ่งของเขา “แม่ทัพซ่าง ขอบคุณที่ตักเตือนเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะดูแลตัวเองให้ดี” ทิศทางของเรือนนางอยู่ตรงข้ามกับเรือนบูรพาของฉู่ซีเย่ เหยาอี้เหยาเลยสามารถเดินตัดผ่านสวนดอกไม้ตรงไปยังเรือนเขาได้เลย เหยาอี้เหยาจึงมุ่งหน้าไปตามทาง ระหว่างนั้นบ่าวรับใช้ที่กำลังจุดตะเกียงรีบค้อมตัวลงคาราวะนาง เหยาอี้เหยาพยักหน้าน้อยๆ นางจำเป็นต้องรับการคาราวะ ไม่เช่นนั้นบ่าวรับใช้จะไม่สามารถลุกขึ้นมายืนปกติได้ “ลุกขึ้นเถอะ” “ขอบคุณขอรับ” บ่าวรับใช้ลุกขึ้น พร้อมบอกให้เหยาอี้เหยาระวัง “คุณหนูเหยา ทางเดินบนแผ่นหินค่อนข้างลื่น ท่านก้าวระวังนะขอรับ” “เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก” เหยาอี้เหยาเดินต่อไป ครั้นผ่านทางเดินหินก็เห็นว่าหิมะได้เคลือบบนชั้นหินไว้จึงลื่นเป็นพิเศษ นางเลยเดินช้าๆ ใช้เวลาสักพักถึงได้มาถึงเรือนบูรพา ยามนั้นกงซุนหลางเปิดประตูออกมาจากเรือนของฉู่ซีเย่พอดี นางเลยยอบตัวลง “ท่านกุนซือ ข้าน้อยมาหาซื่อจื่อ” กงซุนหลางยังไม่ทันพูดอะไร ฉู่ซีเย่ก็พูดขึ้นแล้ว “ใคร” “ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ” ฉู่ซีเย่อนุญาต “เข้ามา” “เจ้าค่ะ” นางตอบ เคาะเท้าเพื่อสลัดหิมะ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในห้องหนังสือที่อยู่ติดกับเรือนรับรองจนสามารถเดินทะลุหากันได้ “มาหาข้าทำไมดึกดื่น” ฉู่ซีเย่ยืนอยู่อยู่ใกล้ม้วนหนังสือ ข้างๆ มีเชิงเทียนซึ่งส่องกระทบให้ใบหน้าของเขาสว่างครึ่งหนึ่ง มืดครึ่งหนึ่ง ภาพใบหน้าและการแต่งกายที่ค่อนข้างสบายๆ ของฉู่ซีเย่ทำให้ในใจของนางผุดภาพบนเขาขึ้นมา แต่ท่าทีตอนนี้ของเขากลับไปเคร่งขรึมหยิ่งยโสดังเดิม ดังนั้นนางเลยปัดเรื่องในใจทิ้งไปอย่างหมดจด ตอนนี้นางต้องสืบเรื่องฟู่เจิ้งชิว “เมื่อช่วงเย็นข้าน้อยไปเรือนเจ้าเมืองฉู่เพราะมีเรื่องอยากสอบถามฟู่เจิ้งชิว แต่ท่านเจ้าเมืองบอกว่าต้องรอท่านก่อน ดังนั้นข้าน้อยเลยอยากทราบว่าท่านจะเดินทางไปเมื่อใดอีก หรือจะสามารถให้ข้าไปพบฟู่เจิ้งชิวสักครู่ได้หรือไม่” หลังลงมาจากเขา ฟ้าก็มืดแล้ว อีกทั้งฉู่ซีเย่ยังสั่งให้คนส่งเหยาอี้เหยากลับจวนทันที นางเลยไม่ได้ไปที่จวนเจ้าเมืองฉู่กับเขา ไม่รู้ว่าเขาสืบสวนฟู่เจิ้งชิวได้ความอย่างไรบ้าง “มีอะไรที่เจ้าอยากสอบถามฟู่เจิ้งชิว” ก่อนหน้านี้ฉู่ซีเย่กำลังอ่านม้วนหนังสืออยู่ แต่ตอนนี้เขาปิดม้วนหนังสือ “ข้าน้อยได้ยินมาว่าฟู่เจิ้งชิวเป็นนักโทษกบฏร่วมกับท่านตา เพียงแต่ข้าน้อยไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนของท่านตา” “เจ้าคิดจะพูดอะไร จะบอกว่าฟู่เจิ้งชิวไม่ใช่คนของท่านตาเจ้า แล้วอย่างไร เรื่องนี้จะทำให้อะไรต่างไปหรือ” “ย่อมแตกต่าง เพราะหากฟู่เจิ้งชิวไม่ใช่คนของท่านตา นั้นก็หมายความว่าท่านตา...