“โรงพยาบาล?” กานดาทำท่าตกใจ “ลูกไม่สบายเหรอ”
“เปล่าครับ พอดีลูกน้องทำเรื่องไว้” เขายิ้มและส่งสายตาให้หญิงสาว “วันนั้นคุณคงเสียขวัญน่าดู แต่ทางทนายของเราติดต่อชดใช้ค่าเสียหายและบริจาคเงินให้ทางโรงพยาบาลแล้ว”
“เสียขวัญ? นี่มันเรื่องอะไรกันยัยหมิว ไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังเลย” คราวนี้คุณเพ็ญนภาทำหน้ากังวล ธีรยาจึงจำเป็นต้องเปิดปากพูดบ้าง ไม่อย่างนั้นแม่จะเป็นกังวลเรื่องงานของเธอ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คนทะเลาะกันที่โรงพยาบาลค่ะ เรื่องพวกนี้ทางผู้ใหญ่เป็นคนดูแลจัดการ หมิวไม่รู้เรื่องด้วย แล้วอีกอย่างก็คนละแผนกกัน”
“อ่อ...มิน่าล่ะ ผมกลับไปที่แผนกฉุกเฉินอีกครั้งแต่ไม่พบคุณ” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงๆ เขาก็อยากเจอคุณหมอคนสวยอยู่เหมือนกัน
เป็นครั้งแรกที่เขาอนุญาตให้ผู้หญิงที่มีเซ็กส์นอนบนเตียงเดียวกัน ถึงไม่อนุญาตเธอก็โดนเขาจับกินจนสิ้นเรี่ยวแรงไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตอนเช้าเขาออกไปคุยงานกับลูกค้า กลับเข้ามาพบแค่ที่นอนยับยู่ กระดาษโน้ตที่เขียนไว้ให้เธออยู่รอกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็เหมือนกับไม่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านเลย เขาทั้งหงุดหงิด โมโห เสียหน้า เหมือนเป็นคนถูกทิ้งทั้งที่ทุกครั้งเขาเป็นฝ่ายทิ้งคนอื่นก่อน
“ผมเป็นห่วงว่าวันนั้นคุณบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ก็คุณ...” ธีรยายั้งปากไว้ก่อนจะพูดออกไป “ก็ไม่มีอะไรนี่”
“ทะเลาะกันในโรงพยาบาล เอ๋? ที่มีคลิปออกสื่อไปทั่วนั้นนะเหรอ” คุณกานดาถามลูกชาย “ตายจริง! ทำไมทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ ที่โรงพยาบาลก็ไม่เว้น”
“จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วครับ” โจวเจียอีผงกศีรษะให้มารดา แล้วลอบมองไปทางหญิงสาว
“ไม่รู้ว่าคุณหมอจะมาเลยไม่ได้เตรียมของขวัญแทนคำขอโทษ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร แล้วอีกอย่างทางคุณก็จัดการทุกอย่างแล้ว”
ได้ยินว่าถึงขนาดซื้อเครื่องวัดความดันรุ่นใหม่ล่าสุดบริจาคให้ทางโรงพยาบาลตั้งห้าเครื่อง
“ไม่ได้สิ” เขาทำหน้าจริงจัง “เอาอย่างนี้ คราวหน้าผมเอาไปให้ที่บ้านคุณหมอดีไหมครับ หรือไปที่โรงพยาบาลดี”
“หา!” ธีรยาทำตาโต “ทางที่ดีไม่ต้องมาเจอกันอีกจะดีกว่าค่ะ”
“ยัยหมิวอย่าเสียมารยาท ยังไงก็เป็นลูกชายของเพื่อนแม่นะ” คุณเพ็ญนภาเข้าข้างฝ่ายชายเต็มที่ “ยัยหมิวไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับน้าหรอกนะ เขาออกจากบ้านเด็กกำพร้าไปนานแล้ว”
โจวเจียอีเลิกคิ้ว เขารู้ว่าเพื่อนแม่หรือคุณเพ็ญนภาใช้บ้านตัวเองเป็นสถานสงเคราะห์เด็กหรือบ้านเด็กกำพร้าตะวันฉาย หลายครั้งที่แม่มอบเงินบริจาคและให้ทุนการศึกษาเด็กที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่ไม่คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าที่สวยหวานหยาดเยิ้มขนาดนี้จะเป็นเด็กที่คุณแม่อุปการะ
“ก็ฝากไว้ที่แม่เพ็ญนภาก็ได้ค่ะ”
ธีรยาพูดเสียงเบา เดาว่าเขาคงพอรู้แล้วว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่คุณหนูผู้ดีมาจากไหน ไม่ใช่คนฐานะเดียวกับเขา เขาก็คง...เลิกสนใจไปเอง
“หรือเอาไปให้ที่โรงพยาบาลก็ได้ อยู่แผนกอะไรนะลูกหมิว” คุณกานดาพูดแล้วหันไปถามหญิงสาว
“หนูทำงานในห้องแล็บค่ะ” คนอื่นไม่เรียกเธอว่าหมอด้วยซ้ำไป แต่เรื่องพวกนี้เธอไม่ได้ใส่ใจนัก ที่ตัดสินใจเลือกเรียนสาขาพยาธิวิทยาส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากเจอคนไข้โดยตรงอยู่แล้ว
“ไม่ดีหรอกครับ คุณหมอทำงานยุ่งผมไม่ไปรบกวนดีกว่า เอาเป็นว่าวันหยุดหน้าของคุณหมอวันไหนครับ เรานัดเจอกันดีไหม”
“ไม่...”
“ดีจ๊ะ” คุณเพ็ญนภาตอบแทนลูกสาว “จริงๆ ยัยหมิวหยุดวันเสาร์หน้า เห็นว่าจะไปหาเช่าชุดใส่ไปงานแต่งงานรุ่นพี่อยู่พอดี”
“วันเสาร์หน้า” คนงานยุ่งขมวดคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูตารางงาน “ถ้าเป็นตอนสิบเอ็ดโมงเช้าได้ไหมครับผมไปรับที่บ้าน คุณหมออยากไปที่ไหน ผมขับรถไปส่งให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกรงใจ” ธีรยารีบพูดขึ้น
“คนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ”
“แต่คุณคงงานยุ่ง” เธอหันสบตากับเขา ขยิบตาให้หวังว่าเขาจะรับมุกเธอบ้างแต่อีกฝ่ายกดบันทึกตารางงานเรียบร้อยแล้วยิ้มยียวนอารมณ์ดี
“ผมเคลียร์งานแล้วครับ ยังไงก็ขออนุญาตชดเชยที่ทำให้คุณหมอเสียขวัญในวันนั้น”
“เรียกคุณหมอๆ ฟังห่างเหินจัง” คุณเพ็ญนภาหัวเราะออกมา “เรียกหมิวก็ได้ เอ๊ะ...อายุน่าจะน้อยกว่าอีริคนะ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ”
“สามสิบครับ”
“ยัยหมิวยี่สิบหกแล้ว เขาเป็นเด็กหัวดีเรียนเร็ว เข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุยังน้อย แต่ก็เพราะเอาแต่เรียนนั้นแหละ ไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนคนอื่น จบมาก็ทำงานทันที น้าก็รู้สึกผิดกับลูกสาวมากจริงๆ”
“คุณแม่”
เห็นทุกคนเป็นใจขนาดนี้ ธีรยาแต่ได้แต่ยอมรับนัดของผู้ชายตัวโต เขายังคงยิ้มเหมือนเดิม ครู่หนึ่งคนรับใช้ก็มาแจ้งว่าอาหารเย็นพร้อมแล้ว เดิมทีโจวเจียอีไม่ได้คิดจะกินข้าวเย็นพร้อมมารดา แต่มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักอยู่ด้วย วันนี้เขาจึงร่วมรับประทานอาหารเย็น คนเป็นแม่ย่อมดีใจ นานๆลูกชายจะอยู่บ้านกินข้าวด้วยสักหน ผิดกับธีรยาที่อยากกลับก่อนก็ไม่ได้ ทำได้แค่ยอมกินข้าวเย็นที่นี่ เอาเถอะ ถือเสียว่าได้ประหยัดเงินไปอีกมื้อก็แล้วกัน ส่วนสายตาของผู้ชายคนนั้น เธอจะทำเป็นมองไม่เหมือนกับที่เคยเกือบลืมเขาไปแล้วเช่นกัน.
รถเก๋งสีดำด้านหรูหราจอดหน้าคอนโดแห่งหนึ่งตั้งแต่เวลา10.50 น. ธีรยาไม่คิดว่าเขาจะมารับจริงๆ วันนั้นหลังจากบอกเวลาและสถานที่นัดหมายแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดต่อเธออีก ทำให้เธอหายใจโล่งอกคิดว่าเขาคงแค่ทำไปเพราะเอาใจคุณกานดา-แม่ของเขา แต่พอถึงเวลาจริง เธอก็อดไม่ได้ต้องมารอที่หน้าคอนโดในเวลานัดหมาย
ธีรยาได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไหนๆ เขาก็อยากบริการแล้วก็ตามใจเถอะ! หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่ดเดินไปที่รถยนต์คนนั้น ชายหนุ่มเห็นคนที่ตัวเองรอเดินมาใกล้ก็ลงจากรถมาทันที
“ผมมาก่อนเวลาเลยไม่ได้โทรหาคุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หมิวก็ เอ่อ ฉันก็เตรียมตัวเสร็จพอดี”
“จะแอบหนีไปก่อนเหรอ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างรู้ทัน “เรียกตัวเองว่าหมิวก็ดีนะครับ รู้สึกสนิทกันดี”
ธีรยาหน้าเจือนที่ถูกจับได้ คนตัวโตเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง เมื่อตนเองเดินกลับมาที่ฝั่งคนขับแล้วก็เอ่ยถามหญิงสาวที่ทำหน้านิ่งอยู่
“ไปที่ไหนดีครับ”
ธีรยาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ปลายนิ้วเรียวเลื่อนๆ หน้าจอแล้วยื่นให้เขาดู
“ไปร้านนี้ค่ะ”
“เช่าชุด?” เขาถามเพื่อความแน่ใจแล้วขับรถออกไป “ค่ะ...เช่าชุดใส่ไปงานแต่งงาน ธีมงานขาว-ชมพู ก็เลยว่าจะไปหาดูที่ร้านนี้ ถ้าสั่งออนไลน์ก็กลัวจะไม่ตรงปกค่ะ”“ถ้างั้นผมเลือกร้านให้เอาไหม?” “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ”“ไม่เชื่อเซนส์ผมเหรอ” เขายิ้มทั้งที่ตายังมองไปยังถนนตรงหน้า “หรือถ้าห่วงเรื่องเงิน เรื่องนั้นผมจัดการให้ได้” “เราเพิ่งรู้จักกันคุณไม่ต้องเปย์ให้ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” เธอไม่ชอบรับของจากคนแปลกหน้าด้วย กลัวถูกทวงทีหลังอีกต่างหาก“ก็ผมไม่อยากเป็นแค่คนรู้จัก”“คุณนี่...จะจีบเหรอ” ธีรยาดันแว่นตาขึ้นชิดใบหน้า “ถ้าเห็นฉันเป็นของแปลกก็ไม่ต้องมาจีบเลยนะ”“ก็แปลกจนน่าสนใจไง” เขาพูดไปตามตรงแล้วขับรถไปห้างสรรพสินค้าหรูหรา เมื่อจอดรถเรียบร้อยก็เดินมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวลงมา “มาเถอะ ผมไม่พาไปฆ่าไปแกงหรอก ตัวแค่นี้กินไม่อิ่ม” เขายิ้มกริ่มพลางกวาดสายตามอง “แต่ถ้าอย่างอื่นก็ไม่แน่...” “คุณนี่... หน้าตาก็ดี ปากร้ายชะมัด” “ยอมรับว่าผมหน้าตาดีแล้วสิ” ธีรยาไม่เคยเจอคนหน้าหนาแบบนี้มาก่อน จู่ๆ ก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ หญิงสาวตกใจแล้วดึงมือกลับ “แค่จะใ
“คุณ...อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้” ธีรยาจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย “ฉันไม่ใช่ของเล่นของคุณนะ” ดวงตาคมปลาบจ้องมองคนตัวเล็ก เขาพอใจกับท่าทีไม่สะทกสะท้านแม้ถูกสายตาของเขากดดันอยู่ มุมปากยกยิ้มขึ้นก่อนเอ่ย “ทำไมคิดว่าผมเล่นๆ กับคุณเล่า” “ก็...คนอย่างคุณ...” “คนอย่างผม?” เขาชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน “คนอย่างผมไม่คู่ควรกับคุณหมอย่างคุณเหรอ” “มะ..ไม่ใช่แบบนั้น...เอ่อ...คือ..ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใครแต่คุณมีฐานะทางสังคมดีกว่าแล้วก็...”เธออึกอักพลันหน้าเห่อร้อนขึ้นมา “เรื่องคืนนั้นมันก็แค่วันไนท์สแตนด์ เราไม่ควรเจอกันอีก” “แค่วันไนท์สแตนด์?” เขาหรี่ตาจ้องมองใบหน้าหวานที่แดงเรื่อ “ผมไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ และเป็นคุณต่างหากที่ทิ้งผม” “คะ? ฉันนะเหรอ” นิ้วเรียวชี้ที่หน้าตัวเองอย่างงุนงง “ผมเขียนโน้ตวางไว้บนหมอน ให้คุณรอผม ผมมีนัดกับลูกค้าตอนสิบโมงเช้า แต่พอผมเสร็จธุระแล้วกลับเข้ามาเจอแค่ที่นอนยับยู่ยี่นี่นะ” “ก็...ฉันไม่เห็นโน้ตอะไรเลย แต่ถึงเห็น...ฉันก็
“อืม ...คุณกลัวเหรอ” “กลัวอาชีพคุณมากกว่า” คราวนี้โจวเจียอียิ้มออกมา “เมื่อก่อนคนไทยมองคนจีนเป็นเหมือนพี่น้องไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเห็นคนจีนต้องเป็นจีนเทาหรือไง” “เอ่อ...ก็ไม่ใช่...ฉันแค่ไม่รู้ว่าคุณทำงานอะไรแล้วอีกอย่างคนทั่วๆไปใครเขามีบอดี้การ์ดติดตามแบบนี้” “ก็จริงของคุณ” เขาจิบน้ำชาแล้วถอนหายใจเบาๆ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ง่ายเลย “หน้าที่พวกเขาเป็นบอดี้การ์ด แต่ก็สนิทกันเหมือนคนในครอบครัว แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็คือเจ้านายและเป็นจ่าฝูง จะทำตัวสนิทกับพวกเขามากก็ไม่ดีนัก” ธีรยาจิบน้ำชาเลียนแบบเขา น้ำชาอุ่นร้อนกำลังดีและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีจริงๆ โจวเจียอีเห็นสีหน้าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงมากก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาเลื่อนหน้าจอแล้วยื่นให้เธอดู “คะ?” เธอนั่งอยู่ข้างเขา แต่ชายหนุ่มก็เอียงตัวเข้ามาใกล้จนไหล่ชิดกัน “คุณอยากรู้จักผมไม่ใช่เหรอ ผมเลยเซิร์สชื่อผมให้คุณดูไง” เขาพูดแสร้างทำหน้าซื่อ “ผมเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงพอสมควร แต่ก็มีทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียคุณคงต้องใช้เวลาพิจารณาสักหน่อย
ธีรยามองแผ่นหลังของก้องภพอย่างงุนงง สีหน้าเขาดูแปลกๆ และเมื่อครู่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา ปกติเขาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาและเป็นกันเอง พอเห็นสีหน้านิ่งขรึมแล้วเธอก็อดเป็นกังวลไม่ได้ หรือเขามีเรื่องไม่สบายแต่ไม่กล้าพูด หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วกลับไปทำงานของตนเองพร้อมถุงขนมจากผู้ชายช่างตื้อคนนั้น ‘ผมกลับไปดูงานที่ไต้หวัน ผมให้ลูกน้องไปส่งดอกไม้และขนมให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องกลัวเจอคนแปลกหน้าหรือคิดว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ’ ‘ไม่เห็นต้องส่งของอะไรพวกนี้มาเลย’ ‘ก็ผมจีบคุณอยู่ไง’ ธีรยาจำได้ว่าพูดตอบเขาไปทางโทรศัพท์ แม้ปากพูดไปแบบนั้นแต่ช่อดอกกุหลาบสีชมพูหวานสวยก็เล่นเอาใจเธอละลายได้เหมือนกัน จากดอกไม้ก็เป็นขนม ต่อไปเขาจะส่งอะไรให้เธออีกนะ ไม่เอาสิธีรยา! อย่าทำเหมือนรอคอยให้เขาส่งของมาให้แบบนี้สิ! ก้องภพรู้สึกแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่ามีผู้ชายมาจีบธีรยา แต่หญิงสาวเป็นคนหัวอ่อน ไม่สิ เรียกว่าความรู้สึกช้าน่าจะถูก กว่าจะรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมาจีบ ผู้ชายคนนั้นถอนใจจากเด็
“เราถูกย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว” “จริงเหรอ แบบนี้ก็ดีเลยสิ” ธีรยายิ้มกว้าง “พักแถวไหนล่ะ แบบนี้ก็ดีเลยนะจะได้กลับไปช่วยงานแม่เพ็ญนภาได้” “อะไรกัน นี่อย่าบอกนะว่าหมิวยังกลับไปที่บ้านนั้นอีกนะ” ปกป้องทำตาโต “ทำไมจะกลับไปไม่ได้ล่ะ ป้องนั้นแหละ ทำไมไม่กลับไปหาแม่เพ็ญนภาบ้าง” “ไม่อยากฟังบ่น” ปกป้องยักไหล่ “เลิกงานแล้วมีนัดที่ไหนไหม ไปหาอะไรกินกัน ป้องเลี้ยงเองในฐานะที่ได้ย้ายกลับมาอยู่ใกล้หมิว” “เรื่องกินไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว” หญิงสาวพยักหน้ารับแต่ก็อดกวาดตามองรอบๆไม่ได้ ไม่เอาน่า เธอไม่ได้รอใครเสียหน่อย ทำไมต้องมองหาด้วยเล่า “รอใครหรือเปล่า นัดพี่หมอก้องไว้เหรอ” ปกป้องถามเพราะสังเกตได้ว่าธีรยาเหมือนมองหาใครอยู่ แถมยังแต่งหน้าทาปากอีกด้วย ปกติไม่ค่อยเห็นคนตัวเล็กแต่งหน้าสักเท่าไหร่ “เปล่า” หญิงสาวส่ายหน้ายืนยัน “ไปเถอะ หิวแล้ว ว่าแต่เจ้ามือจะเลือกร้านให้หรือให้หมิวเลือกร้านเอง” “หมิวเลือกเลยสิ อยากกินอะไร ป๋าจ่ายเอง” “อืม เราเห็นร้านบะหมี่ติดแอร์เปิดใหม่ใกล้ๆ โรงพย
“เอาไว้คราวหน้าเรามารับหมิวไปหาอะไรอร่อยๆ กินอีกนะ” “ได้สิ คราวหน้าหมิวเลี้ยงคืนนะ” “ตามใจ” ปกป้องยิ้มแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนธีรยาเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือเปล่า” “เปล่าๆ ไม่มีอะไร หมิวขึ้นห้องเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานใช่ไหม” “อื้ม ป้องก็เหมือนกัน กลับบ้านดีๆนะ” “งั้นเราไปล่ะ” ธีรยายืนรอจนรถของปกป้องเคลื่อนไปสุดสายตาแล้วเธอจึงเดินเข้ามาในคอนโด เพราะใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ทันรู้ว่ามีคนก้าวมายืนซ้อนด้านหลัง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดข้อความถึงปกป้อง ‘ถึงห้องแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง’ เพราะฝ่ายนั้นเอาแต่ย้ำหนักหนาว่า ถึงห้องแล้วต้องส่งข้อความมาบอกเขา แต่ขณะที่รอลิฟต์อยู่ก็รู้สึกว่าคนด้านหลังยืนชิดเธอเกินไป ร่างเล็กจึงขยับเท้าตั้งใจหลบให้คนด้านหลังเข้าไปในลิฟต์ก่อน แต่ไหล่ของเธอถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในทันทีที่ลิฟต์เปิดประตูออก “อ๊ะ! คุณ...” ธีรยาเอี้ยวตัวหันไปมองจึงรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังคือ...“อีริค ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่” “ก็คุณอยู่ที่นี่ผมก็อยู่ที่นี่สิ ช
“ได้ ถ้าคุณลืม ผมจะทบทวนว่าเราเป็นอะไรกัน”คนตัวเล็กขยับตัวดิ้นรนทำให้กระโปรงร่นขึ้นเห็นเรียวขาขาวผ่อง โจวเจียอีใช้มือเพียงข้างเดียวก็รวบข้อมือสองข้างของเธอกดไว้เหนือศีรษะแล้วโน้มหน้าลงจูบกลีบปากที่พูดจาแทงใจเขาเหลือเกิน ไอร้อนจากกายเขาผสานกับกลิ่นน้ำหอมเกิดเป็นกลิ่นกายเฉพาะตัว คล้ายปลุกเร้าความทรงจำในค่ำคืนนั้นให้หวนกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวหน้าตาแตกตื่น คราวนี้เธอกลัวเขาขึ้นมาจริงๆ ร่างกายของเธอแข็งเกร็งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ โจวเจียอีรับรู้ได้ว่า การกระทำของตนทำให้เธอตกใจ จึงจำใจผละจากริมฝีปากที่บวมเจ่อเล็กน้อยแล้วถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แต่เพราะเตียงเล็กทำให้เขาต้องดึงเธอมากอดไว้“ขอโทษ...”“คะ?”“คุณกลัวสินะ”“หมิวตกใจค่ะ” เธอสารภาพ “เรา...เราค่อยเป็นค่อยไปได้ไหม”“อื้ม...” เขากอดเธอแน่นขึ้น “ถึงยังไงตอนนี้ผมก็มีอะไรกับคุณไม่ได้”“คะ?” เธอผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่ม “คุณไม่สบายเหรอ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”โจวเจียอีหัวเราะ ก่อนจูบหน้าผากเธอเบาๆ“เปล่า ผมแต่ไม่ได้เตรียมตัวมามีเซ็กส์กับคุณ”“คุณ...พูดตรงไปหรือเปล่า” คราวนี้เธอหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ“ผมเป็นคนตรงไ
เธอขมวดคิ้วสีหน้ายุ่งเหยิง แอบคิดในใจว่าเขาจะมาแสดงความยินดีที่เธอก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ทำไมต้องทำหน้าโมโหอย่างนี้ด้วยนะ คราวนี้ก้องภพนิ่งงันไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาจะเคยพูดประโยคนี้จริงๆ ทำไมเขาต้องรู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น ทั้งที่เวลาเธอมีเรื่องอะไรจะมาปรึกษาเขาเป็นคนแรกเสมอ และเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหัวเสียจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แบบนี้ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ่มต่ำดังจากด้านหลัง ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้แล้วถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่มองอย่างไม่พอใจนัก แต่กระนั้นก็ยังก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ตนนัดหมายไว้ “ไม่มีอะไรค่ะ” ธีรยาตอบด้วยรอยยิ้ม “มาเร็วจัง” “มาเร็วไม่ดีหรือ?” โจวเจียอีถามแล้วยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คของหญิงสาว เธอย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปแนะนำให้รู้จักกับผู้ชายที่เธอยืนคุยก่อนที่เขาจะมาปรากฏตัว “อีริคค่ะ นี่พี่หมอก้องค่ะ เป็นรุ่นพี่หมิวเอง” เธอแนะนำง่ายๆ แล้วหันไปทางหมอก้องภพ “พี่หมอก้องคะ นี่...” “ผมแซ่โจวชื่อเจียอี ส่วนชื่ออีริคเรียกเฉพาะค