Share

Chapter 32. ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว

            “เอ่อ...”  เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก

            “ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว”

            “ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...”

            “ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ

            “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”  เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้  เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ

            “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง”

            “ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ”

            คราวนี้ชายหนุ่มยอมให้คนรักลุกจากตัก เธอยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปหยิบชุดสำลองในตู้เสื้อผ้า ห้องพิเศษระดับVIP แสนสะดวกสบาย โทรทัศน์ ตู้เย็น ห้องแอร์เย็นฉ่ำ หากไม่มีเตียงคนป่วยและอุปกรณ์พร้อมสรรพคงคิดไปว่าเป็นโรงแรมระดับห้าดาวแน่ๆ

            เธอเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนไม่ดูโป้และเหมือนอยู่กับบ้านเกินไปนัก มือเรียวหยิบแปรงหวีผมแล้วรวมด้วยผ้ารัดผมก่อนทาครีบบำรุงผิวแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอจัดการพับเสื้อผ้าที่ใส่แล้วใส่กระเป๋าใบย่อมที่หิ้วมาด้วย ตามด้วยหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ไม้แขวนเสื้อเพื่อให้ยับน้อยที่สุด งานรีดผ้าคืองานที่เธอไม่ชอบเลย พวกเสื้อกาวน์เธอส่งร้านซักรีด แต่ชุดอื่นๆ เธอรีดเองหมดเพราะประหยัดเงิน

            ออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าที่โซฟาว่างเปล่า เธอแปลกใจและกวาดตามองรอบๆ ในห้องนอกจากคุณกานดาแล้วก็ไม่มีใครอื่น  ธีรยาได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังแต่ไม่ใช่ของเธอ เป็นสมาร์ทโฟนของโจวเจียอี เธอคิดว่าอาจเป็นธุระสำคัญและเกรงว่าเสียงนั้นจะรบกวนคนที่หลับอยู่จึงคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกมาที่ด้านนอก  ดวงตาหลังแว่นตาหนาเตอะเห็นแผ่นหลังของโจวเจียอี เธอสาวเท้าเข้าไปหาแต่ยังไปไม่ถึงสมาร์ทโฟนก็เงียบเสียงไปแล้ว

            ทว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เบื้องหน้าเขามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ด้วยและข้างกายผู้หญิงคนนั้นคือเด็กชายอายุประมาณสิบสองขวบที่มีดวงตาสีน้ำตาลสวย เด็กน้อยมองเห็นเธอแล้วสะดุ้งโหยงไปหลบหลังหญิงคนนั้น แล้วสายตาของคนทั้งหมดก็จับจ้องมาทางเธอ รวมทั้งโจวเจียอีที่เอี้ยวตัวหันมามองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            ผู้หญิงคนนั้นพูดภาษาจีนที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง ปราดเข้ามาจับแขนธีรยาเขย่าอย่างลืมตัว ใบหน้าซีดเซียวนองด้วยน้ำตา  โจวเจียอีรีบเข้ามาขวางไว้ทันที

            “ได้โปรด ...ขอร้อง...”   ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางสะอึกสะอื้นเป็นภาษาไทยที่ฟังกะท่อนกะแท่น “ขอร้อง... ช่วยด้วย”

            “เรื่องนี้ผมจัดการเอง”  โจวเจียอีเผลอตวาดด้วยภาษาจีน หญิงคนนั้นสะดุ้งแล้วปล่อยมือจากแขนของธีรยาก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น

            “ซ่งไห่เทา!”  โจวเจียอีตะโกนออกมาอย่างเหลืออด เลขาหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาประคองหญิงคนนั้นให้ลุกขึ้นยืน “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก!”

            “ขอโทษครับบอส” ซ่งไห่เทาได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม เป็นความผิดของเขาจริงๆ ที่ไม่ดูแลสองแม่ลูกนี้ให้ดี หลุดรอดสายตามาพบบอสของเขาเข้าจนได้

            มือใหญ่จับไหล่กลมมนให้เดินพ้นจุดนั้น ธีรยาเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ขืนตัวเอง  แล้วจ้องหน้าเขาพลางเหลือบมองไปยังด้านหลังที่เด็กชายคนนั้นยืนห่อไหล่ด้วยท่าทีหวาดกลัว

            “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”

            “ผมอธิบายได้”  เขาระบายลมหายใจหนักหน่วง

            “เด็กคนนั้น...เป็นลูกคุณเหรอคะ”

            ชายหนุ่มนิ่งงันไปทันที เขาไม่คิดว่าเธอจะถามเขาแบบนี้

            “หมิว...”

            “เสียงดังอะไรกัน นี่มันโรงพยาบาลไม่ใช่ตลาดสดนะ หัดมีมารยาทกันบ้าง”

            เสียงคุณกานดาทำเอาทุกคนถึงกับตัวแข็งทื่อกลายเป็นก้อนหิน คุณกานดาหรี่ตามองไปยังผู้หญิงคนกับเด็กชายคนนั้นแล้วหันมาจ้องหน้าลูกชายตัวเอง

            “นี่แก...”

             ทั้งหมดเข้ามาในห้องผู้ป่วยของคุณกานดา แม้ยามนี้คุณกานดามีสถานะเป็นคนป่วยแต่เมื่อต้องนั่งเป็นอยู่ท่ามกลางผู้คน นางสามารถเชิดใบหน้าขึ้นและแสดงท่าทีเคร่งขรึมน่าเกรงขามออกมา

            “เอาล่ะ ตอนนี้มีแค่ ‘เรา’ แล้ว มีอะไรก็พูดมา” 

คุณกานดาเอ่ยแล้วกวักมือเรียกให้ธีรยามายืนอยู่ใกล้ๆ ราวกับแม่ที่พร้อมปกป้องลูกสาว ผิดกับโจวเจียอีมีสีหน้าอึดอัด ยิ่งเสียงร้องไห้ของผู้หญิงที่ยืนกอดเด็กอยู่ยิ่งน่ารำคาญ  เขาไม่ชอบผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้และพูดไม่รู้เรื่อง

            แต่เขาก็รู้ดี เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้นานแน่นอน  ที่ผ่านมาเขาก็กังวลใจมาตลอด  เขาสบตากับหญิงสาวที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมารดา สีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงแววกังวล เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้เธอต้องทุกข์ใจอย่างนี้

            “เจียอี”   เมื่อใดที่มารดาเรียกด้วยชื่อแบบนี้ทำให้คนฟังรู้ดีว่าหลบเลี่ยงอีกไม่ได้แล้ว

            “คุณแม่ทำใจดีๆ ก่อนนะครับ”  เขาพยายามคิดหาวิธีที่พูดที่ทะนุถนอมคนฟังที่สุด

            “ฉันอยู่โรงพยาบาล ถ้าจะเป็นอะไรก็ไม่ตายตอนนี้แน่ๆ”  คุณกานดาขึงตาใส่ “เด็กคนนั้นลูกใคร”

            “นี่โจวหมิงเจ๋อครับ ปีนี่อายุสิบสองขวบแล้ว”

            “อายุสิบสอง? นี่แกปิดเรื่องนี้มาสิบสองปีแล้วเรอะ แล้วนั้น...”  คุณกานดาปรายตามองไปยังผู้หญิงคนนั้น ดูแล้วอายุมากกว่าลูกชายนางเสียอีก

            “ไม่ใช่ครับแม่ คือโจวหมิงเจ๋อคือน้องชายของผม”

            “น้องชาย?”   ธีรยามีสีหน้างุนงงไม่เคยได้ยินว่าเขามีน้องชายมาก่อน

            คุณกานดาสูดลมหายใจลึกแล้วจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นก่อนจะส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมา

            “นึกอยู่แล้ว พ่อแกมีเมียน้อยจริงๆ”   คุณกานดาหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ตาแก่นั้นก็ดันมาชิงตายไปเสียก่อน “คงกลัวว่าแม่จะทำร้ายผู้หญิงและลูกของตัวเอง  แม้กระทั่งตอนตายก็ไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คุณพ่อเป็นห่วงความรู้สึกของคุณแม่มากจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย”

            “อ้อ! ก็เลยคิดว่าฉันโง่ดูไม่ออกว่าพ่อแกหายไปไหนงั้นสิ”  นางเค้นเสียงหัวเราะออกมา “รวมหัวหลอกฉันกันทั้งพ่อทั้งลูก!”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status