ถูกใส่ร้าย” ฉู่ซีเย่พูด “เจ้าคิดจะสืบเรื่องนี้เพื่อล้างมลทินให้แม่ทัพหลิน” “ข้าน้อยเพียงอยากคืนความยุติธรรมให้ท่านตา” เหยาอี้เหยาคุกเข่าลงคำนับเพราะกลัวว่าฉู่ซีเย่จะไม่ให้นางได้พบฟู่เจิ้งชิว เพราะอย่างที่กงจิ้งพูด หากจะล้างมลทินให้ท่านตา เช่นนั้นก็เท่ากับนางกำลังจะบอกว่าราชวงศ์ต้าหย่งและชาวแดนเหนือใส่ร้ายท่านตามาตลอด “ซื่อจื่อได้โปรดสนับสนุนข้าน้อยด้วย” “เช่นนั้นก็ได้” ฉู่ซีเย่เผยท่าทีอ่านยาก “แต่หากเจ้าคุยกับฟู่เจิ้งชิวแล้วพบความจริงที่น่าตกตะลึง เจ้าจะรับได้หรือ” “ฟู่เจิ้งชิวบอกอะไรท่าน” เขาได้สอบสวนก่อนแล้ว ดังนั้นอาจจะรู้อะไรมากกว่านาง ฉู่ซีเย่ไม่บอกนาง “เรื่องนี้ข้าพูดเองไม่สะดวก เกรงว่าเจ้าคงคิดว่าข้าใส่ความ เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้เจ้าไปพบฟู่เจิ้งชิวได้...” “ขอบคุณซื่อจื่อที่อนุญาต” เหยาอี้เหยาคำนับอีกรอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถาม “ข้าน้อยอยากไปพบหน้าฟู่เจิ้งชิวในตอนนี้เลย” “ได้ แต่ข้ามีข้อแม้” ฉู่ซีเย่พูด “เจ้าต้องมานอนกับข้าที่นี้...ทุกคืน” เหยาอี้เหยาเม้มปาก ท่าทีที่ราวกับอยากปฏิเสธของนางทำให้ฉู่ซีเย่พูดเสริม “ไม่สะดวกหรือ ถ้าเช่นนั้น...” “ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะมาหาท่าน” ฉู่ซีเย่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเลยยามจื่อแล้ว เมื่อเหยาอี้เหยากับซ่างเจวี๋ยเดินเท้าถึงจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อพบหน้าฟู่เจิ้งชิวเป็นการส่วนตัว เวลานั้นเจ้าเมืองฉู่ซีห่าวไปจัดการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเจ้าอาวาสหยูเม่ากับไต้ซือจอมปลอมอย่างฟู่เจิ่งชิวก่อขึ้น ดังนั้นจึงมีเพียงแม่ทัพจ้าวสือรอนางอยู่“เรียนแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยมาขอพบนักโทษ”เหยาอี้เหยามอบจดหมายอนุญาตเข้าเยี่ยมนักโทษจากซื่อจื่อให้แม่ทัพจ้าวตรวจสอบความถูกต้อง"คุณหนูเหยามีจดหมายอนุญาตย่อมเข้าได้ เพียงแต่แม่ทัพซ่าง… ""ข้ารอที่นี้ได้" ซ่างเจวี๋ยพูดห้วนๆ"เช่นนั้นก็เรียบร้อย" จ้าวสือจึงให้เหยาอี้เหยาเข้าได้ “เนื่องจากนักโทษแซ่ฟู่มีความสำคัญต่อคดีมาก เลยไม่อาจให้พบหน้าได้นานนัก ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ”“เข้าเยี่ยมได้นานเท่าใดหรือ”“ไม่เกินหนึ่งเค่อ”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่ขอเวลาเพิ่ม“เชิญคุณหนูทางด้านนี้” จ้าวสือส่งที่ทางเข้า “อ่อ มีอีกเรื่องที่ต้องกำชับ ภายในมีกลไกป้องกันการบุกรุก ดังนั้นจึงไม่อยากให้คุณหนูแตะต้องสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาต”“รบกวนแม่ทัพจ้าวแล้ว” เหยาอี้เหยารับคำ สายตาสังเกตรองเท้าและรอยเปื้อนของชายเสื้อคลุมทหาร ร่องรอยดินโคลนสาดกระเซ็นขนาดนี้ แสดงว่าแ
หลังออกมาจากคุกใต้ดินที่ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ เหยาอี้เหยาตั้งใจเดินทางกลับจวนสกุลฉู่ทันที ทว่าเวลานั้นฝนหิมะโปรยปรายลงมาหนักหน่วงจนมืดฟ้ามัวดิน หากคิดจะเดินฝ่าพายุอันหนาวเหน็บ พรุ่งนี้นางต้องจับไข้แน่จ้าวสือที่เห็นว่าสภาพอากาศเลวร้าย เลยแนะให้นางอยู่ก่อน “ฝนหิมะตกหนักยิ่ง เกรงว่าคุณหนูเหยาอาจจะเดินทางกลับไปจวนไม่สะดวกนัก มิสู้รอสักครู่ ข้าจะให้คนไปเรียกเกวียนมาให้”จวนเจ้าเมืองกับจวนสกุลฉู่อยู่ไม่ไกลกันมาก แต่หากให้เดินตากฝนปนหิมะกลับไป เกรงว่าจะไม่ไหว ยิ่งรู้ว่าถ้ากลับไปต้องเจอออะไร นางก็ยิ่งหมดแรงยกเท้า“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว”“เป็นหน้าที่ คุณหนูอย่าได้เกรงใจ” จ้าวสือผายมือ “ระหว่างรอเกวียน เชิญคุณหนูและแม่ทัพซ่างพักผ่อนด้านนี้”“ไม่ลำบากท่านแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยกับแม่ทัพซ่างขอยืนรอตรงนี้จะเป็นการดีกว่า “เหยาอี้เหยาพูดอย่างเกรงใจ ขณะนั้นเสียงรถม้าดังให้ได้ยินมาแต่ไกล คาดว่าคนในรถม้าคงเป็นเจ้าเมืองฉู่ แล้วก็เป็นเขาจริงๆเมื่อรถม้าจอดลงตรงประตูจวน ฉู่ซีห่าวในชุดคลุมเดินลงมาจากรถ ร่มกระดาษในมือไม่สามารถปกป้องเข้าจากสายฝนได้มากนัก ทำให้ร่างกายเปียกชื้น ซึ่งหากเป็นคนปกติทั่วไป เกรงว่าคง
เมืองเซียงฝาน อำเภอชีชิวหลังถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท หย่งสวินในนามนักโทษถูกเนรเทศมาอยู่หมู่บ้านใกล้ปืนเที่ยง รับราชการในอำเภอเล็กๆ ให้ผู้คนดูแคลน ถึงยังงั้นต่อให้พบเจอความอดสูแร้นแค้นใดใด หย่งสวินพยายามดิ้นรนเอาชีวิตไปให้ได้ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตรอด เขาก็ยังมีโอกาสทวงคืนในสิ่งที่ควรเป็นของเขากลับคืนมาทว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่อหย่งสวินที่ไร้อำนาจโดยพลันถูกคนไล่ล่า ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอด หลายปีมานี้เขาเลยผูกสัมพันธ์กับหลี่หลินผู่ หรือในตอนนี้คือหลี่โหวคนใหม่ของจวนสกุลหลี่เพื่อรับความคุ้มครองแม้การขอร้องผู้อื่นจะเป็นสิ่งที่เขาเกลียดชังยิ่งก็ตามความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างดี สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกัน รวมทั้งหย่งสวินไม่อยากเชื่อว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลี่โหวยอมยื่นมือช่วยเหลือเขาในยามตกทุกข์เป็นเพราะเขาให้ข้อมูลเหยาอี้เหยาได้แน่นอนว่าหย่งสวินที่ต้องการความช่วยเหลือไม่มีทางบอกหลี่โหวเรื่องยาพิษทว่าในใจหย่งสวินมีคำถามหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหยาอี้เหยามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร เพราะเขามียาระงับพิษให้นางแค่นั้น แต่หลายปีมานี้นางก็ยังคงมีชีวิตรอดมาได้แล้วยอดฝีมือค
“ข้าเอง” ฉู่ซีเย่เอ่ยต่อ “ข้าวางยาพิษเขาเอง”“ท่านวางยาพิษเขา เพื่ออะไร?” นอกจากเหยาอี้เหยาแล้ว คนที่ต้องการให้ฟู่เจิ้งชิวมีชีวิตรอดต่อไปก็คือฉู่ซีเย่ แต่เขากลับวางยาพิษอีกฝ่าย“ไม่ทำเช่นนี้ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าวางแผนจะช่วยฟู่เจิ้งชิวออกมา” ฉู่ซีเย่ลองวางยาพิษเพื่อดูว่าคนทั้งสองมีข้อตกลงอะไรกัน ซึ่งไม่ยากอะไรที่จะเค้นคำตอบจากคนใกล้ตายแต่ไม่คาดว่าเหยาอี้เหยาจะมอบยาแก้พิษให้ฟู่เจิ้งชิว เขาเลยต้องลงมือหนักขึ้น “หากเจ้าอยากรู้เรื่องเมื่อสิบปีก่อน คนที่เจ้าควรจะถามคือข้าไม่ใช่หรือ”บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไปแล้ว ระหว่างทั้งสองมีความรู้สึกขุ่นมัวคลี่คลุมอยู่“ถามแล้วท่านจะบอกความจริงหรือ” ย่อมไม่มีทางที่ฉู่ซีเย่จะบอกนางทุกอย่าง “ถ้าไม่ได้ฟู่เจิ้งชิว ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าท่านตาถูกใส่ร้าย”“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยบอกเจ้าว่าท่านตาเจ้าผิด”ใช่แล้ว ฉู่ซีเย่ไม่เคยพูด“แต่พวกท่านไม่เคยออกหน้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านตาไม่ผิด” เหยาอี้เหยามองสบตากับเขา “พวกท่านปล่อยให้ท่านตาตายในฐานะกบฏ กระทั่งจะฝั่งอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ไม่ได้ แล้วตอนนี้ท่านตาก็กลายเป็นแค่หนึ่งในหลุมศพไร้ญาติ ทั้งๆ ที่ท่านตาบริสุทธิ์”ใ
"แต่งงานกับข้า"เหยาอี้เหยาเบื้อใบ้ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉู่ซีเย่จะเอ่ยปากขอนางแต่งงานเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งแผนการของนางคือรีบรักษาพิษแมลงคุณไสยแล้วหาทางหนีจากเขา ไม่ใช่จบลงด้วยการแต่งงานอีกอย่าง คนอย่างนางจะกล้าแต่งงานกับซื่อจื่อได้อย่างไร ไม่รวมว่านางยังมีสัญญาหมั้นหมายผูกติดกับหลี่โหวอีกถึงยังงั้นใจนางก็เต้นแรงยิ่ง ในท้องราวกับมีดอกไม้เบ่งบาน"เหตุใด...ท่านถึงอยากแต่งงานกับข้า" ความรู้สึกของฉู่ซีเย่ที่มีต่อนาง ไม่มีความลึกซึ้งถึงขั้นแต่งงาน เขาดีกับนางมากกว่าคนอื่น เพราะนางมีประโยชน์เท่านั้น "ท่านไม่ได้ชอบข้าเสียหน่อย"ฉู่ซีเย่ตอบ "จำเป็นต้องชอบรึ ในเมื่อคนอย่างข้าจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์มากกว่า""ประโยชน์ในส่วนของข้าน้อยมีมาก แล้วประโยชน์ในส่วนของท่านเล่า" ถ้าได้แต่งงานกับเขา นางก็ไม่ต่างอะไรกับหนูตกถังข้าวสาร"ข้าเป็นซื่อจื่อ มีหน้าที่สืบทอดตำแหน่งและทายาท เจ้ามีลูกให้ข้าได้"เหยาอี้เหยาไม่คิดว่าเขาจะมองไกลถึงขั้นนี้ ใบหน้านางจึงเห่อร้อน"ทำไม เจ้าไม่พอใจที่จะแต่งกับข้า?"กว่าฉู่ซีเย่จะพูดประโยคเมื่อครู่ได้ เขาใช้ความพยายามไม่น้อย"ข้าน้อยเพียงแต่ คิดไม่ถึงมาก่อนว่าท่านจะ
ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว เมื่อฉู่ซีเย่ควบม้ามาถึงประตูเมืองร่างสูงในชุดสีดำองอาจลงจากอาชา เขาเหยียบย่ำหิมะเพื่อขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ทหารรักษาประตูเมืองคาดไม่ถึงว่าฉู่ซีเย่จะมาในวันนี้ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ กระทั่งไม่มีเวลาแต่งกายให้เรียบร้อย ท่าทีจึงลนลานและประหม่าอย่างเห็นได้ชัดฉู่ซีเย่เห็นท่าทีของทหารก็ได้แสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้พูดแต่ตำหนิทางสายตาจนคนอยากกระโดดหอในทันที"ขอซื่อจื่อโปรดลงโทษ ข้าน้อยผิดไปแล้ว"ช่วงนี้ใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ทหารบางรายอาจหละหลวมไปบ้าง ฉู่ซีเย่จึงคาดโทษไว้ แต่หากมีครั้งหน้า ย่อมไม่เอาไว้"ลุกขึ้น ไปแต่งกายให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉู่อ๋องจะกลับมา"ฉู่ซีเย่ไม่อยากให้ท่านตามาเห็นเหล่าทหารในสภาพนี้แม่ทัพแสดงสีหน้ามึนงงยิ่ง "ซื่อจื่อ มิใช่ว่าท่านอ๋องเข้าเมืองมาแล้วหรือ?"ฉู่ซีเย่หันไปมองธงด้านตรงข้าม ปกติหัวธงประจำกองทัพจะไม่ขึ้น เพื่อบอกว่าฉู่อ๋องไม่อยู่ เมื่อครู่เขาไม่เห็นเพราะหมอกหนาตา ครั้นเห็นชัดเต็มสองตา มือเรียวข้างลำตัวกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดสีน้ำเงิน"ฉู่อ๋องเข้าเมืองมาเมื่อใด""มะ...เมื่อคืนขอรับ"ความอำมหิตอันเข้มข้นนี่คืออันใด?ฉู่ซีเย่แทบจะพุ่งลงจากหอส
ลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถหลบพ้นเหยาอี้เหยามองเห็นลูกธนูผ่านม่านหิมะ เสี้ยววินาทีนั้นแสนสั้นแต่เหมือนได้เห็นภาพบางอย่างที่ยาวนานในหัว ทุกสรรพสิ่งเหมือนหมุนย้อนกลับ แต่แล้วสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดทำให้นางตัดสินใจหลบแต่ช้าเกินไป เหยาอี้เหยารู้ตัวว่าถูกยิงเข้าที่ต้นขา แต่นางไม่คิดมัวโอ้เอ้ กัดฟันกลั้นความเจ็บแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหนีคนร้ายในชุดดำปิดบังใบหน้าไต่กำแพงตามอย่างกระชั้นชิด พร้อมง้างธนูพุ่งเข้ามาหานางด้วยความอาฆาตมุ่งร้าย“ช่วยด้วย!” นางวิ่งได้ช้าเพราะขาซ้ายเจ็บ เบื้องหน้าเป็นตรอกตันไร้ผู้คน นางหันไปมองด้านหลังครู่เดียวก่อนจะพุ่งตัวหลบไปอีกด้านหนีลูกธนู ร่างไถลไปกับพื้นโคลนจนธนูหักคาต้นขาความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นสมอง เวลานั้นนางจะหยิบนกหวีดขึ้นมาเป่าหาซ่างเจวี๋ย ทว่าคนร้ายกระชากทิ้งอย่างไม่ใยดีเหยาอี้เหยาสู้ไม่ได้จึงถอยหลังจนหิมะกระจาย ด้านหลังนางคือกำแพงทึบสูง ส่วนตรงหน้าคือคนร้ายที่ถือธนูเล็งมาตรงศีรษะ“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร หรือผู้ใดส่งเจ้ามา แต่อย่างน้อยก็บอกเหตุผลที่จะฆ่าข้าหน่อยเถอะ” จมูกนางได้กลิ่นสนิทเข้มข้น เลือดอุ่นๆ จากบาดแผลกำลังหยดลงพื้นหิมะสีขาวโพลนราวกั
บาดแผลบนขาซ้ายได้รับการรักษาแล้ว เหยาอี้เหยาจึงขึ้นเกี้ยวกลับจวนให้เร็วที่สุด เนื่องจากนางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ นางอยากสลับจดหมายจากรัชทายาท ก่อนจะถึงมือฉู่ซีเย่ เพราะถ้าเขารู้เรื่องสัญญาหมั้นหมาย เขาคงไม่อยู่เฉยยิ่งเรื่องราวในอดีตเปิดเผย ชีวิตนางยิ่งต้องต้องระมัดระวังและรอบคอบฉู่ซีห่าวสละเสื้อคลุมให้นาง ชุดกระโปรงของนางเป็นสีขาว ครั้นเปื้อนเลือด จึงยิ่งน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน“อี้เหยา กินยานี่ก่อน พอจะแก้ปวดได้” ฉู่ซีห่าวไม่ขึ้นไปด้วย เขาต้องอยู่จัดการศพก่อน“ขอบคุณเจ้าค่ะ…” เหยาอี้เหยากลืนยาลงท้อง ก่อนจะเอ่ยกับเขา “ท่านเจ้าเมือง เรื่องที่ข้ารู้ความจริงแล้ว ได้โปรดอย่างบอกซื่อจื่อนะเจ้าคะ”ฉู่ซีเย่ทุ่มเทเล่นละครฉากใหญ่ ทำถึงขั้นให้ฟู่เจิ้งชิวมาหลอกนางอีกคน ดังนั้นจึงพอคาดเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากให้นางรู้ความจริงแม้แต่น้อย ซึ่งหากเขารู้ว่านางรู้ทุกอย่างแล้ว คนเลือดเย็นเช่นเขา คงจัดการเด็ดขาด“ได้” ฉู่ซีห่าวตั้งใจจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าน้องชายจะทำอะไรบ้างหากนางรู้ รวมทั้งท่านปู่ที่คงกลับมาเพื่อเก็บนางเช่นกัน ดังนั้นหากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางหนีไปเสีย“อี้เหยา เจ้าเคยค
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม