ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัว อากาศเย็นทำให้เหยาอี้เหยาต้องพกเตาอุ่นสองตัว นางเดินกับเมียนเมี่ยนไปบนทางสายหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาป้าจาง
นางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่กล่าว ทั้งยังเชื่อในสิ่งที่เขาพูดทุกคำ ทว่านางได้นัดหมายไว้แล้ว อีกทั้งท่านไป๋เซียนหลางเป็นผู้แตกฉานในเรื่องพิษยิ่งกว่าผู้ใดจากเจียงหนาน ชาตินี้นางอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกเลยก็ได้ ดังนั้นแม้นางจะรู้แล้วว่าพบท่านไป๋เซียนหลางก็อาจจะไม่สามารถหายาถอนพิษได้ แต่นางอาจจะได้เรียนรู้เรื่องดีๆ จากเขาก็ได้ เหยาอี้เหยาคิดว่าการขอร้องให้ฉู่ซีเย่นอนข้างนางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นางจึงอยากลองหาวิธีอื่นๆ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ผู้อาวุโสฉู่ไม่ได้ห้ามนางมาพบท่านไป๋เซียนหลาง เขาเพียงบอกว่าให้นางรีบกลับไปในวันสองวันนี้ เขาจะได้ฝากนางกลับเข้าไปในจวนสกุลฉู่ หิมะตกหนาหลายชุ่นปกคลุมอยู่เหนือหลังคาทรงสูง บริเวณชั้นสองของระเบียงที่ยื่นออกมามีชายผู้หนึ่งนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนนั้น ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้หมวกสีขาว สีเดียวกับชุดที่สวมอยู่บนร่าง ท่วงท่าสง่างามเรียบง่ายของเขาทำให้ผู้พบเห็นไม่อยากเสียมารยาทด้วย “ผู้นั้นแหละ ไป๋เซียนหลาง เขาไม่อนุญาตให้ข้าขึ้นไป เจ้าขึ้นไปคนเดียวนะ” เมียนเมี่ยนกล่าว ไป๋เซียนหลางเป็นผู้สันโดษ เขาพเนจรไปทั่วแผ่นดินฮั่นโดยลำพัง เวลาปกติยากจะพบตัวได้ วันนี้โชคดีที่อีกฝ่ายขึ้นเหนือมาร่วมงานเทศกาลฤดูหนาว พักอยู่ที่โรงน้ำชาป้าจางเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย “เข้าใจแล้ว งั้นข้าขึ้นไปก่อนนะ” นางสะบัดเกล็ดหิมะออกจากร่างกาย ก่อนจะเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ทุกย่างก้าวของนางหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นรั้งตัวนางไว้ กว่านางจะเดินขึ้นไปถึง สายลมเย็นๆ ก็พัดผ่านร่างหลายครั้งหลายครา สายลมนั้นไม่ใช่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น แต่เป็นฝีมือของไป๋เซียนหลาง เกล็ดหิมะที่โปรยปรายราวกับถูกพลังที่มองไม่เห็นกวาดเข้ามาด้านใน เตาอุ่นในมือนางพลันเย็นเฉียบ สายลมวูบไหวจนกระดิ่งทองแดงของร้านส่งเสียงยามกระทบกัน แรงบีบอัดอันหนักหน่วงถาโถมจนยืนแทบไม่อยู่ ห้วงเวลานั้นราวกับมีสายสัมพันธ์บางประกายที่โยงใยเชื่อมถึงกัน ไป๋เซียนหลางจึงหยุดที่จะทำร้ายนาง เหยาอี้เหยาคุกเข่า นางเว้นระยะไว้สิบจั้ง ระหว่างเขาและนางมีความรู้สึกบางอย่างอันลึกล้ำ ยากจะอธิบายเป็นคำพูด “ผู้น้อยคารวะท่านไป๋เซียนเซิง ขอท่านน้อมรับการคารวะจากผู้น้อยด้วย” ไป๋เซียนหลางในความคิดนางคือชายชราผู้หนึ่ง ทว่าเสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมานอกหมวกผ้าคลุมคือเสียงรื่นหูราวกับบุรุษหนุ่ม ทว่าใบหน้าเขาซ่อนอยู่หลังม่านโปร่ง ยากจะบอกว่ามีใบหน้าอย่างไร “แม่นางน้อย เจ้าช่างเหมือนศพยิ่งนัก” ไอเย็นบนตัวนางช่างประหลาดนัก “ท่านพูดไม่ผิด ข้าน้อยเหมือนศพร่างหนึ่ง” พลังหยินของนางทำให้มีความเย็นยะเยือกอันไม่รู้จบสิ้นแผ่ขยายออกมา ลักษณะใกล้เคียงศพที่ไร้ลมหายใจ ไป๋เซียนหลางรับรู้ได้ถึงพิษแมลงคุณไสยในร่างนาง ทั้งยังเป็นแมลงที่เขาเลี้ยงเอง จึงถอดถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “เจ้ากำลังจะตาย” ไม่มีผู้ใดซึ่งถูกพิษแล้วอยู่เกินเจ็ดปี นางในตอนนี้ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น แต่ก็ใกล้แล้ว “เรื่องนั้นข้าน้อยทราบดีเจ้าค่ะ ทั้งยังทราบดีว่าไม่มียาถอนพิษ” ความเข้าใจในเรื่องพิษแมลงคุณไสยของนางถือว่าใช้ได้ ไป๋เซียนหลางใคร่รู้ว่านางมีชีวิตมาถึงเวลานี้ได้อย่างไร เพราะยาระงับพิษน่าจะหมดไปตั้งนานแล้ว ใครกันที่เสี่ยงตายเลี้ยงแมลงคุณไสยหายาระงับพิษให้นาง “เจ้ากินยาระงับพิษจากที่ใด” นอกจากเขา ยังมีคนเลี้ยงแมลงคุณไสยได้อีก เรื่องนี้ทำเขาสนใจยิ่ง “ผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ข้าน้อยไม่อาจบอกท่านได้” “แดนเหนือมีผู้ทรงภูมิมากมาย แต่ผู้มีความสามารถถึงขั้นนี้มีนับนิ้วได้ ถึงเจ้าไม่บอก ข้าก็รู้ว่าเป็นผู้ใด” ไป๋เซียนหลางถาม “มีคนคอยช่วยเจ้าขนาดนี้แล้ว แล้วเจ้ามาหาด้วยเรื่องใด” “ผู้น้อยขอเรียนถาม ท่านไป๋สร้างพิษแมลงคุณไสยขึ้นมา โดยไม่เคยคิดยาถอนพิษเลยจริงหรือ” “แม่นางน้อย ยาพิษมีไว้ปลิดชีพคน เหตุใดต้องมียาถอน” สำนักไป๋แห่งเจียงหนานเชี่ยวชาญพิษจนยากจะหาผู้ใดเทียบเทียม หากพวกเขาบอกว่าตนคือที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้าพูดว่าตนคือที่หนึ่ง ทว่าหลังๆ ราชวงศ์เปลี่ยนผ่าน ทำให้สำนักไป๋แห่งเจียงหนานถูกล่มล้าง จนมีเขาเหลือเป็นคนสุดท้าย อีกทั้งปีนั้นได้เกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทำให้ตำราสำคัญสูญหายมากมาย ไป๋เซียนหลางคิดค้นพิษแมลงคุณไสยได้โดยบังเอิญ ส่วนยาถอนพิษยังศึกษาไม่ถึงขั้นนั้น ทว่าแมลงคุณไสยอ่อนไหวต่อพลังหยางมาก เขาอยากศึกษามาตลอด แต่ต้าหย่งออกกฎหมายพิเศษปราบปรามยาพิษชนิดนี้ เขาจึงได้หยุดไป “ข้าน้อยยากจะเชื่อว่าโลกนี้จะมียาพิษที่ไร้ยาถอน” “นั้นเพราะความรู้เจ้ายังคับแคบ ที่แท้แล้วบนโลกนี้มีพิษที่ไร้ยาถอนมากมาย” “ไป๋เซียนเซิง ท่านคิดยาถอนพิษขึ้นมาไม่ได้หรือ ไหนว่าพวกท่านคืออันดับหนึ่ง” “ไม่ปิดบังเจ้า แน่นอนว่าหากตั้งใจ ข้าย่อมทำได้ แต่ข้าจะได้อันใดตอบแทนในการทุ่มเทลงไป” ไป๋เซียนหลางเคยนึกจะทดลองยาพิษชนิดนี้หลายครั้ง ทว่าก็อย่างที่บอก ราชวงศ์ต้าหย่งปราบปรามการใช้พิษต้องห้ามชนิดนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด “ผู้น้อยเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา คงไม่อาจตอบแทนอันใดที่ยิ่งใหญ่ให้ท่านได้ แต่ข้าน้อยสาบาน ชั่วชีวิตนี้ข้าน้อยจะไม่ลืมบุญคุณท่านแน่ ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่อยากตาย” “ไม่มีใครอยากตาย ข้อนี้ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด” เหยาอี้เหยาขอร้อง “ไป๋เซียนเซิง ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ให้ผู้น้อยกราบท่านก็ได้” คำพูดข้อร้องของนางล้วนไม่อยู่ในความใส่ใจของไป๋เซียนหลาง นางรู้ดีจึงเปลี่ยนคำพูด ให้เขาอยากช่วยนาง โดยที่ได้ประโยชน์ “ไป๋เซียนเซิง ท่านลองตรองดูสักหน่อยดีหรือไม่ นี่เป็นโอกาสของท่านที่จะได้ศึกษาเรื่องพิษแมลงคุณไสยจากข้าน้อย บางที