“แกกับแม่ไปรวยอะไรมาล่ะ หรือว่า...” นางยกมือขึ้นกอดอก มองวันวาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มุมปากกระตุกยิ้มหยัน เมื่อพอจะเดาวิธีหาเงินของสองแม่ลูกได้...ไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปอย่างที่นางนึก เมื่อวันวาดวนเวียนอยู่กับมหาเศรษฐีหนุ่ม ถึงข่าวว่าพิการเดินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ต้องการผู้หญิง...
วันวาดหน้าร้อนวูบ!! พิไลเดาไม่ผิด แต่มันไม่ใช่ความผิดเธอ ที่ทำก็เพื่อช่วยทุกคน
“ไอ้อ่อนนั่นมันคงเปย์ให้แกไม่น้อย แบ่งให้ฉันใช้บ้างสิ...อย่างกเลยน่า” นางยิ้มเย้ย ลดเสียงลง แต่แววตาวาววับ
“คุณพิ!! ที่พูดนะปากเหรอ!!”
ทะนงเดินออกมาจากพุ่มไม้ เขาไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่กำลังพรวนดินใต้ต้นไม้อยู่ สิ่งที่ได้ยิน...ชายสูงวัยนึกกังขา แต่เวลานี้ท่านสมควรปกป้องลูก แล้วค่อยสืบหาความจริงทีหลัง ทะนงรู้สึกเจ็บแปลบๆ ในอก...หากเป็นอย่างพิไลพูด เขาเอง...เขานี่แหละเป็นคนถีบวันวาดลงนรก...
“คุณพี่!! หรือไม่จริงคะ ค่าจำนองบ้านนะไม่ใช่น้อย สองแม่ลูกที่จ๊นจน!! จะไปหามาจากไหน ถ้าไม่ใช่...ขายตัว”
นางหันไปตวาดสามี เสียงแหลมปรี๊ดแววตาเรืองรอง
“ถ้าวาดทำจริง คุณพิก็ต้องสมควรกราบวาด...เพราะสิ่งที่ลูกทำ ทำให้พวกเราทุกคนมีที่ซุกหัวนอน ไม่อย่างนั้นเหรอ...คงไม่แคล้วได้นอนข้างทาง...” ทะนงตอกกลับเสียงขุ่น ท่านเดินมายืนบังบุตรสาว มือเหี่ยวๆ ยกขึ้นแตะหลังมือวันวาด สิ่งที่ท่านรับรู้ คือมือวันวาดเย็นเฉียบและสั่นระริก ท่านตระหนก แต่พยายามไม่เผยพิรุธ ไม่อย่างนั้นบุตรสาวจะใจเสียมากขึ้น
“หึ!!” นางสะบัดหน้าหนี จนคำเถียง เมื่อสิ่งที่สามีพูดมาเป็นความจริง
“อีกอย่างนะคุณพิ...ไอ้ท่าทางกร่างๆ นี่ หยุดเถอะอย่าทำ ครอบครัวเราน่าจะสงบสุขได้แล้ว เอาเวลามาทำมาหากินดีกว่า ไพ่...การพนันนั่น ไม่ทำให้ใครรวย...พอสักที นึกว่าเห็นแกพี่”
สาวใหญ่ฮึดฮัด แต่นางเถียงไม่ออก...เมื่อทะนงพูดมา คือความเป็นจริง นางถอนใจ แต่เพราะทิฐิ จึงยังอ่อนลงไม่มาก
“ฉันขอโทษแล้วกัน...ทั้งคุณพี่ แม่นี แล้วก็วาด...”
พิไลเหมือนตัวคนเดียว และคนตรงหน้า ไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่พวกเขาคือครอบครัวของนาง หากไม่มีพวกเขา นางเองก็ไม่มีใคร
รัชนียกชายผ้าขึ้นซับหัวตา นางยิ้มอ่อนๆ แม้จะรู้สึกหนักอก เพราะที่มาที่ไปของเงิน ก็ยังไม่รู้แน่ชัด...
นางมองบุตรสาวก่อนจะถอนใจ
“สายแล้วค่ะ ทานข้าวกันดีกว่า”
รัชนีเดินเข้ามาแทรกกลาง นางพูดพร้อมกับยิ้ม “เชิญค่ะคุณพิ คุณพี่ วาดไปลูก เดี๋ยวจะได้ไปทำงาน...”
โบราณสอนไว้ น้ำนิ่งไหลลึก น้ำขุ่นเอาไว้ข้างใน น้ำใสเอาไว้ข้างนอก หากคิดจะถนอมความรู้สึกของคนรอบข้าง ก็จำต้องเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ ไม่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายลงเอง...
“พ่อขอโทษ...เพราะพ่อ เพราะพ่อเอง...” ทะนงกระซิบเสียงแผ่ว เขาตบหลังมือวันวาดเบาๆ หญิงสาวน้ำตาคลอ น้ำตาร้อนไหลเออ แต่เธอไม่เคยนึกเสียใจ ถึงสิ่งที่เธอทำจะทำให้เกิดรอยราคี แต่มันช่วยทุกคนได้ ยิ่งกว่านี้วันวาดก็ยอม...
“วาด...”
“ไม่ต้องพูดลูก ช่างมัน...เราจะลืมมันให้หมด มันเป็นอดีต...ต่อไปนี้คืออนาคต”
ทะนงกล่าวเสียงเครือ ท่านรั้งบุตรสาวมากอดแนบอก วันวาดซุกใบหน้ากับแผงอกบิดา...เธอสูดจมูกฟุตฟิต กลั้นน้ำตาไว้ในอก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ทะนง
มือเหี่ยวๆ ลูบบนศีรษะทุยได้รูป เขาสัญญาในใจ จากนี้ไป จะทำทุกอย่างเพื่อให้บุตรสาวมีความสุขบ้าง
“ไปค่ะ ทานข้าวกันดีกว่าเดี๋ยวกับข้าวจะเย็นหมด...” รัชนีสูดจมูกแรงๆ เธอกลืนก้อนสะอื้นเก็บไว้ในอกเช่นเดียวกับบุตรสาว
พิไลเดินคอตก นางเดินตามทั้งสามคนไป แม้ไม่มีใครมีทีท่ารังเกียจ แต่เธอก็รู้สึกเหมือนเป็นคนนอกเป็นส่วนเกิน
4ชีวิตกำลังเดินเข้าไปในบ้าน แต่...เสียงแตรรถยนต์ดังอยู่หน้าประตูรั้ว ทั้งหมดจึงหันไปมองพร้อมกัน เมื่อเป็นเวลานานแล้วที่พิศิษรุ่งเรืองไม่มีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยือน
“ใครมาแต่เช้าน่ะแม่นี นัดใครมาเอาขนมหรือเปล่า?” ทะนงถาม เขาพยายามเพ่งมองผ่านรั้วต้นไม้ไป แต่รถยนต์คันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าบ้านไม่คุ้นตาสักนิด...
“เปล่านี่คะคุณพี่...” รัชนีตอบ เธอเตรียมตัวจะไปเปิดประตูรั้ว
“วาดไปเองค่ะแม่...” หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเธอมีเวลาเหลืออีก1 ชั่วโมง จึงอาสามารดาไปเปิดประตูบ้านเสียเอง
พิไลขมวดคิ้ว “ใครมาหาคุณพิไหม? เป็นหนี้ใครไว้หรือเปล่า” ทะนงหันไปถามภรรยา สาวใหญ่ส่ายหน้า เธอไม่มีเครดิต มานานแล้ว จึงไม่มีหนี้ก้อนใหญ่ มีแค่เล็กๆ น้อยๆ และคนเหล่านั้นก็ไม่มีใครมีรถยนต์แบบนี้สักคน
วันวาดเปิดประตูรั้ว เธอชะงัก เมื่อรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านเปิดประตูด้านข้างเอาไว้ และคนที่นั่งอยู่ในนั้น คือคนที่เธอเพิ่งจากมาไม่ถึง1 ชั่วโมง
โจนาธาน ...ที่น่าตกใจคือ ด้านข้างของเขา มีสตรีสูงวัย ผู้หญิงเธอเคยเห็นท่านผ่านรูปถ่าย ไม่คิดว่าตัวจริง จะยังสวยสง่า...มาดามรินรำไพ...แต่ว่า...พวกเขามาทำอะไรที่นี่?
“น่าอยู่ดีนะ ร่มรื่นดีจัง” เสียงหวานนุ่มเอ่ยเบาๆ นางเดินลงมาจากรถยนต์ และมองวันวาดยิ้มๆ
“เออ...” หญิงสาวกระอึกกระอักรีบยกมือขึ้นนบไหว้ตามความเคยชิน
มาดามรินรำไพยิ้มอ่อนให้หญิงสาว “ลงมาสิโจ ลูกนั่นแหละมัวชักช้า...แม่ใจร้อน...แม่รีบ” นางเอ่ยเสียงขรม เมื่อหันไปเอ็ดบุตรชาย ที่มัวแต่งุ่มง่าม มาดามรินรำไพไม่นึกรังเกียจผู้หญิงตรงหน้า หล่อนเป็นหญิงไทยที่ดูเรียบร้อยและมีความเป็นกุลสตรี เรื่องฐานะ!! นางไม่เคยสน เมื่อลูกชายรัก และนางเห็นว่าเหมาะ แค่นี้ก็พอแล้วหากโจนาธานคิดจะเริ่มต้นชีวิตคู่ บอกตรงๆ เลย...นางอยากอุ้มหลาน...
วันวาดตาค้าง...เพราะโจนาธานก้าวลงจากรถเข็น แม้จะยังดูไม่แข็งแรงเท่าไร แต่มันน่าตกใจ...เขาเดินได้
“ไงจ้ะหนูวาด เซอร์ไพรส์!!”
นางพูดเสียงกระหึ่ม โจนาธานบอกความลับนี้กับนาง แลกกับการที่ร้องขอให้นางพามาสู่ขอสาวให้...
คนเป็นแม่จะทำอย่างไรล่ะ... ก็ดีใจจนเนื้อเต้นนะสิ มาดามรินรำไพเลยรีบเดินทางมาบ้านพิศิษรุ่งเรือง ไม่มีคำคัดค้าน...มีแต่ความกระหยิ่มยินดี ยิ่งเห็นว่าที่สะใภ้ตัวเป็นๆ นางก็ยิ่งนึกชอบ กริยา รูปร่างหน้าตา ผิดจากที่คิดไว้ เพราะในอดีต รสนิยมของโจนาธานต้องพวก เนื้อ นม ไข่ สมองกลวงๆ และดัดจริต วันวาดตรงข้ามกับที่นางคิดไว้ เพราะฉะนั้น หล่อนผ่าน!!
“ไปๆ เข้าบ้านเถอะ พ่อ-แม่ อยู่ไหมจ้ะ จะได้ให้เสร็จในวันเดียวเลย”
สาวใหญ่ยังคงกระฉับกระเฉง แม้อายุอานามจะปาเข้าไปเลข5ปลายๆ แต่นางก็ยังแข็งแรง คล่องแคล้วเหมือนสาวรุ่นๆ
อะไร? ยังไง? วันวาดเดินตามไปแบบงงๆ เธอคอยระวังหลังให้โจนาธาน เมื่อรู้ดีว่า ชายหนุ่มยังไม่แข็งแรงพร้อม เธอแอบค่อนโจนาธานในใจ เขาไม่เคยปริปากบอกให้เธอรู้ ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันตลอด...
“ด่าฉันอยู่สิ...ถ้าฉันบอกเธอ เธอจะแปลกใจไหมล่ะที่เห็นฉันเดินได้”
ชายหนุ่มข่มความเจ็บแปลบ ทุกย่างก้าวเหมือนเดินบนก้อนกรวด มันเจ็บแปลบจนเหงื่อตก “วาดดีใจต่างหากล่ะคะ” หญิงสาวช้อนสายตามองเขายิ้มๆ เธอล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อไหลรินข้างขมับของโจนาธานจนชุ่ม “ดีใจที่ฉันมารึ?” เสียงกระเซ้าพร้อมกับมุมปากที่ขยับยิ้ม “บ้า!! วาดดีใจที่คุณเดินได้ ไม่เกี่ยวกับการที่คุณมาเลย...เออ...ว่าแต่มาทำไมคะ หรือว่า...” หญิงสาวไม่อยากเดา เธอหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องร้าย เมื่อประสบเรื่องร้ายๆ มามากเกินรับไหว “คิดอะไรน่ะ...ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอก ให้ผู้ใหญ่คุยกันก่อน เธอนะรู้ทีหลังดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบกำกวม วันวาดขมวดคิ้ว เธอมึนไปหมด ไม่รู้เจตนาของโจนาธาน เขาไม่เคยแย้มพรายให้รู้สักนิด “ใครมากันล่ะวาด หน้าไม่คุ้น” ทะนงทัก เขาหยุดรอพร้อมกับภรรยาสองคนที่ยืนขนาบข้าง “สวัสดีค่ะคุณ อิฉันเป็นแม่ของโจเค้า...มาเรื่องของเด็กๆ ค่ะ” มาดามรินรำไพรีบแจ้งเจตนา เธอยิ้มหวานเป็นทัพหน้า และได้รับการตอบรับอย่างดี เมื่อคนที่โตๆ แล้วย่อมรู้ดี...เพราะการที่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาบ้านของฝ่ายสาว คงไม่พ้
สวนหย่อมข้างบ้าน มีพรรณไม้ประดับชูช่อสลอน กลีบดอกแย้มบานรับแสงอาทิตย์ที่ทอดแสงอ่อนๆ ลงมา บรรยากาศรอบตัวสดชื่น มีกลิ่นหอมๆ ของเกสรดอกไม้ลอยฟุ้ง ชายหนุ่มยืนตัวตรง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่มีสีส้มๆ ปนเปอยู่ในระดับหนึ่ง อากาศตอนเช้าตรู่เย็นสบาย จนพลอยทำให้โจนาธานพลอยรู้สึกสดชื่นไปด้วย เสียงย่ำเท้าเบาๆ ของวันวาดดังขึ้น เมื่อหล่อนเดินมาถึง ชายหนุ่มเปรยเสียงขรึม... “เราสองคนเริ่มต้นไม่ดีเท่าไร แต่ฉันคิดว่า อนาคตต่อไปนี้ ฉันดูแลเธอแทนพ่อ แม่ได้แน่ หากเธอวางใจยอมตกลงปลงใจกับฉัน” แม้จะเป็นคำหวาน เมื่อเป็นคำร้องขอจากผู้ชายคนหนึ่งที่คิดจะปกป้องดูแลตัวเองนับจากวันนี้ จนถึงในอนาคต แต่...โจนาธานก็ยังเป็นโจนาธาน ในคำร้องขอนั่น ก็ยังมีความผยองปนอยู่ด้วย... วันวาดนิ่ง เธอก้มหน้าลงพร้อมกับคิดตาม.. “ฉันไม่ใช่คนดีเท่าไรหรอก!! เป็นคนขี้โมโห เอาแต่ใจ...แต่ความจริงใจฉันมีเต็มเธอก็คงเห็นแล้ว ฉันไม่สัญญานะว่าปรับตัวให้ดีขึ้น สันดานฉันเป็นแบบนี้เอง แต่ฉันเชื่อว่าตัวเองเหมาะที่จะดูแลเธอที่สุด...เมื่อเราสองคน...” ชายหนุ่มหยุดพูด เขาหมุนตัวกลับมามองวันวาด “การที่คุณมา...เ
“น้องผิดเองค่ะ เพราะน้องพิไลเลยเป็นแบบนี้” นางโทษตัวเอง เพราะเป็นคนชักจูงให้พิไลลักษณ์ได้พบเจอกับเสี่ยกวง “เวรใคร กรรมมันน่าคุณพิ...พิไลได้รับโทษทัณฑ์ตามการกระทำของเขา อย่าคิดมากเลย” ชายสูงวัยปลอบใจ...มันเป็นเวรกรรมที่แต่ละคนต้องแบกรับ ผลจากการกระทำของตัวเอง...พิไลลักษณ์เลือกทางนั้น มันก็สุดปัญญาที่ใครจะช่วยได้...หล่อนเลือกทางผิดมาตั้งแต่แรก... โจนาธานเป็นอีกคนที่รับรู้ข่าวแล้วสลดใจ เขายังไม่ทันได้ตามเอาคืนเสี่ยกวง มัจจุราชก็มาคร่าชีวิตเสี่ยใหญ่ไปเสียแล้ว เวรกรรมมีจริง เขาเพิ่งเชื่อ...และเวรกรรมเดี๋ยวนี้เร็วเหมือนติดจรวด...ตามจี้ตูด เอาคืนโดยไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า “ไงไอ้เสือ...มีอะไรหรือเปล่า?” เบนเดินมาตบบ่าโจนาธาน เมื่อน้องชายนั่งนิ่งผิดปรกติ “เสี่ยกวงตายแล้วเบน...” ชายหนุ่มเปรย “หือ...เป็นไรตายวะ...แต่ก็สมควรหร๊อก!!” เบนครางรับ เขาวิจารณ์ต่อ...พฤติกรรมของเสี่ยกวง สุ่มเสี่ยงกับความเป็นความตาย เบนคาดไว้...แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ “ผมยังไม่ทันได้เอาคืน...มาตายเสียได้...” ชายหนุ่มบ่น “อโหสิให้มั
บทที่16.ฮันนีมูน3เดือนต่อมา... งานวิวาห์ของโจนาธานสำเร็จลงด้วยดี เขาได้สาบานตนต่อหน้าพระเจ้า และให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่เข้มแข็ง จะนำพานาวาชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง ในแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งทำได้ ถึงวันวาดจะยอมตกลงปลงใจแต่งงานด้วย แต่ระหว่างรองานวิวาห์ หญิงสาวก็ยังครองตัวเป็นอย่างดี ที่ยอมให้โจนาธานก็แค่ ‘จูบ’ แต่จะไม่เกินเลยไปกว่านั้น ดังนั้นระหว่างรอ ความกระหายหิวของชายหนุ่มจึงถูกกดเก็บไว้ในอกจนล้นปริ่ม และรอเวลาที่จะปลดปล่อยด้วยความกระตือรือร้น ฮันนีมูลแสนหวาน...คือวันที่โจนาธานตั้งตารอ... เขาเลือกมัลดีฟส์... เพราะเป็นสถานที่ที่วันวาดไม่มีขออ้างที่จะหนีไปทางไหนได้ เมื่อรอบๆ ตัวมีแค่ทะเล... รอยยิ้มแปลกๆ นับตั้งแต่ออกเดินทาง...ของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี เล่นเอาพยาบาลสาวขนลุกชัน เขาไม่ได้เรียกร้องอย่างที่เธอหวั่นกลัวตลอดระยะเวลาที่เตรียมงาน หลังตกลงกันไปในระดับหนึ่ง โจนาธานเงียบสงบ ใช้ชีวิตปกติ เขาออกกำลังกายหนักขึ้น เธอได้แต่ห่วงลึกๆ แต่วันวาดรู้ ใต้ความเงียบนั่น คือภูเขาไฟที่รอเวลาปะทุ!!
เธอล้มโครมลงไปบนพื้น แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ เมื่อคนตัวใหญ่กลายเป็นเบาะนุ่มๆ รองรับเธอไว้พอดี เธอนอนอยู่บนอกแน่นๆ ของสามี ที่เปลือยเปล่า และแน่นตึบ “คุณเฟิร์มหุ่นมาเหรอ...แน่นไปหมดเลยค่ะ” ปลายนิ้วซุกซน กรีดเบาๆ ลงบนแผ่นอก พร้อมกับสัพยอกเสียงขัดเขิน “แหงสิ!! ฉันจะทำอะไรได้นอกจากออกกำลัง เมื่อความต้องการอัดแน่นอยู่ในอก แต่คนใจร้ายไม่ยอมให้ปลดปล่อย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกระเส่า เขาสูดปากครางเบาๆ เมื่อปลายนิ้วของวันวาด กำลังทำให้สติของเขาขาดผึ่ง หญิงสาวหัวเราะคิก เธอเอียงใบหน้าแนบแก้มกับแผ่นอกเปลือยเปล่า โจนาธานพลิกตัวกลับเร็วๆ เขาโหย่งตัวขึ้น และเหวี่ยงวันวาดขึ้นไปพาดอยู่บนบ่า ก่อนจะโยนเธอไปบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง “อุ้ย!!” “เธอควรหาอะไรกินก่อนนะวาด...เพราะไม่อย่างนั้น เธอคงไม่มีโอกาสได้มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากฉัน” ผู้ชายเปลือยอก เดินไปหยิบผลแอปเปิ้ลสีแดงสดบนโต๊ะกลางห้อง เขาหยิบผลไม้สีแดงสดมาหนึ่งลูก ยกขึ้นกดที่เรียวปาก ก่อนจะโยนให้ภรรยาคนสวยด้วยความหวังดี หล่อนควรหาอะไรลองท้อง...เพราะไม่อย่างนั้น...สิ่งที่ปากของหล่อนจะท
ไม่ว่าจะโซฟาในห้องโถง ระเบียงด้านนอกห้องยามท้องฟ้ามืดมิด หรือห้องน้ำเย็นฉ่ำ เตียงนอนนุ่มนิ่ม โจนาธานทำให้ทุกที่กลายเป็นสนามรบ เขาฟัดเธอแบบไม่คิดจะหยุดพัก วันแรกของเธอ...วันวาดสำรักความสุข หลายครั้ง จนนับไม่ทัน เธอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทันได้รู้ตัว รู้แค่ว่า ทันทีที่ลืมตา... เธอก็ทำได้แค่คราง... “อ่า....” เพราะนอกจากความแข็งขึงของโจนาธานแล้ว เธอไม่เคยได้แตะต้องอะไรอีก เขาบริการเธออย่างดี ไม่ต้องหยิบจับอะไร ไม่ว่าจะอาบน้ำ กินข้าว โจนาธานจัดให้ สิ่งเดียวที่โจนาธานไม่ทำ...คือเขาไม่ให้เธอใส่เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางของเธอกับของโจนาธาน ถูกวางไว้ที่เดิม...มันไม่ได้ถูกเคลื่อนที่ และก็ไม่ได้รับการเหลียวแลวันที่2...ของทริปฮันนิมูล เสียงคลื่นดังแว่วๆ อยู่ในหู วันวาดปรือตามอง เธอครางเสียงระโหย เมื่อรู้สึกระบมไปทั้งตัว กล้ามเนื้อเธอตึง แขนขา อ่อนแรง...เหมือนกระดูกทุกส่วนถูกป่นเป็นผง... “อรุณสวัสดิ...ทูนหัว” ใบหน้าระรื่นของสามีกับกลิ่นหอมของอาหารเช้าที่ลอยมาแตะตาแตะจมูก ถาดใส่อาหารถูกวางลงบนผิวที่นอน วันวาดผงกศีรษะขึ้นมอง เธอ
“เที่ยงครับ” โจนาธานตอบ แต่เขาไมได้ขยายความ มันเป็นเที่ยงของอีกวัน วันวาดหลับยาว หลังอาหารมื้อเช้าเมื่อวาน เขาสูบความหวานจากเรือนกายของหล่อนตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย และผลที่ได้คือภรรยาป้ายแดง ที่เคยอึด ถึก สลบเหมือดคาอกกว้าง หล่อนหลับยาว จนเขาต้องปลุก ไม่อย่างนั้น คนที่รอแล้วรอเล่าอย่างเขา คงทรมานน่าดู “ง่วงจังเลยค่ะคุณ วาดอยากนอน แล้วก็นอน” เธออ้าปากงับสเต็กปลาที่โจนาธานป้อน พร้อมกับบ่น ดวงตาหรี่ปรือ ทำท่าจะหลับเหมือนที่พูด “ทานก่อนทูนหัว เดี๋ยวค่อยนอน” ชายหนุ่มตัดเนื้อปลาด้วยมีดหั่นสเต็ก ใช้ช้อนส้อมจิ้ม ก่อนจะยกป้อนให้กับวันวาด ดวงตาเขาพราวฉ่ำ เมื่อมองปากแดงๆ น่าจูบของหล่อนตาปรอย “ไม่ไหวแล้วค่ะ วาดๆ” เสียงสะเทิ้นอายกล่าวแผ่วๆ เธอเสหลบสายตาร้อนแรงนั่น แต่จะไปไหนพ้น เมื่อเธอไร้เรี่ยวแรง นอนอยู่บนเตียงโดยมีเขาคอยบริการ ไม่ต่างอะไรจากครั้งแรกที่เจอกัน “วาดไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ ไปเพลียอะไรมาเหรอ?” โจนาธานกระเซ้า เขาอมยิ้ม เมื่อสายตาคมๆ ของวันวาด ตวัดขึ้นมองเหมือนจะค้อน “วาดไม่ได้บ้าพลังเหมือนคุณนะคะ จะได้มานั่งหน้าระรื่นอยู่ได้ ทั้ง
บทนำ... บ้านสีขาวหลังใหญ่ ล้อมรั้วด้วยต้นตีนตุ๊กแก พันธุ์ไม้เลื้อยสีเขียวที่ไต่ไปตามกำแพงปูนก่อไว้เป็นฐาน มันเติบโตปกคลุมเนื้อปูนจนมองแทบไม่เห็น ที่เห็นจากสายตาหากมองผ่านๆ คือรั้วต้นไม้สีเขียวครึ้ม ด้านในบ้านมีเนื้อที่กว้างขวางพอสมควรทีเดียว มีบ้านสองหลังถูกปลูกสร้างบนที่ดินผืนนี้ บ้านสวยหลังนี้เป็นบ้านของคนมีอันจะกินครอบครัวหนึ่งในย่านนี้ เจ้าของบ้านเคย...มีหน้ามีตา เพราะเป็นคนของหลวง ท่านรับราชการเป็นครู มีอาชีพอันทรงเกียรติ แต่เมื่อหมดวันทำงาน เกษียณอายุตามกำหนด ความนับหน้าถือตาก็ลดหย่อนลง หากเป็นเมื่อสมัยเก่าก่อน มักจะมีลูกศิษย์ ลูกหาแวะเวียนมาเยี่ยม มาหาไม่เคยขาด แต่...คงเป็นเพราะอำนาจบารมีที่เคยมีลดลง...คนเหล่านั้นจึงหายหน้าหายตาไป และนี่เอง...เป็นต้นกำเนิดให้ เกิดการพลิกผันครั้งใหญ่กับครอบครัว ‘พิศิษรุ่งเรือง’ ทะนง พิศิษรุ่งเรือง เป็นหัวหน้าครอบครัว ปัจจุบันท่านอายุ63 ปีเต็มทะนงเป็นชายร่างใหญ่ ค่อนไปทางท้วมนิดๆ สุขภาพแข็งแรงตามอายุ และดูไม่แก่ หากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน วันเวลา...ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเคยทรงภูมิทรุดโทรมลง กาลเวลาทำให้คนที่เคยมีสติ เพราะใช้สมอ