ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายพายุหิมะกำลังก่อตัวอยู่อีกฟากของขอบฟ้า
นางรู้สึกตัวเพราะแรงกระแทก สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกเมื่อลืมตา คือด้านหลังของม้าที่ฉู่กวงหลินกำลังควบขี่ ความหนาวเย็นเสียดกระดูกทำให้เหยาอี้เหยาไอ ตอนนี้นางอยู่ในกรงขังโลหะที่ลากไปบนพื้นด้วยความเร็ว สมองของนางประมวลผลเชื่องช้าด้วยผลกระทบจากการขาดยาทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน ถึงอย่างนั้นนางก็ยังจำได้ว่าตนเองถูกพาตัวออกมาจากคุกเพื่อเป็นตัวประกัน ฉากหลังของเส้นทางอันขรุขระคือกงจิ้ง เขากำลังไล่กวดฉู่กวงหลินมาในระยะกระชั้นชิด ส่วนซ่างเจวี๋ยแยกตัวไปขนาบข้าง พวกเขาไม่กล้ายิงธนูส่งเดช ด้วยกลัวจะถูกนาง ทว่าฉู่กวงหลินและคนของเขาไม่ใช่ ธนูนับสิบพุ่งเฉี่ยวร่างกายกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยรับมือกับคนของฉู่กวงหลินที่ดาหน้าเข้าใส่ในระยะประชิด “อี้เหยา! อดทนเอาไว้!” ซ่างเจวี๋ยส่งเสียงก้องกังวาน เนื้อตัวเปอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พยายามทุ่มเทกำลังเพื่อช่วยนางเต็มที่ ทว่าเหยาอี้เหยาอ่อนแอนัก ลมหายใจนางแผ่วลงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหนาวที่พัดวูบเข้ามาในร่าง ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่นางหนาวยิ่ง หนาวจนเหมือนกำลังอยู่ในกองหิมะเย็นเฉียบ… “ไอ้พวกบัดซบ ฆ่าให้หมด!” ฉู่กวงหลินควบม้าด้วยใบหน้าเครียด เขาสั่งให้คนทั้งหมดหยุดกงจิ้งและซ่างเจวี๋ยให้ได้ “ไม่นะ…” เหยาอี้เหยามองผ่านซี่กรง ลูกธนูพุ่งฉิวออกไปจากมือของฉู่กวงหลิน ลูกธนูปักโดนร่างของซ่างเจวี๋ย เขาตกจากหลังม้ากลิ้งไถลไปกับพื้นหิมะจนตกเขา “แม่ทัพซ่าง!” “ข้าจะตามไปช่วยเจ้าแน่ ข้ากำลังไป” ขณะนั้นกงจิ้งถูกคนร้ายลอบโจมตีด้านหลัง ถูกรุมทึ้งด้วยแร้งกาจนไม่สามารถไล่ตามมาได้ทัน เหยาอี้เหยากัดฟันฮึดพยายามหยัดยืนขึ้นมาให้ได้ เบื้องหน้าคือจุดสิ้นสุดอาณาเขตเมืองโจวอี้ ต่อไปจากนี้คือเมืองชง แม้ว่าฉู่ซีเย่จะเป็นใหญ่ในแดนเหนือ ทว่าเขายังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง อำนาจในมือย่อมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งนางยังไม่รู้ว่าฉู่ซีเย่มาถึงแล้วหรือต่อให้เขามาถึง แต่ตอนนี้เมืองโจวอี้ชุลมุนวุ่นวาย เขาคงไม่มีเวลามาช่วยนางแน่ นางจึงดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง “ท่านแม่ ปิ่นนี้อาจจะต้องแปดเปื้อนสักหน่อย” เหยาอี้เหยารู้ตัวว่าโง่อยู่สักหน่อยที่ตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่อาณาเขตเมืองชงไม่อยู่ในอำนาจของฉู่ซีเย่ หากนางข้ามไป เขาจะช่วยอะไรนางไม่ได้อีก เหยาอี้เหยากำปิ่นแน่น ซี่กรงมีขนาดพอให้มือของนางสอดผ่านออกไปได้ มือข้างขวาของนางเงื้อขึ้น มือซ้ายจับกรงไว้แน่น ใช้กำลังเฮือกสุดท้าย แทงปิ่นลงไปบนตัวม้า ม้าส่งเสียงขึ้นด้วยความเจ็บและตื่นตระหนก ฉู่กวงหลินบังคับม้าให้สงบ ทว่าเหยาอี้เหยาดึงปิ่นออกมาแล้วแทงอีก ม้าสะบัดพลางยกขาหน้าขึ้น เหยาอี้เหยาคว่ำไปกับกรง กลิ้งหลายตลบลงเนินไปด้วยกันกับฉู่กวงหลิน ก่อนจะถูกลากออกจากกรง “ออกมา! นังเด็กเวร!” ฝ่ามือของฉู่กวงหลินสะบัดใส่หน้านางอย่างจังจนล้มกองกับพื้น กลิ่นคาวเลือดกำจายในปากเคล้าความเย็น “ปล่อยข้า!” เหยาอี้เหยาทั้งถีบทั้งเตะ นางพยายามฝืนไม่ให้คนของฉู่กวงหลินลากนางไปด้วย ทว่าเรี่ยวแรงของนางไม่สู้แรงของชายฉกรรจ์ สุดท้ายนางก็ถูกลากไปด้วย “มานี้ เจ้าต้องมาคุ้มกันข้า” ฉู่กวงหลินนำตัวนางมาด้วยเพราะรู้ว่าต้องผ่านช่องหุบเขา ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมกองกำลังของจี๋เฉวียน ฉู่กวงหลินรู้สึกได้ เวลานี้จี๋เฉวียนดักอยู่ไม่ไกล เกาทัณฑ์กำลังเล็งศีรษะเขาอยู่ จึงยิ่งร้อนรนเมื่อเหยาอี้เหยาทรุดตัวลงกับพื้นน้ำแข็งราวกับใบไม้ที่หลุดจากขั้ว “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” ฉู่กวงหลินกระชากตัวนางขึ้นจากพื้นน้ำแข็ง ส่งเสียงถึงจี๋เฉวียน “เจ้ากล้ายิงข้าก็ทำ! แต่คุณหนูเหยาต้องตายก่อน!” “ข้าไม่ยิง ขอแค่เจ้าทิ้งคุณหนูเหยาไว้ ข้าจะให้เจ้าข้ามไปโดยสดุดี” จี๋เฉวียนยืนอยู่บนฝั่ง เขาคุ้นชินกับทะเลสาบดี แอบชำเลืองเห็นรอยแตกบางๆ บนแผ่นน้ำแข็ง “จี๋เฉวียน ช่วยด้วย…” นางฝืนต้าน จึงถูกลากไปทั้งอย่างนั้น ในเวลานั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันพร้อมเเส้ในมือ ตีฝ่าวงล้อมเข้าไปถึงตัวฉู่กวงหลินในเวลาอันสั้น “เข้ามาอีกก้าว ข้าจะฆ่านางซะ!” มีดคมปลาบวางชิดลำคอ ทว่าเพียงครู่เดียว ปลายแส้ก็ตวัดมารั้งมือของจี๋เฉวียนเพื่อพลิกมีดออกจากลำคอเหยาอี้เหยา กำลังของสตรีในชุดสีหม่นสวมผ้าปิดหน้ามหาศาล เหวี่ยงตัวของฉู่กวงหลินกระแทกพื้นน้ำแข็ง ก่อนจะตามด้วยการฟาดไม่ยั้งด้วยแส้ ฉู่กวงหลินถูกฟาดหลายครั้ง จนพอตั้งหลักได้จึงเริ่มสู้กลับ เดิมเขามีวิชายุทธ์ในขั้นสูง พอจะประมือกับแส้ของสตรีในชุดหม่นได้บ้าง จี๋เฉวียนห้ามคนขึ้นไปเพิ่มความเสี่ยงให้แผ่นน้ำแข็งแตก แค่คนที่สู้กันอยู่บนฝั่งก็พอแล้ว “คุณหนูเหยา! กลับฝั่งมาเร็ว!” เหยาอี้เหยาปลิวออกจากฝั่งจนถึงกลางทะเลสาบ แส้เส้นนั้นของเมียนเมี่ยนพยายามจะดึงตัวนางกลับเข้าฝั่งแต่ทุกครั้งต้องถูกสกัดโดยฉู่กวงหลิน “จะตายก็ต้องตายด้วยกันซี!” ฉู่กวงหลินทุบแผ่นน้ำแข็ง รอยร้าวเล็กๆ เคลื่อนไหวพร้อมเสียงลั่น เหยาอี้เหยาคลานหนีสุดชีวิตพยายามไขว่คว้าปลายแส้ของเมียนเมี่ยน แต่ไม่ทัน ปลายนิ้วนางคว้าได้เพียงอากาศ ก่อนจะถูกสายน้ำเย็นเฉียบกลืนกินลงไปในทะเลสาบอันหนาวเหน็บ นางว่ายน้ำ พยายามผุดขึ้นเหนือน้ำให้ได้ แต่ร่างกายพลันชะงักงัน เจ็บแปลบเพราะฤทธิ์แมลงคุณไสยกำเริบอีกแล้วนางเกร็งตัวหงิกงอ ใบหน้าขาวซีดปรากฏเส้นขีดสีแดงก่ำ ราวกับว่าพิษกำลังแล่นไปที่หัวใจ นางทรมานยิ่ง เจ็บปวดจนไร้คำบรรยาย ทุกอย่างทิ่มแทงจนนางไม่อาจจะกระดิกตัวขึ้นมาจากน้ำ ความหนาวเย็นทำให้ตัวชา นางมองฟองอากาศด้วยความทึ่มทื่อ ความหนักอึ้งและไร้ที่สิ้นสุดของทะเลสาบพานางจมดิ่งลงไป นางสงบลงหลังยอมรับความจริงว่าคงไม่รอดแน่แล้ว ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาซ้อนทับกับภาพใบหน้าของฉู่ซีเย่ เหยาอี้เหยาไม่รู้เลยว่านี่คือฝันหรือความจริง ทว่าปลายลิ้นนางรับรู้ได้ถึงรสชาติของยาอันขมปร่า ทะเลสาบในช่องหุบเขาเย็นยะเยือกจนเป็นที่กล่าวขาน แม้กระทั่งคนที่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมโหดร้ายอย่างจี๋เฉวียนยังขยับตัวไม่ได้เมื่อลงน้ำ ทว่าฉู่ซีเย่ต่างออกไป เขาเป็นคนประหลาดที่ไม่ค่อยสะท้านกับความหนาว เนื่องด้วยร่างกายมีพลังหยางคอยให้ความอบอุ่น เมื่อกระโจนลงทะเลสาบอันเยือกแข็ง เขาสามารถว่ายน้ำช่วยเหยาอี้เหยาขึ้นจากน้ำได้อย่างฉิวเฉียด “ลมหายใจนางอ่อนนัก” เมียนเมี่ยนถอดเสื้อคลุมให้นาง “ต้องรีบพานางไปรักษา” จี๋เฉวียนตัวสั่นพึ่งขึ้นจากน้ำต้องรีบหันหลังจากไปเพราะคนของฉู่ซีเย่ยกโขยงมาแล้ว “คนแซ่ฉู่ ไว้พบกัน” ฉู่ซีเย่ไม่ใส่ใจจี๋เฉวียน สายตามองไปยังฉู่กวงหลินที่กำลังหนีไปดวงใบหน้าอันเรียบนิ่ง เขาง้างธนูขึ้นมา พร้อมที่จะสังหารฉู่กวงหลิน แต่เสียงของเมียนเมี่ยน ทำฉู่ซีเย่หยุดมือ “ซื่อจื่อ คุณหนูเหยาไม่หายใจ…” “นางตายรึ” นางไม่ขยับ ใบหน้าขาวไร้ร่องรอยของวิญญาณ “ไม่ เนื้อตัวยังอุ่นอยู่” เมียนเมี่ยนยังสัมผัสได้ถึงชีพจรอันที่เต้นอย่างอ่อนแรง “ซื่อจื่อ ได้โปรด ช่วยคุณหนูเหยาด้วย” “ถอยไป” ฉู่ซีเย่คล่ำมือบนร่างนาง พบว่าพลังหยินของนางคือปัญหา ยิ่งเมื่อมีแมลงคุณไสยในตัว ร่างกายนางแทบจะเหมือนไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง “คุณหนูเหยาเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่ซีเย่ไม่ตอบใช้มือจับคอเสื้อนางขึ้นมาพาดบ่า ปลายเท้าแตะพื้นน้ำแข็งแล้วโฉบกลับเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว หลังสามารถขึ้นขี่บนหลังม้า ใครก็ไม่เห็นฉู่ซีเย่กับเหยาอี้เหยาอีก เขาไม่ได้พานางกลับจวน แต่พาเข้าไปในหุบเขาทิศเหนือ เหยาอี้เหยารู้สึกว่าฝันไปหนึ่งตื่นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นบนหลังม้า โดยที่มีไออุ่นราวกับแสงอาทิตย์คอยทำให้รู้สึกดีขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี แผ่นหลังที่นางเห็นหรือกลิ่นหอมอันเย็นสดชื่นทำให้นางรู้ว่าคนที่นางกอดเอวอยู่คือฉู่ซีเย่ นางจึงไม่กล้ากอดเอวเขาอีก “อย่าโง่หน่อยเลย ข้าคร้านจะเก็บเจ้าขึ้นมาอีกรอบ” เหยาอี้เหยาไม่มีกำลังพอที่จะนั่งบนหลังม้าที่ควบขึ้นเนินเขาหิมะโดยไม่เกาะฉู่ซีเย่ แม้เขาจะไม่ชอบ แต่ก็พอกัดฟันทนได้ “ข้าน้อยขออนุญาตเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยากอดเอวเท่าที่จำเป็น เมื่อหลบอยู่หลังฉู่ซีเย่ ความเย็นจับกระดูกราวกับถูกพัดหายไป “ซื่อจื่อ ท่านจะพาข้าไปไหนหรือ” “ถลกหนังเจ้าออกมาตุ๋นน้ำแกง” เหยาอี้เหยาไม่พูดอะไรอีก แต่กอดแน่นขึ้นซบหน้าลงกับแผ่นหลังเขา “อย่าให้มันมากนัก” ไอความเย็นจากตัวนางทำฉู่ซีเย่ขมวดคิ้ว “ท่านอุ่นยิ่ง” ร่างกายฉู่ซีเย่เหมือนเตาไฟ นางไม่อยากห่างเขา อยากกอดเขาเอาไว้แน่นๆ จะได้ไม่รู้สึกเจ็บ “ท่านอุ่นมากอุ่นยิ่งกว่าเตาในเรือนเสียอีก” “ข้าไม่ใช่เตาอุ่นของเจ้า ทำอะไรมีมารยาทบ้าง” ฉู่ซีเย่หยุดม้า พลิกลงจากหลังอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะรั้งตัวนางลงมาในถ้ำ “ซื่อจื่อ ข้าอยากกอดท่านอีก” เหยาอี้เหยาโผตัวกอดขา ฉู่ซีเย่ถอยหลังไม่ยอมให้นางแตะต้องง่ายๆ “คุณหนูเหยา สำรวมกิริยาด้วย” “ข้าหนาวยิ่ง” นางพุ่งเข้าหา โถมทั้งตัวใส่ฉู่ซีเย่ แต่ผลคือเขาหลบอย่างรวดเร็ว นางพุ่งกอดกองหิมะแทน เดือดร้อนฉู่ซีเย่ต้องมาช่วยนางขึ้นจากกองสีขาวโพลน “ลงไปในสระเสีย น้ำจากใต้หุบเขาจะช่วยขจัดปรับสมดุลหยินในตัวเจ้า” เขาลากนางไปขอบสระที่ไอเย็นลอยเหนือน้ำ “ไม่! ข้าหนาว” เหยาอี้เหยากรีดร้องไปก็เท่านั้น เมื่อฉู่ซีเย่ โยนนางลงไปในสระแล้ว “คุณหนูเหยา อดทนหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น” ฉู่ซีเย่แกะมือนางออกจากขอบสระ ก่อนจะผลักนางลงไปอีกรอบ ทว่านางฝืนจะขึ้นให้ได้ ฉู่ซีเย่จึงต้องลงไปจับนางมัดเพื่อแช่น้ำปรับสมดุลหยินดีๆ “ซื่อจื่อ กอดข้าหน่อยเถอะ” นางอ้อนวอน ความเย็นยะเยือกกำลังทำนางจะเป็นบ้า “ข้าไม่มีทางกอดเจ้าแน่” “งั้นให้ข้ากอดท่านเถอะ” “ข้าไม่มีทางให้เจ้ากอดข้า” ฉู่ซีเย่หันหลัง เดินกลับออกไป “ซื่อจื่อ! ข้าขอโทษ ท่านกลับมาเถอะ กลับมาอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้” เหยาอี้เหยาสะอื้น นางร้องไห้ไปแช่น้ำไป ความหนาวเย็นจากทะเลสาบปะทะกับความหนาวเย็นจากใต้พื้นพิภพ ทำให้นางประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว ทุกข์ทรมานจนต้องจิกมือเข้าด้วยกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น ไอเย็นถูกความบริสุทธิ์ของสายน้ำชะล้าง พลังหยินที่สับสนสงบลงบ้าง นางคอพับคออ่อน หลับไปทั้งอย่างนั้น ฉู่ซีเย่กลับเข้ามาอีกทีเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่ค่อยๆ ดีขึ้นของนาง เขาลงไปในสระ แก้มัดแล้วเอนตัวนางลงกับบ่า “คุณหนูเหยา” เขาเรียกดู เมื่อมั่นใจว่านางหลับสนิทจึงสอดมือเข้าไปจนถึงสาบเสื้อใน วางฝ่ามือนาบลงกลางอก ใช้ความร้อนขับไล่พลังหยินที่มากเกินไปให้นาง น้ำในสระที่หนาวเย็นอุ่นขึ้นเรื่อยๆ บนหน้าผากฉู่ซีเย่มีหยาดเหงื่อผุดพราว...เมืองโจวอี้กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเมื่อฉู่ซีเย่กลับมา เขาปราบปรามคนของฉู่กวงหลินหมดสิ้นภายในคืนเดียว พร้อมส่งสองพี่น้องสกุลหยางกลับเมืองชงอีกทั้งประกาศออกหมายจับกบฏโทษตายของฉู่กวงหลินทำให้เจ้าเมืองชงต้องนั่งรถม้ามาขอร้องให้ฉู่ซีเย่อภัยพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวแผนการที่หย่งสวินสั่งให้ทำฉู่ซีเย่รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแผนการเพื่อโค่นอำนาจของไท่จื่อ ทำให้เขาต้องสูญเสียอำนาจในแดนเหนือ ลี้ภัยไปเมืองหลวง ทว่าแผนการของหย่งสวินไม่ได้สั่นคลอนฉู่ซีเย่อย่างที่คิด เขาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้“ซื่อจื่อ อภัยให้บุตรชายของอาสักครั้งเถิด จากนี้ไปเขาไม่กล้าอีกแล้ว” ฉู่กวงเยี่ยนคุกเข่า ร้องขอความเมตตา“เจ้าเมืองชง พูดว่าไม่กล้าแล้วช่างง่ายดาย แต่การกระทำล้วนสวนทางเช่นนี้ ข้าคงให้อภัยได้ยาก” ฉู่ซีเย่มองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย แม้จะมีสายเลือดส่วนหนึ่งจากบรรพบุรุษที่เหมือนกัน ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันใดต่อญาติผู้นี้ ความจริงเขาอยากจะส่งคนไปลากตัวฉู่กวงหลินมาสั่งสอน แต่ทำอย่างไรได้ มารดาของอีกฝ่ายเป็นคนของราชวงศ์ ไม่ว่ายังไงก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง“ถ้าหากลุงสัญญาว่าจะสนับสนุนให้แม่ทัพฉู่ขึ้นเป็นเจ้าเมื
เจ้าเมืองจะมีจวนของตนเอง เขาจึงพักอยู่ที่นั่น โดยแวะเวียนกลับมาหาน้องชายอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทันทีที่กลับเข้าเมืองมา สิ่งแรกที่ฉู่ซีห่าวทำคือกลับมาหาน้องชายทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันนานจึงชวนร่ำสุราด้วยกัน ฉู่ซีเย่นำสุราชั้นดีที่บ่มไว้ออกมาฉลองล่วงหน้าให้กับฉู่ซีห่าว พูดคุยรำลึกความหลังหนเก่า จนพูดมาถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อสามปีก่อน ในฤดูหนาวที่จะถึงในเดือนหน้าใกล้จะถึงวันล่วงลับของเจ้าเมืองฉู่คนก่อนแล้ว...“อิ่นจื่อ เรื่องเมื่อสามปีก่อนเจ้าได้บอกนางหรือเปล่า” นางในความหมายของฉู่ซีห่าวคือเหยาอี้เหยา ส่วนเรื่องเมื่อสามปีก่อน คือเรื่องเหตุการณ์ลอบสังหารที่ทำให้ฉู่หลินเสียชีวิต เขาในตอนนั้นอยู่ชายแดนกับท่านปู่ กว่าจะกลับมาได้ ท่านพ่อก็ไม่อยู่แล้ว“ต้องบอกด้วยหรือ”“วันนี้นางมองข้าด้วยความรู้สึกผิด” เมื่อครู่ฉู่ซีห่าวพบนางที่ตรอกในเมือง “ทั้งๆ ที่คนที่ควรรู้สึกผิดต่อนางควรเป็นพวกเรา”“ชาวฮั่นเป็นคนลงมือ ชาวฮั่นเป็นคนสร้างข่าวลือกลบความจริง เช่นนี้ย่อมต้องให้ชาวฮั่นรับผิดชอบ” เพราะเหตุการณ์ในอดีตทำให้สกุลเหยาต้องแบกรับความผิด ถูกตัดขาดจากสังคมและกีดกัน ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องก
แผนการทุกอย่างได้ตระเตรียมไว้แล้ว เหยาอี้เหยาระมัดระวังทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้ใครจับได้ โชคดีที่เมื่อวานมีคนก่อความวุ่นวายจึงทำให้ฉู่ซีเย่หันเหความสนใจไปจากนาง นางจึงฉวยโอกาสในเวลานั้นเพื่อหาทางติดต่อกับจี๋เฉวียน เพื่อขอความช่วยเหลือฝ่ายจี๋เฉวียนหลบเลี่ยงทหารตระเวนเมืองจนมาพบนางได้ที่ท้ายตรอก เขาไม่เอ่ยถามว่าใครกันคือคนที่นางต้องการให้อารักขาไปยังจวนว่าการประจำเมืองในวันแต่งตั้งของฉู่ซีห่าวหรือนางต้องการทำอันใด เพราะเขาเคยบอกแล้ว ไม่ว่าเรื่องใด ขอแค่นางขอร้อง เขาจะทำให้ยามอิ๋นท้องฟ้ายังมืดสนิท เหยาอี้เหยาลุกจากเตียงนอนก่อนจางลี่ นางผลัดเปลี่ยนชุดพิธีการตามที่ได้รับมอบมา ก่อนจะออกเดินทางไปสมทบกับคณะราชทูต นางนั่งบีบมือตนเองเพื่อระงับความตื่นเต้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถสงบใจลงได้จิตใจนางหวั่นกลัว ยิ่งใกล้จวนว่าการเจ้าเมืองเท่าไหร่ นางก็ยิ่งกลัวขบวนของนางไปถึงจวนว่าการในลำดับแรกๆ ที่นั่งของนางอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานที่ประดับประดาไว้ด้วยธงปลิวไสว ตรงกลางมียกพื้นสำหรับวางกลองประจำเมือง ผู้คนคลาคล่ำมากมายอยู่ภายในบริเวณงาน นอกจากนี้ บริเวณกำแพงด้านนอกยังเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มารอสนับสนุนแม
หิมะตกหนักจนทั่วทุกแห่งหนขาวโพลนอาณาเขตกางกั้นระหว่างรัฐหลู่และนอกด่านมีกำแพงขวางกั้นสองชั้น แบ่งเป็นชั้นนอกและชั้นใน จินเฟยจอดรถม้าเมื่อถึงที่หมาย เขาห่อตัวเหยาอี้เหยาเอาไว้ในเสื่อเก่าๆ จึงดูไม่ต่างอะไรกับศพ อีกทั้งร่างกายของนางยังแผ่พลังหยินอันมหาศาล จนคนทั่วไปรู้สึกได้สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าให้อารมณ์เฉกเช่นศพผู้อาวุโสฉู่ยืนอยู่หลังกำแพงชั้นใน หลุบตามองม้วนเสื่อเก่าๆ อย่างเงียบๆ เขาได้รับจดหมายจากฉู่ซีเย่ว่าวันนี้จะนำตัวสายของไท่จื่อหย่งสวินมาฝากไว้ ในความหมายเหมือนจะบอกให้เขาคุมขังนางไว้ในนอกด่านตลอดชีวิตนางทว่าด้วยสภาพของนางในตอนนี้ อาจจะไม่ใช้เวลานานก็เป็นไป ไม่แน่วันนี้มะรืนนี้ นางอาจจะจากไป เพราะพลังหยินของนางไม่สมดุล สายตาของผู้อาวุโสเฉียบคม วิชาแพทย์ขั้นสูงของเขาทำให้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านางถูกพิษแมลงคุณไสย ซึ่งไม่มียาถอนชีวิตนางคงอยู่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา“เรียนผู้อาวุโสฉู่ ซื่อจื่อให้บอกท่านว่านางเป็นของท่านแล้ว ท่านจะทำอย่างไรกับนางก็ถือเป็นสิทธิ์ขาดของท่าน ขอเพียงไม่ให้นางออกนอกด่านอีกเป็นพอขอรับ”“นางเป็นลูกหลานสกุลใด” อย่างน้อย หากนางตายไป เขาจะได้เขียนป้ายให้สักคำ“สกุ
หอสราญรมย์มีแขกผู้ไม่คาดฝันมาเยือนในยามวิกาล เจ้าของหอรีบลงมาต้อนรับโดยทันที ไม่กล้าชักช้า"หากผู้น้อยต้อนรับผิดพลาดประการใด ขอซื่อจื่อโปรดอภัย"หอสราญรมย์ขึ้นชื่อเรื่องอาหารและที่พัก แขกของหอเป็นคนชั้นสูงมีเงิน แต่ฉู่ซีเย่คือระดับสูงกว่านั้น จนทำให้หอเลื่องชื่อเป็นเพียงที่พักดาษดื่นเถ้าแก่ถึงกลับต้องตบหน้าตนเองสามครั้ง ถึงจะเชื่อว่าไม่ได้ฝันไป"ซื่อจื่อขอรับ ไม่ทราบว่าท่านต้องการห้องแบบใด ผู้น้อยจะจัดการหาให้ท่านโดยทันที"ฉู่ซีเย่กล่าวยิ้มๆ ไม่อยากให้ทำเป็นเรื่องใหญ่ "ขอทุกห้องที่ว่าง"รถม้าเคลื่อนที่ไปบนถนนหินของเมือง ผ่านร้านรวงสองข้างทาง จนออกมานอกงานเทศกาลฤดูหนาวอันครึกครื้นในเวลาต่อมากระแสอำมหิตที่นางเคยรู้สึกหายไปแล้ว จึงเตรียมตัวที่จะหลบหนีไปจากตรงนี้เหยาอี้เหยาแก้เชือกที่มัดมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะรั้งเชือกเอาไว้ในมือ ผูกเป็นปมให้คล้ายนางยังถูกมัดอยู่ แต่กระตุกนิดเดียวก็หลุดคนของแม่เล้าควบคุมรถม้าอยู่หนึ่งคน ส่วนที่เหลือขนาบข้างซ้ายขวา ดื่มสุราในขวดน้ำเต้าพร้อมพูดคุยอย่างออกรสชาติ มึนเมาพอสมควรถนนเส้นนี้เป็นถนนสายรอง ยามปกติก็ไม่ค่อยมีคน ยิ่งยามนี้มีงานเทศกาลฤดูหนาวพอดี จึ
“ใครให้เจ้าไป”สองเท้าของเหยาอี้เหยาหยุดโดยพลัน แต่ครั้นจะหันกลับมาอีกก็กลัวเหลือเกินว่าจะถูกเขาจับได้ นางกลัดกลุ้ม ไม่รู้ควรทำอย่างไร“รินสุราให้ข้า” เขาสั่งภายในห้องมีกาสุราอยู่ใกล้อ่างไม้ ขอเพียงฉู่ซีเย่เอื้อมมือไปหยิบเท่านั้น ทว่าเขาเหมือนเกียจคร้านเกินกว่าที่จะทำเอง“ไม่ได้ยินรึ ข้าสั่งเจ้าให้รินสุรา” น้ำเสียงเขาเริ่มเข้มขึ้น นางจึงต้องค้อมตัวอ้อมหลังเขาไปรินสุราให้อย่างระมัดระวัง พยายามก้มหน้าก้มหน้าไม่เปิดเผยพิรุธเมื่อรินสุราให้แล้ว นางก็ค่อมกายคารวะถอยห่างออกไปยืนข้างๆ ฉากกั้น ใช้สมองคิดว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อหลบออกไปจากสถานการณ์ในตอนนี้ โดยไม่รู้เลยว่านางตกอยู่ในสายตาของฉู่ซีเย่ผ่านกระจกทองเหลืองนัยน์ตาเขามองนางอย่างจับจ้องทุกสัดส่วน ขณะใช้นิ้วเรียวจับจอกสุรา มองวิเคราะห์ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือตั้งแต่หัวคิ้วลงมาถึงริมฝีปาก หกปีก่อนนางเป็นเพียงเด็กหญิง ทว่าบัดนี้เริ่มเผยเค้าโครงของหญิงสาวในคราบเด็กหนุ่มหน้าดำฉู่ซีเย่ยอมรับว่านางไม่เหมือนเดิม พูดให้ถูกคือเขาคงจำนางไม่ได้หากพบกันตามถนนหนทาง แต่บนร่างนางมีพลังหยินเย็นยะเยือก เขารู้สึกถึงนาง ก่อนที่นางจะปรากฏตัวขึ้นเสียอีกเหยาอี้เ
ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัว อากาศเย็นทำให้เหยาอี้เหยาต้องพกเตาอุ่นสองตัว นางเดินกับเมียนเมี่ยนไปบนทางสายหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาป้าจางนางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่กล่าว ทั้งยังเชื่อในสิ่งที่เขาพูดทุกคำ ทว่านางได้นัดหมายไว้แล้ว อีกทั้งท่านไป๋เซียนหลางเป็นผู้แตกฉานในเรื่องพิษยิ่งกว่าผู้ใดจากเจียงหนาน ชาตินี้นางอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกเลยก็ได้ ดังนั้นแม้นางจะรู้แล้วว่าพบท่านไป๋เซียนหลางก็อาจจะไม่สามารถหายาถอนพิษได้ แต่นางอาจจะได้เรียนรู้เรื่องดีๆ จากเขาก็ได้เหยาอี้เหยาคิดว่าการขอร้องให้ฉู่ซีเย่นอนข้างนางเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นางจึงอยากลองหาวิธีอื่นๆ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินผู้อาวุโสฉู่ไม่ได้ห้ามนางมาพบท่านไป๋เซียนหลาง เขาเพียงบอกว่าให้นางรีบกลับไปในวันสองวันนี้ เขาจะได้ฝากนางกลับเข้าไปในจวนสกุลฉู่หิมะตกหนาหลายชุ่นปกคลุมอยู่เหนือหลังคาทรงสูง บริเวณชั้นสองของระเบียงที่ยื่นออกมามีชายผู้หนึ่งนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนนั้น ใบหน้าซ่อนอยู่ใต้หมวกสีขาว สีเดียวกับชุดที่สวมอยู่บนร่าง ท่วงท่าสง่างามเรียบง่ายของเขาทำให้ผู้พบเห็นไม่อยากเสียมารยาทด้วย“ผู้นั้นแหละ ไป๋เซียนหลาง เขาไม่อนุญาตให้
บทสนทนาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องรับรองอยู่ในการรับรู้ของเหยาอี้เหยา กระนั้นนางก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าผู้อาวุโสกับฉู่ซีเย่พูดเรื่องอันใดกันอยู่ฉู่เซียนเซิงบอกว่าข้าไม่เข้าใจรึ?ไม่สิ นางเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสฉู่พูดแน่นอน การนอนกับซื่อจื่อ ก็คือการร่วมเตียงนอนหลับด้วยกันมิใช่หรือ?หรือว่านางจะฟังผิดไปกันแน่ บางที อาจจะไม่ง่ายเช่นนั้นก็ได้ คิดได้อย่างนั้นนางจึงแนบหูฟังอย่างจดจ่อ จะได้ไม่ตีความอันใดผิด ระหว่างนี้นางก็คิดทบทวน เมื่อครู่ตอนผู้อาวุโสขอร้องให้นาง ฉู่ซีเย่ไม่ได้ปฏิเสธอันใดนี่แสดงว่าซื่อจื่อรับนางกลับไปแล้วใช่หรือไม่?แต่ในห้องไม่พูดอันใดแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นางรออยู่ประมาณครึ่งถ้วยชา ถึงได้ยินฉู่ซีเย่กล่าวลาผู้อาวุโสฉู่“ข้างนอกอากาศเย็น ข้าจะให้จินเฟยไปส่งท่าน”เขาจะไปแล้วรึ?นางเล่า?เท้าของนางรวดเร็วกว่าสมองอยู่บ้าง เมื่อได้ยิน เส้นชีพจรเท้าก็รีบออกเดินไปก่อน แม้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจมาบ้างว่าคงต้องอยู่กับฉู่ซีเย่ แต่ผู้อาวุโสฉู่จะทิ้งนางได้อย่างไรกันอย่างน้อยนางก็อยากจะให้เขาอยู่กับนางด้วย ระหว่างที่ต้องนอนหลับกับฉู่ซีเย่ แต่จะว่าไปนางก็ไม่ได้ถามผู้อาวุโสเ
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม