เมืองหลวง ต้าหย่ง
ปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุเจ็ดสิบปี ทางด้านบุตรชายคนโตอย่างเหยาซือหม่าจึงตั้งใจจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้มารดา แม้จะไม่ใช่งานใหญ่โต แต่ก็มีหน้าตาในระดับหนึ่ง หลายปีมานี้สกุลเหยาได้รับการพระราชทานตำแหน่งจากฝ่าบาทจนมีหน้ามีตาขึ้น เช่น หลานสาวคนที่ห้า ได้เป็นถึงท่านหญิงแห่งต้าหย่ง หรือหลานชายคนรองซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพจากผลงานการปราบจลาจลที่ท่าเรือสินค้า และคุณหนูสามยังได้ออกเรือนไปกับคุณชายกง ทำให้เวลานี้ สกุลเหยา นับว่าสามารถกู้ชื่อเสียงในอดีตได้บ้าง บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจึงมีแขกระดับสูง ห้าสกุลใหญ่แห่งเจียงหนานยังเดินทางมาร่วมงานด้วย พร้อมทั้งมีการทาบทามเพื่อเจรจาเรื่องหมั้นหมายของคุณหนูสี่ที่ยังไม่ออกเรือน คุณหนูสี่ เหยาหลิงหว่าน อายุสิบหกปี เป็นสาวงามผุดผาดที่สะพรั่งพร้อม ในเมืองหลวงแห่งนี้ ชื่อเสียงความงดงามของนางเลื่องลือยิ่ง อีกทั้งนางยังบรรเลงเพลงพิณได้ไร้ที่ติ ความสามารถยิ่งเสริมความงามของนางให้เจิดจรัส ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเชิดหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิเวลาคนเอ่ยชมหลานสาวคนนี้ของนาง ไหนจะมีคุณชายรองอย่างแม่ทัพเหยาอี้ร่างอีก คืนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้มเบิกบานใจยิ่ง “เจ้าช่างน่าอิจฉาเสียจริง ดูเถิด คุณหนูคุณชายสกุลเหยาช่างชวนให้ข้าริษยานัก” ฮูหยินสกุลถงกล่าวอย่างชื่นชม หากว่าตนยังมีบุตรชายที่ไม่แต่งภรรยา ย่อมต้องทาบทามคุณหนูสี่ผู้นี้มาให้ได้ “กล่าวหนักไปแล้ว สตรีงดงามก็เป็นเพียงเรื่องงดงาม ผู้ใดจะเทียบหลานสะใภ้เจ้าได้ ได้ยินว่านางโดดเด่นด้านอักษรยิ่ง กระทั่งท่านเจียงแห่งหอสังคีตยังเอ่ยชม” “กล่าวหนักไปแล้วๆ หลานสะใภ้ข้าพอจะมีทักษะอยู่บ้างเท่านั้น” ฮูหยินถงเอ่ยต่อ นางจำได้ว่าสกุลเหยายังมีคุณหนูใหญ่ และคุณหนูห้า “ว่าแต่คุณหนูใหญ่และคุณหนูห้าเล่า วันนี้ไม่เห็นหน้าเลย” “คุณหนูห้าได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านหญิงอยู่แดนเหนือ ย่อมกลับมาไม่ได้อยู่แล้ว” แม่สื่อจางเอ่ย “ข้าลืมไปเลย ช่างเลอะเลือนยิ่ง” “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด หลานสาวผู้นี้ถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงอยู่ห่างไกลยิ่ง ข้าเกรงว่าจะเดินทางกลับมาลำบากจึงไม่ได้เรียกตัวมา” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทั้งๆ ที่ในใจมีความขุ่นข้องสายหนึ่งเกิดขึ้นมา นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเหยาอี้เหยาจึงไม่คิดจะมาเยี่ยมเยียนหรือส่งจดหมายมาถามไถ่สักฉบับ ดูท่าในใจหลานผู้นี้ของนางจะไม่พอใจในสกุลเหยายิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตัดขาดนางแล้วเช่นกัน แต่ที่ยังต้องรับหน้าว่าเป็นท่านย่าของนาง ก็เพื่อประโยชน์ให้เหยาหลิงหว่านแต่งเขาสกุลดีๆ จะได้ไม่เหมือนเหยาอี้อิงที่แต่งกับบัณฑิตฐานะปานกลาง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับหลานเขยผู้นี้ จึงไม่ค่อยใส่ใจ ให้ออกจากสกุลไปเงียบๆ ใครถามถึงคุณหนูใหญ่ นางก็บอกว่าป่วย ส่งตัวกลับบ้านเกิดไปรักษา “เป็นข้าคงทำใจให้หลานสาวจากบ้านไปไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้ นับถือท่านในเรื่องนี้จริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบยิ้มแย้ม “ฮูหยินถง เรื่องนี้ฝ่าบาททรงพระราชทานแต่งตั้ง ข้าจะหาขัดโองการก็ไม่ได้” “ท่านพูดถูกแล้วฮูหยินผู้เฒ่า เป็นข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ” “คุณหนูห้าผู้นี้ ใช่ที่เคยหมั้นหมายกับหลี่โหวหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าสือเอ่ยคำ หมายจะเหน็บแนมเรื่องที่สกุลเหยาเคยถูกสกุลหลี่ส่งจดหมายยกเลิกการหมั้นหมายจนเป็นข่าวฉาวโฉ่ “ท่านช่างใจกว้างนัก ถึงกับสามารถทำใจยกเลิกการหมั้นหมายระดับนี้ได้” “แผ่นดินย่อมมาก่อน เรื่องส่วนตัวเช่นนี้สกุลเหยาต้องยอมรับให้ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าตอบนิ่ม จิบชาตบท้าย “หากพวกท่านเป็นข้า ก็คงทำเช่นกัน” “ย่อมต้องทำเช่นนั้น” ฮูหยินสือตอบ บ่าวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าสถานการณ์อึมครึม ประจวบเหมาะกับที่มีคนมาเรียนนางเรื่องแขกคนพิเศษ จึงยอบกายลงพร้อมกับกระซิบให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอย่างจงใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ หลี่โหวมาอวยพรวันคล้ายวันเกิดท่านเจ้าค่ะ” “หลี่โหวรึ” ถ้อยคำกระซิบนั้นดังพอให้บรรดาฮูหยินจากวงสนทนาได้ยินกันทั่วหน้า ต่างฝ่ายต่างทำหน้าไม่เชื่อ ก่อนจะได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีน้ำเงินองอาจสวมชุดผ้าคลุมสีเข้มมาทางนี้ มองอย่างไรก็คือหลี่โหวไม่ผิดแน่ แปลกยิ่ง สกุลหลี่ได้ยกเลิกงานหมั้นหมายกับสกุลเหยาแล้ว แล้วหลี่โหวมาได้อย่างไร หรือว่าเขาจะต้องตาต้องใจเหยาหลิงหว่านจึงตั้งใจมาทาบทาม? ในใจฮูหยินสือมีแต่คำถาม พร้อมความริษยา คราวก่อนคุณหนูสามก็แย่งหลานเขยนางไป “ฮูหยินผู้เฒ่า ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดท่านจึงตั้งใจมาอวยพร ขอให้ท่านอายุยืน อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแด่สกุลเหยารุ่นต่อไป” ท่วงท่ากริยาหรือการพูดจาของหลี่โหวสุขุมนุ่มนวล ตั้งแต่เดินเข้ามาในงาน ไม่มีหญิงสาวสกุลใดที่ไม่มองเขา เหยาหลิงหว่านที่นั่งอยู่ไกลๆ ในวงสนทนาของคุณหนูชนชั้นสูงยังมองอยู่เป็นนานก่อนจะได้สติเมื่อเหยาอี้ร่างเรียกนาง “เชิญนั่งเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายต่อบรรพบุรุษอย่างไรที่ให้หลี่โหวคุกเข่า” ฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดเงียบๆ หลายปีมานี้สกุลหลี่ตีตัวออกห่างชัดเจน กระทั่งหนังสือยกเลิกการหมั้นหมายของเหยาอี้เหยาก็ไม่ได้ส่งมา ทางด้านนางไม่รู้จะทักท้วงอย่างไรจึงไม่ได้ทวง ยามนี้นางจึงไม่แน่ใจว่างานหมั้นหมายได้ยกเลิกไปแล้วหรือไม่? “ข้าน้อยเกรงว่ามามือเปล่าจะน่าเกลียด จึงนำของเล็กน้อยๆ ติดมาด้วย หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ดูแคลนว่าเป็นของเล็กน้อย” บ่าวรับใช้คนสนิทของหลี่หลินผู่นำของขวัญในกล่องไม้มะเกลือมอบแด่นาง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของเล็กน้อย ฮูหยินผู้เฒ่ารักษาท่าทีสงบภายใต้ใบหน้าอันราบเรียบ แต่ในใจไม่พอใจยิ่ง หกเจ็ดปีที่นางถูกคนเหน็บแนมเรื่องสกุลหลี่ถอนหมั้น ยังคงฝังลึกในใจ “ขอบคุณหลี่โหวที่เดินทางมาอวยพรยายแก่เช่นข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยต่อ “แต่ข้าจำไม่ได้ว่าได้เรียนเชิญท่านไป” “ข้าน้อยมาโดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะให้อภัย” หลี่หลินผู่ยิ้มแย้ม เข้าใจความไม่พอใจของฮูหยินผู้เฒ่าสำหรับสิ่งที่สกุลหลี่ได้ทำ เมื่อหลายปีก่อนสกุลเหยาประสบความลำบาก เป็นสกุลหลี่ที่ตีตัวออกห่าง ใช้เท้าถีบหัวเรือส่งก่อน มาวันนี้ฐานะสกุลเหยาดีขึ้น จึงอาจจะคิดว่าสกุลหลี่มาสนิทด้วยเพื่อหวังผลประโยชน์ “ไม่กล้าๆ ข้าเพียงอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านมีธุระใดจึงมาหาข้ากันแน่” “ฮูหยินผู้เฒ่า เช่นนั้นข้าน้อยขอเข้าเรื่องเลย” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ว่าอะไรที่จะพูดต่อหน้าเหล่าบรรดาฮูหยิน หลี่หลินผู่จึงเอ่ยคำ “เรื่องหมั้นหมายของข้าและอี้เหยายังคงเป็นดังที่ทำสัญญาไว้” หลี่หลินผู่จงใจใช้คำเรียกขานอย่างสนิทสนม แทนที่จะเรียกว่าคุณหนูห้าเพื่อแสดงความชิดเชื้อ “ปีนั้นท่านโหวส่งจดหมายยกเลิกงานหมั้นมา หรือข้าเลอะเลือนไปแล้ว" “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า จดหมายครานั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตกลงใดๆ หนังสือยกเลิกหมั้นหมายจึงไม่ได้ถูกส่งมา ดังนั้นการหมั้นหมายของข้าและอี้เหยายังคงเป็นเช่นเดิม” “หลี่โหว คำพูดเช่นนี้ไม่ดูไร้ความรับผิดชอบหรือ ท่านเห็นสกุลเหยาเป็นสกุลเล็กๆ ที่สามารถยกเลิกหรือหมั้นหมายได้ตามใจชอบหรือ” “ข้าน้อยไม่มีข้อแก้ตัว หากสกุลหลี่ทำให้ท่านขุ่นเคืองใดๆ ข้าขอรับผิดชอบด้วยการคุกเข่าให้ท่าน จนกว่าท่านจะอภัยให้ข้า” หลี่หลินผู่คุกเข่าลงอีกครั้งต่อหน้าธารกำนัลมากมาย ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับไปไม่เป็น ทั้งรู้สึกใบหน้าร้อนจัดเพราะกำลังถูกหลี่โหวบีบให้นางยอมรับการขออภัยจากเขา “หลี่โหว ลุกขึ้นเถิด ข้าแก่เกินจะรับโทษที่ปล่อยให้ท่านคุกเข่าเช่นนี้” เหยาอี้ร่างหันหลังกลับในทันทีเพื่อกลับเรือน ในใจคิดแต่ว่าเกิดเรื่องยุ่งยากแล้ว สกุลเหยารวมทั้งท่านย่าไม่ทราบเรื่องที่น้องสาวคนที่ห้าของตนหายตัวไปเพราะเบื้องบนปิดข่าว ส่วนเขาเองตั้งใจไม่บอกที่บ้านเพราะรู้ว่าทางนี้ไม่สนใจเหยาอี้เหยาอยู่แล้ว แต่เมื่อเร็วๆ นี้เขาได้รับข่าวจากคนใกล้ชิดนาง บอกว่านางปลอดภัยดี ตอนนี้ฉู่ซื่อจื่อยังรับนางกลับเข้าจวนเพื่อรักษาต่อ เขาจึงวางใจ กลับมาที่จวนอีกครั้งตามคำสั่งท่านพ่อ ทว่าตอนนี้ไม่ได้แล้ว หลี่โหวมาทวงสัญญาหมั้นหมาย เหยาอี้เหยาต้องลำบากแน่ เหยาอี้ร่างจึงตั้งใจเขียนจดหมาย ส่งขึ้นทางเหนืออย่างเร่งด่วน เรือนพักของเหยาอี้เหยาคือเรือนเดิมที่เคยอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในยังคงเหมือนเดิมจนนางแปลกใจ แสดงว่าหลายปีมานี้ เรือนนี้ไม่รับแขกเลย เหยาอี้เหยาจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่ รวมทั้งเก็บถั่วแดงไว้ในผ้าเช็ดหน้า แล้วใส่ไว้ในกล่องไม้เล็กๆ อีกชั้น รออากาศอุ่นเมื่อใด นางจะปลูกถั่วแดงเมล็ดนี้ “คุณหนูเหยา ไม่ทราบว่าท่านต้องการสาวรับใช้หรือไม่ หากท่านต้องการ ข้าจะให้คนที่ไว้ใจได้มาอยู่กับท่าน” จินเฟยเอ่ยถาม “ไม่ต้องหรอกองครักษ์จิน ข้าน้อยดูแลตนเองได้” เดิมจวนสกุลฉู่ก็ไม่มีบ่าวรับใช้มากนัก อีกทั้งฉู่ซีเย่เอง ก็ยังไม่มีสาวใช้ข้างตัวสักคน นางที่เป็นแค่ผู้อาศัยจะกล้าไปมีข้ามหน้าข้ามตาเขาได้อย่างไร “เช่นนั้นหากท่านขาดเหลือสิ่งใด แจ้งได้ที่พ่อบ้านซุน หรือข้าก็ได้” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” “คุณหนูเหยา คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของงานเทศกาลฤดูหนาว ไม่ทราบว่าท่านต้องการออกไปร่วมเทศกาลหรือไม่” “ข้าไปได้รึ” “ซื่อจื่อเตรียมรถม้าไว้ให้ท่านแล้ว หากท่านต้องการ เพียงออกปากเท่านั้น” “ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อ แต่วันนี้ข้าขอพักอยู่ที่จวนดีกว่า” เทศกาลฤดูหนาวครึกครื้นน่าไป แต่วันนี้นางเดินทางรอนแรมมาทั้งวัน ไหนจะถูกทุบตีไปเมื่อครู่อีก ร่างกายเริ่มทนความหนาวไม่ไหวแล้วจึงขอไม่ไปดีกว่า “เช่นนั้นไม่รบกวนท่านแล้ว คุณหนูเหยา พักผ่อนเถิด” “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” นางพึ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เอ่ยถามฉู่ซีเย่เลยว่าคืนนี้เขาสะดวกให้นางนอนด้วยหรือไม่ หรือจะให้นางรอไปก่อน “มีอันใดไม่สะดวกหรือขอรับ” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมีคำถามเล็กน้อย…ไม่ทราบว่าคืนนี้ซื่อจื่อจะกลับมาหรือไม่เจ้าคะ” ถ้าเขากลับมา นางจะได้นั่งรอ “กลับขอรับ” ดีเยี่ยม นางจะรอเขากลับมา “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เป็นธุระให้เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาส่งจินเฟย นางรีบปิดประตูลงเมื่อเขาหันหลัง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่เตาผิงในเรือน นางนั่งผิงไฟคลายหนาวจนกระทั่งสาวรับใช้หาบน้ำอุ่นมาให้อาบ นางจึงลุกไปเปิดประตู ให้พวกนางเข้ามา “ที่เหลือข้าจัดการเอง พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ” อาการช่วงเย็นหนาวยิ่ง นางจึงไม่อยากให้ใครต้องมาทนหนาว “เช่นนั้นพวกข้าน้อยขอลา” บรรดาสาวรับใช้ได้รับคำสั่งมาแล้วว่าอย่ารบกวนคุณหนูเหยา หากนางไม่ได้สั่ง ก็ไม่ต้องเจ้ากี้เจ้าการ พวกนางจึงถอยกลับไปรอคำสั่ง เหยาอี้เหยาปลดชุดที่ชื้นน้ำออก ปล่อยเส้นผมสีดำดุจขนกาให้คลายออก เท้าขาวผ่องก้าวลงไปในอ่าง ชะล้างความสกปรกและเศษฝุ่น “สบายจัง” รอยยิ้มหวานแต้มบนใบหน้า คืนนี้นางจะนอนกับฉู่ซีเย่เป็นคืนแรก กิ่งต้นอิ๋งชุน (ต้นมะลิสายพันธุ์หนึ่ง) ถูกดึงโน้มลงมา มือเรียวสวยแตะกลีบบาง ครั้นดึงมือกลับมา กลิ่นหอมคล้ายจะติดปลายนิ้วมาด้วย กลิ่นคล้ายนางอยู่บ้าง… “แปลกนัก วันนี้เจ้าไม่ดื่มสุรารึ” ฉู่ซีห่าวเดินขึ้นมาบนหอสุรา หลังปิดงานในฐานะเจ้าเมืองของเทศกาลฤดูหนาวแล้ว “ท่านไม่ใช่ชอบพูดให้ข้าเพลาๆ ลงบ้างไม่ใช่รึ” ฉู่ซีเย่ไอเล็กน้อย เขาจึงจิบน้ำชาหลายคำ “อิ่นจื่อ สุขภาพเจ้าช่วงนี้ดูคล้ายจะแย่ลง” หัวคิ้วของฉู่ซีห่าวเป็นปม “ให้ผู้อาวุโสฉู่ลองตรวจดีหรือไม่” “ข้าเพียงไอเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอะไรมาก” “ไม่กระมัง ช่วงนี้ข้าสังเกตว่าเจ้าผอมลง เนื้อหายไปหลายชั่ง” ฉู่ห้าวพูดสมมติฐานในใจ “นี่เป็นเพราะเจ้าเลี้ยงแมลงคุณไสยหรือไม่” “ใช่แล้วทำไม ไม่ใช่แล้วทำไม” ฉู่ซีเย่พูดคลุมเครือ มือเอื้อมไปเทกาสุรามาถือ แต่ไม่ดื่ม “เป็นข้าทำให้เจ้าต้องลำบาก” ปีนั้นเป็นฉู่ซีห่าวขอร้องให้เขาช่วยนาง หลายปีมานี้ฉู่ซีเย่จึงใช้ชีวิตตนเองเลี้ยงแมลงคุณไสย "ข้าไม่ลำบาก" ฉู่ซีเย่ยิ้มเล็กน้อย เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนดีปานนั้น ที่เขาช่วยนาง เพราะเขาอยากช่วย แม้ตอนนั้นจะอยากปล่อยให้นางตายจริงๆ แต่ไม่นานก็หายโกรธ ไม่อยากให้นางตายอีก... “พี่ชายข้า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องมาเกรงใจ วันนี้พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้เลย มาดื่มสักหน่อยเถอะ” “ดื่มได้ แต่น้อยลงหน่อย” “ข้าไม่รู้จักคำว่าน้อยลงหน่อย” “เจ้านี่น่ะ” ฉู่ซีห่าวชนจอก พูดเรื่องที่อีกฝ่ายบอกก่อนหน้านี้ “เรื่องแม่นางจางที่เจ้าขอ ข้าให้คนสืบแล้ว นางยังอยู่ในเมือง” ฉู่ซีเย่แปลกใจที่นางยังกล้าอยู่ในเมือง “ข้าให้คนไปจับนางมาได้ หากเจ้าต้องการ” “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวจะกลายเป็นข้ารังแกคนของนางอีก” ฉู่ซีเย่ตอบเรียบๆ จดจำนางที่ออกโรงปกป้องคนเช่นจางลี่ได้ “นางมีจิตใจดี” “คนโง่งมกับคนดี ก้ำกึ่งกันมาก ท่านต้องดูให้ดี” “ถึงอย่างงั้นแต่เจ้าก็รับนางกลับเข้าจวนไม่ใช่รึ อิ่นจื่อ เจ้ายอมรับเถอะ นางเป็นเด็กดี เจ้าจึงอยากช่วย” “ข้าเพียงเสียสติไปชั่วขณะ” ฉู่ซีเย่ยกสุราหมดจอก “เจ้าดื่มน้อยลงหน่อย คืนนี้จะเมามายกลับจวนได้อย่างไร นางอยู่ที่จวนของเจ้านะ” ฉู่ซีเย่ชะงักมือ คำพูดว่านางรอเขาอยู่ที่จวน เป็นความรู้สึกชนิดหนึ่งที่วนอยู่ในท้อง “ข้าหาสนใจไม่” อีกครึ่งชั่วยามต่อมาฉู่ซีเย่ก็กลับจวนเลยยามเว่ยแล้วเมื่อฉู่ซีเย่กลับมาที่จวนด้วยรถม้าเสียงฝีเท้าของบ่าวรับใช้ทำนางตื่น ทุกคนในจวนเริ่มงานเพื่อรับรองฉู่ซีเย่อย่างเป็นระบบและชำนาญการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง“เขากลับมาแล้ว”เหยาอี้เหยาหยิกเนื้อตัวเองให้ตื่นเต็มตา จัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้พร้อมแล้วรีบถือโคมไฟออกมารอเขาที่ประตูด้านนอกจวน ระหว่างนั้นนางปั้นหน้ายิ้มแย้ม จัดระเบียบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน ไม่นานฉู่ซีเย่ก็เดินผ่านเงาพระจันทร์มาให้เห็น กลิ่นหอมของสมุนไพรและสุราโชยมากับสายลมไอความแข็งกร้าวที่อาบไล้ตัวเขาพาลให้นางรู้สึกหวั่นกลัวอยู่บ้าง“ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เหยาอี้เหยาเก็บอาการสีหน้าไม่อยู่ ราวกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาเมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน แต่ในนั้นก็เจือความกลัวไว้ชั้นหนึ่ง“อืม” ฉู่ซีเย่รับรู้ถึงนางก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร ในมือเขาถือขวดสุรา พอเห็นนางก็โยนให้ถือโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหยาอี้เหยาผวารับขวดสุราจนตัวเซ“ห้ามทำตก ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าชดใช้”“เจ้าค่ะ” นางกอดขวดสุราแนบอกในทันที สุราชนิดนี้แพงมาก ขืนตกไปคงชดใช้ไม่ไหว“เจ้ามาทำอันใดตรงนี้”“ข้าน้อยมารอท่าน”“รอ? ท
เสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก สาวรับใช้ประจำเรือนร้องบอกให้นางตื่นได้แล้ว เหยาอี้เหยาไม่อยากตื่น นางจึงพลิกตัวไปด้านข้างแล้วตลบผ้าห่มคลุมตัว ทว่าสาวรับใช้ได้เปิดประตูเข้ามาดึงนางลุกขึ้นจากเตียง‘ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันนะเจ้าคะ’‘ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย’ เหยาอี้เหยาเอนตัวนอนลงอีกรอบอย่างง่วงงุน‘ไม่ได้นะเจ้าค่ะ รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์’ สาวรับใช้ดันหลังเหยาอี้เหยาขึ้นจากเตียง พวกนางหิ้วปีกนางออกไปยังนอกเรือน‘เดี๋ยวก่อน นี่พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด’ เหยาอี้เหยาเอ่ยถาม พวกนางส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย ก่อนจะผลักนางเข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับเรือนของฉู่ซีเย่ไม่มีผิด‘ที่นี่คือ…’‘คุณหนู ได้เวลานอนกับซื่อจื่อเป็นคืนแรกแล้วเจ้าค่ะ’ ทั้งสองปิดประตูใส่นางที่กำลังยืนมึนงง สภาพแวดล้อมเหมือนหมุนได้ พริบตาเดียวนางก็มาอยู่ในห้องนอนแล้ว‘ไม่นะ ให้ข้าออกไป’ เหยาอี้เหยารีบพุ่งตัวไปที่ประตู ทว่าไม่สามารถเปิดได้ นางจึงงัดอย่างแรง ใช้สองมือระดมทุบเพื่อให้ประตูเปิด ก่อนที่แผ่นหลังจะรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตสายหนึ่ง ครั้นนางหันมามอง ก็เห็นฉู่ซีเย่ที่ยืนอยู่ห่างจากนาง
ประตูปิดลง ลมหนาวด้านนอกถูกประตูต้านเอาไว้ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามาได้ตามใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนางเลย” เจ้าเมืองฉู่นั่งลงข้างเตาผิง มือหยิบถ่านเข้าเตาผิง “นางจะเสียใจได้”“ท่านเอ็นดูนางมากหรือ” ฉู่ซีเย่หยักไหล่ไม่ใส่ใจ จิบสุราอุ่นของอำเภอหงชุ่นที่ขึ้นชื่อที่สุด“เจ้าก็เช่นกันไม่ใช่หรือ” หาไม่แล้ว คนอย่างฉู่ซีเย่จะมอบเสื้อคลุมกันหนาวขนมิงค์ให้นางหรือ แม้จะใช้วิธีซับซ้อนอย่างการให้เขามอบต่อให้กงจิ้งแต่ก็เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด เสื้อตัวนี้จะต้องกลับมาหานางแน่ไม่ใช่หรือฉู่ซีเย่เปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไม่เช้าแล้ว ไปวัดกันเถอะท่านพี่”“จุดประสงค์คือไปวัดแน่หรือ”“ย่อมไม่ใช่”“วัดนั้นมีปัญหา”ฉู่ซีเย่ตอบ “ข้าหวังว่าจะไม่มี”เหยาอี้เหยาถูกฉู่ซีเย่ไล่ออกมาจากห้องโถงด้วยความเย็นชา นางจึงต้องมายืนหนาวรออยู่ด้านนอกตรงลานจอดรถม้า ยังดีที่คนของเจ้าเมืองฉู่นำเตาอุ่นมาให้นางกอด อีกทั้งเสื้อคลุมขนมิงค์ยังกันลมได้ดี นางจึงนั่งรอได้ไม่เดือดร้อนกับความหนาวแต่รอไปรอมานางก็หิว ความจริงเวลานี้นางยังไม่ทานอาหารเช้าหรอก ทว่าเมื่อวานนางทานข้าวเย็นเสียที่ไหน ตอนนี้จมูกได้กลิ่นขนมแป้งเคลือบน้ำผึ้ง น้ำย่อยใน
เหยาอี้เหยากลับมาที่จวนกับจินเฟยก่อนเพื่อรักษาจางลี่ท่านหมอให้ความเห็นว่าบาดแผลตรงศีรษะของจางลี่สาหัสยิ่ง อีกทั้งนางยังเสียเลือดมากจนร่างกายช็อก ไม่มีวิธีการเพื่อยื้อชีวิตนางได้แล้ว ท่านหมอจึงออกมาบอกกับเหยาอี้เหยาว่าจางลี่คงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ หากมีเรื่องใดก็ให้นางเข้าไปพูดตอนนี้เสียเหยาอี้เหยาจึงเข้าไปหาจางลี่ ในชั่วขณะหนึ่งนางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงขณะนี้ คือจางลี่หลายวันก่อนนางยังสบายดี แต่ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้แล้วใครกันที่ทารุณกับนางขนาดนี้“หนาวหรือไม่” นางหยิบที่คีบเพื่อส่งถ่านเข้าไปในเตา ให้ห้องพักรักษาตัวอันเย็นจัดได้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง“คุณหนูเหยา…ท่านชิงชังข้าบ้างหรือไม่” สายตาจางลี่อยู่ที่นาง เคลือบทับไว้ด้วยความรู้สึกผิดชั้นหนึ่ง“ไม่เลย แค่โกรธนิดหน่อย” เหยาอี้เหยานั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปซับน้ำตาให้จางลี่อย่างอ่อนโยน“ข้าน้อยผิดต่อท่าน…” ความทรงจำเลวร้ายที่ตนทำกับนาง ไหลวนกลับมาเหมือนกระแสน้ำ น้ำตาจึงไหลออกมามากกว่าเดิม “ข้าน้อยไม่เคยดีกับท่านเลย แต่ท่านดีกับข้าเสมอ…”“ข้าอยากดีกับเจ้าให้มากกว่านี้” เหยาอี้เหยาจับมือนาง ยิ่งสัมผัสได้ถึงชีพจรอันเ
พิธีศพของจางลี่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเหยาอี้เหยาสวมชุดป่านสีขาว ยืนอยู่เบื้องหน้าหลุมศพจางลี่ รอบข้างมีคณะทูตจากต้าหย่ง รวมทั้งจิ่งเถียนและพ่อบ้านซุนประจำสกุลฉู่มาร่วมงาน เนื่องจากจางลี่เป็นลูกกำพร้า ไม่มีครอบครัวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นางจึงขอให้ทางการอนุญาตให้ฝั่งร่างของจางลี่ในสุสานชาวเมืองโจวอี้ภายในวันนั้นเนื่องจากอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของฉู่ซีเย่ คนทั้งเมืองจะจัดงานรื่นเริงงดเว้นงานสีดำ ดังนั้นนางจึงต้องรีบฝั่งจางลี่ก่อนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินกลับจวนสกุลฉู่พร้อมกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยและลู่หมิง ส่วนพ่อบ้านซุนและจิ่งเถียนตามอยู่ข้างหลังไกลๆเหยาอี้เหยาเร่งฝีเท้าเพื่อเดินข้างกงจิ้ง นางมีเรื่องจะพูดกับเขา“แม่ทัพกง ท่านรู้จักคนที่ชื่อฟู่เจิ้งชิวมากแค่ไหน” ในอดีตกงจิ้งเคยสังกัดกองทหารของท่านตา อีกทั้งเขายังเป็นคนของราชวงศ์ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรู้เรื่องฟู่เจิ้งชิวมากกว่านางแน่“รู้จักเพียงผิวเผิน ไม่เคยพบหน้าเขา” เรื่องเล่าของฟู่เจิ้งชิวนั้นเขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง“ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังได้หรือไม่”“อืม ได้ยินว่าฟู่เจิ้งชิวเป็นเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากศา
“อื้อ! ปล่อยข้า” เหยาอี้เหยาประท้วง แต่ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านต่อเรี่ยวแรงของนาง ยิ่งเมื่อพบว่าปากนางหวานล้ำจึงอยากชิมให้มากขึ้น หนทางที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ยิ่งน้อยลง ทว่าร่างกายของนางสั่นเทายิ่งจุมพิตของฉู่ซีเย่เนิ่นนานและทรมานนางอย่างยิ่ง เรียวปากบางถูกเขาดูดดึงจนบวมช้ำ ข้อมือบางถูกกุมจนขึ้นรอยนิ้วสีแดง ในสถานการณ์ที่นางต่อต้านไม่ได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าวเวลานั้นฉู่ซีเย่มองเห็นหยาดน้ำตาชุ่มขนตางอนยาวก็คิดจะหยุด...แต่ไม่ได้หยุดทันทีเพราะเขาแค่คิดที่จะหยุดเท่านั้น“ข้าร้อนยิ่ง” ฉู่ซีเย่ถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากบางอย่างอ้อยอิ่ง นิ้วมือเรียวที่ราวกับไฟเกลี่ยไล่ปอยผมให้พ้นกรอบหน้า จมูกที่แดงจัดเพราะความหนาวทำให้นางยิ่งน่าทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือจนเขาปวดใจที่เผลอลงมือหนักเมื่อครู่“ซื่อจื่อ...” เหยาอี้เหยาเบือนหน้าหนีริมฝีปากร้อนจัดของเขาเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าปอด แผ่นหลังของนางติดกับขอบบ่อ สองมือที่พึ่งเป็นอิสระดันแผ่นอกที่แข็งดั่งกับก้อนหิน อีกทั้งยังร้อนลวกมือจนนางไม่กล้าแตะต้องมาก“กลัวข้าหรือ...”จมูกโด่งยังคงคลอเคลียแก้มนางไม่ห่าง พร้อมกอดรัดนางไว้อย่างแนบชิด เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายตนเอง
หลังลงจากเขาแล้ว ฉู่ซีเย่สั่งให้คนพาตัวเหยาอี้เหยากลับจวนและหากไม่มีคำสั่งของเขา ห้ามนางออกจากจวนแม้ครึ่งก้าว ส่วนเขาเดินทางไปยังจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อสอบสวนฟู่เจิ้งชิวด้วยตัวเองฉู่ซีห่าวคอยอยู่แล้วเมื่อเขาไปถึง ทั้งยังสละเสื้อคลุมให้เขาอีกตัว แต่ตอนนี้ฉู่ซีเย่ร่างกายอบอุ่นยิ่ง ไม่ต้องการเสื้อคลุมใดๆ“ข้าไม่หนาว”“เจ้าทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” ฉู่ซีห่าวอดพูดไม่ได้“ข้าสบายดี” ฉู่ซีเย่แย้มยิ้ม กลิ่นกายหอมกรุ่นของนางยังคงติดจมูก น่าเสียดายที่เขากอดนางได้ไม่นานเท่าที่ใจปรารถนา “ท่านพี่ คนแซ่ฟู่ล่ะ”“อยู่ในคุกรอเจ้าแล้ว” ฉู่ซีห่าวพาเขาลงไปใต้ดิน ภายในคุกคุมกันแน่นหนาเพื่อไม่ให้ใครมาชิงฆ่านักโทษไปได้ รวมทั้งยังวางกำลังไว้จำนวนหนึ่งเพื่อจับตาดู จะได้ไม่มีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายก่อนการสอบสวนทันทีที่ฉู่ซีเย่ปรากฏตัวขึ้น ฟู่เจิ้งชิวในชุดไต้ซือก็แสดงท่าทีตื่นตระหนกฉู่ซีเย่ไม่ได้เริ่มการสืบสวนทันที แต่เขาหันมาพูดกับฉู่ซีห่าวก่อน “จริงสิท่านพี่ ท่านเขียนจดหมายให้ท่านปู่ทราบแล้วหรือยัง”“ยังเลย”“เช่นนั้นระหว่างที่ข้าสอบสวนคนแซ่ฟู่ ท่านช่วยเขียนจดหมายถึงท่านปู่ได้หรือไม่”ฉู่ซีห่าวไม่ปฏิเสธ เขาคิดจะเขีย
เลยยามจื่อแล้ว เมื่อเหยาอี้เหยากับซ่างเจวี๋ยเดินเท้าถึงจวนเจ้าเมืองฉู่เพื่อพบหน้าฟู่เจิ้งชิวเป็นการส่วนตัว เวลานั้นเจ้าเมืองฉู่ซีห่าวไปจัดการคดีค้ามนุษย์ซึ่งเจ้าอาวาสหยูเม่ากับไต้ซือจอมปลอมอย่างฟู่เจิ่งชิวก่อขึ้น ดังนั้นจึงมีเพียงแม่ทัพจ้าวสือรอนางอยู่“เรียนแม่ทัพจ้าว ข้าน้อยมาขอพบนักโทษ”เหยาอี้เหยามอบจดหมายอนุญาตเข้าเยี่ยมนักโทษจากซื่อจื่อให้แม่ทัพจ้าวตรวจสอบความถูกต้อง"คุณหนูเหยามีจดหมายอนุญาตย่อมเข้าได้ เพียงแต่แม่ทัพซ่าง… ""ข้ารอที่นี้ได้" ซ่างเจวี๋ยพูดห้วนๆ"เช่นนั้นก็เรียบร้อย" จ้าวสือจึงให้เหยาอี้เหยาเข้าได้ “เนื่องจากนักโทษแซ่ฟู่มีความสำคัญต่อคดีมาก เลยไม่อาจให้พบหน้าได้นานนัก ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ”“เข้าเยี่ยมได้นานเท่าใดหรือ”“ไม่เกินหนึ่งเค่อ”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยาไม่ขอเวลาเพิ่ม“เชิญคุณหนูทางด้านนี้” จ้าวสือส่งที่ทางเข้า “อ่อ มีอีกเรื่องที่ต้องกำชับ ภายในมีกลไกป้องกันการบุกรุก ดังนั้นจึงไม่อยากให้คุณหนูแตะต้องสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาต”“รบกวนแม่ทัพจ้าวแล้ว” เหยาอี้เหยารับคำ สายตาสังเกตรองเท้าและรอยเปื้อนของชายเสื้อคลุมทหาร ร่องรอยดินโคลนสาดกระเซ็นขนาดนี้ แสดงว่าแ
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม