บทนำ...
บ้านสีขาวหลังใหญ่ ล้อมรั้วด้วยต้นตีนตุ๊กแก พันธุ์ไม้เลื้อยสีเขียวที่ไต่ไปตามกำแพงปูนก่อไว้เป็นฐาน มันเติบโตปกคลุมเนื้อปูนจนมองแทบไม่เห็น ที่เห็นจากสายตาหากมองผ่านๆ คือรั้วต้นไม้สีเขียวครึ้ม ด้านในบ้านมีเนื้อที่กว้างขวางพอสมควรทีเดียว มีบ้านสองหลังถูกปลูกสร้างบนที่ดินผืนนี้ บ้านสวยหลังนี้เป็นบ้านของคนมีอันจะกินครอบครัวหนึ่งในย่านนี้ เจ้าของบ้านเคย...มีหน้ามีตา เพราะเป็นคนของหลวง ท่านรับราชการเป็นครู มีอาชีพอันทรงเกียรติ แต่เมื่อหมดวันทำงาน เกษียณอายุตามกำหนด ความนับหน้าถือตาก็ลดหย่อนลง หากเป็นเมื่อสมัยเก่าก่อน มักจะมีลูกศิษย์ ลูกหาแวะเวียนมาเยี่ยม มาหาไม่เคยขาด แต่...คงเป็นเพราะอำนาจบารมีที่เคยมีลดลง...คนเหล่านั้นจึงหายหน้าหายตาไป และนี่เอง...เป็นต้นกำเนิดให้ เกิดการพลิกผันครั้งใหญ่กับครอบครัว ‘พิศิษรุ่งเรือง’
ทะนง พิศิษรุ่งเรือง เป็นหัวหน้าครอบครัว ปัจจุบันท่านอายุ63 ปีเต็มทะนงเป็นชายร่างใหญ่ ค่อนไปทางท้วมนิดๆ สุขภาพแข็งแรงตามอายุ และดูไม่แก่ หากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน วันเวลา...ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเคยทรงภูมิทรุดโทรมลง กาลเวลาทำให้คนที่เคยมีสติ เพราะใช้สมองเป็นส่วนใหญ่คนนั้น...หายไป เมื่อประมุขเฒ่า หลงใหลในอบายมุข เนื่องจากมีเวลาว่างมากเกินไปในหนึ่งวัน ว่างจนต้องการกิจกรรมพิเศษทำ แต่สิ่งที่ทะนงเลือก คือการเดินเข้าสู่...ประตู...นรก!!
ทรัพย์สินที่เคยมี เคยสะสมไว้ในตอนที่รุ่งเรือง เริ่มถูกทยอยออกขาย เพื่อชดใช้หนี้สินที่ท่านสร้าง ใหม่ๆ การเงินก็คล่องดี เมื่อสมบัติมากมีพอให้จับจ่าย แต่เมื่อนานวันเข้า...เงินทองเริ่มร่อยหรอ...ที่นี้แหละ มันจึงเป็นที่มาของปัญหาที่ประเดประดังเข้าใส่...
“มีใครอยู่บ้างโว้ย!!”
เสียงตะโกนดังขรม ร่างสูงใหญ่แต่ค่อนไปทางท้วมยืนโอนไปเอนมา
“มีอะไรให้อิฉันช่วยไหมคะ?” สาวใหญ่อายุ อานามไม่น่าจะไกลจากท่านเท่าไร ถลันเข้ามาถาม เธอพยายามเข้าไปประคอง แต่กลับถูกผลักจนกระเด็น...
รัชนี หล่อนคือสาวใหญ่คนนั้น รัชนีเป็น ‘เมียเก็บ’ ที่ทะนงมีซุกไว้ในบ้าน ตามความนิยมของคนมียศมีตำแหน่ง เพียงแต่รัชนียินยอมเพราะความรักเทิดทูนที่มีต่อทะนง เธอเคยเป็นลูกศิษย์ในวัยเยาว์ แต่ดันแอบหลงรักอาจารย์ใหญ่ที่หล่อเหลาและมีหมาด จนยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ยอมแม้จะถูกคนรอบข้างตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไร้ศักดิ์ศรี
“แม่นีเองเรอะ...ฉันหิวน้ำ หาน้ำให้กินหน่อยสิ...” ทะนงหันมายิ้มให้ภรรยาคนรอง หลังเพ่งมองจนแน่ใจ เขาเดินตัวเอียงไปทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้เหล็กที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน ศีรษะของเขาตกห้อยลงมาเพราะหมดแรง
รัชนีถอนใจเบาๆ เธอเดินเลี่ยงไปทางหลังบ้านเพื่อนำสิ่งที่สามีต้องการมาให้ โดยไม่ผ่านตัวบ้านหลังใหญ่ เมื่อเป็นเขตหวงห้ามสำหรับนาง...
บ้านพิศิษรุ่งเรือง มีทะนงเป็นประมุข ภรรยาออกหน้าออกตาของเขา คือพิไล...อดีตครูสาวเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นความวุ่นวายยุ่งเหยิงสักนิด เพราะครอบครัวนี้แตกต่างกับครอบครัวอื่นๆ เมื่อบ้านสองหลังที่ตั้งอยู่ภายในรั้วเดียวกันนั้น ประกอบไปด้วยบ้านใหญ่สีขาว...ซึ่งคือที่พักของทะนงกับพิไล และบ้านอีกหลัง...เป็นบ้านชั้นเดียวสีขาวอีกเช่นกันขนาดบ้านย่อมกว่าบ้านหลังแรก 3 เท่า!! เป็นบ้านของรัชนีกับบุตรสาว...
มันเป็นความโชคดี หรือโชคร้ายก็ไม่แน่ใจนัก พิไลไม่มีบุตร!! หล่อนจึงนำหลานสาวมาอุ้มชู เพื่อจะไม่ทำให้ตัวเองด้อยค่า และเป็นการคานอำนาจเมียรอง เมื่อเป็นถึงภรรยาหลวง แต่กับไม่มีทายาทให้ทะนงอุ้มชู
พิไลลักษณ์คือหลานสาวสุดโปรดที่พิไลเอามาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
วันวาด คือบุตรที่เกิดจากรัชนี และเป็นที่จงชังของพิไล เมื่อสาวน้อยนางนั้นโดดเด่นทั้งหน้าตาและผลการเรียน สร้างความภาคภูมิใจให้กับทะนง ผิดกับพิไลลักษณ์ที่มีโอกาสมากกว่าหลายร้อยเท่า!! แต่ผลการเรียนของหล่อนกลับดิ่งลงเหว ลุ่มๆ ดอนๆ จะตกไม่ตกแหล่ จนกระทั่งพิไลต้องตัดใจ หันมาส่งเสริมพิไลลักษณ์เรื่องอื่น แม้จะขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ เมื่อมันสมองของคนพระเจ้าให้มาไม่เท่ากัน
ความอลหม่าน เกิดขึ้นภายในครอบครัวนี้มานานเกือบ20 ปี...
มันคงอยู่เช่นนี้ไปอีกนาน หากความริษยายังคงอยู่ในหัวใจ ไม่มีครอบครัวไหนหรอกที่จะสงบสุข หากในรั้วบ้านเดียวกัน มีภรรยาน้อย และภรรยาหลวงอาศัยอยู่ด้วยกัน แม้ฝ่ายมาทีหลังจะอ่อนน้อมถ่อมตัว
“คุณพี่!!”
ทะนงสะดุ้งเฮือก เขาขยับตัวนั่งตรงๆ ปรือเปลือกตาขึ้นมองคนที่ยืนจังก้าตรงหน้า
“คุณพิเอง...เสียงดังทำไมหะ แก้วหูจะแตกแล้วเห็นมั้ย” ท่านบ่น ยกมือขยี้เปลือกตา พร้อมกับเหลียวมองหารัชนี “แม่นีไปเอาน้ำถึงไหนนะ ฉันหิวจะแย่”
“หึ!! พอเหยียบเข้ามาในรั้วบ้าน คุณพี่ก็เรียกหาแม่นั่นแล้วเหรอคะ...ดีจริง!!”
เสียงนางกระแทกกระทั้นจนคนฟังระอา สาวใหญ่ยังไม่หมดไฟริษยา เมื่อรู้เต็มอกว่าความรักของสามี ถูกปันให้หญิงอื่น...
“แก่จนปูนนี้แล้ว ยังจะหึงไม่รู้เรื่องอีกรึ? ฉันแค่หิวน้ำ แล้วแม่นีเขาอาสาพอดี”
ทะนงบ่น น้ำเสียงเช่นนี้เขาฟังมานานจนชิน พิไลกลายเป็นคนช่างคิดช่างแค้น หลังจากเขาพารัชนีที่กำลังท้องโย้เขามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเมื่อ20กว่าปีก่อน
“อีนังนั่นก็เหมือนกัน สาระแนดีนัก...”
นางก่นว่าผู้หญิงอีกคนของสามี ความเกลียดชังในหัวใจไม่เคยลดทอนลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นตามวันเวลา เมื่อสองแม่ลูกนั่น คือหอกข้างแคร่ของนางที่มองเห็นเต็มตา แต่กลับทำได้แค่...กระแหนะกระแหน
“จะโวยวายทำไมหึคุณพิ!! เราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ คนรองมือรองเท้าให้คุณพิก็มีแต่แม่นีแค่คนเดียว ทำดีกับเขาบ้าง...คงไม่เสียหลายหรอกมั้ง”
มันเหมือนฟาดแส้ลงบนผิวเปลือยเพราะคำย้ำชัดของสามี พิไลตวัดสายตามองสามีแบบอยากจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่ใช่เพราะเขาหรอกเหรอ ชีวิตบั้นปลายของนางจึงได้น่าทุเรศแบบนี้ จากคนมีหน้ามีตามีเงินทองจับจ่ายไม่ขาดมือ กลับต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะหนี้สินล้นพ้นตัว
“มันสมควรทำแล้วนี่คะ ก็เพราะมันอยากทำตัวเป็นแบบนั้นเอง...” นางตอบเสียงขุ่นคลัก สะบัดค้อนให้สามีวัยชราซ้ำ “แล้วนี่หายหัวไปไหนมาอีกคะ หรือว่า...” นางรีบถามเสียงหลง หวังลึกๆ ในใจว่าสามีจะไม่ออกไปสร้างหนี้เพิ่ม
“โธ่! ฉันจะไปไหนได้ล่ะคุณพิ นอกจาก...” ทะนงตอบเสียงสลด เขาไม่มีที่ไป จะไปวัดเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ใจมันก็ร้อนรุ่มเกินจะทนนั่งสนทนาธรรมกับคนอื่นได้ เมื่อหลงใหลอบายมุขเข้าเสียแล้ว ทะนงรู้สึกว่าตัวเองมีค่า เมื่อยังมีคนให้ความสนใจนับถือ แค่เดินผ่านประตูเข้าไป...ก็มีแต่คนยกมือไหว้
“ได้...หรือเสียล่ะคะวันนี้?” นางถามกลับเสียงสั่นลุ้นระทึกขอให้สามีไม่ผลาญสตางค์อีก สมบัติเก่าที่สะสมไว้ถูกเทขายจนหมด เวลานี้ที่มีไว้ประดับตัวก็แค่ของปลอม...เงินรายได้ที่พอจะมีซื้อข้าวซื้อน้ำภายในครัวเรือน ก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของวันวาด เพราะหากหวังพึ่งพาพิไลลักษณ์คงได้แทะก้อนเกลือกิน เมื่อหลานสาวแท้ๆ ของนาง ใช้จ่ายแบบคนจมไม่ลง ทำตัวอวดรวยเหมือนเดิม จนเงินเดือนแทบไม่พอยาไส้
“ถ้าฉันได้...ฉันจะกลับมาตัวเปล่าเรอะ!!”
ชายสูงวัยตอบเสียงกระแทกกระทั้น เสียครั้งนี้ไม่ได้เสียแค่เงินที่หยิบยืมคนรู้จักไปเป็นทุน ยังเป็นหนี้ก้อนใหญ่กับเจ้าของบ่อนด้วยเสียอีก เขากำลังกลุ้มใจ!! เมื่อคิดจนศีรษะจะแตกยังหาวิธีหาเงินก้อนใหญ่ไม่ได้ และเมื่อเหลียวมองในบ้านก็ไม่รู้จะหาอะไรในบ้านไปขายอีก สมบัติมากมีมลายหายไปก่อนหน้านั้นแล้ว...แต่เพื่อหาเงินก้อนนั้น เอาไปคืนเจ้าหนี้รายใหม่ ที่ใครๆ ก็เล่าขาน ผู้ชายคนนั้น เหี้ยมเกรียมกว่าพญามัจจุราช
“แสดงว่าเสีย...หึ!! คราวนี้คงได้เฉือนเนื้อเอาไปขาย เพราะต้องวิ่งวุ่นหาเงินใช้หนี้อีกนาน”
นางประชด ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆ พร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่ๆ
“คุณพี่เมื่อไรจะหยุดคะ เราไม่มีอะไรเหลือแล้วนะคะ แม้แต่บ้าน”
ไม่มีใครรู้นอกจากนางกับสามี แม้แต่บ้านที่อาศัยซุกหัวนอนก็กำลังจะเป็นของคนอื่น เพราะการพนันตัวเดียว...
“ฉันก็อยากหยุดนะคุณพิ...แต่ทำไม่ได้”
เสียงของทะนงฟังเศร้าหมอง เขาอยากจะหยุด อยากจะอยู่ให้ห่างอบายมุขพวกนั้น แต่ยังไม่เคยทำได้สักที
“เท่าไรคะคุณพี่ เท่าไรสำหรับการผลาญครั้งนี้...”
นางถามเสียงอ่อนแรง ได้แต่ภาวนาไม่ให้เยอะเกินไป ไม่อย่างนั้นคงได้ฆ่าตัวตายหนีหนี้ยกครัว...
“1ล้าน” ทะนงตอบเสียงแผ่ว เขาหลุบเปลือกตาลง ความกระสันอยาก อยากแก้มือ อยากได้ที่เสียไปคืน ทำให้เขาถลำลงไปสุดตัว
“หะ!! ล้านนึง...บ้าไปแล้วๆ แน่ๆ แค่แสนเดียวยังไม่รู้จะเอาที่ไหนมาคืนเขาเลย นี่ล้านนึง...คงได้ตายทั้งบ้าน”
นางตะเบ็งเสียงก้อง ควานมือหาถ้ำยาดมในกระเป๋าหน้าของชุดอยู่บ้าน ก่อนจะรีบยกอังจมูก สูดกลิ่นหอมๆ แรงๆ ก่อนที่จะหมดสติไปเพราะความตกใจ
“คงได้ตายแน่ ถ้าไม่มีเงินไปคืนเขา...คุณพิไปถามคนที่รับจำนองบ้านเราหน่อยสิ เพิ่มอีกได้ไหม ฉันจะเอาเงินไปคืนเจ้าหนี้”
ทางเดียวคือที่ซุกหัวนอน ที่พอจะมีราคา
“ที่เอามานี่ก็เกินราคาแล้วค่ะ พิบอกคุณพี่แล้วนะ หนี้ก้อนนี้ขอพิไม่ยุ่ง”
“คุณพิไม่ช่วยฉัน แล้วใครจะช่วยได้ล่ะ...”
ทะนงคอตก หากไม่มีเงินก้อนนี้ไปคืน งานนี้คงได้หมดลมหายใจ
“พิหมดปัญญาแล้วคุณพี่ เราไม่เหมือนเดิม เวลานี้หันไปทางไหน ใครๆ เขาก็แทบจะเบือนหนี”
3ปีหลังเกษียร ทะนงผลาญสมบัติจนหมด เพราะหลงใหลอบายมุข ชั่วเวลาสั้นๆ เขาถลุงเงินไปกับการพนัน จนเป็นหนี้เป็นสิ้นล้นพ้นตัว จากเคยมั่งมี เวลานี้กลับจนกร็อบ...คนรับใช้ในบ้านทยอยลาออก เมื่อแม้แต่เงินเดือนพิไลยังค้างจ่าย เมื่อไม่มีรายได้เหมือนเก่า
“แล้วฉันจะทำยังไงล่ะคุณพิ?”
ทะนงถามเสียงเครือ...
รัชนียกมือทาบอก นางบังเอิญได้ยินเข้าพอดี คำสนทนาของสามีกับพิไล นางรู้สึกหนักหน่วงในอก คงต้องรีบให้บุตรสาวหาหนทางขยับขยาย ก่อนที่จะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน
“คุณพ่อ คุณแม่ พิไลกลับก่อนนะคะ”
สาวสวยรูปร่างพอๆ กับบางแบบยกมือไหว้แบบขอไปที ปรายตามองบิดาบุญธรรมที่ไร้สง่าราศี เนื่องจากความทรุดโทรม หล่อนแอบเบ้ปาก เมื่อสีหน้าดำคล้ำของบิดา บ่งบอกความกลัดกลุ้มที่อยู่ข้างในได้เป็นอย่างดี
“อะไร!! มายังไม่ทันได้คุยกันเลย จะกลับแล้วเหรอ” ทะนงบ่นลอยๆ
ลูกเลี้ยงสาวแอบเบ้ปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ “คุณพ่อก็อยู่บ้านสิคะ พิไลจะได้อยู่คุยด้วย อยู่แต่บ่อนแล้วเมื่อไรจะได้คุยกันคะ”
“อย่ามาปากดี!! ว่าแต่...แกพอมีเงินให้ฉันยืมบ้างไหมล่ะ” หนุ่มใหญ่จนทางร้องถามเสียงแผ่วๆ
แววตาของลูกเลี้ยง ทำให้ท่านหน้าชา เมื่อมีแต่แววดูถูก “พิไลจะไปมีได้ยังไงคะ เงินมากมายขนาดนั้น...ไม่ลองถามแม่ลูกสาวสุดกตัญญูของคุณพ่อล่ะคะ” หล่อนรีบปฏิเสธ โยนความรับผิดชอบที่แสนหนักอึ้งไปที่วันวาด...มุมปากสีสดยกยิ้มหยัน...คงถึงเวลาต้องหาทางชิ่ง ก่อนที่ความฉิบหายจะมาเยือนตนเอง...
บทที่1.เจ้าหนี้ขาโหด เบน อัคเดช รูธ เศรษฐีหนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษ เขากำลังเฟื่องสุดขีด หลังประมูลเปิดกาสิโนได้ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีอาณาเขตติดประเทศไทย ธุรกิจทำเงินที่ทำให้เขาร่ำรวยมหาศาลมีอาณาจักรทำเงินที่เก็บกินได้ตลอดชั่วชีวิต หากยังมีแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเรื่อยๆ ก็รู้ทั้งรู้ว่าไฟมันร้อน แต่แมลงหน้าโง่นั่น ก็ยังบินถลาล่อ จนกระทั่งถูกเปลวไฟเผาปีกอันบางเบาจนมอดไหม้…ก่อนจะตายตกไปตามๆ กัน “ท่านครับคุณโจนาธานมาถึงแล้วครับ” การ์ดหนุ่มเดินเข้ามานอบตัวรายงาน เบนคลี่ยิ้ม สถานที่แปลกตาอาจทำให้น้องชายของเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น โจนาธาน อัครัก รูธ น้องชายสุดรักที่เคยร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน สองพี่น้องบุกเบิกอาณาจักรกาสิโนมาด้วยกัน เพียงแต่โจนาธานโชคร้าย เขาประสบอุบัติเหตุร้ายแรง จากผู้ชายที่เคยเป็นที่ปรารถนาของผู้หญิงทั่วโลก เวลานี้โจนาธานไม่ต่างอะไรกับผักเน่า เขานอนนิ่งไม่ไหวติง...เบนทุ่มเทหาวิธีรักษา ไม่ว่าแพทย์แขนงไหนที่ว่าดี เขาลองมาหมด…จนโจนาธานเกิดความเบื่อหน่าย เขาเบื่อที่จะต้องฝืนสังขาร การทำกายภาพที่แสนโหด แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น เขายังคงเป็นชายพิการที่ช่วยเหลือตั
“วาดขอประวัติคนป่วยไปศึกษาด้วยค่ะ จะได้หาวิธีตั้งรับและวิธีทำให้เขาดีขึ้นด้วย” ไหนๆ ก็ตกลงปลงใจรับงานนี้มาทำ วัดวาดจึงจำเป็นต้องรู้จักคนป่วยคนนี้ เพื่อตัวเองและบิดา “ได้...” เบนพยักหน้ารับ “ไทย เอาประวัติน้องชายฉันให้หล่อนดูสิ” เบนสั่ง เขาออกเดินหน้าตั้ง เมื่อเวลาที่โจนาธานมาถึงกระชั้นเต็มที...เขาส่งโจนาธานไปตรวจร่างกายที่อเมริกา และวันนี้คือกำหนดกลับของน้องชาย แฟ้มสีน้ำตาลไหม้ ไทยหยิบจากโต๊ะทำงานของเบน มายัดใส่มือวันวาดพร้อมกับกระซิบเสียงเคร่งๆ “หากอยากอยู่จนปลดหนี้ให้พ่อเธอได้...อย่าพยายามอ่อย คุณโจ!!” ไทยเดินตามเจ้านายไปติดๆ เขาเป็นการ์ดกึ่งเลขา ทำงานทุกหน้าที่แล้วแต่เบนจะสั่ง...เป็นลูกน้องที่รู้ใจเบนสุดๆ วันวาดถอนใจแรงๆ “กลับบ้านกันเถอะค่ะพ่อ วาดต้องไปศึกษาคนป่วยคนนี้” หญิงสาวรีบประคองทะนง เขาอ่อนแรงมาก แม้แต่แรงยืนยังไม่ค่อยมี ที่วันวาดไม่เข้าใจ ทะนงอ่อนเปลี้ยขนาดนี้ เขานั่งหลังขดหลังแข็งในบ่อนได้ยังไงเป็นวันๆ “วาด...พ่อเหลือแค่วาดนะลูก” ระหว่างทาง ทะนงย้ำแล้วย้ำอีก หากวันวาดหนี นั
บทที่2.เผชิญหน้ากับคนป่วยจอมแสบ “แกจะทรมานตัวเองไปเพื่ออะไรว่ะ พี่ถามหน่อย?” เบนถามโจนาธานเสียงเคร่ง ไอ้น้องตัวแสบไม่ยอมแตะทั้งยาและอาหาร จนร่างกายซูบเซียว ใบหน้าหล่อเหลาผอมซูบจนมองเหมือนผีตายซากเข้าไปทุกวันหลังจากผลการตรวจอย่างละเอียดออกมา เขามีเปอร์เซ็นเดินได้แค่50% “ปล่อยผมตายเถอะพี่ อยู่แบบนี้มันก็เหมือน ผมตายทั้งเป็นอยู่แล้วนี่” โจนาธานพูดเสียงเรียบ จะให้เขานอนเป็นผักเน่าแบบนี้ถึงเมื่อไร เขาเบื่อจนเอียน เขาทนมองเห็นตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ไหว มันทุเรศตัวเองเหลือเกิน “แกจะหมดหวังได้ยังไงว่ะ หมอบอกแล้วนี่หว่า แกมีสิทธิหาย... ถ้าแกแข็งแรงกว่าตอนนี้ และยอมทำกายภาพบำบัด...” เบนพยายามโน้มน้าว ความหวังจะสัมฤทธิ์ผลก็ต้องมีกำลังใจเป็นแรงผลัก แต่นี่...อะไร!! ยังไม่ทันสู้ก็ท้อถอยเสียแล้ว แบบนี้เมื่อไรโจนาธานจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม... อีกอย่าง... เบนทำเพื่อตัวเองด้วย รูธมีแค่เขากับน้อง หากโจนาธานเป็นอะไรไป คงได้สิ้นทายาท เพราะเบนเอง...คงไม่สามารถสืบสกุลได้...เขาไม่ได้เป็นหมัน แต่... โจนาธานไม่ได้ตอบกลับ เขาเบือนหน้ามองเหม่อไป
ก็อกๆ “พยาบาลที่คุณเบนต้องการตัว มาแล้วครับ” เขาเคาะเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูห้อง ยื่นหน้าเข้าไปภายพรางส่งเสียงบอก “ให้เข้ามาซิ” เสียงแหบห้าวตะโกนสวน เบนกำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อวันนี้น้องชายตัวแสบ ประท้วง...โจนาธานไม่แตะอะไรเลยแม้แต่น้ำ...จนคนดูแลวิ่งวุ่น เมื่อคนที่เคยอาละวาดปึงปังกลับนิ่งเฉย...แต่กลับทำให้อาการของเขาทรุดลง... “มาก็ดีแล้ว...ไปกันเถอะ เธอจะได้เจอคนป่วยจอมป่วนเสียที” วันวาดยังอยู่ในชุดทำงาน ใบหน้าหล่อนมันแพรบเพราะยังไม่แวะล้างคราบไคล แต่ในภาวะเร่งร้อนเช่นนี้ เบนไม่สนใจความสวยงามเท่าใด เขาต้องการใครก็ได้...ที่สามารถปราบพยศโจนาธานได้สักคน... วันวาดเดินตามผู้ชายหน้าดุแบบงงๆ เขาดูเร่งร้อน การเดินของเขาก็เช่นกัน ช่วงขายาวๆ นั่นเดินฉับๆ จนเธอต้องรีบซอยเท้าถี่ๆ ไม่อย่างนั้นคงตามไม่ทัน ลิฟต์ขาลง ดูดีกว่าลิฟต์ที่เธอโดยสารขึ้นมาลิบลับ ตัวลิฟต์ใหม่เอี่ยม กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้ง ผิวลิฟต์มันปราบ เพราะการเช็ดถูทำความสะอาดเป็นประจำ เธอยืนเงียบๆ ด้านข้างเขา พยายามสำรวมสายตา โฟกัสแค่ปลายเท้า เสียงถอนหายใจแร
โจนาธานตวาดลั่น เขาชี้นิ้วสั่นๆ ไปยังประตู ขับไล่ผู้หญิงแปลกหน้าแบบไม่สนใจ “เสียใจด้วยค่ะ วาดมาทำงาน พี่คุณจ้างวาดมาดูแลคุณ วาดเป็นพยาบาลอาชีพ วาดชื่อวันวาดค่ะ นับจากนี้ไป คุณต้องฟังที่วาดพูด...ไม่ทราบวันนี้คุณได้ทานอาหารบ้างมั้ยคะ?” หญิงกล่าวแนะนำตัว เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ โจนาธาน ไม่สนใจสายตาขวางๆ ของเขา เธอเชื่อว่าชายหนุ่มหมดแรงเพราะปลายนิ้วที่ยกค้างไว้ของเขา สั่นจนเธอมองเห็น เขาออกฤทธิ์อะไรเอากับเธอไม่ได้มากกว่านี้หรอก เมื่อเขาใช้แรงที่มีขวางหมอนใส่เธอจนหมด... หญิงสาวปรายตามองถาดอาหาร...ไม่มีรอยยุบ อาหารอ่อนๆ นั่นเต็มถ้วย วันวาดมองคนป่วยตรงหน้า ด้วยสายตาตำหนิเล็กๆ “ดูจากปริมาณข้าว...คุณไม่น่าจะมีอะไรตกถึงท้อง...และถ้าคุณอยากมีฤทธิ์ เพื่อจะโวยวายล่ะก็... วาดแนะนำ คุณควรทานอาหารเหล่านี้นะคะ” หญิงสาวเปรยลอยๆ เธอยกถาดอาหารนั่น เดินไปที่ประตู เธอต้องการให้ใครก็ได้นำไปอุ่น เธอจะจัดการให้คนป่วยกินอาหารเหล่านี้เอง ปึก!! เบนผงะ เมื่อมีใครบางคนดันประตูให้เปิด เขาเดินถอยหลังเปิดทางให้คนๆ นั้น “วาดต้องการอาหารชุดใหม่ค่ะ ของเก่ามันเย็นชืด
บทที่3.ยุทธการอาบน้ำผู้ชาย...ป่วย... แป้นกลับมาอีกครั้งตามกำหนดเวลาที่วันวาดร้องขอไว้ มีผู้ชายตัวโตคนหนึ่งเดินตามมาด้วย เขาคือการ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าห้องพักของโจนาธานนั่นเอง “พี่เอกยืนอยู่แถวๆ นี้ค่ะ คุณวาดอยากใช้อะไรโผล่หน้าออกไปเรียกได้เลยค่ะ” แป้นแนะนำตัว และเอกก็ยิ้มรับ เขาเหลือบมองโจนาธานแบบหวาดๆ กลัวใจกับฤทธิ์ของพ่อเจ้าประคุณจริงๆ แต่ที่เอกเห็นคือ คนฤทธิ์มานอนเอนๆ อยู่กลางเตียง ใบหน้าหงิกงอ ยับย่น มีรอยไม่พอใจเต็มหน่วยตา แต่กลับไม่มีเสียงโวย เหมือนเก่า “ดีเลย วาดอยากจับ ‘เค้า’ เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ทำความสะอาดเตียงนั่นด้วย” คราบอาหารหกกระจายไปทั่ว แป้นอมยิ้ม กว่าคุณโจนาธานจะยอมรับประทานอาหาร คงออกฤทธิ์ไว้ไม่น้อย... “คุณวาดจัดการเช็ดตัวได้เลยค่ะ แป้นจะไปตามคนมาช่วยทำความสะอาดเตียง” “ที่ฉันพูดนี่ มีใครฟังมั้งมั้ย!! หรือว่าฟังภาษาคนไม่ออก ออกไป!! อย่ามาวุ่นวายกับฉัน...” เสียงแทรกจากกลางเตียง เมื่อโจนาธานเริ่มโวย “แป้นไปตามคนมาเถอะจ้ะ ทางนี้วาดกับพี่เอกคงพอรับมือไหว” หญิง
บทที่4.เสือนิ่งอย่าคิดว่าเสือหลับ5:00 นาฬิกา... โครม!! วันวาดสะดุ้ง!! เธอยกมือขยี้เปลือกตาแรงๆ มองหาต้นเหตุของเสียงดังๆ ที่ทำให้ตัวเองตกใจตื่น หลังจากฟุบหลับไปตอนหลังเที่ยงคืน เมื่อโจนาธานหลับไปเพราะฤทธิ์ยา... หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนแบบกระฉับกระเฉง ยกมือตบหน้าเบาๆ ไล่ความสะลึมละลือ แล้วจึงเดินไปหยิบถาดที่หล่นบนพื้น สาเหตุคงเป็นเพราะคนไข้เจ้าอารมณ์ที่นั่งหน้ายับอยู่กลางเตียง “คุณตื่นแล้ว...ทำไมไม่เรียกวาดล่ะคะ” หญิงสาวเปรย “หิวน้ำ หรือต้องการทำธุระส่วนตัวคะ?” เธอถามต่อ โจนาธานหน้ายับ เขาหิวน้ำ และไม่อยากปลุกหล่อน เรื่องเล็กน้อยที่เขาน่าจะทำได้ แต่...ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึก มันน่าโมโหที่ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆ “ไม่!!” เขาตอบเสียงสะบัด หลุบเปลือกตาลง เพื่อปิดการสนทนา แต่...แก้วน้ำสะอาดที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว ถูกยื่นให้ พร้อมกับหลอดสั้นๆ ที่ใส่ไว้ในแก้ว “คุณหิวน้ำวาดรู้” คนที่ตื่นนอนใหม่ๆ มักจะกระหายน้ำเหมือนกันทุกคน วันวาดจึงจัดแจงให้ โดยที่โจนาธานไม่ต้องเอ่ยปาก เ
บทที่5.คืนที่2 สำหรับการอยู่กับผู้ชายลำพัง... คนที่โจนาธานแอบรอ...เธอกำลังอาบน้ำและเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการไปค้างอ้างแรมทั้งคืน ตอนเช้าเธอจะได้ไม่ต้องกระวีกระวาดกลับมาบ้าน ไหนๆ ที่นั่นก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เธอเตรียมเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวติดไปด้วย...ประหยัดหลายทางทั้งค่าน้ำมัน และเรื่องความปลอดภัย... “เขาเป็นคนยังไงมั้งล่ะวาด?” รัชนีเปิดปากถามเสียงอ่อนๆ เธอห่วงบุตรสาว ถึงจะเป็นคนป่วย แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชาย “เป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง และรั้นมากค่ะแม่...กว่าเขาจะยอมลงให้วาด คงต้องใช้เวลาอีกซักระยะ” หญิงสาวตอบ มือก็จับเสื้อยืด กางเกงวอร์มยัดลงในกระเป๋า เธอสำรองไว้ หลายๆ ชุด จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา “แม่หมายถึงอาการป่วยของเขา...พอมีทางหายไหม?” รัชนีถาม เพราะอยากรู้ว่าระยะเวลาที่วันวาดต้องลำบากลำบน นั่นจะอีกนานแค่ไหน “พูดยากจ้ะแม่...เท่าที่เห็นเขาก็เข้าขั้นหนัก คุณเขาไม่กินยา ไม่ทำกายภาพบำบัดตามหมอสั่ง กล้ามเนื้อที่ขาเล็กและลีบมาก ต้องฟื้นฟูอีกนาน” วันวาดอธิบาย เธออ่อนใจกับความเยอะข