บทที่15.เซอร์ไพรส์สุดๆ
รถยนต์รับจ้างแล่นมาจอดหน้าประตูบ้านพิศิษรุ่งเรือง สาวใหญ่ในชุดสีสันสะดุดตาก้าวเท้าลงมา สารถีคนขับรีบเปิดประตูลงมา เมื่อมีสัมภาระอยู่ที่ท้ายรถยนต์เป็นจำนวนมาก พิไลหอบกระเป๋าเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวที่เหลืออยู่ กลับมายังบ้านหลังเดิม...เธอแช่งชักหักกระดูกพิไลลักษณ์มาตลอดทาง เมื่อหญิงสาวที่ตัวเองเฝ้าฟูมฟัก...ขับไล่เหมือนไม่เคยมีบุญคุณ
เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับเธอจนแทบจะตั้งรับไม่ทัน ทั้งๆ ที่คิดว่าจะได้เสวยสุขบนกองเงินกองทอง หลังเสี่ยกวงหลงใหลพิไลลักษณ์ เขาเลี้ยงดูหล่อนแบบลับๆ และส่งเสียเงินทองให้ใช้จ่ายแบบไม่ขัดสน แต่เพราะเธอนั่นแหละ!! เพราะความอยากไม่มีที่สิ้นสุด ติดอบายมุขงอมแงม เธอเลยใช้ชื่อเสี่ยกวงในการกู้ยืม ในฐานะแม่ยาย แต่...ดันไปเจอตอเข้าแบบจังเบอร์!! เจ้หงส์หยกโกรธจัด ส่งคนมากำหลาบพิไลลักษณ์ ซึ่งหญิงสาวก็ยอมเพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง พิไลลักษณ์โยนความผิดทั้งหมดให้กับพิไล...เธอขับไสพิไลออกจากบ้าน เมื่อพิไลคอยแต่จะสร้างปัญหา ไม่สนใจเสียงลำเลิกบุญคุณ ที่พิไลก่นด่า
เมื่อไม่มีที่ไป สาวใหญ่จึงหอบสมบัติส่วนตัวกลับรังเดิม ยังไงเสียก็มีที่ซุกหัวนอน
“เร็วๆ สิยะ นั่นก็เบาๆ ด้วย กระเป๋าใบหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ”
หล่อนชี้นิ้วสั่งยิก เสียงดังลั่น จนคนที่อยู่ด้านในได้ยิน รัชนีเดินออกมาดู มีทะนงเดินตามมาห่างๆ
“หล่อนน่ะ เปิดประตูให้ฉันหน่อย แล้วก็ขนกระเป๋าพวกนี้ไปไว้ในห้องฉันให้ด้วย”
พิไลเชิดหน้าขึ้น เธอร้องสั่งรัชนี อวดอำนาจและข่มรัชนีเหมือนทุกครั้ง
“คุณค่ารถยังไม่จ่าย” สารถีคนขับท้วง เพราะผู้โดยสารเรื่องมากทำท่าจะเดินหนี
“จ่ายเงินค่ารถให้ฉันด้วย...” นางหันมาสั่งรัชนีซ้ำ เมื่อหล่อนผู้นั้นกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างกระเป๋าใหญ่ๆ หลายสิบใบ
“ไม่ต้อง!! แม่นี... วางกระเป๋าพวกนั้นไว้ตรงนั้นแหละ หากคุณพิเขาอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่ ก็ให้เขาขนเอง...”
ทะนงกล่าว เขามองภรรยาตัวเองตาขวาง
“เอะ!! คุณพี่นี่ยังไง มันขนกระเป๋าให้น้องก็ถูกแล้วนี่คะ เมื่อบ้านนี้ไม่มีคนใช้ มันทำก็ถูกแล้วนี่”
นางหันมาตวาดสามี
“จะทะเลาะกัน จะตกลงอะไรกันก็ช่างเถอะครับ เอาค่ารถผมมาก่อน ผมจะได้ไปที่อื่นต่อ อย่าโยกโย้น่าคุณนาย”
สารถีหน้าดุพูดแทรก ผัว-เมีย จะทะเลาะตบตีกัน เขาไม่เกี่ยว เขาต้องการแค่สตางค์ค่าโดยสาร นอกนั้นใครจะทำอะไรก็ช่าง
“จ่ายสิยะ ยืนบื้ออะไรอยู่” พิไลหันไปตะคอกรัชนี
มารดาวันวาดจึงสอดมือล้วงในกระเป๋ากางเกงเพื่อควานหาสตางค์
“หมดตัวมาเลยเรอะคุณพิ ได้ข่าวมาแว่วๆ ว่าคุณพิริอ่านเดินตามรอยฉันหรือ?”
ทะนงเปรย เขาถอนใจเฮือก มองภรรยาที่เคยมีสติด้วยสายตาทดท้อ
“น้องก็แค่ฝึกสมอง...เหมือนที่คุณพี่เคยอ้างไงคะ”
พิไลตอบเสียงแผ่ว เธอเสก้มหน้าหลบสายตาสามี
รัชนีจัดการจ่ายเงินค่าโดยสารแทนพิไล เพราะดูแล้วพิไลคงไม่มีสตางค์ติดตัว สภาพของภรรยาตีทะเบียนของสามีแทบดูไม่ได้ จากคนที่เคยแต่งตัวเฉิดฉาย ใบหน้าเนียนใสเพราะเครื่องสำอาง บัดนี้ทรุดโทรมแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม รอยยับย่นตรงหางตาและเหนือหน้าฝากมีให้เห็นมากขึ้นกว่าเดิมจนน่าตกใจ
“เหอะ!! แต่ที่ฉันรู้มา มันไม่ใช่แบบนั้นสิคุณพิ”
เป็นครั้งแรกที่ทะนงเสียงแข็งใส่ภรรยา
“จะอะไรกันนักคะคุณพี่ น้องก็แค่หัดเล่น” สาวใหญ่เถียงกลับ หล่อนแสร้งทำปั้นปึ่งใส่ “แม่นี!! ฉันมาก็นานล่ะ ไม่คิดจะหาน้ำหาท่ามาให้กินกระกระหายบ้างรึ?” นางหันไปตวาดรัชนี เพราะหญิงสาวเป็นลูกไล่ และสามีไม่เคยว่า เมื่อเกรงอกเกรงใจ ในฐานะที่รัชนีเป็นเมียรอง
“มือ เท้า ก็มี เดินไปหากินเองสิคุณพิ...บ้านนี้ไม่มีคนรับใช้ ต้องช่วยตัวเอง”
และเป็นอีกครั้งที่ทะนงออกรับแทนภรรยารอง พิไลหันมามองสามีตาขุ่น
“อะไรกันคะ!! น้องเคยใช้มันนี่ ทำไมจะใช้ไม่ได้”
นางถามเสียงเขียว
ทะนงสูดลมหายใจแรงๆ เขามองสบตาภรรยาแต่ง “นั่นมันเมื่อก่อน เวลานี้คือปัจจุบัน และรัชนีเป็นเจ้าบ้าน ไม่ใช่พี่หรือเธอนะคุณพิ” ชายสูงวัยตอบ เขายิ้มอ่อนๆ มุมปาก เมื่อท่าทางของพิไลน่าขัน หล่อนอ้าปากหวอ หันขวับไปมองรัชนีที่ยืนอยู่เยื้องๆ ตาโปน
“อะ อะไรกัน น้องไม่เชื่อ...ทำไมคะ ทำไม!!”
สาวใหญ่ถามกลับเสียงหลง
“ก็อย่างที่รู้ บ้านหลังนี้พี่เอาไปจำนองไว้กับญาติคุณพิ...แต่เวลานี้รัชนีเขาไปถ่ายคืนมาแล้ว ดังนั้นบ้านหลังนี้ก็เป็นของเขาไปโดยปริยาย ที่นี้คิดจะทำอะไรก็เกรงใจเจ้าของบ้านเขาด้วย หากรัชนีเขาไม่พอใจ จะไล่คุณพิออกจากบ้าน พี่ก็คงช่วยไม่ได้”
ทะนงอธิบายรายละเอียด โดยที่รัชนีส่ายหน้า นางไม่เห็นด้วยกับความคิดของสามีเลย บ้านก็ยังเป็นบ้านของทะนงเช่นเดิม ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วทำไมสามีถึงบอกกับภรรยาแต่งของเขาแบบนั้น
“น้องไม่เชื่อ!! แม่นี่จะมีเงินได้ยังไง ไม่ใช่น้อยๆ คุณพี่โกหกน้องเพราะไม่อยากให้น้องข่มมันสิ”
นางยิ้มเย้ย รัชนีอยู่แต่ในบ้าน ยอมเป็นที่รองมือ รองเท้านาง งานการก็ไม่ได้ทำ ทำตัวประหนึ่งสาวใช้มาตั้งแต่เดินเข้ามาอยู่ใต้ชายคาพิศิษรุ่งเรือง...แล้วคนอย่างรัชนีจะมีสมบัติพัสถานได้ยังไง...
“ไม่เชื่อก็กลับไปถามญาติคุณพิสิ เราไปไถ่บ้านคืนมาหรือยัง...”
ทะนงไหวไหล่ เขาหันไปพยักหน้าให้รัชนี “ไปเขาบ้านกันเถอะแม่นี แดดตรงนี้ร้อน...ทำงานค้างอยู่ไม่ใช่รึ” ท่านมองเลยไปยังพิไลด้วยสายตาอ่อนเศร้า หล่อนกับเขาที่มีทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ แต่กลับไม่มีสามัญสำนึก หลงใหลอบายมุขจนครอบครัวเกือบล่มสลาย โชคดีที่มีบุตรเป็นอภิชาตบุตร วันวาดเป็นลูกกตัญญูโดยแท้ ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้โอบอุ้มเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่คนที่ยื่นมือเข้าช่วยกับเป็นบุตรสาวที่ท่านไม่ได้ใส่ใจ ผิดกับลูกบุญธรรมที่เคยหวังฝากผี ฝากไข้ ถนอมกล่อมเกลี้ยงมาอย่างดี กลับเนรคุณได้อย่างหน้าไม่อาย
พิไลยืนคว้าง...เธอกระทืบปลายเท้าบนพื้นแรงๆ ขัดอก ขัดใจไปหมด ไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัดได้แบบนี้
จากนี้ไปเธอจะทำอย่างไรกับชีวิตดี ไม่มีที่ไป เหลือแค่ที่นี่เท่านั้น แต่จะให้ยอมลงให้รัชนี มันก็สุดแสนจะลำบากใจ...แต่จะทำไงได้ เวลานี้นางไม่มีที่ไปจริงๆ
นางจึงก้มลงยกกระเป๋านับสิบใบด้วยตัวเอง ปากก็บ่นพึมพำไปด้วย เพราะรัชนีคงไม่ยอมช่วยนาง ตามคำสั่งของสามี
“เวรกรรมของฉัน หึ!! เพราะไอ้บ่อนเวรนั่นแท้ๆ เชียว มันโกงฉัน...ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ตกต่ำขนาดนี้หร๊อก!! อีลูกเวร!! อีกคน เลี้ยงมากับมือแท้ๆ แต่ไม่สำนึกบุญคุณกันเลย ฉันจะสาปแช่งแกให้ไม่มีความสุข...ให้ตกนรกหมกไหม้ ไม่มีที่ซุกหัวนอนเหมือนฉัน”
คำของแม่ เป็นเหมือนประกาศิต ถึงแม้จะไม้อุ้มท้องมา คำสาปแช่งนั่นก็มีผล...
พิไลจึงหอบหิ้วกระเป๋าและของใช้ส่วนตัว เข้าบ้านด้วยตัวเอง นางค้อนประหลับประเหลือกให้สามี เขามองเฉย ไม่คิดจะช่วย นั่งดูรายการโปรดที่กำลังแสดงอยู่ในทีวีจอใหญ่กลางบ้าน เหมือนไม่เห็นหัวนางเลย “น้องนอนห้องเดิมนะคะคุณพี่” นางกระแทกเสียงถาม ลดความรุนแรงลงเกือบครึ่ง “ตามใจ” ทะนงตอบแบบไม่ใส่ใจ เขาเองก็ไม่ได้นอนที่บ้านใหญ่ เวลานี้ข้าวของของทะนง ย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กของรัชนีจนหมด เมื่อหญิงสาวเป็นคนเดียวที่ไม่ทอดทิ้ง เวลาที่ตัวเองลำบาก ไม่ปริปากบ่น แม้จะไม่เคยทำดีให้ สร้างแต่เรื่องเดือดร้อนด้วยซ้ำ พิไลเดินปัง!! นางลากกระเป๋าของตัวเองไปแบบทุลักทุเล แล้วก็ต้องแทบร้องกรี๊ดๆ เมื่อห้องนอนว่างเปล่า...นางยกมือขึ้นปิดปาก ทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงด้วยความอ่อนแรง...จะโทษใครล่ะ เพราะข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้นั้น นางขนออกไปจนหมด และมันก็แปรสภาพเป็นเงิน ให้นางไปละลายทิ้งในบ่อน... น้ำตานางไหลริน... แต่ก็ยังไม่วายแช่งชักหักกระดูกทุกคน...ทั้งสามี รัชนี หรือแม้แต่พิไลลักษณ์ ทุกคนทำให้นางมีสภาพเช่นนี้ กว่าจะทำใจได้ก็ต่อเมื่อท้องร้องโครกคราก...เพราะมัววุ่นวาย
“แกกับแม่ไปรวยอะไรมาล่ะ หรือว่า...” นางยกมือขึ้นกอดอก มองวันวาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มุมปากกระตุกยิ้มหยัน เมื่อพอจะเดาวิธีหาเงินของสองแม่ลูกได้...ไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปอย่างที่นางนึก เมื่อวันวาดวนเวียนอยู่กับมหาเศรษฐีหนุ่ม ถึงข่าวว่าพิการเดินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ต้องการผู้หญิง... วันวาดหน้าร้อนวูบ!! พิไลเดาไม่ผิด แต่มันไม่ใช่ความผิดเธอ ที่ทำก็เพื่อช่วยทุกคน “ไอ้อ่อนนั่นมันคงเปย์ให้แกไม่น้อย แบ่งให้ฉันใช้บ้างสิ...อย่างกเลยน่า” นางยิ้มเย้ย ลดเสียงลง แต่แววตาวาววับ “คุณพิ!! ที่พูดนะปากเหรอ!!” ทะนงเดินออกมาจากพุ่มไม้ เขาไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่กำลังพรวนดินใต้ต้นไม้อยู่ สิ่งที่ได้ยิน...ชายสูงวัยนึกกังขา แต่เวลานี้ท่านสมควรปกป้องลูก แล้วค่อยสืบหาความจริงทีหลัง ทะนงรู้สึกเจ็บแปลบๆ ในอก...หากเป็นอย่างพิไลพูด เขาเอง...เขานี่แหละเป็นคนถีบวันวาดลงนรก... “คุณพี่!! หรือไม่จริงคะ ค่าจำนองบ้านนะไม่ใช่น้อย สองแม่ลูกที่จ๊นจน!! จะไปหามาจากไหน ถ้าไม่ใช่...ขายตัว” นางหันไปตวาดสามี เสียงแหลมปรี๊ดแววตาเรืองรอง “ถ้าวาดทำจริง
ชายหนุ่มข่มความเจ็บแปลบ ทุกย่างก้าวเหมือนเดินบนก้อนกรวด มันเจ็บแปลบจนเหงื่อตก “วาดดีใจต่างหากล่ะคะ” หญิงสาวช้อนสายตามองเขายิ้มๆ เธอล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อไหลรินข้างขมับของโจนาธานจนชุ่ม “ดีใจที่ฉันมารึ?” เสียงกระเซ้าพร้อมกับมุมปากที่ขยับยิ้ม “บ้า!! วาดดีใจที่คุณเดินได้ ไม่เกี่ยวกับการที่คุณมาเลย...เออ...ว่าแต่มาทำไมคะ หรือว่า...” หญิงสาวไม่อยากเดา เธอหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องร้าย เมื่อประสบเรื่องร้ายๆ มามากเกินรับไหว “คิดอะไรน่ะ...ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอก ให้ผู้ใหญ่คุยกันก่อน เธอนะรู้ทีหลังดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบกำกวม วันวาดขมวดคิ้ว เธอมึนไปหมด ไม่รู้เจตนาของโจนาธาน เขาไม่เคยแย้มพรายให้รู้สักนิด “ใครมากันล่ะวาด หน้าไม่คุ้น” ทะนงทัก เขาหยุดรอพร้อมกับภรรยาสองคนที่ยืนขนาบข้าง “สวัสดีค่ะคุณ อิฉันเป็นแม่ของโจเค้า...มาเรื่องของเด็กๆ ค่ะ” มาดามรินรำไพรีบแจ้งเจตนา เธอยิ้มหวานเป็นทัพหน้า และได้รับการตอบรับอย่างดี เมื่อคนที่โตๆ แล้วย่อมรู้ดี...เพราะการที่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาบ้านของฝ่ายสาว คงไม่พ้
สวนหย่อมข้างบ้าน มีพรรณไม้ประดับชูช่อสลอน กลีบดอกแย้มบานรับแสงอาทิตย์ที่ทอดแสงอ่อนๆ ลงมา บรรยากาศรอบตัวสดชื่น มีกลิ่นหอมๆ ของเกสรดอกไม้ลอยฟุ้ง ชายหนุ่มยืนตัวตรง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่มีสีส้มๆ ปนเปอยู่ในระดับหนึ่ง อากาศตอนเช้าตรู่เย็นสบาย จนพลอยทำให้โจนาธานพลอยรู้สึกสดชื่นไปด้วย เสียงย่ำเท้าเบาๆ ของวันวาดดังขึ้น เมื่อหล่อนเดินมาถึง ชายหนุ่มเปรยเสียงขรึม... “เราสองคนเริ่มต้นไม่ดีเท่าไร แต่ฉันคิดว่า อนาคตต่อไปนี้ ฉันดูแลเธอแทนพ่อ แม่ได้แน่ หากเธอวางใจยอมตกลงปลงใจกับฉัน” แม้จะเป็นคำหวาน เมื่อเป็นคำร้องขอจากผู้ชายคนหนึ่งที่คิดจะปกป้องดูแลตัวเองนับจากวันนี้ จนถึงในอนาคต แต่...โจนาธานก็ยังเป็นโจนาธาน ในคำร้องขอนั่น ก็ยังมีความผยองปนอยู่ด้วย... วันวาดนิ่ง เธอก้มหน้าลงพร้อมกับคิดตาม.. “ฉันไม่ใช่คนดีเท่าไรหรอก!! เป็นคนขี้โมโห เอาแต่ใจ...แต่ความจริงใจฉันมีเต็มเธอก็คงเห็นแล้ว ฉันไม่สัญญานะว่าปรับตัวให้ดีขึ้น สันดานฉันเป็นแบบนี้เอง แต่ฉันเชื่อว่าตัวเองเหมาะที่จะดูแลเธอที่สุด...เมื่อเราสองคน...” ชายหนุ่มหยุดพูด เขาหมุนตัวกลับมามองวันวาด “การที่คุณมา...เ
“น้องผิดเองค่ะ เพราะน้องพิไลเลยเป็นแบบนี้” นางโทษตัวเอง เพราะเป็นคนชักจูงให้พิไลลักษณ์ได้พบเจอกับเสี่ยกวง “เวรใคร กรรมมันน่าคุณพิ...พิไลได้รับโทษทัณฑ์ตามการกระทำของเขา อย่าคิดมากเลย” ชายสูงวัยปลอบใจ...มันเป็นเวรกรรมที่แต่ละคนต้องแบกรับ ผลจากการกระทำของตัวเอง...พิไลลักษณ์เลือกทางนั้น มันก็สุดปัญญาที่ใครจะช่วยได้...หล่อนเลือกทางผิดมาตั้งแต่แรก... โจนาธานเป็นอีกคนที่รับรู้ข่าวแล้วสลดใจ เขายังไม่ทันได้ตามเอาคืนเสี่ยกวง มัจจุราชก็มาคร่าชีวิตเสี่ยใหญ่ไปเสียแล้ว เวรกรรมมีจริง เขาเพิ่งเชื่อ...และเวรกรรมเดี๋ยวนี้เร็วเหมือนติดจรวด...ตามจี้ตูด เอาคืนโดยไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า “ไงไอ้เสือ...มีอะไรหรือเปล่า?” เบนเดินมาตบบ่าโจนาธาน เมื่อน้องชายนั่งนิ่งผิดปรกติ “เสี่ยกวงตายแล้วเบน...” ชายหนุ่มเปรย “หือ...เป็นไรตายวะ...แต่ก็สมควรหร๊อก!!” เบนครางรับ เขาวิจารณ์ต่อ...พฤติกรรมของเสี่ยกวง สุ่มเสี่ยงกับความเป็นความตาย เบนคาดไว้...แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ “ผมยังไม่ทันได้เอาคืน...มาตายเสียได้...” ชายหนุ่มบ่น “อโหสิให้มั
บทที่16.ฮันนีมูน3เดือนต่อมา... งานวิวาห์ของโจนาธานสำเร็จลงด้วยดี เขาได้สาบานตนต่อหน้าพระเจ้า และให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่เข้มแข็ง จะนำพานาวาชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง ในแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งทำได้ ถึงวันวาดจะยอมตกลงปลงใจแต่งงานด้วย แต่ระหว่างรองานวิวาห์ หญิงสาวก็ยังครองตัวเป็นอย่างดี ที่ยอมให้โจนาธานก็แค่ ‘จูบ’ แต่จะไม่เกินเลยไปกว่านั้น ดังนั้นระหว่างรอ ความกระหายหิวของชายหนุ่มจึงถูกกดเก็บไว้ในอกจนล้นปริ่ม และรอเวลาที่จะปลดปล่อยด้วยความกระตือรือร้น ฮันนีมูลแสนหวาน...คือวันที่โจนาธานตั้งตารอ... เขาเลือกมัลดีฟส์... เพราะเป็นสถานที่ที่วันวาดไม่มีขออ้างที่จะหนีไปทางไหนได้ เมื่อรอบๆ ตัวมีแค่ทะเล... รอยยิ้มแปลกๆ นับตั้งแต่ออกเดินทาง...ของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี เล่นเอาพยาบาลสาวขนลุกชัน เขาไม่ได้เรียกร้องอย่างที่เธอหวั่นกลัวตลอดระยะเวลาที่เตรียมงาน หลังตกลงกันไปในระดับหนึ่ง โจนาธานเงียบสงบ ใช้ชีวิตปกติ เขาออกกำลังกายหนักขึ้น เธอได้แต่ห่วงลึกๆ แต่วันวาดรู้ ใต้ความเงียบนั่น คือภูเขาไฟที่รอเวลาปะทุ!!
เธอล้มโครมลงไปบนพื้น แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ เมื่อคนตัวใหญ่กลายเป็นเบาะนุ่มๆ รองรับเธอไว้พอดี เธอนอนอยู่บนอกแน่นๆ ของสามี ที่เปลือยเปล่า และแน่นตึบ “คุณเฟิร์มหุ่นมาเหรอ...แน่นไปหมดเลยค่ะ” ปลายนิ้วซุกซน กรีดเบาๆ ลงบนแผ่นอก พร้อมกับสัพยอกเสียงขัดเขิน “แหงสิ!! ฉันจะทำอะไรได้นอกจากออกกำลัง เมื่อความต้องการอัดแน่นอยู่ในอก แต่คนใจร้ายไม่ยอมให้ปลดปล่อย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกระเส่า เขาสูดปากครางเบาๆ เมื่อปลายนิ้วของวันวาด กำลังทำให้สติของเขาขาดผึ่ง หญิงสาวหัวเราะคิก เธอเอียงใบหน้าแนบแก้มกับแผ่นอกเปลือยเปล่า โจนาธานพลิกตัวกลับเร็วๆ เขาโหย่งตัวขึ้น และเหวี่ยงวันวาดขึ้นไปพาดอยู่บนบ่า ก่อนจะโยนเธอไปบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง “อุ้ย!!” “เธอควรหาอะไรกินก่อนนะวาด...เพราะไม่อย่างนั้น เธอคงไม่มีโอกาสได้มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากฉัน” ผู้ชายเปลือยอก เดินไปหยิบผลแอปเปิ้ลสีแดงสดบนโต๊ะกลางห้อง เขาหยิบผลไม้สีแดงสดมาหนึ่งลูก ยกขึ้นกดที่เรียวปาก ก่อนจะโยนให้ภรรยาคนสวยด้วยความหวังดี หล่อนควรหาอะไรลองท้อง...เพราะไม่อย่างนั้น...สิ่งที่ปากของหล่อนจะท
ไม่ว่าจะโซฟาในห้องโถง ระเบียงด้านนอกห้องยามท้องฟ้ามืดมิด หรือห้องน้ำเย็นฉ่ำ เตียงนอนนุ่มนิ่ม โจนาธานทำให้ทุกที่กลายเป็นสนามรบ เขาฟัดเธอแบบไม่คิดจะหยุดพัก วันแรกของเธอ...วันวาดสำรักความสุข หลายครั้ง จนนับไม่ทัน เธอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทันได้รู้ตัว รู้แค่ว่า ทันทีที่ลืมตา... เธอก็ทำได้แค่คราง... “อ่า....” เพราะนอกจากความแข็งขึงของโจนาธานแล้ว เธอไม่เคยได้แตะต้องอะไรอีก เขาบริการเธออย่างดี ไม่ต้องหยิบจับอะไร ไม่ว่าจะอาบน้ำ กินข้าว โจนาธานจัดให้ สิ่งเดียวที่โจนาธานไม่ทำ...คือเขาไม่ให้เธอใส่เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางของเธอกับของโจนาธาน ถูกวางไว้ที่เดิม...มันไม่ได้ถูกเคลื่อนที่ และก็ไม่ได้รับการเหลียวแลวันที่2...ของทริปฮันนิมูล เสียงคลื่นดังแว่วๆ อยู่ในหู วันวาดปรือตามอง เธอครางเสียงระโหย เมื่อรู้สึกระบมไปทั้งตัว กล้ามเนื้อเธอตึง แขนขา อ่อนแรง...เหมือนกระดูกทุกส่วนถูกป่นเป็นผง... “อรุณสวัสดิ...ทูนหัว” ใบหน้าระรื่นของสามีกับกลิ่นหอมของอาหารเช้าที่ลอยมาแตะตาแตะจมูก ถาดใส่อาหารถูกวางลงบนผิวที่นอน วันวาดผงกศีรษะขึ้นมอง เธอ