หญิงสาวจ้องมองใบหน้าตนเองในกระจกเงาตรงหน้า เพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ทำให้เธอต้องหลบมาอยู่ในห้องน้ำ แต่เมื่ออยู่คนเดียวก็ดันร้องไห้หนักเข้าไปอีก จนสุดท้าย ‘ธีรยา’ ตัดสินใจเช็ดเครื่องสำอางออก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าออกจากห้องน้ำด้วยสภาพหน้าตาเลอะเครื่องสำอางแน่ๆ
อกหักที่ยังไม่ได้บอกรักมันเจ็บขนาดนี้เลยเหรอ แค่คิดน้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอขึ้นมาอีก ทั้งที่เธอก็พอรู้อยู่แล้วว่าพี่ก้องภพมีคนที่ ‘คุย’กันอยู่ แต่วันนี้พี่เขาประกาศเปิดตัวแฟนก็ทำให้เธออกหักอย่างเป็นทางการ ไม่น่าเอาวันหยุดมางานสัมมนาอะไรนี้เลย คิดว่าจะได้อยู่กับพี่ก้องภพมากขึ้นแต่กลับมาเจอเรื่องเซอร์ไพรแบบนี้ เธอน่าจะเอาวันหยุดไปทำอย่างอื่นดีกว่า... ดีกว่าอะไรเล่า ยังไงเรื่องพวกนี้เธอก็ต้องรับรู้ความจริงเข้าสักวัน มือเรียวหยิบกระดาษทิชชู่สั่งน้ำมูกแล้วล้างมือ เธอส่องตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วหยิบลิปสติกมาเติมริมฝีปาก ส่วนหน้าตาก็ช่างมันเถอะ โชคดีที่ไม่ได้ติดขนตาปลอมมา ไม่งั้นคงไม่ต่างจากซอมบี้สยองแน่ๆ
ธีรยาสวมแว่นตาแล้วสำรวจตัวเองในชุดเดรสกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยสีไวน์แดง ตั้งใจให้ตัวเองสวยในสายตาคนที่แอบชอบแต่สายตาเขามองเธอเป็นแค่ ‘น้องสาว’ เท่านั้น หรือเธอพยายามไม่พอนะ ถึงไม่เคยข้ามขั้นจากน้องสาวเป็นคนรักได้เลย หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ งานเลี้ยงจัดที่ชั้นล่างของโรงแรมในส่วนที่เป็นสวนสวย หลังผ่านงานสัมมนาวิชาการหนักหน่วงมาก็ได้เจองานเลี้ยงเพื่อผ่อนคลายและกระชับความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน
จะเรียกให้ถูกเธอคือแพทย์หญิงธีรยา เธอคือพยาธิแพทย์ (Pathologist) มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหนอนพยาธิ (อ่านว่า พะ-ยาด) แต่รู้หรือไม่ว่า คำว่า พยาธิ (อ่านว่า พะ-ยา-ทิ) ซึ่งเขียนเหมือนกันแปลว่า โรค หรือความเจ็บไข้ พยาธิแพทย์คือแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการตรวจและวินิจฉัยโรคจากอวัยวะเนื้อเยื่อ เซลล์ และสารคัดหลั่งจากร่างกายมนุษย์ การวินิจฉัยโรคจึงเป็นงานหลักของพยาธิแพทย์ ไม่ใช่การรักษาผู้ป่วยโดยตรง นั้นเหมาะกับนิสัยของเธอ และการทำงานในโรงพยาบาลรัฐก็ไม่ได้เลวร้ายสำหรับชีวิตสาวโสดแถมยังเป็นกำพร้าอย่างเธอด้วย
หญิงสาวเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนเด็กๆ ค่อนข้างผอมบางและขี้โรคทำให้ไม่มีใครอยากอุปการะเด็กอย่างเธอซึ่งเป็นแรงผลักดันให้อยากเป็นหมอ เธอมุ่งมั่นจนสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์และเรียนจบเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และทำงานในโรงพยาบาลรัฐใช้หนี้ทุนการศึกษา ช่วงที่เรียนอยู่เธอก็ทำงานพิเศษและมีเงินช่วยเหลือจากบ้านเด็กกำพร้า แม้ว่าทางบ้านเด็กกำพร้าจะไม่เรียกร้องเอาสิ่งใด แต่เมื่อเธอพอมีเงินเดือนก็เจียดเงินโอนไปให้สม่ำเสมอ อาจเพราะสถานที่แห่งนั้นเป็นเหมือน ‘บ้าน’ของเธอ แม้ตอนนี้เธอจะอยู่คอนโดขนาดเล็กที่กลายเป็น ‘บ้าน’ ของตัวเองแม้จะยังผ่อนอยู่ก็ตาม
ธีรยาเดินกลับเข้ามาในงานเลี้ยงแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอย่างเหงาๆ อุตส่าห์เอาวันหยุดตัวเองมางานสัมมนาวิชาการนี้ก็เพราะอยากเจอก้องภพที่เป็นหมอประจำห้องฉุกเฉิน เธอรู้จักเขาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นนักเรียนม.ปลาย เพราเขาเป็นรุ่นพี่เธอหลายปีและจบจากโรงเรียนเดียวกันและกลับมาทำกิจกรรมแนะแนวการศึกษาให้น้องๆ ได้รู้จักคณะต่างๆ ก่อนจะที่จะสอบเข้า เขาเป็นไอดอลของเธอเลยก็ว่าได้ แม้เขาอายุมากกว่าเธอหลายปี แต่ด้วยความที่ก้องภพเป็นคนคุยสนุกและเป็นกันเองจึงรู้สึกเหมือนพี่น้อง ซึ่งเธอคิดกับเขามากกว่า ‘พี่’ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยกล้าเผยความรู้สึกในใจ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองคงกลัวว่าถ้าพูดออกแล้วความสนิทสนมที่เคยมีจะกลายเป็นห่างเหิน ซึ่งสุดท้ายแล้ว เธอก็ ‘อกหัก’ อยู่ดี
บทเวทีมีการแสดงของผู้ร่วมสัมมนา ธีรยาไม่ค่อยสนิทกับใครมากนัก เธอเลือกนั่งดื่มอยู่โต๊ะท้ายๆ แก้วแล้วแก้วเหล่า ดื่มอย่างไม่เคยดื่มมาก่อน แน่นอนว่าชีวิตเธอมันไม่มีโอกาสให้ดื่มแบบนี้นัก และยิ่งค่าใช้จ่ายที่มีเงินใช้อย่างจำกัดทำให้เธอตัดเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ไปได้เลย หญิงสาวรู้สึกตาพร่าและยิ่งเห็นภาพพี่ก้องภพนั่งคุยกับผู้หญิงที่เพิ่งประกาศตัวเป็นคนรัก ยิ่งทำให้เธอคว้าแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอีก ราวกับรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ ก้องภพหันมาทางธีรยาที่นั่งคนเดียว เขาโบกมือเรียกหญิงสาวที่เอ็นดูเหมือนน้องคนหนึ่ง แต่ธีรยาที่วันนี้แต่งตัวสวยเป็นพิเศษลุกขึ้นยืนเดินโซเซออกไปด้านนอกงาน
“น้องหมิว...” ก้องภพพึมพำขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับเขมิกาคนรักของเขา “พี่ไปดูน้องหมิวสักเดี๋ยวนะ”
“ไปเถอะค่ะ” เขมิกายิ้มให้ เธอรู้จักธีรยาหรือหมอหมิวจากปากของคนรักเพราะเขามักชอบเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังบ่อยๆ และเคยพูดคุยกับธีรยาอยู่บ้าง ‘ผู้หญิงด้วยกันย่อมดูออก’ ว่าสายตาที่ธีรยามีต่อก้องภพมากกว่าพี่น้องอย่างที่ก้องภพพูด แต่เธอเชื่อใจคนรัก ธีรยาเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีเกินเลยกับก้องภพ ทำให้เธอเกลียดผู้หญิงคนนี้ไม่ลง
ธีรยาเห็นก้องภพโบกมือให้ แต่เธอไม่พร้อมที่จะยิ้มให้เขาจึงตั้งใจลุกออกมาและกลับห้องพักที่อยู่โรงแรมเดียวกับที่สัมมนาและจัดเลี้ยง ทว่าเพราะดื่มเข้าไปมากแต่ละก้าวจึงไม่มั่นคงนัก เธอกำลังจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์แต่ร่างไปชนเข้ากับใครบางคนอย่างไม่ตั้งใจ
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวพูดกับอกเสื้อสูทเนื้อดีและกลิ่นน้ำหอมที่เธอไม่รู้จักแต่มันแสนเย้ายวนจนทำให้เธอต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มก้มหน้าลงมองเธอ มือใหญ่จับไหล่ประคองไว้ไม่ให้ล้มลง
ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ตามองใบหน้ารูปไข่ที่ไม่ได้แต่งหน้า แม้สวมแว่นตาแต่เห็นดวงตาคู่สวยได้ชัดเจน ริมฝีปากฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำที่เดาได้ว่าเป็นค๊อกเทลเพราะมีกลิ่นจางๆ จากลมหายใจอุ่นร้อน
“หมิว...”
เสียงคุ้นเคยทำให้ธีรยาสะดุ้งแล้วเผลอดึงเสื้อเขาไว้เป็นที่กำบัง อาศัยว่าอีกฝ่ายตัวสูงใหญ่กว่า แต่กระนั้นเธอก็ห่อไหล่ตัวทำตัวลีบ เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นธีรยาสะดุ้งแต่ยังไม่ทันตั้งสติว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไหล่ของเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในตามด้วยร่างสูงใหญ่ของคนแปลกหน้า และในวินาทีต่อมาเขาก็เอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟต์ทันที
“ชั้นไหน?”
“เอ่อ...” เธอขยับตัวถอยออกมาครึ่งก้าวแต่ร่างยังซวนเซอยู่ทำให้เขาเอื้อมมือไปจับไหล่เธอไว้ไม่ให้ล้มลง
“ถ้ายังดื่มไม่พอไปดื่มต่อห้องผมไหม?”
“คะ?”
หญิงสาวทำตาปริบๆ นี่เธอถูกผู้ชายชวนขึ้นห้องเหรอ?
ท่าทางซื่อๆของผู้หญิงตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาเอื้อมมือไปกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ
“คุณไม่พูดผมจะถือเป็นคำตอบรับก็แล้วกัน”
ธีรยาหลุบตาลง อืม...แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้เธอไม่อยากอยู่คนเดียว แม้ที่ผ่านมาจะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจนเคยชินก็ตาม.
โจวเจียอีหรือที่รู้จักกันอีกชื่อคืออีริค ชายหนุ่มลูกครึ่งจีน-ไทย มารดาของเขาเป็นคนไทย หลังจากบิดาเสียชีวิตเขาคือผู้รับช่วงต่อกิจการทั้งหมด ส่วนมารดาที่ไม่มีญาติหรือเพื่อนสนิทที่จีนอยากกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย เขาก็ตามใจผู้เป็นแม่ จัดหาบ้านช่องห้องหับที่ปลอดภัยเพราะตัวเขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย แต่เทียวไปเทียวมาเพราะเรื่องธุรกิจและเป็นห่วงมารดา เช่นวันนี้เขามาเซ็นสัญญาทางธุรกิจและมีเลี้ยงต้อนรับ ตัวเขาไม่ชอบงานเลี้ยงนักแต่ก็ต้องอยู่จนจบงานชายหนุ่มปลีกตัวออกมาและเดินลงมาว่าจะหาอะไรดื่มสักเล็กน้อยค่อยกลับขึ้นห้องไปนอนพัก และเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่บังเอิญพบหญิงสาวคนหนึ่งเขา รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา อยู่มาจนอายุสามสิบปีเพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงเป็นครั้งแรก เห็นเพียงแวบเดียวก็รู้สึกอยากครอบครองขึ้นมาทันที เขาเห็นเธอต้องการหลบผู้ชายที่เดินตามมาอยู่จึงฉวยโอกาสพามาที่ห้องของเขา ชายหนุ่มโบกมือไล่บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ให้ถอยห่าง คนตัวเล็กซุกซบในอกกว้างเดินแทบไม่ไหว เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็เตะรองเท้าออกจากปลายเท้าแล้วเดินไปที่ริมระเบียงของห้องส
ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาจะครอบครอง เขาโน้มหน้าลงจูบกลีบปากหวานฉ่ำอีกครั้ง สัมผัสเรือนร่างเธออีกหนแต่เท่าไรก็เหมือนไม่พอ ริมฝีปากร้อนพรมจูบที่ลำคอก่อนจะปลดชุดชั้นในเธออกเผยทรวงอกอวบอิ่ม ความเมามายอาจทำให้ธีรยาใจกล้าและปลดปล่อยตัวเองกับความต้องการลึกเร้นอยู่ภายใน เพียงริมฝีปากเขาครอบครองปลายถัน ร่างบางก็สั่นระริกขึ้นมา เสียงครางหวานหลุดจากปากสวย ปลายลิ้นรัวที่ปลายอดอกสลับดูดดึงและยิ่งใช้มือบีบเคล้นจนเธอแทบคลั่ง ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางยิ่งทำให้ชายหนุ่มพึ่งพอใจ เขาซุกไซ้ทรวงอกอวบอิ่มพอดีมืออย่างหิวกระหาย ร่างบิดเร้าไปมายิ่งบดเบียดเสียดสีกระตุ้นให้แท่งเอ็นของเขาแข็งขันราวกับเสาหินที่รอตอกกระแทกในร่องสวาทที่เปียกแฉะ แต่มันยังไม่ชื้นเปียกแฉะมากพอ เพียงใช้นิ้วสัมผัสก็รับรู้ได้ว่าช่องทางนี้ช่างคับแคบนักจะนำพาเอ็นอุ่นของเขาเข้าไปเขาต้องเตรียมเธอให้พร้อมกว่านี้ “อึก...คุณ...คุณ...” ธีรยาส่ายหน้าไปมาจนเส้นผมสยาย นิ้วร้ายกาจแทรกเข้าไปในส่วนที่ไม่เคยมีใครสัมผัส เพียงการขยับนิ้วเข้าออกก็ทำให้เธอเสียวซ่านไปทั่วร่าง “อีริค” เขาพูดเสียงพร่า “เรียกชื่อผม”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานสวมเสื้อกาวน์สั้นเดินเข้ามาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลพร้อมถุงขนมในมือ มือเรียวขยับแว่นตาให้ชิดใบหน้าก่อนผลักบานประตูเข้าไป เวลานี้ไม่มีคนไข้หนัก คุณหมอหนุ่มกำลังนั่งอ่านเคสคนไข้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ “พี่หมอก้องยุ่งหรือเปล่าคะ” คนถูกทักเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “น้องหมิวมาถึงER มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย” หมิว-ธีรยา คุณหมอคนสวยส่ายหน้า เธออยู่แผนกพยาธิวิทยาแต่ตอนนี้ออกเวรแล้วจึงเดินมาที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อพบหมอก้องภพซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่จบจากโรงเรียนมัธยมเดียวกันและมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้จะห่างกันหลายรุ่นก็ตาม และใช่..เป็นคนที่ทำให้เธออกหัก “สองสามวันก่อนพยาบาลแพรวเล่าให้ฟังว่าขนมในห้องERหายไป พอดีหมิวได้ขนมถั่วทอดโบราณเจ้าอร่อยมา ก็เลยเอาฝากพี่หมอก้องค่ะ” “แหม! เรื่องน่าอายแบบนั้นเอาไปคุยเล่นกันอีก” ก้องภพหัวเราะร่า เขาเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะง่าย ผิดกับเวลารักษาคนเจ็บหรือคนไข้จะจริงจังจนน่ากลัว ธีรยาพลอยหัวเราะตามไปด้วยแล้วยื่นถุงกระดาษที่ใส่ขนมส่งให้เขา “ไม่เกรงใจนะ”
เธอทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงนะ เพราะเมาเหรอ? เธอถามตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้ง จะเรียกว่าเมาก็พูดได้ไม่เต็มปาก เธอยังมีสติพอตัดสินใจในการกระทำของตัวเอง แต่เธอก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถูกผู้ชายคนนั้นจับพลิกคว่ำพลิกหงายไปกี่รอบและถึงจุดสุดยอดไปกี่ครั้ง ร้องครางจนเสียงแหบไปเลย แต่เธอกลับจำไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร เหมือนเขาจะบอกเธออยู่นะ ส่วนเธอก็มั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้เขา เธอเพลียจนผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่รู้สึกตัวตื่นตอนที่พี่ก้องภพโทรหา เธอจึงรู้ว่าไม่ได้นอนที่ห้องตัวเอง หลังจากตั้งสติได้ก็รีบพาร่างเปลือยเปล่าสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและหิ้วรองเท้ากับกระเป๋าสะพายออกมาจากห้องนั้น หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเองก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่นึกขึ้นได้ เธอไม่มั่นใจว่า...เขาใช้ถุงยางอนามัยหรือเปล่าทำให้เธอต้องตาลีตาเหลือกไปซื้อยาคุมฉุกเฉินป้องกันไว้ก่อน นัวเนียกันขนาดนั้น เธอกลับจำหน้าเขาไม่ได้ จะเรียกว่าจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ เหมือนมันเลือนรางเสียมากกว่า “ลูกหมิว?” “คะ!” ธีรยาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ “แม
ธีรยาส่งยิ้มหวานแล้วลุกขึ้นยืน ไหนๆเจ้าบ้านก็เปิดไฟเขียวแล้ว ขอเดินสำรวจดูหน่อยเถอะนะ เผื่อเจออะไรไม่ดีจะได้รีบดึงแม่ออกมา หญิงสาวเดินออกมานอกห้องรับแขก ลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินไปตามทางที่ออกไปสวนด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ริอาจใจกล้าขึ้นไปชั้นบนของคฤหาสน์ เธอจึงเดินดูรอบๆ บริเวณบ้าน สวนหย่อมขนาดใหญ่ให้ความร่มรื่นจนเธอลืมว่าตัวเองมาสำรวจจับผิดเรื่องอะไร บ้านของเธอหลังเล็กแต่อบอุ่น แต่ถ้ามีบริเวณกว้างๆ แบบนี้ก็คงดีไม่น้อย ได้เดินเล่นผ่อนคลายบ้าง เสียดายที่เธอมาเอาเสียเย็นย่ำมองไม่เห็นว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง ดูไปดูมาเจ้าของบ้านอาจจัดปาร์ตี้ที่บ้านบ่อย เพราะบริเวณสามารถจัดงานเลี้ยงขนาดย่อมได้เลย จังหวะที่หมุนตัวกลับ ร่างเล็กก็ปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างจนเกือบล้ม มือใหญ่ยื่นมาประคองไหล่เธอไว้ได้ทัน ธีรยายกมือขึ้นดันแว่นตาให้เข้าที่แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น “คุณ!” “คุณ...”ชายหนุ่มที่ปกติใบหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ยามนี้มุมปากยกยิ้มขึ้น แรกทีเดียวเขามองผ่านๆ เห็นเงาร่างไม่คุ้นเคยอยู่ที่สวนหย่อม หากเป็นเพื่อนแม่ก็ดูจะอายุน้อยไปหน่อย แม้จะเห็นแต่แผ
“โรงพยาบาล?” กานดาทำท่าตกใจ “ลูกไม่สบายเหรอ”“เปล่าครับ พอดีลูกน้องทำเรื่องไว้” เขายิ้มและส่งสายตาให้หญิงสาว “วันนั้นคุณคงเสียขวัญน่าดู แต่ทางทนายของเราติดต่อชดใช้ค่าเสียหายและบริจาคเงินให้ทางโรงพยาบาลแล้ว” “เสียขวัญ? นี่มันเรื่องอะไรกันยัยหมิว ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังเลย” คราวนี้คุณเพ็ญนภาทำหน้ากังวล ธีรยาจึงจำเป็นต้องเปิดปากพูดบ้าง ไม่อย่างนั้นแม่จะเป็นกังวลเรื่องงานของเธอ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คนทะเลาะกันที่โรงพยาบาลค่ะ เรื่องพวกนี้ทางผู้ใหญ่เป็นคนดูแลจัดการ หมิวไม่รู้เรื่องด้วย แล้วอีกอย่างก็คนละแผนกกัน” “อ่อ...มิน่าล่ะ ผมกลับไปที่แผนกฉุกเฉินอีกครั้งแต่ไม่พบคุณ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงๆ เขาก็อยากเจอคุณหมอคนสวยอยู่เหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผู้หญิงที่มีเซ็กส์นอนบนเตียงเดียวกัน ถึงไม่อนุญาตเธอก็โดนเขาจับกินจนสิ้นเรี่ยวแรงไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตอนเช้าเขาออกไปคุยงานกับลูกค้า กลับเข้ามาพบแค่ที่นอนยับยู่ กระดาษโน้ตที่เขียนไว้ให้เธออยู่รอกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็เหมือนกับไม่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านเลย เขาทั้งหงุดหงิด โมโห เสียหน้า
“เช่าชุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจแล้วขับรถออกไป “ค่ะ...เช่าชุดใส่ไปงานแต่งงาน ธีมงานขาว-ชมพู ก็เลยว่าจะไปหาดูที่ร้านนี้ ถ้าสั่งออนไลน์ก็กลัวจะไม่ตรงปกค่ะ”“ถ้างั้นผมเลือกร้านให้เอาไหม?” “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ”“ไม่เชื่อเซนส์ผมเหรอ” เขายิ้มทั้งที่ตายังมองไปยังถนนตรงหน้า “หรือถ้าห่วงเรื่องเงิน เรื่องนั้นผมจัดการให้ได้” “เราเพิ่งรู้จักกันคุณไม่ต้องเปย์ให้ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” เธอไม่ชอบรับของจากคนแปลกหน้าด้วย กลัวถูกทวงทีหลังอีกต่างหาก“ก็ผมไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก”“คุณนี่...จะจีบเหรอ” ธีรยาดันแว่นตาขึ้นชิดใบหน้า “ถ้าเห็นฉันเป็นของแปลกก็ไม่ต้องมาจีบเลยนะ”“ก็แปลกจนน่าสนใจไง” เขาพูดไปตามตรงแล้วขับรถไปห้างสรรพสินค้าหรูหรา เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็เดินมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวลงมา “มาเถอะ ผมไม่พาไปฆ่าไปแกงหรอก ตัวแค่นี้กินไม่อิ่ม” เขายิ้มกริ่มพลางกวาดสายตามอง “แต่ถ้าอย่างอื่นก็ไม่แน่...” “คุณนี่... หน้าตาก็ดี ปากร้ายชะมัด” “ยอมรับว่าผมหน้าตาดีแล้วสิ” ธีรยาไม่เคยเจอคนหน้าหนาแบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ หญิงสาวตกใจแล้วดึงมือกลับ “แค่จะใ
“คุณ...อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้” ธีรยาจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย “ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ” ดวงตาคมปลาบจ้องมองคนตัวเล็ก เขาพอใจกับท่าทีไม่สะทกสะท้านแม้ถูกสายตาของเขากดดันอยู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นก่อนเอ่ย “ทำไมคิดว่าผมเล่นๆ กับคุณเล่า” “ก็...คนอย่างคุณ...” “คนอย่างผม?” เขาชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน “คนอย่างผมไม่คู่ควรกับคุณหมอย่างคุณเหรอ” “มะ..ไม่ใช่แบบนั้น...เอ่อ...คือ..ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแต่คุณมีฐานะทางสังคมดีกว่าแล้วก็...”เธออึกอักพลันหน้าเห่อร้อนขึ้นมา “เรื่องคืนนั้นมันก็แค่วันไนท์สแตนด์ เราไม่ควรเจอกันอีก” “แค่วันไนท์สแตนด์?” เขาหรี่ตาจ้องมองใบหน้าหวานที่แดงเรื่อ “ผมไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ และเป็นคุณต่างหากที่ทิ้งผม” “คะ? ฉันนะเหรอ” นิ้วเรียวชี้ที่หน้าตัวเองอย่างงุนงง “ผมเขียนโน้ตวางไว้บนหมอน ให้คุณรอผม ผมมีนัดกับลูกค้าตอนสิบโมงเช้า แต่พอผมเสร็จธุระแล้วกลับเข้ามาเจอแค่ที่นอนยับยู่ยี่นี่นะ” “ก็...ฉันไม่เห็นโน้ตอะไรเลย แต่ถึงเห็น...ฉันก็