ท่านอาจจะทำในสิ่งซึ่งไม่มีนักพิษคนใดทำได้ ท่านได้สร้างพิษอันร้ายกาจขึ้นมา แล้วยังเป็นผู้ที่สร้างยาถอนพิษขึ้นมาได้ ท่านลองคิดดู ชื่อเสียงของท่านจะเป็นที่โจษจันเพียงใด หากทำสำเร็จขึ้นมา” “เจ้าช่างโน้มน้าวใจคนเก่งจริง” ไป๋เซียนหลางมองนางครู่หนึ่ง ครั้นทนเห็นนางโขกศีรษะต่อไปไม่ไหว จึงยื่นมือเข้าช่วย “เอาเถอะ แม่นางน้อย ขอข้าดูชีพจรเจ้าหน่อย” “เจ้าค่ะ” นางยื่นมือออกไปให้เขาตรวจ นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางนาบไปบนเส้นชีพจร เขาคล้ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บมือกลับไปอย่างเงียบๆ “ข้าช่วยอันใดเจ้าไม่ได้แล้ว” “ไป๋เซียนเซิง ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” “แมลงคุณไสยกินพลังหยินเป็นอาหารเสริมกำลัง มันจะอ่อนแอเมื่อได้รับพลังหยาง ในตัวเจ้ามีพลังหยางสายหนึ่ง ข้าจึงไม่สามารถแทรกพลังของข้าเข้าไปได้อีก ไม่เช่นนั้นแมลงจะคลุ้มคลั่ง” แรกเริ่มเดิมทีนั้น ผู้เลี้ยงแมลงคุณไสยจะมีสายใยเชื่อมโยงถึงกันกับแมลง ให้สามารถใช้พลังหยางควบคุมได้บางส่วน แม้จะไม่กล้าพูดได้ว่าจะถอนได้หมดสิ้น แต่อายุขัยจะยืดออกไปจนอาจถึงขั้นที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดถึงวันที่คิดยาถอนพิษออกมา ทว่าแมลงคุณไสยในตัวนาง ไม่ตอบสนองต่อพลังหยางของเขา แม้แต่น้อย... มันเคยกินพลังหยางจากผู้อื่น ทั้งยังเป็นพลังหยางที่แข็งแกร่งยิ่ง "ไป๋เซียนเซิง ความหมายของท่านคือ..." “ไปหาคนที่เคยมอบพลังหยางให้เจ้า เขาน่าจะรู้วิธีช่วยเจ้ามากกว่าข้าอีก” ไป๋เซียนหลางย้ำ “อย่าเสียเวลาหรือลังเลเลย หากเจ้าอยากมีชีวิตรอด จงไปหาเขาเถอะ” เหยาอี้เหยาเงียบ นางครุ่นคิดอย่างกลัดกลุ้มใจเมื่อคิดถึงฉู่ซีเย่ เทศกาลงานฤดูหนาวจัดขึ้นทุกวันเป็นสิบวัน งานเริ่มในช่วงยามเซินจนถึงยามอู่ ด้วยชื่อเสียงของงานที่จัดติดต่อกันมายาวนาน ทำให้มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางขึ้นเหนือมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง โดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติหรือฐานะ ด้วยจุดประสงค์หลักของงานมีขึ้นเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเขตชายแดนของเมืองโจวอี้และชายแดนนอกด่านระหว่างเผ่าต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ญาติมิตรซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ซึ่งในเวลาปกติไม่สามารถพบหน้ากัน ได้ใช้โอกาสของงานฤดูหนาวเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ นอกจากนี้งานเทศกาลฤดูหนาวยังเป็นช่วงเวลาอันหนาวเหน็บที่สุดของแดนเหนือ ทำให้มีข้อตกลงกันว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ จะไม่มีการก่อจลาจลใดๆ เพื่อทับถมสถานการณ์ยากลำบาก เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาพักรบกันก็ว่าได้ ช่วงวันแรกๆ ของงานเทศกาลจะเป็นการเปิดพิธี เมื่อวานเจ้าเมืองฉู่ ได้เป็นผู้ลั่นกลองชัยเพื่อเป็นสิริมงคลในปีถัดไป อีกทั้งยังได้เปิดโอกาสให้การแลกเปลี่ยนสินค้า ได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้การค้าขายในช่วงนี้คึกคักเป็นอย่างมาก แสงโคมไฟนวลตาจุดขึ้นอย่างสว่างไสว สองข้างทางระหว่างลานจัดงานเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แผงขายของหรือกระโจมมากมายเรียงรายตั้งแต่หัวมุมตรอก จรดท้ายตรอก ผู้คนมากมายหลากหลายเดินชมงานกันอย่างสนุกสนาน จับจ่ายใช้สอยไปกับสินค้าที่จำหน่ายภายในงาน เหยาอี้เหยาเดินตามหลังผู้อาวุโสฉู่ การปรากฏตัวของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็น กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ปล่อยให้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งและเด็กสาววัยแรกรุ่นเดินไปบนทางตามสะดวก จวบจนเดินถึงหอสุรา ซึ่งอยู่ในย่านเดียวกันกับสถานที่จัดงานเทศกาล ทำให้สามารถมองลงไปจากชั้นสิบสอง เห็นบรรยากาศงานทุกมุมอย่างทั่วถึง เหยาอี้เหยาตื่นตาตื่นใจ แม้เมื่อวานก่อนจะเคยมาแล้ว แต่เพราะรีบร้อนจึงไม่ได้มองสิ่งใด วันนี้ได้มาดูมาเห็น ทุกอย่างช่างละลานตาจนอดตื่นเต้นไม่ได้ “ผู้อาวุโสฉู่ เชิญนั่งฝั่งนี้ขอรับ” เจ้าของหอสุรานอบน้อมยิ่ง อีกนิดแทบจะปูผ้าไหมให้นั่ง ทว่าผู้อาวุโสฉู่โบกมือว่าไม่เป็นไร เขานั่งลงอย่างเงียบๆ แล้วอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งเค่อ เหยาอี้เหยาขยับตัวอย่างอึดอัด ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสฉู่พูดมากมายเกี่ยวกับเรื่องพิษ แต่หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก กระทั่งนางกลับจากไปพบไป๋เซียนหลาง เพื่อขอให้เขาพานางมาหาฉู่ซีเย่ เขาก็ไม่กล่าวอันใด แต่พามาเลย “ฉู่เซียนเซิง ข้าน้อยขอเรียนถามอะไรท่านสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” นัยน์ตาเขาสื่อว่าถามมา “ถ้าหากว่าซื่อจื่อไม่ยอมให้ข้าน้อยนอนด้วยล่ะเจ้าคะ” นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องนี้ ฉู่ซีเย่ไม่ใช่ก้อนอัดฟาง ที่นางจะนอนกอดด้วยได้ทุกเมื่อที่ต้องการ “ไม่รู้” เหยาอี้เหยาไม่ได้คาดหวังคำตอบเช่นนี้ “ฉู่เซียนเซิง ท่านเป็นท่านลุงของเขา บังคับเขาไม่ได้หรือเจ้าคะ” “เลอะเลือนรึ” แต่นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีใดอีก “ข้าน้อยรู้จักซื่อจื่อ เขาไม่มีทางยอมให้ข้าน้อยนอนด้วยแน่” เหยาอี้เหยาขมวดคิ้วคิด “หรือข้าน้อยควรจะวางยาเขา…” ผู้อาวุโสฉู่ปรามนางทางสายตา ประมาณว่าอย่าได้สรรหาเรื่องตายอย่างนั้น “ข้าจะขอร้องเขาให้” “ขอบคุณเจ้าค่ะ!” นางมีความหวังขึ้น แย้มยิ้มกว้างจนเมื่อได้ยินเสียงเสี่ยวเอ้อร์บอกว่าฉู่ซีเย่มาถึงแล้ว “เจ้าถอยออกไปก่อน ให้ข้าคุยกับเขาตามลำพัง” สุรารสเลิศรินใส่จอก ฉู่ซีเย่ประคองส่งให้ฉู่ซวิ่น ชายผู้มีศักดิ์เป็นทั้งท่านลุงของเขา ฉู่ซีเย่ให้ความเคารพนับถือเขามาก แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่ท่านลุงแท้ๆ “ท่านเรียกข้ามาพบเช่นนี้ คงมีเรื่องสำคัญจะไหว้วาน” ในระยะหนึ่งลี้ เขาสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเหยาอี้เหยาได้ มุมปากของเขาขยับ ไหนนางบอกว่าจะไม่ออกมาจากนอกด่าน หากไม่มีคำสั่งของเขา? “ข้าอยากให้เจ้ารับนางกลับจวน” ฉู่ซวิ่นมีระดับสติปัญญาลึกล้ำ อีกทั้งเขาเลี้ยงดูฉู่ซีเย่มากับมือ ย่อมรับรู้ความคิดอ่านบางส่วน ระหว่างฉู่ซีเย่และเหยาอี้เหยามีสายใยบางอย่างเชื่อมหากัน “เพราะเหตุใด” ฉู่ซีเย่เหมือนสัมผัสได้ถึงความห่วงใยในน้ำเสียงของท่านลุงมีต่อเหยาอี้เหยา จะว่าไปเขาก็แปลกใจไม่น้อยที่ท่านลุง ทุ่มเทกำลังและของหายากเพื่อยื้อชีวิตนางเมื่อหกปีก่อน “นางทำเรื่องอันใดจนท่านไม่อยากเลี้ยงไว้รึ” “นางกำลังจะตาย” ฉู่ซวิ่นมองฝ่ายตรงข้าม “มีเพียงเจ้าที่ช่วยได้” “ท่านรู้ดีว่าวิธีเป็นอย่างไร” ฉู่ซีเย่เคยให้สัญญาไว้กับนางว่าถ้านางภักดีต่อเขา จะช่วยหายาถอนพิษให้ แต่เมื่อหกปีก่อนนางหักหลังเขา ทำให้ฉู่ซีเย่โมโห เขาจึงละทิ้งนาง ส่งไปให้ท่านลุงที่นอกด่าน ด้วยความคิดว่าจะอยู่หรือจะตายก็เรื่องของนาง แต่นางก็รอดมาได้ เขาจึงรับผิดชอบด้วยการเลี้ยงแมลงคุณไสย ปรุงยาระงับพิษให้นาง ระหว่างนี้ฉู่ซีเย่ได้ศึกษาค้นคว้าตามตำราเก่าๆ และผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ใกล้เคียง จนไปพบวิธีปรับธาตุสร้างสมดุลหยินหยาง เขาอ่านแล้วรู้ในทันทีว่าวิธีนี้น่าลอง จึงคิดว่าถ้างั้นก็ให้นางร่วมหอกับบุรุษสักคนก็ได้แล้ว แต่ปัญหาคือแมลงคุณไสยอ่อนไหวมาก เมื่อเคยกินพลังหยางของใครคนหนึ่งแล้ว จะไม่กินพลังหยางของผู้อื่นอีก หากดันทุรังฝืนไปต่อ แมลงจะเริ่มคลุ้มคลั่ง เมื่อปีนั่นที่นางอาการกำเริบ เขาเผลอถ่ายพลังหยางให้นางด้วยความไม่รู้ ทำให้นางกับเขามีพันธะกันขึ้นมา นั้นหมายความว่า เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถมอบพลังหยางให้นางได้… ฉู่ซีเย่จึงเก็บเงียบวิธีการนี้มาตลอด แต่ดูท่าท่านลุงก็ทราบ “ท่านบอกนางหรือไม่ว่าต้องทำอันใด” “บอกแล้ว แต่นางไม่เข้าใจ” “เช่นนี้คือท่านไม่ได้บอกนาง” ฉู่ซวิ่นกล่าวเรียบๆ ไม่รับผิดชอบใดๆ อีก “ข้าขอคืนนางให้กับเจ้านับตั้งแต่ยามนี้เป็นต้นไป”บทสนทนาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องรับรองอยู่ในการรับรู้ของเหยาอี้เหยา กระนั้นนางก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าผู้อาวุโสกับฉู่ซีเย่พูดเรื่องอันใดกันอยู่ฉู่เซียนเซิงบอกว่าข้าไม่เข้าใจรึ?ไม่สิ นางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่พูดแน่นอน การนอนกับซื่อจื่อ ก็คือการร่วมเตียงนอนหลับด้วยกันมิใช่หรือ?หรือว่านางจะฟังผิดไปกันแน่ บางที อาจจะไม่ง่ายเช่นนั้นก็ได้ คิดได้อย่างนั้นนางจึงแนบหูฟังอย่างจดจ่อ จะได้ไม่ตีความอันใดผิด ระหว่างนี้นางก็คิดทบทวน เมื่อครู่ตอนผู้อาวุโสขอร้องให้นาง ฉู่ซีเย่ไม่ได้ปฏิเสธอันใดนี่แสดงว่าซื่อจื่อรับนางกลับไปแล้วใช่หรือไม่?แต่ในห้องไม่พูดอันใดแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นางรออยู่ประมาณครึ่งถ้วยชา ถึงได้ยินฉู่ซีเย่กล่าวลาผู้อาวุโสฉู่“ข้างนอกอากาศเย็น ข้าจะให้จินเฟยไปส่งท่าน”เขาจะไปแล้วรึ?นางเล่า?เท้าของนางรวดเร็วกว่าสมองอยู่บ้าง เมื่อได้ยิน เส้นชีพจรเท้าก็รีบออกเดินไปก่อน แม้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างว่าคงต้องอยู่กับฉู่ซีเย่ แต่ผู้อาวุโสฉู่จะทิ้งนางได้อย่างไรกันอย่างน้อยนางก็อยากจะให้เขาอยู่กับนางด้วย ระหว่างที่ต้องนอนหลับกับฉู่ซีเย่ แต่จะว่าไปนางก็ไม่ได้ถามผู้อาวุโสเ
เมื่อถึงนอกด่าน เหยาอี้เหยารีบจัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ของตนเอง รวมทั้งขอให้ผู้ดูแลจิ่ง จากกรมสำรวจสำมโนครัวตรอกซ้ายโอนย้ายชื่อของนางกลับเข้าเมือง ตามที่ฉู่ซีเย่ได้อนุญาตเป็นรายลักษณ์อักษร เหยาอี้เหยาบอกลาฟั่นฟั่นแล้วจึงเดินทางไปอยู่กับเมียนเมี่ยน จี๋เฉวียน และอามู่อีกหนึ่งวัน เมื่อได้ร่ำลาทุกคนแล้ว นางจึงเดินทางเข้าเมือง โดยมีผู้อาวุโสฉู่ไปส่งที่ประตูเมือง ใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดสามวัน “ฉู่เซียนเซิง ข้าน้อยขออนุญาตจอดรถม้าตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของท่านตา นางจึงตั้งใจนำสุรามาเซ่นไหว้ แต่นางมีพลังหยินมาก ทำให้เข้าใกล้สุสานซึ่งมีแต่พลังหยินของศพไร้ญาติไม่ได้ ตลอดหกปีมานี้ จึงไม่ได้มาเลย “ข้าน้อยไม่เข้าใกล้หรอกเจ้าค่ะ แค่อยากอยู่ตรงนี้สักครู่” “จอด” ฉู่ซวิ่นส่งเสียงขึ้นโดยที่ไม่ลืมตา “ใช้เวลาตามสบายเถิด” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาลงจากรถม้า เหนือเนินเขาอันขาวโพลนมีกิ่งก้านต้นไม้แห้งแล้งยืนต้นอย่างเดียวดาย ส่วนอีกฟากมีที่รกร้างสำหรับฝังศพอนาถาและนักโทษ… สายลมหนาวพัดโชยจนเสื้อคลุมปลิว เตาอุ่นในมือดับลง กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังเดินต่อไป จนแรงต้านของพล
เมืองหลวง ต้าหย่งปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุเจ็ดสิบปีทางด้านบุตรชายคนโตอย่างเหยาซือหม่าจึงตั้งใจจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้มารดา แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โต แต่ก็มีหน้าตาในระดับหนึ่งหลายปีมานี้สกุลเหยาได้รับการพระราชทานตำแหน่งจากฝ่าบาทจนมีหน้ามีตาขึ้น เช่น หลานสาวคนที่ห้า ได้เป็นถึงท่านหญิงแห่งต้าหย่ง หรือหลานชายคนรองซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพจากผลงานการปราบจลาจลที่ท่าเรือสินค้า และคุณหนูสามยังได้ออกเรือนไปกับคุณชายกง ทำให้เวลานี้ สกุลเหยา นับว่าสามารถกู้ชื่อเสียงในอดีตได้บ้างบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมีแขกระดับสูง ห้าสกุลใหญ่แห่งเจียงหนานยังเดินทางมาร่วมงานด้วย พร้อมทั้งมีการทาบทามเพื่อเจรจาเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ที่ยังไม่ออกเรือนคุณหนูสี่ เหยาหลิงหว่าน อายุสิบหกปี เป็นสาวงามผุดผาดที่สะพรั่งพร้อม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชื่อเสียงความงดงามของนางเลื่องลือยิ่ง อีกทั้งนางยังบรรเลงเพลงพิณได้ไร้ที่ติ ความสามารถยิ่งเสริมความงามของนางให้เจิดจรัสฮูหยินผู้เฒ่าจึงเชิดหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเวลาคนเอ่ยชมหลานสาวคนนี้ของนางไหนจะมีคุณชายรองอย่างแม่ทัพเหยาอี้ร่างอีก คืนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้ม
เลยยามเว่ยแล้วเมื่อฉู่ซีเย่กลับมาที่จวนด้วยรถม้าเสียงฝีเท้าของบ่าวรับใช้ทำนางตื่น ทุกคนในจวนเริ่มงานเพื่อรับรองฉู่ซีเย่อย่างเป็นระบบและชำนาญการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง“เขากลับมาแล้ว”เหยาอี้เหยาหยิกเนื้อตัวเองให้ตื่นเต็มตา จัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พร้อมแล้วรีบถือโคมไฟออกมารอเขาที่ประตูด้านนอกจวน ระหว่างนั้นนางปั้นหน้ายิ้มแย้ม จัดระเบียบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน ไม่นานฉู่ซีเย่ก็เดินผ่านเงาพระจันทร์มาให้เห็น กลิ่นหอมของสมุนไพรและสุราโชยมากับสายลมไอความแข็งกร้าวที่อาบไล้ตัวเขาพาลให้นางรู้สึกหวั่นกลัวอยู่บ้าง“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาเก็บอาการสีหน้าไม่อยู่ ราวกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาเมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน แต่ในนั้นก็เจือความกลัวไว้ชั้นหนึ่ง“อืม” ฉู่ซีเย่รับรู้ถึงนางก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร ในมือเขาถือขวดสุรา พอเห็นนางก็โยนให้ถือโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหยาอี้เหยาผวารับขวดสุราจนตัวเซ“ห้ามทำตก ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าชดใช้”“เจ้าค่ะ” นางกอดขวดสุราแนบอกในทันที สุราชนิดนี้แพงมาก ขืนตกไปคงชดใช้ไม่ไหว“เจ้ามาทำอันใดตรงนี้”“ข้าน้อยมารอท่าน”“รอ? ท
เสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนร้องบอกให้นางตื่นได้แล้ว เหยาอี้เหยาไม่อยากตื่น นางจึงพลิกตัวไปด้านข้างแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว ทว่าสาวรับใช้ได้เปิดประตูเข้ามาดึงนางลุกขึ้นจากเตียง‘ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ’‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย’ เหยาอี้เหยาเอนตัวนอนลงอีกรอบอย่างง่วงงุน‘ไม่ได้นะเจ้าค่ะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์’ สาวรับใช้ดันหลังเหยาอี้เหยาขึ้นจากเตียง พวกนางหิ้วปีกนางออกไปยังนอกเรือน‘เดี๋ยวก่อน นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด’ เหยาอี้เหยาเอ่ยถาม พวกนางส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะผลักนางเข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเรือนของฉู่ซีเย่ไม่มีผิด‘ที่นี่คือ…’‘คุณหนู ได้เวลานอนกับซื่อจื่อเป็นคืนแรกแล้วเจ้าค่ะ’ ทั้งสองปิดประตูใส่นางที่กำลังยืนมึนงง สภาพแวดล้อมเหมือนหมุนได้ พริบตาเดียวนางก็มาอยู่ในห้องนอนแล้ว‘ไม่นะ ให้ข้าออกไป’ เหยาอี้เหยารีบพุ่งตัวไปที่ประตู ทว่าไม่สามารถเปิดได้ นางจึงงัดอย่างแรง ใช้สองมือระดมทุบเพื่อให้ประตูเปิด ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตสายหนึ่ง ครั้นนางหันมามอง ก็เห็นฉู่ซีเย่ที่ยืนอยู่ห่างจากนาง
ประตูปิดลง ลมหนาวด้านนอกถูกประตูต้านเอาไว้ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ตามใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนางเลย” เจ้าเมืองฉู่นั่งลงข้างเตาผิง มือหยิบถ่านเข้าเตาผิง “นางจะเสียใจได้”“ท่านเอ็นดูนางมากหรือ” ฉู่ซีเย่หยักไหล่ไม่ใส่ใจ จิบสุราอุ่นของอำเภอหงชุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด“เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” หาไม่แล้ว คนอย่างฉู่ซีเย่จะมอบเสื้อคลุมกันหนาวขนมิงค์ให้นางหรือ แม้จะใช้วิธีซับซ้อนอย่างการให้เขามอบต่อให้กงจิ้งแต่ก็เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด เสื้อตัวนี้จะต้องกลับมาหานางแน่ไม่ใช่หรือฉู่ซีเย่เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไม่เช้าแล้ว ไปวัดกันเถอะท่านพี่”“จุดประสงค์คือไปวัดแน่หรือ”“ย่อมไม่ใช่”“วัดนั้นมีปัญหา”ฉู่ซีเย่ตอบ “ข้าหวังว่าจะไม่มี”เหยาอี้เหยาถูกฉู่ซีเย่ไล่ออกมาจากห้องโถงด้วยความเย็นชา นางจึงต้องมายืนหนาวรออยู่ด้านนอกตรงลานจอดรถม้า ยังดีที่คนของเจ้าเมืองฉู่นำเตาอุ่นมาให้นางกอด อีกทั้งเสื้อคลุมขนมิงค์ยังกันลมได้ดี นางจึงนั่งรอได้ไม่เดือดร้อนกับความหนาวแต่รอไปรอมานางก็หิว ความจริงเวลานี้นางยังไม่ทานอาหารเช้าหรอก ทว่าเมื่อวานนางทานข้าวเย็นเสียที่ไหน ตอนนี้จมูกได้กลิ่นขนมแป้งเคลือบน้ำผึ้ง น้ำย่อยใน
เหยาอี้เหยากลับมาที่จวนกับจินเฟยก่อนเพื่อรักษาจางลี่ท่านหมอให้ความเห็นว่าบาดแผลตรงศีรษะของจางลี่สาหัสยิ่ง อีกทั้งนางยังเสียเลือดมากจนร่างกายช็อก ไม่มีวิธีการเพื่อยื้อชีวิตนางได้แล้ว ท่านหมอจึงออกมาบอกกับเหยาอี้เหยาว่าจางลี่คงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ หากมีเรื่องใดก็ให้นางเข้าไปพูดตอนนี้เสียเหยาอี้เหยาจึงเข้าไปหาจางลี่ ในชั่วขณะหนึ่งนางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงขณะนี้ คือจางลี่หลายวันก่อนนางยังสบายดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้วใครกันที่ทารุณกับนางขนาดนี้“หนาวหรือไม่” นางหยิบที่คีบเพื่อส่งถ่านเข้าไปในเตา ให้ห้องพักรักษาตัวอันเย็นจัดได้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง“คุณหนูเหยา…ท่านชิงชังข้าบ้างหรือไม่” สายตาจางลี่อยู่ที่นาง เคลือบทับไว้ด้วยความรู้สึกผิดชั้นหนึ่ง“ไม่เลย แค่โกรธนิดหน่อย” เหยาอี้เหยานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปซับน้ำตาให้จางลี่อย่างอ่อนโยน“ข้าน้อยผิดต่อท่าน…” ความทรงจำเลวร้ายที่ตนทำกับนาง ไหลวนกลับมาเหมือนกระแสน้ำ น้ำตาจึงไหลออกมามากกว่าเดิม “ข้าน้อยไม่เคยดีกับท่านเลย แต่ท่านดีกับข้าเสมอ…”“ข้าอยากดีกับเจ้าให้มากกว่านี้” เหยาอี้เหยาจับมือนาง ยิ่งสัมผัสได้ถึงชีพจรอันเ
พิธีศพของจางลี่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเหยาอี้เหยาสวมชุดป่านสีขาว ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพจางลี่ รอบข้างมีคณะทูตจากต้าหย่ง รวมทั้งจิ่งเถียนและพ่อบ้านซุนประจำสกุลฉู่มาร่วมงาน เนื่องจากจางลี่เป็นลูกกำพร้า ไม่มีครอบครัวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นางจึงขอให้ทางการอนุญาตให้ฝั่งร่างของจางลี่ในสุสานชาวเมืองโจวอี้ภายในวันนั้นเนื่องจากอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซีเย่ คนทั้งเมืองจะจัดงานรื่นเริงงดเว้นงานสีดำ ดังนั้นนางจึงต้องรีบฝั่งจางลี่ก่อนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินกลับจวนสกุลฉู่พร้อมกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยและลู่หมิง ส่วนพ่อบ้านซุนและจิ่งเถียนตามอยู่ข้างหลังไกลๆเหยาอี้เหยาเร่งฝีเท้าเพื่อเดินข้างกงจิ้ง นางมีเรื่องจะพูดกับเขา“แม่ทัพกง ท่านรู้จักคนที่ชื่อฟู่เจิ้งชิวมากแค่ไหน” ในอดีตกงจิ้งเคยสังกัดกองทหารของท่านตา อีกทั้งเขายังเป็นคนของราชวงศ์ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้เรื่องฟู่เจิ้งชิวมากกว่านางแน่“รู้จักเพียงผิวเผิน ไม่เคยพบหน้าเขา” เรื่องเล่าของฟู่เจิ้งชิวนั้นเขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง“ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังได้หรือไม่”“อืม ได้ยินว่าฟู่เจิ้งชิวเป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากศา
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม