“เอ่อ...” เธออึกอักขึ้นมา ไปอยู่บ้านเดียวกันแบบนั้นไม่เท่ากับว่าสถานะเธอคือ ‘ลูกสะใภ้’ อย่างนั้นเหรอ มันไม่เหมือนเวลาเธอไปค้างที่คอนโดของเขาเป็นครั้งคราว เอ่อ ...หลายครั้งหลายคราวต่างหาก
“ขอโทษ ผมทำให้คุณอึดอัดอีกแล้ว”
“ไม่ใช่ค่ะหมิวแค่คิดว่ามันเร็วไปไหมคะ คือ...”
“ไปในฐานะแขกของท่านก็ได้ครับ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ ผู้หญิงคนอื่นอยากกระโจนมานั่งตำแหน่ง ‘สะใภ้ตระกูลโจว’ แต่เธอกลับลังเล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะก้าวเข้ามาใกล้เขา แต่จากคนที่ปิดใจและยอมให้เขากุมมือไว้อย่างนี้ก็นับว่า ‘ใกล้’ มากแล้วจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอไม่อาจปฏิเสธผู้มีพระคุณของตัวเองได้ เธอเผลอสบตากับดวงตาสีน้ำตาลของเขาแล้วเรื่องราวที่คุยกับปกป้องก็ผุดขึ้นมาในสมองรบกวนความคิดของเธอ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพราะเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก “คืนนี้ผมอยู่เฝ้าคุณแม่เองได้ คุณกลับไปนอนพักที่คอนโดผมดีกว่าไหม ผมจะให้เจสันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรคะหมิวอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า ท่าทางคุณก็เหนื่อยเหมือนกัน หมิวขอตัวเข้าห้องน้ำสักประเดี๋ยวนะคะ”
คราวนี้ชายหนุ่มยอมให้คนรักลุกจากตัก เธอยิ้มน้อยๆ แล้วเดินไปหยิบชุดสำลองในตู้เสื้อผ้า ห้องพิเศษระดับVIP แสนสะดวกสบาย โทรทัศน์ ตู้เย็น ห้องแอร์เย็นฉ่ำ หากไม่มีเตียงคนป่วยและอุปกรณ์พร้อมสรรพคงคิดไปว่าเป็นโรงแรมระดับห้าดาวแน่ๆ
เธอเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนไม่ดูโป้และเหมือนอยู่กับบ้านเกินไปนัก มือเรียวหยิบแปรงหวีผมแล้วรวมด้วยผ้ารัดผมก่อนทาครีบบำรุงผิวแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอจัดการพับเสื้อผ้าที่ใส่แล้วใส่กระเป๋าใบย่อมที่หิ้วมาด้วย ตามด้วยหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ไม้แขวนเสื้อเพื่อให้ยับน้อยที่สุด งานรีดผ้าคืองานที่เธอไม่ชอบเลย พวกเสื้อกาวน์เธอส่งร้านซักรีด แต่ชุดอื่นๆ เธอรีดเองหมดเพราะประหยัดเงิน
ออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าที่โซฟาว่างเปล่า เธอแปลกใจและกวาดตามองรอบๆ ในห้องนอกจากคุณกานดาแล้วก็ไม่มีใครอื่น ธีรยาได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังแต่ไม่ใช่ของเธอ เป็นสมาร์ทโฟนของโจวเจียอี เธอคิดว่าอาจเป็นธุระสำคัญและเกรงว่าเสียงนั้นจะรบกวนคนที่หลับอยู่จึงคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วเดินออกมาที่ด้านนอก ดวงตาหลังแว่นตาหนาเตอะเห็นแผ่นหลังของโจวเจียอี เธอสาวเท้าเข้าไปหาแต่ยังไปไม่ถึงสมาร์ทโฟนก็เงียบเสียงไปแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว เบื้องหน้าเขามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ด้วยและข้างกายผู้หญิงคนนั้นคือเด็กชายอายุประมาณสิบสองขวบที่มีดวงตาสีน้ำตาลสวย เด็กน้อยมองเห็นเธอแล้วสะดุ้งโหยงไปหลบหลังหญิงคนนั้น แล้วสายตาของคนทั้งหมดก็จับจ้องมาทางเธอ รวมทั้งโจวเจียอีที่เอี้ยวตัวหันมามองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ผู้หญิงคนนั้นพูดภาษาจีนที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง ปราดเข้ามาจับแขนธีรยาเขย่าอย่างลืมตัว ใบหน้าซีดเซียวนองด้วยน้ำตา โจวเจียอีรีบเข้ามาขวางไว้ทันที
“ได้โปรด ...ขอร้อง...” ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางสะอึกสะอื้นเป็นภาษาไทยที่ฟังกะท่อนกะแท่น “ขอร้อง... ช่วยด้วย”
“เรื่องนี้ผมจัดการเอง” โจวเจียอีเผลอตวาดด้วยภาษาจีน หญิงคนนั้นสะดุ้งแล้วปล่อยมือจากแขนของธีรยาก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“ซ่งไห่เทา!” โจวเจียอีตะโกนออกมาอย่างเหลืออด เลขาหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาประคองหญิงคนนั้นให้ลุกขึ้นยืน “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก!”
“ขอโทษครับบอส” ซ่งไห่เทาได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม เป็นความผิดของเขาจริงๆ ที่ไม่ดูแลสองแม่ลูกนี้ให้ดี หลุดรอดสายตามาพบบอสของเขาเข้าจนได้
มือใหญ่จับไหล่กลมมนให้เดินพ้นจุดนั้น ธีรยาเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ขืนตัวเอง แล้วจ้องหน้าเขาพลางเหลือบมองไปยังด้านหลังที่เด็กชายคนนั้นยืนห่อไหล่ด้วยท่าทีหวาดกลัว
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”
“ผมอธิบายได้” เขาระบายลมหายใจหนักหน่วง
“เด็กคนนั้น...เป็นลูกคุณเหรอคะ”
ชายหนุ่มนิ่งงันไปทันที เขาไม่คิดว่าเธอจะถามเขาแบบนี้
“หมิว...”
“เสียงดังอะไรกัน นี่มันโรงพยาบาลไม่ใช่ตลาดสดนะ หัดมีมารยาทกันบ้าง”
เสียงคุณกานดาทำเอาทุกคนถึงกับตัวแข็งทื่อกลายเป็นก้อนหิน คุณกานดาหรี่ตามองไปยังผู้หญิงคนกับเด็กชายคนนั้นแล้วหันมาจ้องหน้าลูกชายตัวเอง
“นี่แก...”
ทั้งหมดเข้ามาในห้องผู้ป่วยของคุณกานดา แม้ยามนี้คุณกานดามีสถานะเป็นคนป่วยแต่เมื่อต้องนั่งเป็นอยู่ท่ามกลางผู้คน นางสามารถเชิดใบหน้าขึ้นและแสดงท่าทีเคร่งขรึมน่าเกรงขามออกมา
“เอาล่ะ ตอนนี้มีแค่ ‘เรา’ แล้ว มีอะไรก็พูดมา”
คุณกานดาเอ่ยแล้วกวักมือเรียกให้ธีรยามายืนอยู่ใกล้ๆ ราวกับแม่ที่พร้อมปกป้องลูกสาว ผิดกับโจวเจียอีมีสีหน้าอึดอัด ยิ่งเสียงร้องไห้ของผู้หญิงที่ยืนกอดเด็กอยู่ยิ่งน่ารำคาญ เขาไม่ชอบผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้และพูดไม่รู้เรื่อง
แต่เขาก็รู้ดี เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้นานแน่นอน ที่ผ่านมาเขาก็กังวลใจมาตลอด เขาสบตากับหญิงสาวที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมารดา สีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงแววกังวล เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้เธอต้องทุกข์ใจอย่างนี้
“เจียอี” เมื่อใดที่มารดาเรียกด้วยชื่อแบบนี้ทำให้คนฟังรู้ดีว่าหลบเลี่ยงอีกไม่ได้แล้ว
“คุณแม่ทำใจดีๆ ก่อนนะครับ” เขาพยายามคิดหาวิธีที่พูดที่ทะนุถนอมคนฟังที่สุด
“ฉันอยู่โรงพยาบาล ถ้าจะเป็นอะไรก็ไม่ตายตอนนี้แน่ๆ” คุณกานดาขึงตาใส่ “เด็กคนนั้นลูกใคร”
“นี่โจวหมิงเจ๋อครับ ปีนี่อายุสิบสองขวบแล้ว”
“อายุสิบสอง? นี่แกปิดเรื่องนี้มาสิบสองปีแล้วเรอะ แล้วนั้น...” คุณกานดาปรายตามองไปยังผู้หญิงคนนั้น ดูแล้วอายุมากกว่าลูกชายนางเสียอีก
“ไม่ใช่ครับแม่ คือโจวหมิงเจ๋อคือน้องชายของผม”
“น้องชาย?” ธีรยามีสีหน้างุนงงไม่เคยได้ยินว่าเขามีน้องชายมาก่อน
คุณกานดาสูดลมหายใจลึกแล้วจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นก่อนจะส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมา
“นึกอยู่แล้ว พ่อแกมีเมียน้อยจริงๆ” คุณกานดาหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ตาแก่นั้นก็ดันมาชิงตายไปเสียก่อน “คงกลัวว่าแม่จะทำร้ายผู้หญิงและลูกของตัวเอง แม้กระทั่งตอนตายก็ไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คุณพ่อเป็นห่วงความรู้สึกของคุณแม่มากจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย”
“อ้อ! ก็เลยคิดว่าฉันโง่ดูไม่ออกว่าพ่อแกหายไปไหนงั้นสิ” นางเค้นเสียงหัวเราะออกมา “รวมหัวหลอกฉันกันทั้งพ่อทั้งลูก!”
ท่าทางของคุณกานดาเหมือนจะเป็นลม ธีรยาเข้าไปประคองให้เอนหลังนอนบนเตียง แต่นางโบกมือห้ามไว้ก่อน “แล้วนี่นึกยังไงถึงมาแสดงตัว หรือเพราะเห็นแม่ใกล้ตายเลยอยากให้มารับส่วนแบ่งมรดกของพ่อแก” “แม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นครับ ปกติคุณพ่อให้ผมจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนให้คุณน้าเหมยลี่ และในส่วนมรดกที่คุณพ่อแบ่งให้หมิงเจ๋อนั้นก็ไม่ได้แตะต้องส่วนของคุณแม่เลย ที่ผ่านมาคุณพ่อเลี้ยงดูน้าเหมยลี่มาอย่างลับๆ จนกระทั่งถึงคราวที่คุณพ่อเสีย พ่อให้ผมช่วยดูแลหมิงเจ๋อจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ” “แล้วทำไมถึงเสนอหน้ากันมาที่เมืองไทย ก็รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ แม่ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องที่พ่อนอกใจแม่หรอกนะ!” “คุณกานดาค่ะ ใจเย็นๆค่ะ” ธีรยาลูบหลังเบาๆ เธอโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของโจวเจียอี ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจเด็ก เธอแค่กลัวว่าตัวเองจะเป็นมือที่สามในชีวีตคนอื่น “เดิมที่ก็ไม่จะให้คุณแม่รู้เรื่องนี้ แต่...หมิงเจ๋อร่างกายไม่แข็งแรง ตับทำงานผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดตอนนี้อาการทรุดลงและต้องปลูกถ่ายตับ...” “อย่าบอกว่าต้องใช้ตับของลูกนะ!” คุณกานดาตวาดเสียงสั่นแล้วตวัดสายตาจ
คนตัวสูงรั้งร่างบอบบางเข้ามากอด“ผมอยากกลับไปห้องของเราจัง” “อย่าดื้อค่ะ” โจวเจียอีเงยหน้าหัวเราะแล้วยกมือสองมือประคองใบหน้าหวานสบตากับดวงตาหลังแว่นตาแสนเชย แต่ภายใต้ดวงตาใสกระจ่างคือความอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน “คราวนี้คุณเชื่อใจผมได้หรือยัง ผมไม่เคยมีใครและไม่เคยซุกเมียเก็บไว้” แน่นอนว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ และไม่อยากเห็นคนที่เขารักต้องทุกข์ใจเช่นที่แม่เขาต้องเผชิญ รัก...เขารู้จักคำนี้จริงๆหรือ? “จะรับไว้พิจารณานะคะ” “โธ่ หมิว...” เขาครางอย่างอ่อนใจ “เอาไว้หมิวหาเวลาเรียนภาษาจีนก่อน เวลาคุณพูดอะไร หมิวจะได้ฟังออกว่าคุณไม่ได้ปิดบังอะไรอีก” “ได้ ผมสอนให้เอง”“ค่าสอนแพงไหมคะ ระดับประธานโจวมาสอนเอง หมิว จะจ่ายไม่ไหวเอานะสิ”“อื้ม...ผมคิดเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”สายตากรุ้มกริ่มของเขาทำให้หญิงสาวเขินหน้าแดง เธอทุบอกเขาแก้เขินแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย วันนี้เกิดเรื่องมากมาย แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใครอื่นซุกซ่อนไว้จริงๆ.
“ถ้าไม่มีอะไร เราต้องกลับไปทำงานต่อ” “ยัยหมิว!” “จะเรียกทำไม” เธอขึงตาใส่แล้วพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “นายทำเจสันเจ็บ คราวนี้ดูแลเขาด้วย” “อ้าว ทำไมต้องเป็นเราล่ะ” “ได้ ถ้าอย่างนั้นหมิวไปดูแลเอง” “โอ๊ย! ถ้างั้นหมิวไม่ต้องไป เราไปเอง!” เจสันกลั้นยิ้มขำ จะบอกว่าไม่ต้องดูแลเขาก็ได้ ขนาดถูกยิงกระสุนทะลุท้อง เขายังนอนพักฟื้นคนเดียว แต่แค่คิดอยากแกล้งเพื่อนของคุณธีรยาจึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ “คุณธีรยาใกล้เลิกงานแล้ว ผมรอส่งคุณธีรยาก่อนดีกว่าครับ” “ไม่ต้อง วันนี้หมิวจะไปบ้านคุณแม่” “คุณแม่?” ปกป้องถามอย่างงุนงง “หมายถึงแม่ของอีริคนะ” คราวนี้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมา “นี่ถึงขั้นไปเจอญาติผู้ใหญ่กันแล้วเหรอ” ปกป้องทำหน้ายุ่งแต่ในใจแอบเจ็บอยู่ไม่น้อย ความหวังให้เธอเป็น ‘แฟน’ ของเขา “ก็...เกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า เอาล่ะๆ หมิวไปทำงานต่อแล้ว เจสันกลับไปพักผ่อนเถอะ ประเดี๋ยวแผลจะอักเสบเอา” “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมให้บอดี้การ์ดคนอื่นมาดูแลคุณธีรย
“ค่ะ พี่รู้ว่าน้องหมิวไม่ได้คิดอะไร และน้องหมิวเองก็มีแฟนแล้ว แต่พี่เตือนด้วยความหวังดี ยังไงเสียทั้งหมิวและพี่ก้องก็ยังทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่กันคนละแผนกก็ตาม”“ค่ะ” ขนมที่ว่าอร่อยก็กร่อยจนกลืนไม่ลง ธีรยาคิดหาวิธีออกจากสถานการณ์แสนอึดอัดอย่างนี้ โชคดีที่มีข้อความส่งเข้ามา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านดูข้อความเจสัน : วันนี้ผมยังเจ็บแผลอยู่ จะให้ลูกน้องไปรับคุณธีรยานะครับหมอหมิว : ไม่เป็นไรค่ะ หมิวออกมากินกาแฟกับพี่เข็ม...ภรรยาพี่หมอก้องภพค่ะ สักประเดี๋ยวจะเดินทางไปบ้านคุณแม่กานดาแล้วเจสัน : คุณธีรยาส่งโลเคชั่นมาครับ ผมให้ลูกน้องขับรถไปรับหมอหมิว : โอเค.ค่ะเขมิกาจิบกาแฟจนหมดแก้ว แล้วมองธีรยาที่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความ จะว่าเธอเป็นคนใจร้ายก็ยอม แต่ตอนนี้เธอมีฐานะเป็น ‘ภรรยา’ ของก้องภพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอสามารถทำอะไรที่ควรทำได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งประกาศให้ผู้หญิงตรงหน้ารู้ถึงสถานะของเธอด้วยธีรยาส่งข้อความเรียบร้อยก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “หมิวขอโทษนะคะ พอดีมีธุระด่วนค่ะ”“ตายจริง นึกว่าเป็นวันหยุดเสียอีก”“วันหยุดค่ะ แต่พอดีมีธุระด่วนต้องไปค
“แต่งงานโดยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงเนี้ยนะ” คุณกานดาเค้นเสียงหัวเราะ “จะทำตัวเหมือนพ่อหรือไง พอเวลาเจอคนที่ตัวเองรักก็แอบเลี้ยงไว้ข้างนอก” “แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่ไม่มั่นใจความรู้สึกตัวเอง ผมรู้แค่ว่าผมชอบเวลาอยู่กับเธอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเธอยิ้ม และอยากไม่ต้องการให้ใครแตะต้องเธออยากครอบครองเธอเพียงคนเดียว” คุณกานดาฟังแล้วก็พยักหน้า“แม่กับพ่อแต่งงานกันเพราะความเหมาะสมและผลประโยชน์ แต่แม่ก็รักพ่อจากใจจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมจากบ้านเกิดไปอยู่ที่จีน ไปเป็นคนแปลกหน้าที่นั้น ความจริงแม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนที่ชอบอยู่ แต่ต้องแต่งงานกับแม่ แต่เพราะแม่รักพ่อของลูกมากถึงได้หลอกตัวเองว่าพ่อแกรักแม่จริงจัง ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่พ่อแกเลี้ยงผู้หญิงไว้นอกบ้าน” “แม่รู้อยู่แล้ว” “อืม...ไม่ใช่ว่าแม่ใจดำไม่อยากช่วยเด็ก แต่เห็นหน้าเด็กคนนั้นก็ตอกย้ำว่าพ่อแกนอกใจแม่ ไม่สิ พ่อแกไม่ได้รักแม่อยู่แล้วจะเรียกว่านอกใจก็ไม่ได้ เพราะเหตุนี้แม่ไม่อยากเห็นผู้หญิงคนไหนต้องมาเจอแบบแม่อีก ลูกอยากช่วยหนูหมิว เป็นเรื่องที่ควรทำแต่ถ้าลูกไม่รักผ
ธีรยากลืนโจ๊กลงคอแล้วก็อดคิดถึงอีริคไม่ได้ เธอมั่นใจว่าเขามาช่วย แต่..เขาช่วยเพราะหน้าที่หรือเพราะเป็นห่วงเธอจริงๆ ผู้ชายที่อยากแต่งงานกับเธอ แต่ไม่เคยบอกรักเธอสักคำ จริงอยู่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันเกิดจากเซ็กส์ชั่วคืน หากไม่เพราะ ‘บังเอิญ’ พบกันอีก คนที่ทำงานให้ห้องแล็บอย่างเธอก็คงไม่ได้พบนักธุรกิจระดับพันล้านที่แสนเอาแต่ใจจอมเผด็จการคนนั้น เธอยกมือแตะสร้อยที่สวมอยู่ เขาสวมสร้อยเส้นนี้ให้เธอตั้งแต่วันไปงานแต่งงานก้องภพแล้วก็ไม่เอาสร้อยคืน จากคนไม่ใส่เครื่องประดับก็ใส่จนเคยตัว เขาช่างเป็นคนนิสัยแย่ที่สุดที่มาเปลี่ยนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของเธอ เหมือนน้ำตาหยดจะร่วงหล่น เธอกลั้นสะอื้นแล้วกลืนอาหารลงคอ อย่างไรก็ต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระหากต้องหนี เธอก็ต้องมีแรงหนี. ... โจวเจียอีก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังงามชานเมืองกรุงเทพฯ ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่แปลกใจที่ได้เห็นเขานัก “รวดเร็วสมกับเป็นประธานโจว” เจียงซีฮันเอ่ยแล้วผายมือเชิญให้เขานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม “อยากเจอผมก็มาเชิญผมสิ
เสียงลูกน้องตะโกนเตือน ธีรยากับโจวเจียอีหันไปมองพร้อมกัน เซียงซีฮันที่คิดว่าแอบหนีไปตอนชุลมุนกลับโผล่เข้ามาเหมือนสุนัขจนตรอก เขายกปืนเล็งมาทางโจวเจียอี เพียงเสียววินาที เพียงแค่การกระพริบตา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงปืนดังขึ้นสองนัด โจวเจียอีเบิกตากว้างไม่คิดว่าเลือดสีสดไหลทะลักจากรูกระสุนนั้นจะมาจากร่างของธีรยา “หมิว! บ้าจริง คุณมาบังกระสุนทำไม” “ไม่รู้ ขามันไปเอง” เธอเจ็บจนน้ำตาร่วงแถมเขายังตะคอกใส่อีก ไม่รู้ว่าเพราะเธอตัวเตี้ยหรือเพราะเจียงซีฮันเสียจังหวะเล็งเป้า กระสุนนัดแรกไปทางไหนไม่รู้ แต่นัดที่สองหัวไหล่ของเธอได้ “หมิว...” เขาอุ้มเธอเข้าไปในรถและสั่งให้ลูกน้องขับรถไปทันที “คุณทำแบบนี้ทำไม” “คุณจะบาดเจ็บไม่ได้” ธีรยาพูดขณะโจวเจียอีใช้เสื้อนอกของเขากดห้ามเลือด “คุณต้องบริจาคตับให้น้องชาย ห้ามคุณเป็นอันตรายหรือเสียเลือดเด็ดขาด” “หมิว” เขาครางออกมา ไม่คิดว่าเธอจะใส่ใจเรื่องนี้มากถึงขนาดนี้ “ตำแหน่งที่บาดเจ็บไม่อันตรายแต่คุณต้องช่วยกดห้ามเลือดไว้ก่อน” เ
หญิงสาวจ้องมองใบหน้าตนเองในกระจกเงาตรงหน้า เพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ทำให้เธอต้องหลบมาอยู่ในห้องน้ำ แต่เมื่ออยู่คนเดียวก็ดันร้องไห้หนักเข้าไปอีก จนสุดท้าย ‘ธีรยา’ ตัดสินใจเช็ดเครื่องสำอางออก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าออกจากห้องน้ำด้วยสภาพหน้าตาเลอะเครื่องสำอางแน่ๆ อกหักที่ยังไม่ได้บอกรักมันเจ็บขนาดนี้เลยเหรอ แค่คิดน้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอขึ้นมาอีก ทั้งที่เธอก็พอรู้อยู่แล้วว่าพี่ก้องภพมีคนที่ ‘คุย’กันอยู่ แต่วันนี้พี่เขาประกาศเปิดตัวแฟนก็ทำให้เธออกหักอย่างเป็นทางการ ไม่น่าเอาวันหยุดมางานสัมมนาอะไรนี้เลย คิดว่าจะได้อยู่กับพี่ก้องภพมากขึ้นแต่กลับมาเจอเรื่องเซอร์ไพรแบบนี้ เธอน่าจะเอาวันหยุดไปทำอย่างอื่นดีกว่า... ดีกว่าอะไรเล่า ยังไงเรื่องพวกนี้เธอก็ต้องรับรู้ความจริงเข้าสักวัน มือเรียวหยิบกระดาษทิชชู่สั่งน้ำมูกแล้วล้างมือ เธอส่องตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วหยิบลิปสติกมาเติมริมฝีปาก ส่วนหน้าตาก็ช่างมันเถอะ โชคดีที่ไม่ได้ติดขนตาปลอมมา ไม่งั้นคงไม่ต่างจากซอมบี้สยองแน่ๆ ธีรยาสวมแว่นตาแล้วสำรวจตัวเองในชุดเดรสกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยสีไวน์แดง ตั้งใจให้ตัวเองสวยในสายตาค