มาดามรินรำไพ...มารดาของสองหนุ่ม เธอมีทริปท่องเที่ยวรอบโลก เพราะเบนกับโจนาธานไม่อยากให้ท่านกลุ้มใจ...เพราะนางเสียใจอย่างหนัก...หลังเสียสามี แล้วโจนาธานยังมาเกิดอุบัติเหตุ...ชายหนุ่มจึงแสร้งทำเข้มแข็งต่อหน้ามารดา เพื่อทำให้ท่านคลายใจ จนยอมออกเดินทางเพื่อพักตัวและใจ
“เหรอ...ก็ดี”
ชายหนุ่มตอบกดหมุนวีแชร์ เพราะอยากรีบออกเดินทาง อยากกินข้าวเช้ากับวันวาดตอนที่พระอาทิตย์สีส้มๆ สาดแสงอ่อนๆ กระทบผิวน้ำ มันคงเป็นบรรยากาศสุดโรมานซ์...
เบนเป่าปากพรวดๆ เขารีบปิดงับประตูลงและกดล็อก...
“เธอกับเบนมีอะไรกันมั้ย!!” วันวาดเดินตาม เธอช่วยประคองหลังรถวีแชร์ ระวังหลังให้คนป่วยจอมดื้ออีกทาง
หญิงสาวสะดุ้ง!! “ไม่มีค่ะ...วาดจะมีอะไรกับคุณเบนล่ะคะ?” เธอรีบตอบ พร้อมกับย้อนถามเพื่อเปลี่ยนความสนใจของชายหนุ่ม
“ไม่มีก็ดี...พี่ชายฉัน...ไม่ใช่แบบที่เธอคิด”
แม้จะไม่รู้ทั้งหมด...โจนาธานแน่ใจ เบนมีเบื้องลึก แต่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ เลยไม่อยากใส่ใจ แต่เมื่อเกี่ยวพันกับวันวาด เขาก็จำเป็นต้องรีบสกัด
“ค่ะ” ทั้งสองคนเงียบงันไปหลังจากนั้น แม้กระทั่งออกเดินทาง ก็ยังไม่มีใครปริปากพูด จนแป้นกับเอกรู้สึกถึงความอึมครึมนั่นด้วย
“ที่ฉันสั่งครบมั้ย...”
เสียงห้วนๆ เอ่ยถาม เขานั่งหลับตาแต่ไม่ได้หลับอยากที่ทุกคนเข้าใจ
“ครบค่ะคุณโจ” แป้นรีบตอบ เธอหันมายิ้มแหยๆ ให้วันวาด พร้อมกับเอียงตัวกระซิบเสียงแผ่วๆ “คุณโจไปกินรังแตนที่ไหนมา เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่นี่”
หญิงสาวปั้นหน้ายับ...เธอส่ายหน้าหวือ...แอบชำเรืองมองหน้าหงิกๆ ของโจนาธานบ่อยๆ ไม่รู้เขาอารมณ์เสียเรื่องอะไรนี่สิ
“เมื่อไรจะถึงสักทีวะเอก...” ชายหนุ่มถามช่วงที่รถยนต์เลี้ยวเข้าไปจอดริมน้ำพอดี
“ถึงแล้วคับคุณโจ” เอกตอบ เขาเปิดประตูด้านข้างกว้างๆ หลังรถยนต์จอดสนิท และเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้านาย
วันวาดเดินลงไปก่อนเธอยืนคอยและรีบถลาเข้าไปตอนที่วีแชร์ของชายหนุ่มเกิดสะดุด
“เจ็บมั้ยคะ?” เสียงตื่นๆ บวกกับความห่วงใยที่ผสมปนมาในกระแสเสียง สลายความขุ่นใจของชายหนุ่มไปจนหมด เขายิ้มอ่อนๆ ให้หล่อน มือแข็งแรงเอื้อมตบบนหลังมือของวันวาด “ไม่เลย...ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลยนะวาด ห่วงฉันเหรอ?”
แป้นกับเอก เบือนหน้าหนี ทั้งสองคนยิ้มจนปากแทบจะฉีก เพราะฉากสวีทหวานๆ ของเจ้านายกับพยาบาลคู่ใจ
“เออ...” วันวาดไปไม่เป็นผิวหน้าเธอร้อนฉ่า และคาดว่าผิวแก้มคงแดงก่ำไม่น้อย ไม่อย่างนั้นใบหน้าหงิกๆ ของคนป่วยคงไม่บานแฉ่งแบบนี้ เขายิ้มกรุ่มกริ่ม ดวงตาระยิบระยับ จนเธอสะเทิ้น...
“จวนได้เวลาทานยาก่อนอาหารแล้วค่ะ คุณจะรับเลยไหม?”
หญิงสาวหาเรื่องเฉไฉ เธอรีบหมุนตัวเดินหนี ปล่อยให้โจนาธานยิ้มหวานอยู่คนเดียว
“เอก...กาแฟวันนี้หว๊านหวาน แกว่ามั้ย?”
ชายหนุ่มเปรย เขากำลังจิบกาแฟ พร้อมกับจ้องมองใบหน้าหวานของวันวาด แม้หล่อนจะก้มต่ำหลบตาตลอดก็ตาม แต่แค่ได้เห็นผิวแก้มแดงๆ นั่น แค่นี้ก็แสนสุขใจ จนอดไม่ได้ที่จะกระเซ้าเย้าแหย่...
“แป้น แกใส่น้ำตาลให้คุณโจกี่ก้อน? สงสัยแกคงใส่ไปเยอะสิ คุณโจถึงบ่น”
เอกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว รีบหันไปดุแป้น สาวอวบยิ้มแฉ่ง เธอเอียงตัวกระซิบตอบการ์ดหน้าดุ “คุณโจกินกาแฟดำ ไม่ใส่น้ำตาลพี่เอก” คำตอบของสาวใช้ตัวอวบ ยิ่งทำให้หนุ่มหน้าดุงง
“ไม่ใส่น้ำตาล แล้วทำไมหวานล่ะ?”
เสียงเปรยของเอก แสดงว่าเขาไม่รู้อะไรเลย แป้นเลยเฉลยให้ฟัง แต่ดูเหมือนเอกจะยังคงตามไม่ทัน...เหมือนเดิม
“พี่เอกนี่ไม่รู้เรื่อง กาแฟหวาน เพราะมีคนนั่งกินด้วยต่างหากเล่า”
วันวาดก้มหน้าลงอีก ผิวแก้มเธอร้อนระอุ และหากมีใครเอามือมาอัง คงได้สะดุ้งเพราะความร้อน เธออายจนแทบเอาหน้าจุ่มลงไปในแก้วกาแฟตรงหน้า คำพูดกำกวมของโจนาธาน มันส่ออะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งเธอไม่อยากเขาข้างตัวเอง...แต่มันชี้ชัดไปแบบนั้น...
“บรรยากาศเหมือนเช้าวันแต่งงานเนอะ...แดดอ่อนๆ ลมเย็นๆ กับอาหารอร่อยถูกปากกับคนรู้ใจ”
แป้นบิดผ้าในมือเกือบขาด ไม่คิดว่าคนเกรี้ยวกราดที่เห็นจนชินตา บทจะพูดจาหวานๆ ก็ชวนให้หลงเคลิ้ม
“วาดไปเตรียมยาหลังอาหารนะคะ”
วันวาดรีบลุกขึ้นยืน เธอยอมเสียมารยาท เพราะหากยังนั่งนิ่งๆ แบบนี้ เธอคงได้กลายเป็นขี้เถ้า เพราะคงไหม้ดำเป็นตอตะโก เมื่อองศาความร้อนในกายพุ่งพรวดๆ
“หึๆ” โจนาธานหัวเราะหึๆ ตามหลัง เขาไม่ได้ทักท้วง ได้แต่มองตามวันวาดที่หายลับไปทางท้ายรถยนต์ เพื่อเตรียมยาอย่างที่หล่อนว่า
หญิงสาวยกมือทาบอก ตรงตำแหน่งหัวใจ วันนี้หัวใจเธอทำงานหนัก...เต้นแรงๆ แทบจะกระเด็นกระดอนออกมาจากช่องอก กับคำพูดที่ลดเลี้ยวของคนป่วยจอมเหวี่ยง...
พอแดดเริ่มแรงขึ้น...ชายหนุ่มจึงยอมถอนตัว เขายังมีเวลาเกี้ยววันวาดอีกทั้งวัน หล่อนไม่ใจอ่อนให้มันรู้ไป...
ดังนั้นพอสายๆ ขบวนของโจนาธานจึงย้ายมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้ากลางเมือง...ผู้คนยังบางตา เพราะยังเป็นเวลาเช้าตรู่ สองหนุ่ม สองสาว จึงเดินเล่นกันแบบชิลๆ วันวาดอมยิ้ม มองแป้นที่วิ่งถลาไปมา ยามที่พบสิ่งถูกใจ แหงล่ะ...แป้นกับเอก อยู่ติดกับโจนาธาน แบบไม่เคยได้ไปไหน ช่วงเวลาเลวร้ายนั่นหมดไปแล้ว เวลานี้โจนาธานไม่เหมือนเดิม เขาดีขึ้น และไม่ค่อยอาละวาด ยิ่งวันนี้เป็นเจ้านายสุดใจดี พามาเที่ยวแถมยังเป็นเจ้าบุญทุ่ม เปย์ให้แบบไม่อั้น
“จริงนะคุณโจ...ไม่หักเงินเดือนแป้นแน่นะ?” สาวอวบถามย้ำอีกหลายรอบ เพราะต่อให้อยากได้จริงๆ หากต้องควักกระเป๋าตัวเอง แป้นขอมองดูเฉยๆ ดีกว่า ชุดสวยก็จริง แต่มันแพงเกินไปสำหรับคนที่มีภาระอย่างเธอ เพราะการเอาสตางค์ที่ทำงานได้มา แลกกับชุดๆ เดียว แป้นยอมกลืนน้ำลาย และเก็บความชอบไว้กับตัว เงินจำนวนที่เสียไปกับชุด มันแปรเป็นสิ่งของ อาหารให้ทุกคนในครอบครัวได้ แป้นขอเก็บสตางค์ทุกบาท ส่งให้พ่อ แม่ และน้องใช้จ่ายดีกว่า
“ฉันเคยโกหกแกเหรอแป้น...”
“แหม...คุณโจก็ แป้นเสียดายสตางค์ แต่ถ้าคุณโจจ่าย...แป้นเอา!!”
สาวอวบตอบเสียงกระร่อยกระหริบ...อยากได้ก็อยากได้...แต่อดทนได้ถ้าต้องควักกระเป๋าตัวเอง
“ตามสบาย ฉันพามา ฉันจ่ายให้...วาดล่ะ อยากได้มั้ย?” ชายหนุ่มตอบสาวใช้ตัวอวบ เขามองเลยไปยังวันวาดที่ยืนอยู่เยื้องๆ มือเธอละไปตามราวแขวนเสื้อผ้า แต่ไม่กล้าที่จะหยิบขึ้นมาดู
“ไม่ค่ะ!!” หญิงสาวรีบตอบ เธอเดินผละออกมาจากราวแขวน จำไม่ได้เหมือนกัน เธอซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไร...เนื่องจากไม่มีเวลา หลักๆ เลยคือไม่มีสตางค์...
“แป้น...ถ้าเธอทำให้วาดลองชุดนั่นได้ ฉันให้เธอ10ชุด โอเคมั้ย?”
ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว เขามองวันวาด สลับกับมองสาวใช้ตัวอวบ
“แน่นะคุณโจ” แป้นยิ้มกริ่ม “แน่สิวะ...ถ้าทำได้เอาไปเลย...” โจนาธานตอบเสียงเบาๆ แต่หนักแน่น “แป้นจัดให้...” สาวใช้ตัวอวบรับคำ หล่อนเดินถลาเข้าไปหาวันวาด พร้อมกับรีบดุนหลังหญิงสาว กลับไปที่ราวแขวนผ้าเหมือนเดิม หลังจากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการโน้มน้าววันวาด สารพันที่แป้นงัดเอามาล่อ...จนวันวาดไม่สามารถปฏิเสธได้ ในที่สุดหล่อนก็ยอมใจอ่อน...หลวมตัวทดลองใส่ชุดที่แป้นเลือกมายัดใส่มือให้ “ลองเลยค่ะ เราลองได้ค่ะคุณวาด ไม่ซื้อเขาก็ไม่ว่าหรอก ลองเป็นเพื่อนแป้นหน่อย แป้นอยากลองแต่ไม่กล้า” เปลือกตากระพริบปริบๆ ผสมกับใบหน้าอวบๆ ที่ม่อยลงไปถนัดใจ วันวาดจึงยอมใจอ่อน ทดลอง ลองชุดสวยๆ เหล่านั้น แม้จะเกรงใจเจ้าของร้านที่คอยอำนวยความสะดวกให้ เมื่อเธอไม่คิดจะซื้อ...เพราะแค่เห็นราคา ยังสะดุ้ง!! สวย...นิยามคำนี้ แทบไม่ผิดเพี้ยน หลังวันวาดเดินตัวลีบออกมาจากห้องลองเสื้อ ผู้หญิงคนเดิม เปลี่ยนแค่เสื้อผ้าบนร่างกาย ไม่อยากเชื่อตาก็ต้องเชื่อ เธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คำกล่าวของคนโบราณว่าไว้ไม่มีผิด คนงามเพราะแต่ง ไก่งามเพราะขนเป็นความจริงแท้แน่นอน
ชายสูงวัยยิ้มเย้ย!! “สภาพแบบนี้ คิดจะกำแหงกับคนอย่างฉัน ไปหัดเดินก่อนดีกว่าไหมไอ้หนู!!” “ขาฉันเดินไม่ได้ก็จริงนะเสี่ย แต่คิดว่าฉันมีเขี้ยวเล็บแค่นี้เหรอ กับคู่ปรับที่เป็นผู้ชายแก่ๆ คนเดียว” โจนาธนตอบเสียงเย็น ถึงขาจะเดินไม่ได้ แต่มือของเขายังใช้การได้ และที่แน่ๆ เรื่องเหนี่ยวไกปืนเป็นงานถนัด ระยะเผาขนแบบนี้ เขาคิดว่าไม่มีทางพลาดเป้า พิไลลักษณ์มองโจนาธานตาวาว ถึงเขาจะนั่งอยู่บนวีแชร์ แต่ความหล่อเหลาก็ยังพุ่งทแยงตา องศาความหล่อเหนือชั้นกว่าเสี่ยกวงหลายร้อยเท่า เธอจึงมองอยู่ห่างๆ และจดจำรายละเอียดทุกเม็ด “มากไปไอ้หนู...ว่าแต่...เป็นไงบ้างละ หายหน้าไปเสียเป็นปีๆ เราก็นึกว่า...” ปากอูมๆ ขยับพูดแบบไม่มีเสียงแต่โจนาธานอ่านปากออก เขาเดือดจนแทบเต้น แต่จำเป็นต้องระงับอารมณ์เอาไว้... “ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอกเสี่ย จนกว่าจะหาไอ้คนทำกับฉันเจอ รับประกันได้...มันจะได้ของสมนาคุณจากฉันคืน...แบบคาดไม่ถึง” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็น เขามองสบนัยน์ตาหลุกหลิกของเสี่ยกวง เวลานี้โจนาธานฟันธง!! ไอ้เสี่ยอ้วนพุงพุ้ยนี่ อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุร้ายแรงของเขาแน่ๆ
บทที่13.ควานหาคนร้าย วันวาดนั่งกอดอกนิ่งๆ ใบหน้าเธอฉาบไว้ด้วยความเฉยชา ดวงตาเหม่อมองออกไปด้านนอก ในขณะที่พาหนะสมรรถนะสูงวิ่งฉิว ตรงดิ่งกลับคฤหาสน์รูธ!! เรียวปากสีระเรื่อเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง... ปรายตามองถุงสารพัน...ที่กองแอ้งแม้งอยู่ด้านหลังด้วยความขุ่นเคือง... เธอเพิ่งจะทราบความจริง...ทุกชุดที่เธอทดลองสวมในร้านนั้น โจนาธานกวาดมาจนเกลี้ยง แถมยังจ้างแป้นทำร้ายพิไลลักษณ์ ถึงหล่อนจะสมควรโดนก็เถอะ แต่เธอไม่เห็นด้วยเรื่องการใช้กำลัง... “ใจคอจะไม่พูดกับฉันจริงๆ รึ?” ชายหนุ่มเปรย เขาอมยิ้มน้อยๆ จับตามองวันวาดทุกอิริยาบถ ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรก็ถูกตา ต้องใจไปหมด “วาดขอบคุณที่คุณออกตัวปกป้องวาด แต่...ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ” หญิงสาวตัดสินใจพูด เก็บไว้ในใจ คนที่เป็นทุกข์ก็คือเธอ “น้อยไปสิ...แม่นั่นบังอาจทำร้ายเธอ ดูสิ... แก้มเธอแดงก่ำแบบนี้ ฉันไม่สั่งเก็บก็บุญเท่าไรแล้ว...” ชายหนุ่มตอบ เขาไหวไหล่ ก่อนจะทิ้งตัวเองพิงเบาะนุ่มๆ “ป่าเถื่อน!!” “แหงอยู่แล้ว...ฉันไม่ใช่ลุคเจ้าชาย เ
“จริงเหรอ...ไม่แน่หรอก...” แป้นแย้งยิ้มๆ เธอไม่ใช่สาวใส ที่ไม่รู้อะไรเลย หลายครั้งที่โจนาธานแสดงออก มันเกินกว่าคนป่วยกับพยาบาล แม้ไม่เคยเห็นฉากเด็ดๆ เหมือนที่เอกเห็นวันนี้ แป้นแน่ใจ มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่...หนุ่ม สาวอยู่กันสองต่อสอง...ไม่มีอะไรเชียวหรือ เจ้านายหนุ่มถึงจะป่วย แต่ก็เป็นผู้ชาย... หญิงสาวพยายามอยู่เงียบๆ หลังเอกเข็นวีแชร์พาโจนาธานมาส่งในห้องพัก... ชายหนุ่มไม่ยอมขึ้นเตียง เขาเปลี่ยนอิริยาบถ นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง มีรีโหมตทีวีจอยักษ์อยู่ในมือ เขากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกเบื่อๆ ตาก็คอยแต่จะมองตามวันวาด เมื่อหล่อนทำตัวเหมือนยุ่งเหลือเกิน จนไม่มีเวลาหยุดนิ่งให้เขามีโอกาสได้แควะ!! “ม้าดีดไง? เดินเหมือนกลัวไม่ได้ออกแรง” แก้วน้ำเย็นเฉียบมีไอน้ำเกาะพราวรอบตัวแก้ว วันวาดเดินถือมาวางไว้ใกล้ๆ โจนาธานชายหนุ่มจึงถือโอกาส จัดให้หนึ่งดอก!! หล่อนไม่ได้ตอบ แต่นั่นเท่ากับทำให้พายุอารมณ์ของโจนาธานพัดกระพือขึ้น!! “พูดกับฉันเนี๊ยะ!! มันจะทำให้ดอกพิกุลหล่นจากปากเธอเหรอหะ!!” ชายหนุ่มตวาดเสียงแหลมปรี๊ด หญิงสาวถ
บทที่14.แม่จ๋าอยากมีเมีย โจนาธานนั่งคอตกบนเตียง เขานึกแช่งชักตัวเอง มือใหญ่ๆ ยกขึ้นตบปากแรงๆ เมื่อปากเจ้ากรรมนี่แหละ ที่คอยแต่จะทำเรื่อง อยากพูดจาหวานหูกับวันวาด แต่ไม่รู้เป็นยังไง คอยแต่จะแควะหล่อน จนหญิงสาวต้องน้ำตาตกทุกที... “เป็นไรอีกวะโจ?” เบนเดินเข้ามาในห้องพักของน้องชาย กิจวัตรประจำวันที่เขาทำเป็นประจำ “เปล๊า!!” หนุ่มปากแข็งตอบเสียงสูง ช้อนสายตาขวางๆ มองพี่ชาย เบนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างเตียง เขาตวัดขาขึ้นไขว่กัน เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองน้องชายตรงๆ “แก...หึง!! ฉันกับวาด...เหรอ?” คำถามจี้ใจดำ แต่คนปากแข็งหรือจะยอมรับ “บ้าสิพี่ ยัยพยาบาลกุ้งแห้งนั่น มีอะไรให้ผมหึง!!” โจนาธานแสร้งโวย เขาเสหลบตาเบน คนเป็นพี่อมยิ้ม เขาเอื้อมมือตบลงบนบ่าของน้องชาย “แกรู้ดีนี่ว่าพี่เป็นไง ถึงพี่ไม่บอกแกก็น่าจะเดาออก...ฉันไม่ชอบผู้หญิงว่ะ!!” เบนตัดสินใจพูดความจริง เขาไม่ควรมีความลับกับโจนาธาน เพื่อคลี่คลายความอึมครึมระหว่างน้องชายกับวันวาด... “เออ...ผม...” “แกตกใจสิ!! แต่มันคื
นางตอบบุตรชายคนโต ก่อนจะหมุนตัวไปมองจ้อง บุตรชายคนเล็ก ที่ยืนเฉยเหมือนหุ่นยนต์ “เมื่อไรก็ได้ครับ ยังไงแม่ก็อยู่ที่นี่แล้ว ผมยอมให้โจวันหนึ่ง” เบนกล่าวเสียงร่าเริง เขาเดินผิวปากออกไปจากห้อง นึกอยากเห็นหน้าวันวาด หากโจนาธานจะพามารดาไปเซอร์ไพรส์!! แต่เช้าตรู่!! “เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า แม่อยากรู้ทำไมโจถึงเร่งร้อนนัก ก็เราน่ะยังไม่แข็งแรงเลยนี่” นางหันมาซักบุตรชายคนเล็ก โจนาธานหวงความโสด เขามีแต่คู่ซ้อม ซึ่งนางพยายามเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ใส่ใจสาวๆ คู่ควงเหล่านั้น เมื่อบุตรชายยังไม่มีทีท่าว่าจะลงเอยกับใคร แต่วันนี้...โจนาธานร้องของ มันจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เมื่อสิ่งเดียวที่นางเฝ้ารอคอย คือการเห็นบุตรชายทั้งคู่ มีครอบครัวที่ดี มีคนไว้ใจได้ยืนอยู่ข้างกาย... โจนาธานเบ้ปาก เขาบิดปากไปมา เหตุผลข้อเดียวที่อยากมี ‘เมีย’ คือเขาไม่อยากอยู่ห่างจากหล่อน เมื่อสิ่งที่วันวาดทำกับเขา คือความเหินห่าง...เธอยืนกรานหนักแน่น ค่ำคืนนั้นคือคืนเดียวที่หล่อนยอมอยู่ใต้ร่างเขา เป็นแค่เมียพาร์ทไทม์จ้างรัก...ไม่มีวันเป็นเมียจริงๆ แต่...เขานี่ล่ะ ที
บทที่15.เซอร์ไพรส์สุดๆ รถยนต์รับจ้างแล่นมาจอดหน้าประตูบ้านพิศิษรุ่งเรือง สาวใหญ่ในชุดสีสันสะดุดตาก้าวเท้าลงมา สารถีคนขับรีบเปิดประตูลงมา เมื่อมีสัมภาระอยู่ที่ท้ายรถยนต์เป็นจำนวนมาก พิไลหอบกระเป๋าเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวที่เหลืออยู่ กลับมายังบ้านหลังเดิม...เธอแช่งชักหักกระดูกพิไลลักษณ์มาตลอดทาง เมื่อหญิงสาวที่ตัวเองเฝ้าฟูมฟัก...ขับไล่เหมือนไม่เคยมีบุญคุณ เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับเธอจนแทบจะตั้งรับไม่ทัน ทั้งๆ ที่คิดว่าจะได้เสวยสุขบนกองเงินกองทอง หลังเสี่ยกวงหลงใหลพิไลลักษณ์ เขาเลี้ยงดูหล่อนแบบลับๆ และส่งเสียเงินทองให้ใช้จ่ายแบบไม่ขัดสน แต่เพราะเธอนั่นแหละ!! เพราะความอยากไม่มีที่สิ้นสุด ติดอบายมุขงอมแงม เธอเลยใช้ชื่อเสี่ยกวงในการกู้ยืม ในฐานะแม่ยาย แต่...ดันไปเจอตอเข้าแบบจังเบอร์!! เจ้หงส์หยกโกรธจัด ส่งคนมากำหลาบพิไลลักษณ์ ซึ่งหญิงสาวก็ยอมเพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง พิไลลักษณ์โยนความผิดทั้งหมดให้กับพิไล...เธอขับไสพิไลออกจากบ้าน เมื่อพิไลคอยแต่จะสร้างปัญหา ไม่สนใจเสียงลำเลิกบุญคุณ ที่พิไลก่นด่า เมื่อไม่มีที่ไป สาวใหญ่จึงหอบสมบัติส่วนตัวกลับรังเดิม ยังไงเสียก็
พิไลจึงหอบหิ้วกระเป๋าและของใช้ส่วนตัว เข้าบ้านด้วยตัวเอง นางค้อนประหลับประเหลือกให้สามี เขามองเฉย ไม่คิดจะช่วย นั่งดูรายการโปรดที่กำลังแสดงอยู่ในทีวีจอใหญ่กลางบ้าน เหมือนไม่เห็นหัวนางเลย “น้องนอนห้องเดิมนะคะคุณพี่” นางกระแทกเสียงถาม ลดความรุนแรงลงเกือบครึ่ง “ตามใจ” ทะนงตอบแบบไม่ใส่ใจ เขาเองก็ไม่ได้นอนที่บ้านใหญ่ เวลานี้ข้าวของของทะนง ย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กของรัชนีจนหมด เมื่อหญิงสาวเป็นคนเดียวที่ไม่ทอดทิ้ง เวลาที่ตัวเองลำบาก ไม่ปริปากบ่น แม้จะไม่เคยทำดีให้ สร้างแต่เรื่องเดือดร้อนด้วยซ้ำ พิไลเดินปัง!! นางลากกระเป๋าของตัวเองไปแบบทุลักทุเล แล้วก็ต้องแทบร้องกรี๊ดๆ เมื่อห้องนอนว่างเปล่า...นางยกมือขึ้นปิดปาก ทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงด้วยความอ่อนแรง...จะโทษใครล่ะ เพราะข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้นั้น นางขนออกไปจนหมด และมันก็แปรสภาพเป็นเงิน ให้นางไปละลายทิ้งในบ่อน... น้ำตานางไหลริน... แต่ก็ยังไม่วายแช่งชักหักกระดูกทุกคน...ทั้งสามี รัชนี หรือแม้แต่พิไลลักษณ์ ทุกคนทำให้นางมีสภาพเช่นนี้ กว่าจะทำใจได้ก็ต่อเมื่อท้องร้องโครกคราก...เพราะมัววุ่นวาย