“ได้ ถ้าคุณลืม ผมจะทบทวนว่าเราเป็นอะไรกัน”
คนตัวเล็กขยับตัวดิ้นรนทำให้กระโปรงร่นขึ้นเห็นเรียวขาขาวผ่อง โจวเจียอีใช้มือเพียงข้างเดียวก็รวบข้อมือสองข้างของเธอกดไว้เหนือศีรษะแล้วโน้มหน้าลงจูบกลีบปากที่พูดจาแทงใจเขาเหลือเกิน ไอร้อนจากกายเขาผสานกับกลิ่นน้ำหอมเกิดเป็นกลิ่นกายเฉพาะตัว คล้ายปลุกเร้าความทรงจำในค่ำคืนนั้นให้หวนกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวหน้าตาแตกตื่น คราวนี้เธอกลัวเขาขึ้นมาจริงๆ ร่างกายของเธอแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ โจวเจียอีรับรู้ได้ว่า การกระทำของตนทำให้เธอตกใจ จึงจำใจผละจากริมฝีปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยแล้วถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แต่เพราะเตียงเล็กทำให้เขาต้องดึงเธอมากอดไว้
“ขอโทษ...”
“คะ?”
“คุณกลัวสินะ”
“หมิวตกใจค่ะ” เธอสารภาพ “เรา...เราค่อยเป็นค่อยไปได้ไหม”
“อื้ม...” เขากอดเธอแน่นขึ้น “ถึงยังไงตอนนี้ผมก็มีอะไรกับคุณไม่ได้”
“คะ?” เธอผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่ม “คุณไม่สบายเหรอ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
โจวเจียอีหัวเราะ ก่อนจูบหน้าผากเธอเบาๆ
“เปล่า ผมแต่ไม่ได้เตรียมตัวมามีเซ็กส์กับคุณ”
“คุณ...พูดตรงไปหรือเปล่า” คราวนี้เธอหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ
“ผมเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ” เขายืนยัน “ผมไม่เตรียมถุงยางอนามัยมาด้วย ของผมมันขนาดพิเศษ ร้านสะดวกซื้อไม่มีขาย”
คราวนี้ธีรยาอ้าปากค้าง ผู้ชายคนนี้ช่างพูดเรื่องน่าอายได้หน้าตายจริงๆ
“แต่ถ้าคุณต้องการ ผมโทรสั่งเจสันให้เอามาส่งที่นี่ได้นะ” เขายิ้มกริ่ม “หรือถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมไม่ใส่ก็ได้ แน่นอนว่าผมพร้อมรับผิดชอบคุณอยู่แล้ว”
“ไม่ต้อง!” เธอทุบแผ่นอกเขาแก้เก้อ “ทำแบบนี้บ่อยเหรอคะ”
“แบบไหน?”
“ใช้เจสันไปเอาถุงยางมาให้เนี้ย”
“ผมพูดความจริงแล้วคุณจะรับได้ไหมล่ะ”
เธอนิ่งงันไปเล็กน้อย มันก็จริงนะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เธอไม่ควรถามอะไรแบบนี้เลย
“ถือว่าไม่ได้ถามแล้วกันค่ะ”
“ผมจองคิวดินเนอร์เย็นวันศุกร์ คืนวันศุกร์ถึงวันเสาร์คุณอยู่กับผมทั้งวัน วันอาทิตย์คุณจะได้พักผ่อน วันจันทร์ไปทำงานได้ปกติ”
“เอ่อ...คุณวางแผนไว้แล้วเหรอ”
“ผมกลัวคุณเหนื่อยเพราะผมตั้งใจกินคุณอยู่แล้ว” เขายิ้ม ดวงตาเปิดเผยความต้องการอย่างเต็มเปี่ยม
“แล้วคุณไม่เหนื่อยหรือไง” เธอขมวดคิ้ว “งานคุณก็ยุ่งไม่ใช่เหรอ”
“เป็นห่วงผมเหรอ”
“ก็...”
“ดีจังที่คุณใส่ใจผม”
“หลงตัวเอง”
“ผมอยากให้คุณหลงผมมากกว่า”
เสียงหัวเราะและร่างกายที่ผ่อนคลายลงทำให้โจวเจียอีแอบโล่งอก เขาไม่อยากให้กระต่ายน้อยกลัวเขาเหมือนที่ผู้หญิงคนอื่นเป็นกัน เขาชอบช่วงเวลาที่เธอเป็นตัวของตัวเองและไม่ได้สนใจว่าเขาคือโจวเจียอี- ผู้ชายที่หลายคนหวาดกลัว
“วันศุกร์รับนัดได้ค่ะ” เธอพยักหน้ากับแผ่นอกของเขา เมื่อครู่เธอกลัวเขาจริงๆ แต่เวลานี้เธอผ่อนคลายลงมากแล้ว “แต่เดือนหน้าจะทำตัวเถลไถลไม่ได้แล้วนะคะ หมิวจะทำงานพิเศษหลังเลิกงานค่ะ”
“ทำงานพิเศษ?”
“หมิวสมัครทำงานห้องแล็บเอกชนค่ะ ไม่ผิดกฎของที่ทำงานปัจจุบัน สามารถไปทำงานเอกชนนอกเวลาราชการได้”
“คุณต้องใช้เงินเหรอ มีอะไรก็บอกผมมาได้” เขาถามน้ำเสียงเจือความกังวล “ที่ทำงานใหม่จ่ายคุณเท่าไหร่ ผมจ่ายให้สองเท่าหรือสามเท่าก็ได้ แต่คุณไม่ต้องไปทำงานที่นั้น”
“แล้วให้ไปทำงานกับคุณแทนเหรอ คุณจะให้หมิวทำอะไร”
“ก็อยู่กับผม ตามใจผม”
‘ทำไมฟังแล้วเหมือนถูกเขาผูกปิ่นโตยังไงไม่รู้’
ธีรยาขมวดคิ้ว คุยกับคนมีเงินนี่ก็คุยลำบากเหมือนกันนะ
“หมิวต้องใช้เงินก็จริง แต่เงินนั้นก็ต้องได้มาจากความสามารถของตัวเองด้วย หมิวไม่รู้เรื่องธุรกิจและทำอย่างอื่นไม่เป็น โลกของหมิวคือการตรวจชิ้นเนื้อ เลือด รวมทั้งสารคัดหลั่ง แม้แต่ปัสสาวะก็ต้องทำ นอกจากงานในห้องแล็บแล้วก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น”
“ผมไม่ได้ดูถูกคุณ แต่ผมเป็นห่วงไม่อยากเห็นคุณเหนื่อยเกินไป”
“เอาเป็นว่าหมิวรับความหวังดีของคุณไว้ก็แล้วกัน” เธอพูดแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง เตียงเธอมันเล็กเกินกว่าคนสองคนจะนอนเบียดกันจริงๆ
โจวเจียอียันกายขึ้นมานั่ง เขายกมือลูบแก้มเธอเบาๆ ผู้หญิงคนนี้ดูเปราะบางแต่ภายในเข้มแข็งไม่น้อย เธอจะรู้ไหมนะว่าเธอทำให้เขาชอบมากขึ้นอีกแล้ว
“คืนนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน วันศุกร์ผมจะไปรับที่ทำงาน”
“ไม่ต้องไปรับที่ทำงานไม่ได้เหรอ” เธอแอบเขินเพื่อนร่วมงานอยู่เหมือนกัน เพราะทุกคนอยากเห็นเจ้าของช่อดอกไม้และขนมของกินมากมายที่เขาส่งมาทุกวัน
“ไม่ได้ ผมกลัวคนอื่นมาแซงคิว” เขายิ้มแล้วยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากสวยอีกครั้ง “ไม่ต้องไปส่งผมหรอก ผมออกไปแล้วคุณก็พักผ่อนได้เลย”
“ไม่ต้องมาสั่ง” เธอเบือนหน้าหลบสายตาของเขา
ชายหนุ่มหัวเราะพอใจ ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย ธีรยาเดินมาส่งเขาที่ประตูเมื่อล็อกประตูเรียบร้อยแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนอน กลิ่นอายของเขายังคงอบอวลในห้อง ลึกๆแล้ว เธอก็ปรารถนาจะแตะต้องตัวเขาอยู่เหมือนกัน
คืนนั้นเพราะแอลกอฮอร์ล้วนๆ ทำให้เธอบ้าบิ่นขึ้นเตียงเขาได้ หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นนั่งตั้งใจจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เห็นเสื้อสูทของโจวจีเอียพาดที่เก้าอี้ เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเขาทันที
“อีริค คุณลืมเสื้อสูทไว้ที่ห้องฉันนะคะ”
“ผมไม่ได้ลืม ผมตั้งใจไว้ที่นั้น”
“อ้าว...”
“ก็เผื่อคุณพาใครมาที่ห้องจะได้รู้ไงว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว” เขาหัวเราะในลำคอ “อีกอย่าง เผื่อคุณคิดถึงผม จะได้นอนกอดเสื้อผมไง”
“บ้า!”
หญิงสาวกดปิดโทรศัพท์แล้วนั่งมองเสื้อสูทเรียบหรูของเขา ครู่หนึ่งเธอก็หัวเราะออกมา ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตเรียบง่ายที่ห่วงแหนจะมาเจอเรื่องวุ่นวายหัวใจแบบนี้.
...
ก้องภพเดินเร็วๆ มาหาธีรยา หญิงสาวสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากแผนกของตนพอดี รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นเมื่อเห็น ‘พี่ชาย’ มาหา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้ว รอยยิ้มก็จางลงไปทันที
“พี่หมอก้อง...”
“ทำไมทำอะไรไม่ปรึกษาพี่”
“คะ?” ธีรยางุนงงกับถ้อยคำที่ได้ยิน “พี่หมอก้องพูดเรื่องอะไรคะ?”
“ก็เรื่องหมิวไปทำงานที่แล็บเอกชนไง”
เขาหายใจแรงเพราะกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหา ทันทีที่ได้ยินจากปากผู้หลักผู้ใหญ่ว่าธีรยาจะไปทำงานที่แล็บเอกชนแห่งหนึ่ง
“อ้อ...หมิวไปทำงานนอกเวลาราชการค่ะ ไม่กระทบงานประจำแน่นอน ที่สำคัญหมิวก็แจ้งหัวหน้าแล้ว ท่านก็รับทราบและอนุญาตเรียบร้อยค่ะ”
“ปกติเรามีอะไรปรึกษาพี่ก่อนไม่ใช่เหรอ” เขายกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด
“ก็...” ธีรยาไม่เข้าใจสีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจของก้องภพ “ก็หมิวเคยปรึกษาแล้วนี่คะ พี่หมอก้องยังบอกว่าหมิวโตแล้ว ตัดสินใจเองได้ไม่ต้องปรึกษาพี่ทุกเรื่อง”
เธอขมวดคิ้วสีหน้ายุ่งเหยิง แอบคิดในใจว่าเขาจะมาแสดงความยินดีที่เธอก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ทำไมต้องทำหน้าโมโหอย่างนี้ด้วยนะ คราวนี้ก้องภพนิ่งงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาจะเคยพูดประโยคนี้จริงๆ ทำไมเขาต้องรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น ทั้งที่เวลาเธอมีเรื่องอะไรจะมาปรึกษาเขาเป็นคนแรกเสมอ และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหัวเสียจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ่มต่ำดังจากด้านหลัง ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้แล้วถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่มองอย่างไม่พอใจนัก แต่กระนั้นก็ยังก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ตนนัดหมายไว้ “ไม่มีอะไรค่ะ” ธีรยาตอบด้วยรอยยิ้ม “มาเร็วจัง” “มาเร็วไม่ดีหรือ?” โจวเจียอีถามแล้วยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คของหญิงสาว เธอย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปแนะนำให้รู้จักกับผู้ชายที่เธอยืนคุยก่อนที่เขาจะมาปรากฏตัว “อีริคค่ะ นี่พี่หมอก้องค่ะ เป็นรุ่นพี่หมิวเอง” เธอแนะนำง่ายๆ แล้วหันไปทางหมอก้องภพ “พี่หมอก้องคะ นี่...” “ผมแซ่โจวชื่อเจียอี ส่วนชื่ออีริคเรียกเฉพาะค
“พี่ชายที่ไหนจะหึงน้องสาวขนาดนี้” เขาจ้องตาเธอ แต่หญิงสาวส่ายหน้าไปมา“หึง? เข้าใจผิดแล้ว พี่หมอก้องกำลังจะแต่งงาน ก็หมิวเลือกชุดใส่ไปงานแต่งงานก็งานแต่งงานของพี่หมอก้องนี่แหละ”“ผู้ชายด้วยกันเรื่องแค่นี้มองออก แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ยอมปล่อยมือจากคุณเด็ดขาด”เขายืนยันด้วยแววตาในขณะที่ปลายนิ้วแตะต้องที่กางเกงชั้นในตัวน้อยที่ปกปิดเนินเนื้ออวบอิ่ม เธอรีบตะครุบมือเขาไว้แต่มันก็ยังช้าเกินไป เขาแทรกนิ้วกร้านเข้าไปในร่องสาวและขยับนิ้วเป็นจังหวะทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แต่นั้นยิ่งทำให้เขาขยับนิ้วหนักหน่วงมากขึ้น“อึก...คุณ...อิริค..อ๊ะ!”ธีรยาเอนหน้าซบกับบ่าแล้วกัดเสื้อของเขาเพื่อกลั้นเสียงครางของตัวเอง แม้รู้ว่ามีกระจกกั้น แต่ไม่รู้ว่าจะเก็บเสียงร้องที่น่าอายนี้ได้หรือไม่ ยิ่งเธอกลั้นเสียงร้องเขาก็ยิ่งสาวนิ้วเร็วขึ้น เธอแอบเห็นสีหน้าพอใจของเขาแล้วก็หงุดหงิดที่ตัวเองไม่เคยต้านทานเขาได้สักครั้ง มือเรียวดึงปกเสื้อเชิ้ตออกเพื่อให้เห็นลำคอของเขาก่อนจะอ้าปากกัดเข้าไป“อา...ยัยหอยทาก คืนนี้คุณไม่ได้นอนแน่”“อ๊ะ..อ๊า” เธอได้แต่ส่งเสียงอู้อี้กับลำคอของเขาพร้อมร่างที่เกร็งกระตุก ถูกเขาส่งใ
เธอช้อนตาขึ้นมองอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นแววตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับอนุญาตให้ทำได้ตามใจ เธอจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออก เผยให้เห็นแผงอกกำยำและรอยสักรวมทั้งหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ “อนาโตมี่สวยจริงๆ” เธอพึมพำไม่รู้ตัว “ผมเพิ่งเคยถูกชมแบบนี้เป็นครั้งแรก”เขาครางเสียงต่ำเมื่อปลายนิ้วไล้บนแผ่นอก พระเจ้า! เธอจะรู้ไหมว่าการสัมผัสแผ่วเบาแต่ปลุกเร้าเขามากแค่ไหน เหนือการคาดหมายเมื่อริมฝีปากสวยประทับที่ยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจาง ปลายลิ้นไล้เลียก่อนดูดดึงเบาๆ เสียงครางแผ่วจากลำคอของชายหนุ่มทำให้ธีรยาใจกล้าขึ้น เธอโยนความกลัวทิ้งไปเสื้อผ้าที่เขาปลดเปลื้องออกจนหมด เขาเหมือนขนมหวานราคาแพงที่เธอรู้ว่าไม่อาจได้ลิ้มรส แต่จะคิดมากไปทำไมในเมื่อเวลานี้เธอมีโอกาสกินให้เต็มที่ ทำที่อยากทำ ส่วนวันพรุ่งนี้คือเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แต่ถึงจะกล้าแค่ไหน เธอก็ยังเป็นแค่มือใหม่ แค่ปลดซิปกางเกงก็มือไม้สั่น เธอช้อนตาขึ้นมองเพื่อขอความช่วยเหลือ และเขาก็ใจดีไม่หัวเราะเยาะใส่ โจวเจียอีจับมือเรียวให้รูดซิปลงก่อนจะจับมือเธอให้สัมผัสแก่นกายที่อัดแน่นอยู่ใต้กางเกงชั้นใน ขนาด
เธอใกล้จะหมดแรงแต่เขากลับรัดเอวบางไว้แล้วเป็นฝ่ายเด้งเอวขึ้นสวน ร่างเล็กกระเด็นกระดอนอยู่บนร่างของเขา เธอกอดคอเขาไว้แล้วปล่อยให้เขากระแทกลำเอ็นใส่ เพียงพริบตาเขาก็ประคองแผ่นหลังของเธอนอนราบไปกับที่นอนโดยที่แก่นกายยังสอดใส่อยู่ เธอผวาเฮือกเพราะท่อนเนื้อร้อนระอุนั้นไถลเข้าไปลึกมาก เขาโยกสะโพกช้าลงแต่บดคลึงและสาวลำออกมาเกือบสุดก่อนกดกระแทกกลับเข้าไปใหม่ เสียงหวานครางกระเส่าไม่หยุด เหงื่อเม็ดโตไหลอาบร่างกำยำที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านบน สองขาเรียวโอบรัดเอวสอบอย่างไม่รู้ตัวโจวเจียอีซอยเอวดุดันและดิบเถื่อน เสียงครวญครางของคนใต้ร่างเร่งเร้าให้เขาขยับโยกจนร่างเธอสั่นคลอนตามแรงกระแทก ทรวงอกอวบอิ่มถูกบดเบียดจนแผ่งอกกำยำ ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเพื่อหายใจถูกเขาประกบจูบดูดกลีบอย่างเร่าร้อน ช่องทางคับแคบบีบรัดความเป็นชายจนเขาแทบคลั่ง ลมหายใจหอบกระชั้นดังอย่างต่อเนื่อง กลีบเนื้อสาวที่โอบรัดลำเอ็นบวมเป่งทั้งดูดกลืนและบีบรัดแก่นกายที่ขยายใหญ่ เขาไม่อาจต้านทานการตอบรับอย่างซื่อสัตย์ของเธอได้ ความเสียดเสียวที่ได้รับทำให้เขาขยับสะโพกกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรงก่อนจะถอนตัวตนออกมาจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลั
“สเต็กเนื้อวัว สลัดผักผักโขมอบชีสแล้วก็ไวน์แดง” เขาบรรยายเมนูอาหารของค่ำนี้ “หรูพอไหมครับ” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ระดับประธานโจวลงมือทำให้กินนี่ก็เรียกว่าหรูแล้ว” “ผมทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง” เขายอมรับ “ถ้าคุณไม่โอเค. เราสั่งอย่างอื่นมาได้นะ” “ก็บอกแล้วไงคะ ว่าหมิวกินง่ายอยู่ง่าย หรือไม่ก็...คราวหน้าให้หมิวทำกับข้าวให้คุณกิน” “คุณพูดเองนะ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วยกจานสเต็กมาวางบนโต๊ะอาหาร “ถึงหมิวจะเป็นหมอในห้องแล็บแต่ก็ถนัดใช้มีดนะคะ” เธอฉีกยิ้มใส่ “อ้อ! แต่หมิวทำเป็นแต่เมนูง่ายๆ นะ ตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ต้องช่วยแม่ครัวทำอาหารอยู่บ่อยๆ” “ขอแค่คุณทำให้ผมกิน ผมกินได้ทั้งนั้น” เขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งแล้วเดินไปหยิบแก้วมารินไวน์สองแก้ว “คุณ...จะไม่ใส่เสื้อหน่อยเหรอ” “ผมขี้ร้อน” เขายิ้มกริ่ม “ใส่เสื้อเถอะคะ หมิวไม่มีสมาธิกินข้าว” เธอย่นจมูกใส่ เขาหัวเราะแล้วเดินหายไปไม่กี่นาทีกลับมาพร้อมร่างสูงโปร่งที่สวมเสื้อยืดคอวีสีเข้ม เขาเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วรวบผมเธอเป็นมวยใช้ดินสอแทนปิ
“ผมสัญญา ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน”“อย่าเพิ่งสัญญาอะไรแบบนั้นเลย เราเพิ่งเริ่มต้นกันเอง”“แค่คุณให้โอกาสเริ่มต้น ผมก็ดีใจแล้ว” “ถ้างั้น...เรามาลองคบกันอย่างเป็นทางการดีไหมคะ” “ด้วยความยินดีและเต็มใจยิ่งครับ เติมไวน์อีกไหม?”“คุณจะมอมไวน์หมิวเหรอคะ” “ดื่มฉลองกับผมหน่อย ผมจีบหอยทากน้อยติดเสียที”“อิริค! หมิวไม่ใช่หอยทากน้อยนะ”เสียงหวานใสหัวเราะออกมาทำลายบรรยากาศ ห้องที่อึมครึมเหมือนเจ้าของห้องพลันเปลี่ยนไปทันทีที่มีหญิงสาวเข้ามาในห้องบางที...ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่ทำลายเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองออก แต่เป็นเขาเช่นกันที่เปิดใจ ‘รัก’ ใครคนหนึ่งจากหัวใจที่แท้จริง.......... หญิงสาวก้าวเร็วๆ จนแทบจะกลายเป็นวิ่งมาที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพียงผลักบานประตูเข้าไปก็กวาดสายตามองหาคนที่ต้องการพบ กำลังอ้าปากจะถามพยาบาลแต่ก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นตาเสียก่อนจึงรีบเดินเข้าไปหา ก้องภพรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้แต่ประสบการณ์ทำให้มีสมาธิจัดการกับแผลตรงหน้าจนเสร็จเรียบร้อย “เป็นยังไงบ้างคะ” ธีรยาเอ่ยปากถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นไรไกลหัวใจตั้งเยอะ”
“ไม่มีอะไร” ธีรยาหงุดหงิด แล้วตวัดตามองก้องภพอย่างขุ่นเคือง “ลูกน้องมีเรื่องต่างหาก แต่คุณโจวเป็นหัวหน้ามาไกล่เกลี่ยเสียค่าปรับให้ลูกน้องค่ะ” “ไม่ทันไรก็พูดแก้ต่างแทนกันแล้ว” ก้องภพทำเสียงเหอะในลำคอ “หมิวพูดเรื่องจริงต่างหาก” “เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเถียงพี่สักคำ เดี๋ยวนี้พูดถึงคนนั้นนี่กล้าเถียงแทนเลยเหรอ” “ก็...” “พี่ก้องคะ ผู้ใหญ่รออยู่นะคะ” เขมิกากระตุกแขนเสื้อของก้องภพเบาๆ ทำให้ก้องภพได้สติ เขาลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคว้ามือเรียวของว่าที่เจ้าสาวแล้วกึ่งลากกึ่งจูงออกไป “เกิดอะไรขึ้นเนี้ย” ปกป้องทำหน้างง แต่ที่งงกว่าคือคนที่เขาหมายตามาตั้งแต่เด็กมีแฟนโดยที่เขาไม่รู้!“หมิว...” “ค่อยคุยกันวันหลังก็แล้วกัน” เธอปวดหัวขึ้นมาตุบๆ ขึ้นมา “นายต้องกลับไปที่ทำงานอีกหรือเปล่า ยังไงคืนนี้ต้องระวังมีไข้ กินข้าวแล้วกินยาพักผ่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ โทรหาหมิวแล้วส่งโลเคชั่นมา หมิวจะไปดู เข้าใจนะ” “อืมๆ” ปกป้องอยากคุยกับธีรยามากกว่านี้แต่เขาต้องกลับไปทำรายงานที่เจ็บตัวนี่ก่อน “เดี๋ยวเราโทรนะ”
“สิบสองปีแล้วครับ”“โอ้ว! นานจริง แสดงว่าต้องรู้เรื่องของอีริคบ้างใช่ไหม” เธอเงยหน้ามองบอดี้การ์ดของโจวเจียอีด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง แต่ดวงตาหลังแว่นตากรอบหนาพราวระยับจนคนมองนิ่งงันไปชั่วขณะ“คือหมิวอยากรู้ว่าอีริคชอบกินอะไรบ้าง หรือไม่ชอบอะไร เผื่อหมิวจะทำให้เขาได้บ้าง”“อ้อ! เรื่องนั้นได้เลยครับ ถามผมได้ทุกเรื่องเลยครับ” เจสันรีบพูดขึ้น แบบนี้ถ้าบอสรู้เข้าต้องดีใจแน่ๆ“แล้วบอสของคุณมีผู้หญิงเยอะไหมคะ”“แค่กๆ...เรื่องนั้น””“ช่างเถอะค่ะ ถือว่าหมิวไม่เคยพูดแล้วกัน”เขาอายุสามสิบแล้ว ถ้าเคยมีแฟนมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ปัจจุบันต่างหากที่เธอต้องสนใจทั้งสองเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นสามตามที่ปกป้องบอกไว้ เจสันเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาทไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของห้องก็เปิดประตูมาพร้อมใบหน้าที่มีรอยช้ำ“เขียวแล้ว” ธีรยาอดเอานิ้วจิ้มที่มุมปากของเขาไม่ได้ “นายนี่มันเหมือนเด็กจริงๆ”“มาเยี่ยมหรือมาบ่น” ปกป้องเบ้ปากแต่เพราะเจ็บปากจึงเผลอร้องซี๊ดออกมา เขาปรายตามองไปยังชายชาวจีนสวมชุดสูทสีเข้มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ดูไม่เข้ากับปิ่นโตสีพาสเทลที่ถืออยู่“หมอนั้น...แฟนเธอเหรอ”“ไม่ใช่” ธีรยารีบปฏ